ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กบฏหัวใจซาตานร้าย

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 50%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 153
      1
      8 มิ.ย. 58

    กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย

    พริมา ภานุวัฒน์ เดินอมยิ้มอย่างอารมณ์ดี ในมือเรียวสวยโอบอุ้มหนังสือเล่มหนาสองสามเล่มออกมาจากคลาสเรียน ในที่สุดความฝันที่วาดหวังไว้ก็เป็นจริง เธอกำลังจะได้เป็นบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศ

    “ยินดีด้วยนะพรีม แม่สาวเกียรตินิยมเหรียญทอง เธอทำได้ยังไงกันนะ ทั้งเรียน แถมยังต้องวิ่งรอกหาเงินส่งให้ครอบครัวอีก” น้ำเสียงชื่นชมอย่างไม่ผิดบังของชุติกานต์ เพื่อนรักคนเดียวในรั้วมหาวิทยาลัยที่ถึงแม้จะอยู่ต่างคณะแต่ทั้งคู่ก็สนิทกันยิ่งกว่าอะไร ทำให้พริมายิ้มกว้าง

    “ทำยังไงได้ล่ะต่าย ก็บ้านเราไม่ได้มีกินมีใช้อย่างเมื่อก่อนแล้วนี้” ใบหน้าหวานเศร้าลงทันทีที่เอ่ยถึงครอบครัว “แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ เพราะถึงจะไม่เหมือนแต่ก่อน แต่เราก็มีความสุข” 

    “เธอนี่น้า!! ต่อให้ทุกข์แค่ก็ยังยิ้มได้ ฉันล่ะนับถือความเข้มแข็งของเธอจริงๆ ว่าแต่เรียนจบแล้วจะทำงานเลยรึเปล่าล่ะ”

    “คงต้องรอทางบริษัทตอบรับมาก่อนน่ะ เพราะอาจารย์เป็นคนส่งเอกสารทุกอย่างไปให้ทางบริษัทพร้อมๆ กับเพื่อนในรุ่นอีกสองสามคน”

    “ว้าว!!! ดีจังเลย ที่จบมาแล้วก็มีงานทำโดยไม่ต้องวิ่งหา แต่ฉันนี่ซิ เฮ้อ!!!” ชุติกานต์ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย “อยากจะหางานที่ตรงกับสายที่เรียนหน่อยก็ไม่ได้ ทำไมคุณพ่อต้องบังคับด้วยก็ไม่รู้”

    “ไม่เอาน่าต่าย เธอก็รู้นี่ว่าคุณพ่อของเธออยากให้เธอเรียนบริหาร แต่เธอก็ดั้นเรียนดีไซน์เนอร์ซะ”

    “แต่ฉันก็เรียนบริหารให้พ่ออีกใบอยู่นะอย่าลืม”

    น้ำเสียงกระเง้ากระงอดของเพื่อนรักทำให้พริมายิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ  ต่าย หรือ ชุติกานต์ เป็นเพื่อนรักคนเดียวของเธอในมหาวิทยาลัย เธอทั้งคู่ถูกชะตากันตั้งแต่วันแรกของการรับน้อง ชุติกานต์ไม่เคยรังเกียจเธอที่ฐานะต้อยต่ำกว่า ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่คบกันเพียงแค่เปลือกนอก ฐานะเสมอกันเท่านั้นที่จะเข้ากลุ่มได้

    “จ้าๆๆ พักเรื่องเครียดๆ แล้วไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันดีกว่า การสอบวันนี้สูบพลังของฉันไปจนหมดเลยเธอรู้ไหม” เมื่อเห็นเพื่อนรักกำลังเครียดจัดพริมาจึงเปลี่ยนเรื่องสนทนาทันควัน และเรื่องอาหารการกินก็ทำให้คนหลายๆ อารมณ์ดีขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ เมื่อใบหน้างอง้ำของชุติกานต์แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใสทันทีที่ได้ยิน แล้วสองสาวก็ควงแขนกันเดินหาของอร่อยๆ อย่างอารมณ์ดี ผ่านรถยุโรปคันโตที่ติดฟิล์มดำจนมองไม่เห็นผู้โดยสายภายใน แต่พวกเธอก็ไม่ได้สนใจหรอกว่าจะมีใครอยู่หรือไม่ เพราะทั้งคู่ไม่ใช่พวกชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว

    “มีอะไรเหรอครับเจ้านาย”

    เสียงทักที่ดังมาจากทางด้านหน้าทำเอาร่างสูงในชุดสูทสีดำเบือนหน้ากลับเข้ามาภายในรถอีกครั้ง หลังจากที่บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายนอกดึงดูดเข้าอยู่เกือบสิบนาที

    รอยยิ้มหวานของสาวน้อยในชุดนักศึกษาช่างตราตรึงใจเขานัก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้หญิงคนไหนในโลกจะทำให้โดมินิก ธีรภัทร์ ซาแมนธาร์ สั่นไหวได้  ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ แต่เธอคนนั้นทำได้ และทำได้ดีเสียด้วย

    “ไม่มีอะไรหรอก แค่ลูกแมวน่ะ”

    คำตอบสั้นๆ ไม่ได้ทำให้คนถามคลายความสงสัย แต่ด้วยอุปนิสัยที่ไม่ชอบการเซ้าซี้ทำให้โจชัวเลี่ยงที่จะถามต่อว่า ถ้าเป็นแค่ลูกแมว เจ้านายเขาคงไม่มองตาเยิ้มขนาดนั้น

    “กลับกันเถอะ จองตั๋วเครื่องบินด้วย ฉันจะกลับอังกฤษคืนนี้”

    เห็นสีหน้าและแววตาของเจ้านายแล้ว โจชัวถึงกับอมยิ้ม ก็ใครมันจะไปรู้ว่าเจ้านายเขาจะแพ้ยิ้มสยามของสาวไทย แต่ก็นะ สาวน้อยคนนั้น สวย น่ารัก และยิ้มหวานกระชากใจจริงๆ

                    ทางด้านสาวน้อยหน้าหวานที่ถูกพูดถึง หลังจากที่ไปฉลองจบและได้งานทำกับเพื่อนรักแล้ว หญิงสาวก็ตรงดิ่งกลับบ้านทันทีเพราะเป็นมารดาที่อยู่คนเดียว และเสียงเปิดปิดประตูของเธอ ก็ทำให้มารดาละความสนใจจากข่าวในทีวีหันมามองก่อนที่จะส่งยิ้มหวานให้

    “กลับมาแล้วเหรอลูก”

    “ค่ะแม่” รอยยิ้มหวานของพริมาค่อยๆ จางหายไปเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของมารดา “ทำไมหน้าซีดอย่างนี้ล่ะคะแม่ พรีมบอกแล้วใช่มั๊ยว่าไม่ให้แม่ทำงาน แม่ไม่ค่อยสบายอยู่นะคะ”

    น้ำเสียงร้อนรนอย่างเป็นห่วงทำให้ศรีสอางค์ยิ้มบางๆ พร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ “แม่ทำได้ แต่วันนี้แค่เหนื่อยกว่าทุกวันเฉยๆ”

    “ไม่เอาแล้วนะคะแม่ ถ้าแม่เป็นอะไรไป พรีมจะทำยังไงล่ะ” น้ำตาเป็นสายไหลอาบแก้มขาวเป็นทางแต่เธอก็ต้องยิ้มเพื่อไม่ให้แม่เป็นทุกข์ใจไปมากกว่าเดิม “พรีมจะมีงานทำแล้วนะคะแม่ อาจารย์ที่คณะบอกว่า บริษัทเขาติดต่อกลับมาแล้วว่าจะรับพรีมเข้าทำงาน แม่ดีใจมั๊ยคะ”

    “จริงเหรอพรีม ดีจริงๆ ลูก ดีมากๆ”

    ศรีสอางค์ส่งยิ้มให้ลูกสาวคนเดียวก่อนที่จะลูบศีรษะเล็กที่ซุกลงหนุนกับตักอย่างอ่อนโยน  ใบหน้าที่มีริ้วรอยตามกาลเวลาสลดลงเมื่อไม่ต้องสบตากับลูกสาว พริมาควรมีอนาคตและความมั่นคงที่ดีกว่านี้หากสามีของนางจะไม่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว หลังจากรับรู้ว่าบริษัทที่ก่อตั้งมากว่าสิบปีล้มลงไม่เป็นท่าด้วยมือของตัวเอง

    “ถ้าพรีมมีเงินเดือน พรีมจะพาแม่ไปหาหมอเก่งๆ ให้เขารักษา  แม่จะได้อยู่กับพรีมนานๆ ดีมั๊ยคะ”

    “จ๊ะ แม่อยากอยู่กับพรีมไปนานๆ เหมือนกันลูก แล้วนี่กินอะไรมารึยัง แม่ทำให้กินมั๊ย”

    พริมาส่งยิ้มให้ ก่อนที่จะพยุงตัวเองขึ้นนั่งแล้วสบตากับมารดานิ่งๆ แล้วโผล่เข้ากอด ความรักที่ไม่ต้องการๆ ตอบแทนมันเป็นแบบนี้เอง พริมายิ้มทั้งน้ำตา ปลอบใจตัวเองว่าแม่เธอจะต้องหาย จะต้องอยู่กับเธอไปอีกนาน แต่ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเธออีกเช่นกันว่าคนที่ป่วยเป็นมะเร็ง อายุไม่ยืนยาวหนักและสำหรับมารดาแล้ว การเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้าย ทำให้ความหวังอันริบหรี่ของเธอเลือนรางนัก

    หลังจากที่ครอบครัวล้มละลายและบิดาตัดสินใจจบชีวิตทิ้งภาระและหนี้สินไว้ให้ เธอกับมารดาจึงตัดสินใจขายทรัพย์สินชดใช้หนี้ ถึงแม้ว่าทรัพย์สินจะมีมาก แต่หนี้สินที่มีมากกว่าทำให้ต้องขายบ้านที่อยู่มากว่า 20 ปีทอดตลาดแล้วย้ายตัวเองมาอยู่บ้านเช่าหลังเล็กๆ แต่ราคาไม่เล็กแทน

    “พรีมทานมาแล้วค่ะ ไปฉลองจบและได้งานทำกับยัยต่ายมา แม่อย่าเอาแต่ห่วงพรีม จนลืมห่วงตัวเองนะคะ”

    “แม่รู้จ๊ะ ว่าแต่พรีมจะทำงานเมื่อไหร่ล่ะลูก”

    “พรุ่งนี้ค่ะแม่ พรีมได้ทำงานกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ข้ามชาติด้วยนะ บริษัทแม่อยู่ที่อังกฤษค่ะ เห็นอาจารย์บอกว่าเขามีสาขาย่อยกว่าสิบประเทศ  ที่นี่เป็นบริษัทที่ไม่ค่อยรับนักศึกษาจบใหม่เท่าไหร่ ถ้าไม่เจ๋งจริงๆ แต่เขาก็รับพรีม งั้นพรีมก็เจ๋งใช่มั๊ยคะแม่”

    รอยยิ้มกว้างที่ได้เห็นทำให้นางรู้ดีว่า ลูกกำลังมีความสุข “จ๊ะ พรีมของแม่เจ๋งที่สุดเลย งั้นก็ไปนอนได้แล้วนะพรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าไปทำงาน”

    “รักแม่นะคะ” 




    รักคนอ่านนะคะ 
    อ่านให้สนุก ถ้าไม่สนุก ติติงได้เน้ออออ

    พิริสา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×