คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่1 พลเมืองดีผิดคิว
รวิกานต์เดินลัดเลาะรอบตึกมาตามฟุตบาทเพื่อเดินทางกลับไปยังวีโอลาเรสซิเดนซ์คอนโดที่เธอพักอยู่กับเหมชล ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลเอกชนที่เธอทำงานนัก รวิกานต์จึงประหยัดค่ารถไปได้บ้าง เวลาไปทำงานก็เดินออกกำลังกายไปในตัว เมื่อเวลากลับก็แวะเดินดูสินค้าที่มาตั้งแผงริมฟุตบาทบ้างตามเรื่องตามราว ถ้าวันไหนหญิงสาวขึ้นเวรดึกรวิกานต์ก็จะให้เหมชลผู้เป็นพี่ชายพี่ชายขับรถไปส่ง ระหว่างที่กำลังเดินทางกลับรวิกานต์จึงโทรบอกเหมชลเพื่อบอกว่าขอกลับไปที่ห้องก่อนโดยไม่รอ
‘‘พี่ชล ซันลงเวรบ่ายนะวันนี้ คงไม่รอกลับพร้อมพี่ชลนะคะ ซันจะเดินกลับเอง เย็นนี้พี่ชลอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ ซันจะได้ทำไว้ให้’’ เธอถามไปอย่างนั้นพอเป็นพิธี เพราะจริงๆ แล้วรวิกานต์ไม่เก่งกาจเรื่องงานครัว เท่าที่ทำได้ก็มีแค่เมนูไข่ทั้งหลาย และอาหารจานด่วนอย่างง่ายๆพอให้ไม่อดตายเท่านั้นเอง
เหมชลเองก็มักจะชอบค่อนขอดเธอเสมอว่า แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะขายออกเสียทีเพราะคนเป็นพี่ขี้เกียจทำงานหาเลี้ยง แต่เธอก็มีความสามารถในการยอกย้อนกลับไปได้ทุกทีว่าขายไม่ออกก็จะเกาะพี่ชายกินไปตลอดจนกว่าชีวิตจะหาไม่
‘‘ไม่ต้องหรอกซัน วันนี้พี่มีงานเลี้ยงที่มหาลัย คงกลับดึกหน่อย สักเกือบเที่ยงคืน ซันอยู่คนเดียวได้นะ’’
‘‘อยู่ได้อยู่แล้วค่า พี่ชลพูดอย่างกับซันเป็นเด็กๆอย่างนั้นแหล่ะ ปีนี้ซันอายุยี่สิบสี่แล้วนะคะ ’’
‘‘เอ้า นี่แกอายุยี่สิบสี่แล้วเหรอ ฉันนึกว่าสิบสี่ซะอีก ’’
เหมชลเบรกน้องสาวแทบหัวทิ่ม ทางกายภาพน่ะใช่ รวิกานต์โตเป็นสาวสะพรั่งแล้วหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มราวกับตุ๊กตาแต่นิสัยใจคอแม่คุณจะยังเหมือนเด็กไม่รู้จักโตแถมใจร้อนไปไหนกันนักก็ไม่รู้
ด้วยเหตุนี้คนเป็นพี่ชายอย่างเขาจึงทั้งห่วงและหวง
‘‘แรงมากค่ะพี่ชล พี่ชลพูดแบบนี้กับน้องได้ยังไงกันฮะ ’’ รวิกานต์งอน เหมชลหัวเราะเสียงดังชอบอกชอบใจใหญ่ย้อนถามน้องสาวกลับไปบ้าง
‘‘พี่พูดเรื่องจริงแรงตรงไหน’’
‘‘ก็แรงสิ เห็นซันเป็นเด็กตลอดเวลาเลยนะ ตั้งแต่พ่อกับแม่ไม่อยู่เนี่ยพี่ชลก็กลายเป็นพ่อซันไปอีกคนแล้ว รู้ตัวบ้างมั้ยคะ’’ หญิงสาวเย้าพี่ชายกลับไปเหมือนกัน
เหมชลทำตัวเป็นคนมีอายุขึ้นทุกวันด้วยความเป็นห่วงราวกับว่าเธอเป็นลูกสาววัยรุ่นก็ไม่ปาน รวิกานต์ระบายรอยยิ้มสวยอวดลักยิ้มข้างแก้มขวา นึกถึงสมัยตอนเธอเรียนมัธยมเหมชลยังไม่มากมายขนาดนี้ แต่ก็มีบ้างที่เก๊กหน้าโหดข่มเขม่นเพื่อนวัยใสของหญิงสาวที่ชอบมาแวะเวียนขายขนมจีบแบบหยอกไก่เป็นประจำ
‘‘ไม่ต้องเลย พี่มีน้องสาวอยู่คนเดียวก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา หรือเราจะไม่อยากให้พี่ห่วงก็ได้นะ โอเค้ พี่จะไม่ตามไม่ถามเวลาแกจะไปไหน ทำอะไร ยังไง ไม่สนใจ ช่างหัวแก’’
ชายหนุ่มทำสุ้มเสียงน้อยใจไม่ได้โกรธจริงจังแต่คนเป็นน้องสาวต้องรีบง้อ ทั้งๆที่รู้ว่าเหมชลก็แกล้งเรียกร้องความสนใจจากเธอไปอย่างนั้นเองไม่ได้น้อยใจจริงจังอะไรนัก
‘‘โอ๋ ๆๆ พี่ชลที่ เคารพร้าก อย่าเพิ่งใจน้อยน้อยใจสิคะ ยังไม่ได้หัวล้านซักหน่อย ซันล้อเล่นน่า ก็เรามีกันแค่สองคนพี่น้องเองนะ พี่ชลมัวแต่มาเป็นห่วงซันอยู่แบบนี้แล้วจะมีเวลาที่ไหนไปหาว่าที่แม่ของลูกกันล่ะคะเนี่ย’’
‘‘ไม่รู้ ตอนนี้ยังไม่อยากมีใคร ยังไม่อยากมีห่วงมาคล้องคอ ขอเรียนจบดอกเตอร์ก่อนค่อยหาแล้วกัน ดีไม่ดีพี่อาจจะอยู่เป็นโสดไปเลยก็ได้ รอเลี้ยงหลานจากซันไง’’
‘‘ถ้าอย่างนั้น ก็เชิญพี่ชลรอไปเลยค่ะ ตลอดชีวิต เพราะซันก็จะขอใช้สิทธิ์อำนาจแห่งความโสดอยู่ในมือเหมือนกัน แต่ตอนนี้ซันขอวางสายก่อนนะ เดี๋ยวรถราแถวนี้จะเข้ามาสอยคนน่ารักซะก่อนได้กลับถึงห้อง แค่นี้นะคะอาจารย์เหมชล’’
คุยโทรศัพท์แต่สายตาหญิงสาวก็มองรถที่วิ่งสวนไปมาอย่างระแวดระวังเพราะถนนสายนี้รถพลุกพล่านเนื่องจากเป็นย่านธุรกิจใจกลางเมือง
‘‘จ้า ยายตัวแสบน้องรัก เดินระวังรถด้วยล่ะ เพราะพี่ล่ะกลัวจริงจริ๊ง ว่ารถเค้าจะบุบสลายตรงไหนหรือเปล่าถ้าวิ่งมาพุ่งชนแกเข้า’’
ชายหนุ่มเห็นช่องทางจึงได้โอกาสแขวะน้องสาวไปหนึ่งแผลพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างสะใจแล้วเหมชลก็รีบชิ่งตัดสายโทรศัพท์หนีหายไปทันทีจนรวิกานต์แหวใส่ไม่ทัน
‘‘แค่นี้นะ’’
‘‘พี่ชล ! บ้า’’
จะเอาคืนก็ไม่ทันแล้วเพราะพี่ชายสายน้ำสุดหล่อวางสายไปแล้วเหลือเพียงเสียงสัญญาณที่ขาดหายไป รวิกานต์ส่ายหน้าทั้งฉุนทั้งยิ้มให้กับโทรศัพท์ก่อนจะเดินต่อไปจนถึงวีโอลาเรสซิเดนซ์ เธอกับพี่ชายชอบแขวะกันเล่นแบบนี้ประจำตั้งแต่เล็กจนโต
รวิกานต์พักอยู่บนชั้นสิบเก้าบนคอนโดหรูกับพี่ชายของเธอ เหมชล หรือ พี่ชลที่แสนใจดีและตามใจเธอไปเสียทุกเรื่อง หญิงสาวให้ความเคารพรักพี่ชายคนนี้มากเพราะครอบครัวเหลือกันเพียงสองคนพี่น้องเท่านั้น
หลังจากพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดเสียชีวิตหมดทิ้งที่ดินเอาไว้ให้สองพี่น้องเป็นมรดกคนล่ะครึ่ง เหมชลก็รับหน้าที่ส่งเสียรวิกานต์จนจบปริญญาตรีด้านพยาบาลศาสตร์พร้อมทั้งส่งตัวเองเรียนปริญญาโทไปด้วยในขณะนั้น เหมชลตัดสินใจขายที่ดินเพื่อเอาไว้เป็นเงินเก็บรอจนถึงเวลาจึงจะแบ่งกันกับน้องสาว
โชคดีที่โรงพยาบาลบำรุงพัฒน์ที่ถือว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงพอสมควรตอบรับเธอเข้าทำงาน หลังจากที่ทำงานกับโรงพยาบาลของรัฐบาลมานานปีแต่อยู่ไกลจากที่พักมาก
เหมชลซื้อห้องชุดที่วีโอลาเรสซิเดนซ์ต่อจากเพื่อนอีกคนในราคาที่ถูกกว่าเท่าตัว เพราะเพื่อนสนิทเจ้าของคนเก่าจะกลับไปรับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัวที่ต่างจังหวัด ชายหนุ่มอยู่กับรวิกานต์เพียงสองคนพี่น้องที่วีโอลาเรสซิเดนซ์มานานเกือบห้าปีแล้ว
อันที่จริงรวิกานต์ก็ไม่ค่อยได้กลับมาที่ห้องนักเพราะต้องฝึกงานตามโรงพยาบาล จนเรียนจบปริญญาตรีแล้วหญิงสาวก็ยังอยู่หอพักของทางโรงพยาบาลที่จัดไว้ให้ หลังจากใช้ทุนหมดแล้วหญิงสาวจึงได้ย้ายมาอยู่กับเหมชลแบบถาวร พี่ชายสายน้ำของรวิกานต์เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งสอนเกี่ยวกับสาขาวิชาพฤกษศาสตร์แถมเป็นว่าที่ดอกเตอร์หนุ่มอนาคตไกลในวัยเพียงยี่สิบแปดเท่านั้น
เสียงลิฟต์บ่งบอกชั้นสุดท้ายรวิกานต์รีบสาวเท้าออกจากลิฟต์ก่อนจะเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าของคอนโดสุดหรูย่านใจกลางเมือง รวิกานต์ชอบวิวบนที่สูงอาจเพราะความเคยชินที่ต้องอยู่บนยอดตึกหลายสิบชั้น หญิงสาวชอบมายืนมองดวงอาทิตย์ที่ความหมายพ้องกับชื่อเธอ ทั้งชื่อเล่น และชื่อจริงตอนลาลับขอบฟ้า
บนดาดฟ้าอีกด้านหนึ่งถูกเนรมิตให้เป็นสวนขนาดเล็กโดยฝีมือของพี่ชายเธอเองที่ มีความคิดเสนอกับคุณแก้วกานดาเจ้าของวีโอลาเรสซิเดนซ์ว่าอยากยกธรรมชาติมาไว้บนที่สูงบ้างเพื่อความแปลกใหม่ ส่วนอีกฝั่งเป็นร้านอาหารสุดหรูที่ผู้คนนิยมพาคู่รักมารับประทานอาหารและชมวิวกรุงเทพมหานครในยามค่ำคืนบนยอดตึกสูงแห่งนี้
ภาพบุรุษเพศร่างสูง หน้าตาหล่อจัด ริมฝีปากหยักนั้นได้รูปกับคางเรียวและใบหน้าคมสัน ผิวสีแทนกร้านกรำแดด เขาสวมเสื้อยืดสีเทาที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อนั้นทำให้เขาดูเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว แต่ทว่าแววตาคมนั้นเรียบเฉย กำลังก้าวเดินออกไปช้าๆ บริเวณดาดฟ้าของตึกสูงหกสิบชั้น ใครได้ตกลงมามีหวังร่างแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี แต่ขณะนี้ผู้ชายคนนั้น เขากำลังจะทำอย่างนั้น ทำอย่างที่เธอกำลังคิด รวิกานต์ไม่รอช้าเธอรีบเร่งฝีเท้าวิ่งเข้าไปหาทันทีที่เขากำลังจะก้าวขาลงไป
‘‘คุณ! กำลังจะทำอะไรลงไป’’
ชายหนุ่มหันไปตามเสียงตะโกนของรวิกานต์พร้อมมองหน้าเธอด้วยความงุนงง ผู้หญิงคนนี้มาจากไหน
‘‘ใจเย็นๆนะคะ’’ รวิกานต์ค่อยๆ หว่านล้อมชายหนุ่มแปลกหน้าด้วยจิตสำนึกมนุษยธรรมของคนทั่วไปและจรรยาบรรณของคนที่เคยเรียนวิชา จิตวิทยามาในสาขาพยาบาลศาสตร์ทำให้คนในวิชาชีพอย่างเธออยู่เฉยไม่ได้
ในเมื่อการช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนใดเป็นสิ่งที่ควรพึงกระทำ
ผู้ชายคนนั้นมองหญิงสาวด้วยสายตาว่างเปล่า เขาไม่อยากเสียเวลาจึงไม่ให้ความสนใจเธอนัก แต่ค่อยๆก้าวออกไปข้างหน้าทีละก้าว รวิกานต์ยังคงส่งเสียงตามหลังมาเพื่อเตือนสติชายหนุ่ม
‘‘ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ ถ้าคุณมีปัญหาหรือมีเรื่องทุกข์ใจอะไรคุยกับฉันก่อนก็ได้ค่ะ ฉันยินดีจะเป็นคนที่ช่วยรับฟังคุณทุกเรื่อง ’’
‘‘คุณพูดอะไรของคุณเนี่ย ผมไม่เห็นเข้าใจ แต่ทางที่ดีผมว่าอย่าเพิ่งมายุ่งกับผมตอนนี้เลยนะ ’’ ชายหนุ่มเลิกคิ้วสงสัยในขณะที่รวิกานต์ยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ
‘‘ก็คุณกำลังจะกระโดดลงไป คุณคงจะผิดหวังในเรื่องความรักสินะ แต่ทำไมต้องมาหนีปัญหาด้วยการจบชีวิตตัวเองลงแบบนี้ล่ะคะ’’
คนที่ผ่านไปผ่านมาสะดุดตาเดินเข้ามาสังเกตการณ์ รวิกานต์หวาดเสียวระทึกสุดชีวิต แต่ยังใจร่มสู้พยายามหว่านล้อมเขาอีกครั้งเพื่อเรียกสติชายหนุ่มให้กลับคืนมา บรรดาไทมุงเริ่มทยอยเข้ามาและเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ไปต่างๆนาๆ
‘‘หน้าตาก็หล่อไม่น่าคิดสั้นเลยเนอะ บอกได้สองคำ เสียดาย’’
‘‘ใช่ๆ ถึงจะแต่งตัวดูบ้านๆไปหน่อย แต่หล่อได้ใจเลยว่ะแก๊ ’’
ฝ่ายรวิกานต์ยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมชายคนนั้นโดยที่ตัวเองก็ตื่นเต้นแข้งขาสั่นพึ่บพั่บ ก็ใครจะไม่นึกกลัวบ้างในเมื่อความสูงของตึกที่ทำให้รู้สึกเสียวสันหลังเหมือนนั่งรถไฟเหาะ
‘‘อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ บนโลกใบนี้ยังมีสิ่งสวยงามอีกตั้งมากมายที่คุณอาจจะยังไม่เคยได้เห็น คุณไม่นึกเสียดายบ้างเหรอที่ต้องพลาดโอกาสดีๆ อีกหลายอย่างในชีวิต ไหนจะครอบครัวคุณ ยังมีพ่อแม่ พี่น้องของคุณที่เขารักคุณนะคะ’’
หญิงสาวพยายามหาเหตุผลร้อยแปดมาหว่านล้อมเผื่อคนที่กำลังสิ้นไร้หนทางจะตาสว่างมองเห็นความเป็นจริงของชีวิตว่า ยังไงก็ไม่มีใครรักและหวังดีกับเราเท่าครอบครัวของเราเอง
‘‘โอ๊ย พอสักที เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว คุณผู้หญิง ผมไม่อยากจะฟังคุณพล่ามอะไรตอนนี้ คุณนี่จุ้นจ้านเจ๋อไม่เข้าเรื่องเลยจริงๆ แต่ก็จริงอย่างที่คุณว่ามานั่นล่ะ ผมเห็นด้วยกับคุณ และผมคิดว่าคนที่ตกลงไปติดแถวซอกตึกนี้คงคิดที่จะอยากมีชีวิตอยู่เพื่อดูสิ่งสวยงามบนโลกนี้เหมือนกัน ’’ชายหนุ่มอธิบายพร้อมสายตาสีหน้าเรียบเฉย
รวิกานต์หยุดนิ่งเรียกสติกลับมาครู่หนึ่งกับความจริงที่เพิ่งได้รับรู้
เธอปล่อยสัตว์ปีกตัวเบิ้มเข้าให้แล้ว ยังจะมีอะไรที่ ‘หน้าแตก’ มากกว่านี้ได้อีกไหม
‘‘แต่ถ้าอยากจะช่วยอยากทำความดีนักก็มานี่เลย มาช่วยกันส่งเชือกลงไปให้คนตกตึก เอ้า ยืนเฉยอยู่ทำไมเล่า อยากช่วยก็รีบๆเข้ามา เร็ว เห็นไหมมีคนกำลังรอความช่วยเหลืออยู่ ’’ เมื่อเขาเห็นหญิงสาวหน้าซีดตกใจจึงเปลี่ยนลดระดับความคุกรุ่นด้วยการผ่อนน้ำเสียงให้นุ่มนวลลงคล้ายจะคลี่คลายสถานการณ์ให้ดีขึ้นมาบ้าง
‘‘เอ่อ ค่ะ ๆ ’’ รวิกานต์รับคำ
เจ้าของร่างสูงผิวคล้ำค่อยๆยื่นมือลงไปให้เขาจับและช่วยยึดร่างนั้นขึ้นมาโดยมีรวิกานต์คอยช่วยเขาอีกแรงจนสามารถช่วยคนงานขึ้นมาได้อย่างปลอดภัยท่ามกลางเสียงปรบมือของคนในบริเวณนั้นและฝั่งของทางร้าน Good Feeling
‘‘ขอบคุณนะครับ ถ้าไม่ได้พวกคุณทั้งสองคนผมคงได้เป็นผีเฝ้าตึกนี้ไปแล้ว’’คนงานละล่ำละลักขอบคุณคนทั้งสอง พลเมืองดีฝ่ายชายวางสีหน้าเรียบเฉยเอ่ยเสียงนุ่มอย่างเอื้ออาทร
‘‘ไม่เป็นไรหรอกครับลุง แต่คราวหน้าคราวหลังระมัดระวังหน่อยก็ดีนะครับ การทำงานเสี่ยงอันตรายแบบนี้เราต้องดูความปลอดภัยของตัวเองเป็นหลักด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่าเอาตัวเองไปลุย เดี๋ยวลุงกลับบ้านเถอะครับ เย็นมากแล้ว ส่วนคุณ ’’ พลเมืองดีปากร้ายหันกลับมาเปิดฉากสนทนากับรวิกานต์ทันที
‘‘ขอถามอะไรหน่อยนะครับ คุณคิดว่าผมหน้าตาดีไหม’’
คำถามนี้ทำเอารวิกานต์อึ้งคำรบสองแต่ก็ไม่มากเท่ากับการปล่อยไก่มาเดินเล่นเพ่นพ่านเมื่อก่อนหน้านั้น ได้แต่มองหน้าชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความแปลกใจแถมยังไม่มีกะใจตอบคำถามนอกจาก
จ้องหน้าเพื่อพิจารณาให้ชัดๆ
‘‘เอ่อ คุณถามทำไมคะ ฉันก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไงดี’’ หญิงสาวตอบชายหนุ่มแก้เก้อ รวิกานต์ยอมรับว่า ผู้ชายคนนี้หน้าตาดี แต่เรื่องอะไรจะชมให้เขายิ่งได้ใจล่ะ ไม่มีทางอย่างแน่นอน
‘‘ไม่กล้าตอบสินะ ไม่เป็นไร ผมยอมรับนะว่าผมหน้าตาดี’’
รวิกานต์อึ้งคำรบสามไปกับประโยคนั้น
ห๊ะ คนอะไรหลงตัวเองชะมัด บ้ามั้ย แต่ก็แอบคิดในใจ ผู้ชายคนนี้จะมามุกไหนกัน อาจจะสร้างความน่าประทับใจในรูปแบบใหม่งั้นหรือ เพราะผู้ชายส่วนมากเท่าที่เคยมาขายขนมจีบให้เธอส่วนมากก็ใช้ มุกเสี่ยวๆ ทั้งนั้น
ผู้ชายคนนี้มาแปลกแหวกแนว
‘‘และคนแบบผมก็ไม่เคยคิดสั้นถึงขนาดจะฆ่าตัวตายด้วย คราวหน้าคราวหลังนะ ถ้าเจอเหตุการณ์อะไรที่ฉุกเฉิน ลองหยุดนิ่งทำสมาธิสักพัก ตั้งสติให้มาก แล้วก็ใช้มือแหวกตาดูซะบ้างนะคุณ ไม่ใช่อยากเป็นพลเมืองดีแล้วไม่ดูตาม้าตาเรือแบบนี้ ผมเตือนด้วยความหวังดีนะ ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงไม่ใจเย็นรอให้เหตุการณ์นาทีฉุกเฉินผ่านไปเหมือนผมหรอก เขาอาจจะต่อว่าคุณมากกว่านี้ก็ได้โทษฐานจุ้นจ้านไม่เลือกเวล่ำเวลา ’’
เสียงของเขาดังชัดพอที่เธอได้ยินชัดเจน แต่ดูเหมือนรวิกานต์จะหูอื้อ ตาลาย ขึ้นมากะทันหันอีกแล้ว จากที่ได้แต่อึ้งและทึ่งไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง วินาทีนั้น รวิกานต์รู้แค่ว่า อยากจะหายตัวไปจากตรงนั้นให้ได้
เพราะผู้ชายคนนี้ ปากเสียมากที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ในเมื่อเธอมีน้ำใจ แม้ก่อนหน้านั้นเธอจะไม่ได้ทันเห็นว่าความจริงเป็นอย่างไรแต่เขาก็ไม่น่ามาต่อว่าเธอหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้วอย่างนี้
เพราะมันทำให้ ‘อาย’ มากขึ้นจากที่ก็อับอายขายหน้าคนแถวนั้นอยู่แล้ว
‘‘นี่ คุณ แล้วฉันจะรู้ไหม คนไม่รู้นี่ผิดมากเหรอคะ ฉันเห็นคุณทำหน้าเวรี่แซดซะ เดินเหม่อออกไปอย่างนั้นก็คิดว่าคุณจะคิดสั้นทำอะไรแบบนั้นน่ะสิ’’
ชายหนุ่มก็ไม่ยอมแพ้ ผู้หญิงปากเก่งเซ่อซ่านี่ ใคร ยุ่งไม่เข้าเรื่องแล้วยังกล้ามายืนเถียงเขากลับฉอดๆ ทั้งๆที่ตัวเองเจ๋อเพราะความเข้าใจผิด
‘‘โอ๊ย คนอย่างผมเนี่ยนะ จะคิดสั้นฆ่าตัวตายเพราะเรื่องความรัก คุณอ่านปากผมนะ ไม่ มี ทาง ผมไม่อับจนหนทางจนต้องทำอะไรสิ้นคิดแบบนั้นหรอก สวยน้อยแล้วยังจะสายตาไม่ดีอีก คุณนี่ชอบคิดเองเออเองนะ กระต่ายตื่นตูม’’
‘‘ฉันเป็นคนไม่ใช่กระต่าย อ้อ แล้วก็อีกอย่างนะ กรุณาอย่ามาดูถูกในความตั้งใจจริงที่จะช่วยเหลือคนอื่นของฉัน ถึงแม้บังเอิญจริงๆยังไงก็ตาม ซึ่งฉันอาจจะเข้าใจผิดอะไรไปบ้าง แต่คุณไม่น่ามาต่อว่าฉันแบบนี้ ฉันถามจริงๆเถอะ คุณยังเป็นผู้ชายอยู่มั้ยเนี่ย ’’
‘‘เป็น ลูกผู้ชายเต็มตัวด้วย ทำไมหรือ ’’ ผู้ชายเต็มตัวเริ่มยื่นใบหน้าคมถมึงถึงจ้องเธอในระยะประชิด ความตื่นเต้นทำให้หญิงสาวหยุดนิ่งไปชั่วขณะ รังสีความมีอำนาจบางอย่างแผ่รัศมีออกจากผู้ชายหน้าบึ้งคนนี้
‘‘ก็นั่นแหล่ะ ก็..’’
‘‘ก็.. อะไร ’’ เขาถามต่อ รวิกานต์เริ่มไปไม่ถูก
‘‘อ้าว แบตหมดแล้วเหรอ ทำไมไม่พูดต่อล่ะ แหม ผมกำลังตั้งใจฟังตั้งใจลุ้นอยู่ว่าคุณจะปากเก่งได้ได้สักแค่ไหนกันคุณผู้หญิง ’’ เขาเลิกคิ้วถามเสียงสูง รวิกานต์มองเห็นรอยยิ้มที่มุมปากคล้ายจะหยันนั้นเธอก็ได้แต่กำมือแน่น เกิดมาไม่เคยพบเคยเจอ
พูดจาออกมาแต่ละคำ สุนัขไม่รับประทานจริงๆ ให้ตาย
‘‘ก็เป็นผู้ชาย แต่ไม่ใช่สุภาพบุรุษไงเข้าใจไหม ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ ฉันรีบไม่มีเวลาว่างมาเถียงกับผู้ชายปากเสียอย่างคุณ ไอ้คนบ้า ’’
พูดจบหญิงสาวก็ก้าวเดินดุ่มๆออกจากบริเวณนั้นอย่างหัวเสีย ด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์ของคนอยู่เบื้องหลังที่พูดกลั้วหัวเราะก็ดังตามมาเข้าหูให้หงุดหงิดมากขึ้นอีกเท่าตัว
‘‘ผมไม่รับฝากไว้นานนะครับ รีบๆมาเอาคืนด้วยล่ะ ถ้าได้เจอกันอีกนะ ’’
รวิกานต์ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง อันที่จริงเป็นเพราะไม่รู้จะสรรหาประโยคเจ็บแสบที่ไหนไปเถียงสุภาพบุรุษที่รวิกานต์เห็นจากการกระทำแล้วว่าเป็นบุรุษที่ไม่สุภาพเอาเสียเลย เธอได้แต่บ่นพึมพำไปตลอดทางอย่างเจ็บใจที่ไม่รู้จะเอาคืนทางวาจาอย่างไรดี
‘‘ซวยเลย ซวยๆๆ จะทำดีทั้งที หน้าแตกไม่พอ ยังโดนนายพลเมืองดีปากเสียว่าให้อับอายขายหน้าคนแถวนั้นอีก หน้าตาก็หล่อแต่ปากตำแย ที่บ้านไม่มีใครหยอกหรือไงถึงได้มากัดมั่วซั่ว ไอ้บ้าเอ๊ย อย่าได้ไปเป็นคนไข้ที่โรงพยาบาลฉันนะ แม่จะจัดให้หายไปจากโลกนี้เลยเชียว อ๊าย แล้วพี่เจตจะเห็นมั้ยล่ะเนี่ย’’
หญิงสาวหันรีหันขวางท่าทางมีพิรุธแล้วก็ต้องชะงักแล้วส่งยิ้มแหยๆหัวเราะแห้งให้กับคนที่เธอเพิ่งจะบ่นถึงเมื่อสักครู่เพราะเจตธวัชได้มามายืนปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าเธอเรียบร้อยแล้ว
‘‘ไงจ๊ะ สาวน้อยพลเมืองดี’’ ได้แต่แค่นยิ้มส่งกลับไปให้กับคำทักทายแกมล้อเลียนของเขา
‘‘พี่เจต อย่าแซวสิคะ ซันอายแทบแย่ ใครจะไปรู้ว่านายนั่น ’’ เธอจงใจใช้คำนี้เพราะไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม ‘‘นายคนนั้น เขาจะช่วยเหลือคนเหมือนกันล่ะคะ’’
‘‘ทำ ดีไม่ต้องอายใคร เคยได้ยินประโยคนี้ไหม ไอ้รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่นซันอาจจะเข้าใจผิดอะไรไปบ้าง ก็ไม่เห็นต้องไปใส่ใจเลย เราได้ช่วยเหลือเขาก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว จริงไหม’’
หญิงสาวพยักหน้ายิ้มรับเขายีหัวโคลงศีรษะเธอเล่นพร้อมส่งสายตาเอ็นดูเหมือนกับรวิกานต์เป็นน้องสาวของตัวเอง สายตาที่ปราศจากความรักใคร่แบบหนุ่มสาว
‘‘แล้ววันนี้ ทำไมได้กลับมาก่อนไอ้ชลล่ะ ปกติพี่น้องคู่นี้ตัวติดกันอย่างกับอะไร ไอ้จงอางหวงน้องยิ่งกว่าจงอางหวงไข่อย่างอาจารย์เหมชลมันยอมปล่อยให้ซันกลับมาเองได้ยังไงเนี่ย’’ในบรรดาเพื่อนด้วยกันต่างก็รู้ดีว่าเหมชลขึ้นชื่อลือชามากเรื่องหวงน้องสาว
‘‘วันนี้พี่ชลติดงานที่มหา’ลัยค่ะ’’
‘‘อ้าวเหรอ เฮ้อ เสียดายจริง อุตส่าห์จะมีเซอร์ไพรส์ซะหน่อย’’
‘‘เซอร์ไพรส์อะไรกันคะ’’ รวิกานต์เบิกตากว้างแปลกใจ
‘‘ก็เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของพวกพี่เขามาจากต่างจังหวัดพอดีน่ะสิ ก็ไอ้ธามคนที่เป็นเจ้าของห้องคนเก่าของซันกับไอ้ชลไง’’
‘‘ใครคะ ไม่ยักกะรู้จัก แต่เคยได้ยินชื่อเหมือนกันค่ะ เพราะพี่ชลพูดถึง แต่ซันนึกไม่ออก ไม่เคยเห็นหน้า’’
รวิกานต์ทำหน้าพยายามนึก เพื่อนพี่ชายมีไม่กี่คนที่สนิทสนมกันจริงจัง เท่าที่จำได้แม่นก็มีพี่นฤพลสุดหล่อที่เคยเป็นปลื้มในความใสอยู่พักหนึ่งแบบแฟนคลับปลื้มดาราคนโปรด และอีกคนก็เจตธวัชที่อยู่ในหัวใจตลอดมา นฤพลเป็นเจ้าทางเมืองเหนือหน้าตาผิวพรรณดี สะอาดสะอ้าน
‘‘อ้อ ลืมไปๆ ซันไม่เคยเห็นไอ้ธามมันหรอก ตอนนั้นซันอยู่แต่หอพักในวิทยาลัยแล้วพวกพี่กับไอ้ชลก็ยังไม่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่กัน อีกอย่างไอ้ธามนี่มันโลกส่วนตัวสูง พอดีมันเข้ามาคุยงานแถวนี้มันเลยแวะเข้ามาคงจะค้างกับพี่น่ะ ’’
เจตธวัชยังไม่เผยให้รวิกานต์รู้ว่าผู้ชายที่เธอเจอบนดาดฟ้าคือใครเพราะไม่อยากให้บรรยากาศการสนทนาเริ่มหมองเพราะเข้าใจของอารมณ์รวิกานต์ตอนนี้ดี รอให้หญิงสาวเย็นลงกว่านี้จะดีกว่าค่อยแนะนำให้คนทั้งสองได้รู้จักกัน
‘‘เหรอคะ’’
‘‘ก็ใช่น่ะสิ แล้วจะทำหน้าสงสัยทำไม’’รวิกานต์ยังทำสีน้าตีมึนไม่เลิกจนเขาต้องถามด้วยความข้องใจ
‘‘เปล่า เห็นคบหากันอยู่สองคนซันก็เลยคิดว่าไม่มีใครอยากคบพวกพี่แล้วต่างหากล่ะ ’’ ว่าแล้วก็หัวเราะเสียงดังด้วยความสะใจ
‘‘โห ดูถูก หน้าตาดี มนุษย์สัมพันธ์เยี่ยมอย่างพวกพี่ ไม่อยากจะคุยว่าสมัยเรียนสาวๆนี่กรี๊ดนักล่ะ โดยเฉพาะไอ้ธาม’’
‘‘ที่กรี๊ดเพราะเหยียบเท้าเค้าหรือเปล่าคะ ’’
ถามเจตธวัชกลับไปแบบนี้เพราะสงสัยว่าในกลุ่มนี้ยังจะกล้ามีใครที่จะรูปร่างหน้าตาดูดีเหนือกว่านฤพลได้อีก แต่เท่าที่เคยเห็น เทียบกับนฤพลแล้วตายสนิททุกรายแม้กระทั่งโตมร เพราะรายนั้นหล่อแต่ดำคล้ำ
‘‘ซัน ก็ว่าไปนู่น เพื่อนพี่คนนี้เขาหล่อจริงอะไรจริง บ้านก็รวยมีสวนองุ่นนับร้อยไร่ ไหนจะรีสอร์ตสุดหรูริมเชิงเขาที่อยู่ติดกับไร่องุ่นนั่นอีก ได้ข่าวว่าตอนนี้มันก็กำลังจะแต่งงานนะกับลูกสาวเศรษฐีในจังหวัดเดียวกันนั่นแหล่ะจ้ะ พี่ล่ะดีใจมากเลยนะซัน เพราะตั้งแต่มันอกหักคราวนั้น มันก็ไม่ค่อยสุงสิงกับผู้หญิงคนไหนก็นึกว่ามันจะครองตัวเป็นโสดจนแก่ ที่ไหนได้…เผลอแปบเดียว จะแต่งงานซะแล้ว ’’
ชายหนุ่มดีใจราวกับว่าจะเป็นงานของตัวเองจนรวิกานต์อดถามถึงเรื่องส่วนตัวของเขาบ้างไม่ได้ ทั้งที่รู้ทั้งรู้เต็มอกว่ามันเจ็บปวดเธอก็ยังอยากจะรู้ความเป็นไปของเขาอยู่ดี
‘‘เพื่อนพี่เจตจะแต่งงาน แล้วพี่เจตล่ะคะเมื่อไหร่จะมีข่าวดีเหมือนเขาบ้าง’’
‘‘โอ๊ยยังหรอก พี่ยังไม่พร้อม’’ เขาส่ายหัวไปมายิ้มอ่อนโยน
‘‘เดี๋ยวก็เหมือนพี่ชลหรอกค่ะ รายนั้นเห็นบอกถ้ายังไม่จบดอกเตอร์คงยังไม่มองใคร ดีไม่ดีซันอาจจะไม่มีวันได้เลี้ยงหลานก็ได้ค่ะ’’
‘‘ถ้าอย่างนั้นซันก็มีแฟนเองสิ ’’ผู้มีประสบการณ์แนะนำ
‘‘โอ๊ย! ไม่ล่ะค่ะพี่เจต ซันว่าซันอยู่เป็นโสดแบบนี้ดีแล้วค่ะ สบายใจแล้วก็ไม่ปวดหัวด้วยว่าจะต้องมานั่งจับผิดหรือทะเลาะกัน ’’
รวิกานต์ร่ายเหตุผลของการอยู่เป็นโสดด้วยน้ำเสียงร่าเริงแต่ประกายตาใสยังจ้องมองเจตธวัชอย่างมีความหมายลึกซึ้งทว่าชายหนุ่มกลับมองไม่เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในแววตาเศร้านั้น ดูเหมือนว่าการแอบรักใครสักคนสามารถทำให้ทั้งมีความสุขและเจ็บปวดได้พร้อมกัน
‘‘โอเคๆ งั้นเดี๋ยวพี่กลับห้องก่อนนะ’’
‘‘ค่ะ’’ชายหนุ่มหันหลังกำลังจะก้าวออกไป แต่พอคิดว่ารวิกานต์อยู่ที่ห้องเพียงคนเดียวเธอคงจะเหงาเพราะปกติหญิงสาวจะกินข้าวเย็นพร้อมกันกับเหมชลจึงหันกลับมาอีกครั้ง
‘‘เอ้อซัน’’
‘‘อะไรคะ’’
‘‘วันนี้ซันมากินข้าวเย็นที่ห้องพี่สิ จะได้รู้จักกับไอ้ธามเพื่อนพวกพี่ด้วยเพราะกลุ่มพี่ขาดมันคนเดียวนี่ล่ะที่ซันยังไม่เคยเจอ เพราะว่ามันไม่เคยไปเยี่ยมซันวิทยาลัยพยาบาลเหมือนพวกพี่กับพวกเด็กเหนือ’’ เขาเอ่ยชวนหญิงสาว
‘‘โอ๊ย ไม่ล่ะค่ะ เอาไว้โอกาสหน้าดีกว่า เชิญพี่เจตกับเพื่อนตามสบายเลยค่ะ ซันไม่อยากรบกวนเวลาส่วนตัวของหนุ่มๆ จะกลับห้องไปคงต้มบะหมี่กิน แล้วก็นอนพัก เพิ่งจะลงเวรมาเพลียมากๆ’’
เธอเล่าพร้อมแสดงท่าทางอ้าปากหาวหวอดบ่งบอกถึงความง่วงจัดจนเจตธวัชอมยิ้มให้กับความเปิดเผยเป็นธรรมชาติแบบไม่ห่วงสวยของรวิกานต์
‘‘งั้นพี่ไปนะ จะกลับไปจัดการอาหารเย็นรอเพื่อน จริงๆก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ซื้อมาจากร้านหน้าปากซอย เข้าอุ่นในไมโครเวฟก็เรียบร้อยแล้ว ฮ่าๆ’’ เจตธวัชเล่าเองหัวเราะเอง
‘‘ค่ะ ’’รวิกานต์ทำได้ได้แค่มองตามเขาที่เดินไปจนลับตาอุตส่าห์แอบปลื้มเพื่อนสมัยมัธยมของพี่ ชายมาตั้งนานแต่ชายหนุ่มก็ยังมองเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวของเหมชลและ ‘น้องสาว’ ของตัวเขาเองอยู่เสมอ
เจตธวัชเป็นเด็กต่างจังหวัดที่บ้านพอมีฐานะเรียนจบมัธยมมาพร้อมกับพี่ชายของรวิกานต์เข้ามาเรียนต่อในเมืองหลวงพร้อมกันทำให้ทั้งสองเป็นเพื่อนรัก หญิงสาวปลื้มเจตธวัชมาตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น เขาทำงานเป็นวิศวกรกับบริษัทยักษ์ใหญ่ใจกลางเมือง ตอนนี้ชายหนุ่มไม่มีเวลามาสนใจเด็กกะโปโลน้องสาวของเหมชลได้เพราะในเวลานี้ เขามีคนรักอยู่แล้ว
อลิสา นางแบบสาวคู่รักของเขากำลังโด่งดังและมาแรงในวงการแฟชั่นเมืองไทย เธอเทียบอลิสาไม่ติดตั้งแต่หน้าตายันความสูงที่มีอยู่น้อยนิดของตัวเอง รวิกานต์จึงได้แต่ลงและยังคงแอบรักเจตธวัชไปข้างเดียวเท่านั้น
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในถ้วยสีขาวถูกเปิดจานที่ครอบไว้ส่งกลิ่นหอมแตะจมูก เมนูอาหารง่ายๆที่ไม่ต้องใช้เวลามากมายในการปรุงรส เพียงแค่แกะออกจากซองหย่อนลงถ้วยเปิดน้ำร้อนเทลงปิดฝาไว้สักพักก็พร้อมให้อุ่นท้องได้เลย เสียงออดหน้าห้องดังขึ้นพร้อมกับบะหมี่คำแรกถูกกลืนเข้าปาก รวิกานต์วางตะเกียบก่อนลุกเดินไปเปิดประตูรับ
‘‘อะไรกันคะพี่ชล ไหนบอกว่าคืนนี้กลับดึกไงคะ กุญแจก็มีจะแกล้งเคาะประตูให้ซันเดินมาเปิดให้เหนื่อยทำไมเนี่ย เอ๊ะ!หรือว่าลืม อายุยังไม่ทันสามสิบเลยขี้ลืมซะแล้ว อ้าว! คุณ’’
หญิงสาวหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะภาพที่เห็นตรงหน้าตอนนี้คือ ชายหนุ่มร่างสูงหล่อเข้มที่เธอเพิ่งเจอบนดาดฟ้าเมื่อไม่ถึงชั่วโมงนี้เอง พลเมืองดีที่ต่อว่าเธอทำให้เธอหน้าแตกอับอายคนแถวนั้น แต่แปลกใจ เขามาที่ห้องเธอทำไม
‘‘เธอ!’’ นายคนนั้นก็ตกใจไม่แพ้กัน
‘‘เธออยู่ห้องนี้เหรอ’’ เขาถามอย่างแปลกใจ เคยได้ยินว่าเพื่อนมีน้องสาว แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้รู้จักสักครั้งตั้งแต่สมัยเรียนจนถึงตอนนี้ จำได้แค่ว่า เจตธวัชเคยพูดผ่านโสตประสาทหูเอาไว้ว่า น้องสาวของเหมชลอยู่หอพักที่ใกล้ที่ทำงานและหญิงสาวมีอาชีพเป็น พยาบาล
แต่สภาพแบบนี้ แต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อย ไม่น่าจะใช่
‘‘ก็ใช่น่ะสิ ฉันยืนอยู่ในอาณาเขตห้องนี้ฉันก็ต้องเป็นอะไรกับเจ้าของห้องนี้สิ ถามอะไรแบบไม่ใช้สมองคิดเลยนะ แล้วคุณล่ะ มาทำอะไรแถวนี้อีก ’’
‘‘ฉันเป็นเจ้าของห้องคนเก่าเป็นเพื่อนกับเหมชลที่อยู่ห้องนี้ แล้วเธอล่ะเป็นใคร’’
รวิกานต์ใช้สายตาไล่มองชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อืม…รูปร่างเขาสูง เธอยืนตรงยังแค่หัวไหล่เขาเท่านั้นใบหน้าคมคายสะดุดตา และสีผิวเข้มที่เธอไม่ชอบนักหนา จมูกโด่งรับกับเรียวปากหยักได้รูป และส่วนที่เด่นที่สุดของผู้ชายคนนี้คือ ดวงตาสีนิลคู่นั้น
ก็ดูหล่ออยู่หรอกนะ แต่ลักษณะการแต่งตัวแฝงกลิ่นอายคาวบอยอย่างกับจะไปขุดดินดายหญ้าที่ไหนของนายคนนี้แล้วจากคะแนนเต็มสิบ เธอไม่ให้ แถมติดลบไปอีกร้อยเพราะความดำและปากเสีย แทบไม่อยากเชื่อเหมชลมีเพื่อนปากร้ายแบบนี้ได้ยังไงกันนะ
หญิงสาวมองเขาด้วยสายตาหมั่นไส้เต็มทน
‘‘อยากรู้ไปทำไม ฉันจะเป็นใครก็ไม่สำคัญหรอกค่ะ ว่าแต่คุณเถอะเป็นเพื่อนพี่ชลจริงรื้อ ’’ รวิกานต์ถามกวนยวนโมโห และในขณะเดียวกันชายหนุ่มก็กำลังใช้ความพยายามสะกดกลั้นอารมณ์กรุ่นไม่น้อย
‘‘ก็เพื่อนน่ะสิ แล้วตกลงชลอยู่ไหม’’เขาตัดสินใจเอ่ยถามยังวางมาดวางท่าเก๊กตีหน้าเคร่งขรึมไม่เลิก ชายหนุ่มปราดสายตาคมดุสำรวจประเมินหญิงสาวน้อยหน้าใสที่ยืนตรงหน้าเช่นกัน
แต่งตัวอย่างกับ*สก๊อย
เสื้อยืดกับกางเกงสั้นกุดโชว์เรียวขาแบบนี้น่ะหรือที่ผู้หญิงสมัยนี้นิยมกัน ขาน่ะก็สวยอยู่หรอก แต่ เอิ่ม ขาเนี่ยจะสั้นไปไหน ยายเตี้ยเอ๊ย ใบหน้านวลนั้นก็ใสอยู่หรอก ไสหัวไป เพราะลักษณะนิสัยที่บ่งบอกว่า เป็นเด็กไม่มีสัมมาคารวะ คำพูดจาไม่มีความนุ่มนวลเอาเสียเลย เห็นแบบนี้แล้วไม่ชอบใจ
โดยเฉพาะดวงตาเรียวสองชั้นหลบในคู่นั้น หางตาออกเฉียงบ่งบอกถึงความรั้นร้ายที่มากพอตัว
‘‘เขายังไม่กลับหรอกค่ะ ติดงานที่มหาวิทยาลัย วันนี้คงจะกลับดึก คุณมีธุระอะไรก็ฝากฉันเอาไว้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวพี่ชลกลับมาแล้วฉันจะบอกเขาให้ ’’
‘‘ไม่เป็นไร เดี๋ยววันหลังฉันจะมาใหม่ เพราะฉันคงอยู่ที่นี่อีกหลายวัน’’ชายหนุ่มสะบัดเสียงไม่รับความหวังดีจากรวิกานต์อย่างถือตัว
‘‘อ๋อ..ค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวนะคะ จะไปกินข้าว คุณรบกวนเวลาอาหารของฉันมามากพอแล้ว สวัสดีค่ะ ’’หญิงสาวตอบกลับไปทันทีด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกันกับธามไท พร้อมปิดประตูเสียงดังใส่หน้า ชายหนุ่มได้แต่ยืนอึ้ง
‘‘เอ่อ เดี๋ยวสิ เธอ เธอ ’’
รวิกานต์ปิดประตูแล้วเดินตรงกลับไปที่ครัวจัดการบะหมี่ในถ้วยต่อ โดยไม่สนใจว่าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องจะรู้สึกอย่างไร ผู้ชายคนนั้นก็แค่เพื่อนพี่ชายนิสัยแย่ ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทดีด้วยเพราะเขาไม่ใช่แขกสำคัญของเธอ
‘‘อ้าว ยายนี่ เสียมารยาทปิดประตูใส่แขกอย่างนี้ได้ยังไง’’ ชายหนุ่มหงุดหงิด ใจนึกมอบตำแหน่งชนะเลิศมารยาทยอดแย่ให้ รู้สึกไม่ปลื้มแฟนเพื่อนคนนี้เอาเสียเลย
เหมชลก็เป็นคนที่ฉลาด จบการศึกษาเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แถมมีดีกรีเป็นว่าที่ดอกเตอร์ ทำไมหาแฟนได้แค่นี้ มีแฟนทั้งทีก็ทำเอาตัวเองหมดสง่าราศี เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่มีอะไรมาเทียบได้กับเหมชลเลยแม้แต่น้อย
ความคิดเห็น