คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : -บทที่หนึ่ง- สวนสมุนไพรวูดวาร์ด
แสงจันทร์สาดส่องทางเกวียนโล่งซึ่งลาดยาวไปสุดสายตา ต้นสนสาม
ใบส่ายไปมาหยอกล้อกับสายลมหวีดหวิวดังเป็นจังหวะ
“กึก กึก กึก” ล้อของเกวียนจักรไอน้ำขับซึ่งเคลื่อนโดยพลังเวทแห่งไฟส่งเสียงเมื่อกระทบกับพื้นดินมาแต่ไกลโดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ ‘บ้าน’ ซึ่งแม้แต่ตอนนี้คนขับเองยังมิทราบได้ว่ามันคือที่ไหน ดวงตาสีเขียวมรกตเหม่อลอยอย่างว่างเปล่า ‘เขาจะมีบ้านและครอบครัวรออยู่ที่ไหนซักแห่งหรือเปล่า’ นั่นคือสิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังคิดก่อนจะได้สติกลับมาจากเสียงเรียก ’ชื่อ’ ที่เขาพึ่งได้รับมา
“ไพน์” หญิงสาวผู้ขานชื่อเปิดผ้าปิดส่วนที่เป็นโดมของเกวียนออกมา ไพน์...ที่มีความหมายว่าต้นสน เนื่องจากเธอพบเขาใต้ต้นสนยักษ์ที่ปกป้องเขานั่นเอง
“มีอะไรหรือท่านโดโรธี” เด็กหนุ่มเอียงคอเล็กน้อยเมื่อคนตรงหน้าเพียงเรียกชื่อแต่ไม่เอ่ยคำใดต่อ
“เจ้ามีความทรงจำตั้งแต่ตอนไหนหรอ” เธอเกริ่นเพื่อที่จะถามถึงต้นสนซึ่งสามารถสนทนากับเธอได้
“ตอนที่ข้าลืมตามาพบท่าน...กระมัง” แต่คำตอบที่ได้ทำให้เธอล้มเลิกความคิดที่จะถามเรื่องนั้นไป
“ว่าแต่แผลท่านหายดีแล้วหรือ”
“หายดีก็แย่แล้ว ลองให้ข้ายิงเจ้าซักรูไหมล่ะ” โดโรธีว่าพลางกุมบริเวณผ้าที่พันรอบแผลไว้อย่างลวกๆ รู้สึกได้ถึงเนื้อที่สั่นดังตุ่บตุ่บ แต่ก็กัดฟันทนความปวดร้าวนั้น
“หึหึ” เด็กหนุ่มได้แต่หัวเราะในลำคอ แม้แผลจะลึกเอาการแต่ก็ไม่โดนจุดตาย หากได้สมุนไพรชั้นดีแม้แต่รอยแผลเป็นก็คงไม่เหลือ
“เจ้ารู้ไหมเกวียนเล่มนี้พ่อข้าสร้างขึ้นมาสำหรับพวกเราโดยเฉพาะ” หญิงสาวขึ้นเรื่องใหม่
“ท่านต้องการหมายความว่าอะไร” ซึ่งเด็กหนุ่มไม่เข้าใจในประโยคของเธอ เขาทำได้เพียงเอียงคอเล็กน้อยเป็นเชิงว่าไม่เข้าใจในประโยคนั่นจริงๆ
“เกวียนจักรไอน้ำเล่มนี้น่ะมีเพียงพวกเราเผ่าสปิริตเท่านั้นที่ขับเคลื่อนมันได้นะ”
“เผ่าสปิริต?”
“พวกเราไม่ได้ใช้เวทมนตร์แบบคนในเมือง ที่เราทำได้คือสื่อสารกับธรรมชาติเท่านั้น”
“แล้วข้า...?”
“ไม่ว่าเจ้าเป็นใครเจ้าต้องมีเลือดของพวกเราไหลเวียนอยู่เป็นแน่” เจ้าหล่อนยิ้มให้กับคำพูดสุดท้ายของตัวเองเมื่อรู้ว่าไม่ได้มีเพียงเธอและหลานที่เป็นชาวสปิริตสองคนสุดท้าย
พรรณไม้แปลกตาจำนวนมากขึ้นหนารกทึบ เบื้องหน้าของทั้งคู่คือประตูไม้เก่าแต่ยังคงทนทาน รอยสลักเล็กๆแม้จะจางแต่ก็ยังเหลือเค้าลางของคำว่า ‘สวนสมุนไพรวูดวาร์ด’
“ก๊อกๆๆ” หญิงสาวเคาะประตูทันที่ที่ทั้งคู่ก้าวขึ้นมาอยู่หน้าประตู
“ท่านอา!!” เด็กชายตัวเล็กความสูงประมาณหน้าอกของไพน์เจ้าของเรือนผมสีทองประกายกับนัยน์ตาสีเขียวเปิดประตูออกและร้องตะโกนเมื่อเห็นร่างอาสาวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตสีชาด
“อย่าโวยวายไปน่าฟรานซิสขอยาสมานแผลกับยาฆ่าเชื้อที” เด็กชายที่กำลังตกใจรีบวิ่งหายไปทันทีโดยไม่แม้แต่จะสนใจเด็กหนุ่มแปลกหน้า
“พาข้าไปที่โซฟา” เธอว่าพลางชี้ไปที่โซฟาอันโตบุนวมหลากสีซึ่งไพน์ก็ทำตามอย่างดี
“ข้าบอกแล้วว่าที่นั่นอันตราย” เด็กชายที่วิ่งกลับมาพร้อมกับลากกระเป๋าขนาดเกือบเท่าตัวพูดอย่างหงุดหงิด
“เจ้าก็รู้ว่าร้านของเราติดตัวแดงมาหลายเดือนแล้วฟรานซิส”
“ท่านอาคิดว่าสมุนไพรใหม่ๆจะช่วยอะไรได้ในเมื่อฝั่งตรงข้ามแทบจะมีสมุนไพรหายากทุกชนิด”
“ข้าเลยต้องไปสรรหาสมุนไพรที่เจ้าหล่อนไม่มีไงล่ะ” เธอกล่าวถึงอะแมนด้า นอร์การ์ด แห่งทุ่งหมอก หญิงสาวลึกลับผู้มาพร้อมกับสมุนไพรหายากซ้ำยังคุณภาพดีมากมายในราคาที่สมเหตุสมผล
“ว่าแต่เจ้านี่มันเป็นใคร” เด็กชายเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นว่าไม่มีทางที่อาสาวจะยอมแพ้
“เขาช่วยข้าไว้ รีบทำแผลเถอะน่า” แม้วาจาจากเด็กชายจะไม่ค่อยน่าฟังสำหรับไพน์ แต่ฝีมือการทำแผลของเด็กที่ถูกเรียกว่าฟรานซิสนั้นกลับสุดยอดจนเขาก็อดแอบปลื้มไม่ได้
“หน้าท่านอาซีดมาก ข้าว่าข้าจะไปเก็บสมุนไพรบำรุงโลหิต” ฟรานซิสเสนอเมื่อใบหน้าที่เคยแดงปลั่งกลับซีดเซียวไร้ซึ่งเลือดฝาด ริมฝีปากอิ่มกลับแห้งกร้านบวกกับรอยยิ้มที่ดูอ่อนเพลีย
“ข้าไม่เป็นไรหรอกฟรานซิส” เธอตอบกลับอย่างเหนื่อยอ่อน
ครับท่านอา ขอท่านจงพักผ่อนเสียเถิด” และฟรานซิสก็ตอบแค่เพื่อให้อาของเขาสบายใจ“
เสียงร้องประหลาดดังขึ้นไม่ขาดสายตั้งแต่เด็กหนุ่มทั้งคู่เดินผ่าน’ประตูสวนหลังบ้าน’ ออกมา ไพน์เหลียวมองไปรอบๆอย่างหวาดระแวงในเสียงคำรามต่ำๆที่ต่อเนื่องจนน่าผิดสังเกตในขณะที่เด็กชายอีกคนกลับไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไร
“เจ้ารออยู่ที่บ้านก็ได้นะ” เด็กชายเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ว่าเมื่อเห็นเด็กหนุ่มมีท่าทีเลิ่กลั่ก
“นั่นเสียงอะไร” เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ
“เสียงมอนสเตอร์แถวนี้แหละ ข้ารู้สึกว่าช่วงนี้พวกมันดูจะหัวเสียกว่าปกติ”
“แล้วเจ้าไม่กลัว?”
“ที่นี่มีเขตอาคมคุ้มครองอยู่ เจ้าพวกนั้นเข้ามาไม่ได้หรอก อีกอย่างสมุนไพรบำรุงเลือดก็ไม่ได้อยู่ไกลเท่าไหร่”
“...” ความเงียบก่อตัวขึ้นในขณะที่ทั้งคู่เดินตามทางเดินเปลี่ยวไปเรื่อยๆ แสงไฟจากบ้านหลังน้อยค่อยๆหายไปจนฟรานซิสใช้เวทเพื่อจุดไฟขึ้นมาส่องทาง
“ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร”
“ข้าไพน์ ท่านโดโรธีเป็นคนตั้งให้ข้าเพราะข้าจำไม่ได้แม้แต่ชื่อของตัวเอง”
“ข้าฟรานซิส วูดวาร์ด หลานชายของโดโรธี ยังไงก็ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยท่านอาไว้”
“แกรบ” เสียงเหยียบใบไม้แห้งที่ไม่ได้เกิดจากทั้งคู่ทำให้พวกเขาทั้งสองสะดุ้งและหันไปทางต้นเสียง พุ่มฮีเธอร์ไหวเล็กน้อยเป็นสัญญาณของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่สามารถทำลายอาคมคุ้มกันเข้ามาได้ ด้วยสัญชาตญาณทำให้เด็กหนุ่มไม่รอช้าคว้าข้อมือของเด็กชายและออกวิ่งให้ห่างจากบริเวณนั้นให้ไกลที่สุด
“แฮ่กๆ” เสียงหอบของเด็กชายและอัตราเร็วที่ลดลงทำให้เด็กหนุ่มต้องชะลอความเร็ว
“เจ้าคิดว่าอาคมผิดพลาดหรือเปล่า” เด็กหนุ่มถามเมื่อไม่เห็นท่าทีใดๆของสัตว์ร้ายที่อาจจะตามมา
“โดโรธีเสริมมนต์ให้กำแพงลมทุกอาทิตย์ เหตุผลเดียวที่มันฝ่ามาได้คือระดับที่ต่างกัน”
“แปลว่ามันต้องระดับสูงมาก? ที่บ้านหลังนั้นได้ลงอาคมไว้หรือเปล่า?” คำถามของเด็กหนุ่มทำเอาเด็กชายแทบคลั่ง เขาลืมไปได้อย่างไรว่าที่นั่นไม่มีการป้องกันใดๆเลย ขาทั้งสองข้างจึงออกวิ่งต่อทั้งๆที่ความปวดร้าวแล่นเข้ามา
“เจ้าไหวรึเปล่าฟรานซิส”
“ไม่ไหวก็ต้องไหว”
“ฮื่ออออ” เสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังก้องทำให้ทั้งคู่หยุดนิ่งมองพุ่มไม้สูงเบื้องหน้าที่สั่นระรัว ก่อนสิ่งมีชีวิตสีชาดสูงเกือบสองเมตรรูปร่างคล้ายกระต่ายจะกระโดดออกมา ผิวหนังที่ดูเหมือนจะถูกถลกออกไปเหลือเพียงมัดกล้ามเนื้อที่ถูกฉีกออกจนเห็นถึงเส้นเลือดและเครื่องในที่ออกมาสู่ภายนอกอย่างน่าขนลุก
“เดธแรบบิท!!” สิ้นคำขานชื่อของเด็กชาย สัตว์ประหลาดยักษ์ก็พุ่งเข้าใส่เด็กชายอย่างไม่รีรอ “โครม” แต่กลับชนได้เพียงกำแพงน้ำแข็งของเด็กชายที่สร้างขึ้นมาตามสัญชาติญาณ แต่มันก็ไม่สะเทือนร่างยักษ์นั่นเลยแม้แต่นิดเดียว
“ไฟเอ๋ยจงลุกโชน” เด็กหนุ่มร่ายมนต์ที่จดจำมาจากโดโรธี ไฟดวงใหญ่ถูกจุดขึ้นและถาโถมเข้าใส่ร่างน่าเกลียดนั่นอย่างกระหน่ำ แต่ช่างน่าผิดหวังเมื่อไฟค่อยๆมอดดับอย่างไม่ทิ้งร่องรอยใดๆบนร่างนั่นสร้างเพียงความงุนงงให้เด็กชายเมื่อเด็กหนุ่มใช้เวทมนตร์ที่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ใช้ได้
“ไฟเอ๋ยจงลุกโชน” เวทเดิมถูกร่ายอีกครั้งและผลก็ยังคงเป็นเฉกเช่นเดิม ร่างยักษ์ไม่รอให้การร่ายครั้งที่สามสมบูรณ์ มันพุ่งเข้าชาร์ตเด็กหนุ่มเต็มที่จนกระเด็นไปหลายเมตร
“ไพน์!!”
“มันมีจุดอ่อนไหมฟรานซ์”
“ปอด ต้องแทงปอดของมันให้ทะลุ” นึกได้ดังนั้นเด็กชายจึงเสกแท่งน้ำแข็งแหลมคมขึ้นมาในมือ
“เจ้าทำแบบนั้นได้ยังไง?”
“วันนี้คงไม่มีเวลาให้สอน” เด็กชายว่าพร้อมตั้งท่าเสกหอกน้ำแข็งขึ้นมาอีกเล่ม แต่เจ้ายักษ์ไม่รอให้ทำอย่างนั้น ร่างยักษ์กระโดดขึ้นไปเกือบสามเมตรหวังจะลงมาทับเด็กชายที่กำลังหลับตาเพื่อจินตนาการรูปร่างของอาวุธ แต่ก็ทำไม่สำเร็จเมื่อเด็กหนุ่มกระโดดมาผลักเด็กชายให้ออกจากรัศมีของร่างยักษ์ได้อย่างเส้นยาแดงผ่าสิบหก
“เจ้านี่ไม่ให้เวลาพวกเราจริงๆด้วยสิ” เด็กหนุ่มพูดพร้อมหยิบหอกเล่มแรกที่เด็กชายเสกขึ้นมา
“ดูซิว่าข้าจะทำอะไรได้บ้าง”
“ไม้เอ๋ยจงเติบโต” รากไม้เลื้อยทำผืนดินสั่นไหวตอบรับคำร้องขอของเด็กหนุ่ม เถาวัลย์หนาพันเกี่ยวรอบร่างยักษ์แน่นเสียจนไม่อาจแม้แต่จะขยับ มือขวาของเด็กหนุ่มกำหอกน้ำแข็งแน่น เท้าทั้งสองเยื้องย่างเข้าไปใกล้ร่างยักษ์เบื้องหน้าดั่งเพชรฆาต ก่อนจะปลายแหลมจะปักลงไปอย่างพอดีที่ปอดพองโตทั้งสองของมัน
สามเดือนผ่านไป
“กริ๊ง กริ๊ง” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้ทั้งสามที่กำลังระดมสมองสะดุ้ง โดโรธีเป็นผู้ลุกเดินมายกหูขึ้น
“สวนสมุนไพรวูดวาร์ดค่ะ อะไรนะคะครัสตี้ดราก้อนขอยกเลิกออเดอร์ล่าสุด ค่ะ ค่ะ” โทรศัพท์ถูกวางลงแล้ว มีเพียงใบหน้าเศร้าสร้อยที่แย่ลงกว่าเก่า
“ตอนนี้ออเดอร์สุดท้ายของเราถูกยกเลิกแล้ว” โดโรธีพูด
“เราลองปรุงยากันไหม” ฟรานซิสลองเสนอทางเลือกที่จะพยุงให้ร้านสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้
“ล่าสุดที่เจ้าลองปรุงยาสมานแผล ยาของเจ้าทำให้เนื้อเทียมละลายเจ้าจำได้ไหมฟรานซิส” แต่เธอไม่เห็นด้วยเมื่อเด็กชายมีประวัติที่ไม่ดีเท่าไหร่กับการผสมยา
“เจ้าเห็นว่ายังไงไพน์”
“ข้า... ข้าชอบอาหารของฟรานซ์ ทำไมไม่ลองเปิดร้านอาหารแทนล่ะ” แม้เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ แต่กลับทำให้ทั้งคู่หลุบตาต่ำ เมื่อเงินที่กู้มานั้นมากมายเกินกว่าจะขอเพิ่มได้อีก
“เมื่อวานอยู่ๆก็มีจดหมายวางอยู่บนโต๊ะข้า มันเขียนว่าถ้าข้าเข้ากองกำลังพิเศษจะให้เงินมากพอที่จะเปิดภัตตาคารเล็กๆได้” แม้สิ่งตอบแทนจะดีมากเพียงใด แต่ข้อแลกเปลี่ยนของมันทำให้ทั้งสามน้ำลายหนืดคอ
เปลวเทียนบนโต๊ะเขียนหนังสือให้แสงสลัวกับเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลที่กำลังใช้นัยน์ตาสีเขียวมรกตอ่านจดหมายตอบรับการเข้ากองกำลังพิเศษที่กล่าวว่ามีงบสนับสนุนมากเสียจนเปลี่ยนขอทานให้กลายเป็นเศรษฐีได้
‘ครืด’ พลันเสียงบานประตูที่เปิดออกทำให้เด็กหนุ่มหันไปมองและพบใบหน้าที่คุ้นเคยของเด็กหนุ่มอีกคน เรือนผมสีทองประกายเฉกเช่นอาสาวของเขารับกันอย่างดีกับนัยน์ตาสีเขียวหยกที่ได้จากมารดา
“ว่าไงฟรานซิส” เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเอ่ยเมื่อเด็กหนุ่มตรงหน้าก้าวผ่านประตูเข้ามา
“เจ้าจะไปจริงๆหรอไพน์”
“ข้าตัดสินใจแล้วฟรานซ์”
“เราอาจจะเจอทางออกที่ดีกว่านี้”
“เราหาทางออกกันมาสามเดือนเต็มแล้ว พอเถอะนะ ข้าไม่ได้ไปตลอดกาลเสียหน่อย”
เด็กหนุ่มจากไปแล้ว... เขาออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ ทิ้งไว้เพียงเงินสามล้านเหรียญทองที่สามารถเปิดภัตตาคารในเมืองได้จริงๆพร้อมกับกระดาษที่ถูกเขียนด้วยลายมือหวัดๆหนึ่งแผ่น
ความคิดเห็น