คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 2 50%
“เอกสารที่เจ้านายให้หาได้แล้วครับ”
เอกสารที่ยื่นมาให้ตรงหน้าพร้อมกับคำอธิบาย ทำให้โดมินิกล่ะสายตาจากเอกสารกองโตที่วางซ้อนกันอยู่ เอื้อมมือไปรับแฟ้มก่อนที่จะเปิดอ่าน แฟ้มประวัติของเธอคนนั้น
น.ส.พริมา ภานุวัฒน์ อายุ 24 ปี
จบเกียรตินิยมสาขาวิชาการบัญชี จาก.....
แม่แมวน้อยของเขาไม่ได้มีดีแค่น่าตาจริงๆ
“วันนี้ไม่มีงานอะไรเร่งด่วนใช่มั๊ย”
“ไม่มีครับ”
“ถ้างั้นเดินตรวจงานแต่ล่ะแผนกเพื่อสร้างมาตรฐานกันดีกว่า ไปเถอะ”
โจชัวร์กรอกตาขึ้นบนเพดานไปมา ก่อนจะหมุนเดินตามเจ้านายที่วันนี้ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษที่ก้าวยาวนำหน้าไปลิ่วๆ อย่างไม่รอท่า ...
‘ทำมาเป็นสร้างมาตรฐานนะเจ้านาย ... หาเรื่องมากกว่า’
และก็เป็นดั่งที่โจชัวร์คาด เจ้านายเขาหาเรื่องมากกว่าจริงๆ เพราะทุกแผนกวิ่งวุ่นกันจนพนักงานหัวหมุนเมื่อประธานบริษัทที่น้อยครั้งจะลงมาเยี่ยมชมการทำงาน แต่ก็ถือว่าเป็นการเยี่ยมชมที่ดีเพราะทำให้เขารู้ว่า พนักงานทุกคนในบริษัทไม่ได้สักแต่ว่ามาทำงาน ทุกคนสร้างงาน ทำงานคุ้มค่ามาก และที่สำคัญ พวกเขาทำมันด้วยใจจริงๆ
“เหลืออีกกี่แผนกนะ”
คำถามที่ดูเหมือนจะแค่อยากไปงั้นๆ เพราะเจ้าตัวคงรู้และจำได้อย่างแม่นยำโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องตอบ แต่เพราะคนถามแค่อยากจะตอกย้ำว่ามาตรวจงานจริงๆ ไม่ได้มาเจอหน้าใคร
“เหลือแผนกบัญชี แค่แผนกเดียวครับ” โจชัวร์พลิกข้อมือขึ้นมามองนาฬิกาเมื่อรู้สึกอะไรตะหงิดๆ อ่อ จะเที่ยงแล้ว มิน่าถึงได้หิว “ไว้ไปรอบบ่ายดีมั๊ยครับ นี่จะเที่ยงแล้วพักทานข้าวก่อน อีกอย่างจะได้ให้พนักงานเตรียมตัว จะได้ไม่ตกใจ เอ๊ย ไม่วุ่นวายเหมือนแผนกก่อนๆ อีกอย่าง ไปตอนไหนๆ แผนกก็คงตั้งอยู่ที่เดิมครับ ”
นอกจากจะไม่ได้รับคำตอบใดๆ แล้ว โจชัวร์ยังได้รับสายตาพิฆาตกลับมาโทษฐานที่รู้ดีเกินไปว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ไปตรวจๆ ให้เสร็จซะ เพราะถึงแม้แผนกจะตั้งอยู่ที่เดิม แต่พนักงานอาจจะไม่อยู่ที่เดิมก็ได้”
นั่นไง!! แล้วลูกแมวน้อยจะรอดพ่นอุ้งเล็บของพญาเหยี่ยวไปได้หรือ ... เอาชัดๆ เลยนะ ไม่มีทาง!!
แต่ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะรอด เพราะเมื่อเข้าไปภายในแผนกบัญชีแล้ว พนักงานทุกคนต่างพากันยินดีให้การต้อนรับการตรวจไม่มีใครรู้มาก่อนของท่านประธานกันพร้อมหน้า ยกเว้น เธอ!!
“วันนี้มีใครขาดรึเปล่า” น้ำเสียงทุ้มแต่ทว่าทรงอำนาจเอ่ยถามขึ้นเมื่อสายตาคมกวาดสายตามองพนักงานภายในแผนกทุกคนแล้วไม่พบคนที่ตั้งใจจะมาหา เอ๊ย มาตรวจ ทั้งๆ ที่เมื่อเช้านี้เขายังเจอกับเธออยู่เลย
“เอ่อ ...“ เมื่อไม่มีใครเอ่ยปากพูด หัวหน้าแผนกจึงเป็นคนให้คำตอบนี้แทนอย่างกล้าๆ กลัวๆ “พรีม เอ๊ย พริมาลาค่ะ เห็นบอกว่าแม่เข้าโรงพยาบาลด่วน ฝ่ายบุคคลเลยให้ลากิจได้ค่ะ”
“อืม เอาล่ะ ขอบคุณทุกคนที่ทำงานกันอย่างตั้งใจ เต็มใจกับหน้าที่ กลับไปทำงานกันได้แล้ว” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ส่งยิ้มบางๆ ให้กับพนักงานที่ยืนด้วยท่าทีนิ่งสงบแต่ใครจะรู้ว่าภายในนั้นแทบจะเป็นลมล้มพับตั้งแต่เห็นแววตาคมดุที่ปราดมองไปยังพนักงานทุกคนเมื่อเข้ามา ก่อนที่เขาจะเดินออกจากแผนกกลับขึ้นห้องทำงานที่ชั้นบนสุดของอาคาร
“อยากได้ชื่อโรงพยาบาลมั๊ยครับ” เมื่อเจอสายตาพิฆาตเป็นครั้งที่สองของวัน โจชัวร์จึงรีบส่งยิ้มบางๆ ให้ “ก็เผื่อว่าทางบริษัทจะช่วยอะไรได้บ้าง”
ตอนแรกโดมินิกค่อนข้างหงุดหงิดกับคำถามรู้ทันของลูกน้องคนสนิท แต่ประโยคต่อมาของโจชัวร์กลับสะกิดใจเขาเข้าให้ ... บริษัทต้องช่วยได้ซิ แต่มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยน
“ไปสืบมาว่าแม่ของพริมาป่วยเป็นโรคอะไร และถ้าเธอกลับมาทำงานเมื่อไหร่ ให้ขึ้นมาพบฉันทันที”
00000000000000000000000000000000000
พริมาแทบช็อคเมื่อเต๋อ วินมอเตอร์ไซค์ที่มาส่งเธอเมื่อเช้านี้โทรมาบอกเมื่อตอนสายๆ ว่ามารดาเป็นลมอยู่ในบ้าน ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล หญิงสาวจึงขอลากิจกับหัวหน้างาน และทันทีที่ถึงโรงพยาล หญิงสาวก็วิ่งอย่างรวดเร็วราวกับว่าหากเธอช้าไปเพียงเสี้ยววินาที มารดาจะไม่มีชีวิตอยู่รอเธอมาถึง ถึงแม้ว่าแพทย์ที่ให้การรักษาจะบอกว่ามารดาของเธอปลอดภัยแล้วก็ตาม
“แม่คะ แม่!!” พริมาเดินเข้ามาหามารดาที่นอนใบหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียงภายในหอผู้ป่วยรวมอย่างทรมานใจ มารดาของเธอไม่เคยเป็นหนักขนาดนี้ หรือจะต้องถึงเวลาที่เธอจะหาวิธีอื่นเพื่อรักษาให้มารดาอยู่กับเธอให้นานขึ้น
พริมากระพริบตาถี่ไล่น้ำร้อนๆ ที่ไหลเอ่อที่ขอบตาเบาๆ เมื่อคิดถึงคำพูดของแพทย์เจ้าของไข้ของมารดาที่ได้แจ้งอาการและแผนการรักษาคร่าวๆ พร้อมกับแนวทางการรักษาอื่นที่จะสามารถช่วยชีวิตมารดาของเธอให้อยู่ยาวนานมากขึ้น เพียงแต่ วิธีนั้นจำเป็นต้องใช้เงินหลักแสนซึ่งมนุษย์เงินเดือนอย่างเธอ จะมีเงินเก็บสักเท่าไหร่กัน....
‘โรคมะเร็งเป็นโรคที่มองไม่เห็นนะครับ เราบอกไม่ได้หรอกว่าโรคจะแสดงออกมาเมื่อไหร่ ยิ่งในระยะท้าย เวลาโรคกำเริบจะทำให้คนไข้ทรุดลงอย่างมากถ้าไม่ให้การรักษาที่รวดเร็วและเจาะจง’
‘แล้วอย่างกรณีของแม่พรีม ใช้วิธีไหนได้บ้างคะ เพราะดูจากการผ่าตัดคราวที่แล้ว แม่ก็ดีขึ้นได้พักเดียวเอง’ พริมาตอบด้วยเสียงอ่อนแรง เพราะไม่ว่าจะทำวิธีไหน โรคของมารดาก็ดูจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกที
‘ให้ยาเคมีบำบัด แต่มันก็มีภาวะเสี่ยง และมีอาการแทรกซ้อนอยู่หลายอย่าง ยิ่งคนไข้อายุมาก ร่างกายอ่อนแอ ผลข้างเคียงก็จะยิ่งเห็นชัด ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งคือการปลูกถ่ายไขกระดูก แต่วิธีนี้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ลองใช้ยาเคมีบำบัดดูก่อนก็ได้ครับ’
‘ถ้ามันทำให้แม่ดีขึ้น พรีมก็จะทำค่ะ ถึงแม้ว่าพรีมจะต้องดูแลแม่อย่างใกล้ชิดมากขึ้นกว่าเดิม พรีมก็ยอมค่ะ’
เฮ้อ!!! ทำไมสวรรค์ต้องกลั่นแกล้งคนไร้ทางสู้ด้วยนะ แล้วเธอจะหาเงินที่ไหนมาเป็นค่ารักษาพยาบาลให้แม่ล่ะ
“แม่คะ” เสียงหวานเอ่ยอย่างร้อนร้นเมื่อเห็นเปลือกตาของมารดากระพริบเบาๆ ก่อนที่จะลืมขึ้นแล้วหลับลงซ้ำเมื่อเจอแสงสว่างจ้าของหลอดไฟ
“พรีมเหรอลูก” เสียงแหบเบาแทบจะไม่ได้ยินที่ดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากแห้งผากของมารดา ยิ่งทำให้หัวใจของลูกอย่างพริมาสั่นไหว
“ค่ะแม่ พรีมเอง แม่หิวน้ำมั๊ยคะ เดี๋ยวพรีมเอาให้” เมื่อมารดาส่ายหน้าปฏิเสธคำถามเธอ หญิงสาวจึงกอบกุมมือของมารดาที่ทั้งผอม ซูบแล้วลูบเบาๆ
“โรง’บาลเหรอพรีม ... แม่เป็นอะไร”
“แม่เป็นลมค่ะ พี่เต๋อบอกว่าป้าจันทร์ไปเจอแม่นอนหมดสติอยู่ในครัว เลยพาส่งโรงพยาบาล”
“ไม่น่าลำบากเลย ให้แม่นอนพักที่บ้านก็หายแล้ว” นางศรีสอางค์ถอนหายใจเมื่อรับรู้ว่าบัดนี้ตนอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ใช่ที่บ้านอย่างที่เข้าใจ “ไปบอกหมอว่าแม่จะกลับบ้านแล้ว อยู่โรง’บาล ก็รั้งแต่จะมีค่าใช้จ่าย แม่ยังแข็งแรงดี กลับไปอยู่บ้านดีแล้วลูก”
“แม่จะกลับได้ยังไงกันคะ แม่ยังป่วยอยู่นะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงสูง เมื่อคนป่วยเริ่มที่จะงอแง “แล้วแม่ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย พรีมจะขอยืมเงินของบริษัท เขามีสวัสดิการให้กับพนักงานที่ญาติป่วย น่าจะพอใช้จ่ายอยู่บ้าง”
“พรีม!! เดี๋ยวนี้ไม่ฟังแม่แล้วใช่มั๊ย แม่รู้ว่าพรีมเป็นห่วง แต่ถ้ามีอะไรที่เราประหยัดได้ก็ควรจะประหยัดนะพรีม”
“แต่เรื่องเจ็บป่วยของแม่มันประหยัดไม่ได้นะคะแม่ ถ้าเรายังห่วงประหยัด แล้วเมื่อไหร่แม่จะหาย ไม่รู้ล่ะ ยังไงๆ แม่ก็ต้องทำตามแผนการรักษาของคุณหมอ เพราะอาการของแม่ถ้าปล่อยไว้นานก็จะยิ่งลุกลามมากขึ้น”
“พรีม แต่แม่ว่ะ....”
“ไม่มีแต่ค่ะแม่ ต่อให้พรีมต้องกู้เงินร้อยละสิบยี่สิบ พรีมก็จะทำ ถ้ามันทำให้แม่อยู่กับพรีมได้นานขึ้น” ว่าแล้วหญิงสาวก็เดินออกจากเตียงผู้ป่วยเพื่อไปตกลงเกี่ยวกับแผนการรักษากับแพทย์เจ้าของไข้ และอีกนัยหนึ่งคือเธอกลัวว่าถ้าคุยกับมารดาแล้วเธอจะใจอ่อนยอมทำตามที่มารดาต้องการ แทนที่จะได้รักษาอาการเจ็บป่วยให้ทุเลาลง
“ดิฉันตกลงที่จะใช้ยาเคมีบำบัดตามที่คุณหมอเสนอมานะคะ ไม่ทราบว่าจะต้องเสียค่ารักษาเท่าไหร่เหรอคะ”
“ตามสิทธิของคนไข้ สามารถใช้บัตรประกันสุขภาพได้ แต่ยาบางตัวที่นำเข้ามารักษาเพิ่มทางตัวบัตรไม่สามารถจ่ายให้ได้หมด ญาติต้องเสียค่าใช้จ่ายเองนะครับ เท่าที่ดูคร่าวๆ ก็มียาเพิ่มภูมิคุ้มกันและโปรตีนชนิดน้ำ ซึ่งรวมๆ แล้วก็น่าจะอยู่ประมาณ 200,000 บาทครับ”
“เท่าไหร่นะคะ!!!” ด้วยตัวเลขที่ได้ยินทำให้พริมาร้องเสียงหลง เพราะไม่คิดว่ายาที่จะใช้จะมีราคาแพงขนาดนี้มาก่อน
อย่าว่าเกินจริงค่ะ ผู้ป่วยมะเร็งเดี๋ยวนี้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ถึงจะมีบัตร 30 บาทรักษาทุกโรค แต่ใช่ว่าจะจ่ายยาทุกตัวให้ได้ ยิ่งยาที่มีคุณภาพมาก ราคาก็สูงตามไปด้วย .... เค้าไม่ได้แกล้งหนูพรีมนะ ราคามันตามนี้จิงจิ๊ง!!!
เลิฟๆ นะจ๊ะ
พิริสา
ความคิดเห็น