คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : -ปฐมบท-
-•ปฐมบท•-
อากาศยามดึกสงัดบนยอดเขาช่างเย็นยะเยือก เสียงหวีดหวิวของสายลมกับยอดไม้เสริมความวังเวงได้เป็นอย่างดี แต่เงาจันทร์ก็เผยให้เห็นร่างของหญิงสาวที่เดินเท้าอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ ใบหน้าเรียวได้รูปของเจ้าหล่อนเข้ากันได้ดีกับเรือนผมสีบลอนด์ทองยาวถึงกลางหลังที่รับกับนัยน์ตาสีเดียวกัน
“แกรบๆ” ฝีเท้าแผ่วเบาเหยียบใบไม้แห้งดังขึ้นเป็นระยะ เจ้าของเสียงเยื้องย่างอย่างช้าๆพลางสอดส่องมองซ้ายขวาเพื่อตามหาบางสิ่ง พลันสายตาก็ถูกดึงดูดโดยสิ่งที่ตนพยายามตามหามาเสียนาน...น้ำนมราชสีห์ ปลายใบแหลม โคนใบสอบเบี้ยวเล็กน้อย ขอบใบหยักฟันเลื่อย ! เว้นเสียอย่างเดียวปกติแล้วน้ำนมราชสีห์น่าจะขึ้นแถวๆต้นไม้ซึ่งมีอายุหนึ่งพันปีขึ้นไป แต่นี่กลับอยู่โดดๆ? แม้นไม่แน่ใจแต่ว่าภาพที่เห็นตรงหน้าคือสมุนไพรที่ชื่อน้ำนมราชสีห์แน่นอน เธอไม่รอช้าเมื่อสิ่งที่ตามหาอยู่ตรงหน้า ขาทั้งสองข้างจึงรีบเปลี่ยนทิศทางอย่างฉับพลันพร้อมกับ...
“โครม” ร่างของเธอกระเด็นถอยไปอย่างแรงหลังชนเข้ากับเขตแดนที่มองไม่เห็นเข้าอย่างจัง คิ้วทั้งสองข้างเลิกขึ้นพลางสงสัยว่าใครกันที่อุตริมากางเขตแดนป้องกันในป่าดิบเขาเช่นนี้
“เวทมนตร์เอ๋ยจงหายไป” มนต์สลายเวทถูกร่ายขึ้นเป็นอันดับแรก อักขระเวทสีม่วงปรากฏขึ้นก่อนจะค่อยๆขยับไปสัมผัสแนวเขตแดน
“.....” แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆต่อเขตแดนซึ่งหมายความว่านี่เป็นเขตแดนที่แข็งแกร่งเอาเรื่องทีเดียว
“สายลมเอ๋ยจงโบกสะบัด” เวทธาตุลมถูกร่ายต่อมาเพื่อหวังทำลายเขตแดน แต่ก็ไม่ประสบผล
“ผืนดินเอ๋ยจงสั่นสะเทือน” และเป็นเฉกเช่นเดิมแม้จะร่ายมนต์ไปอีกกี่สิบชุดก็ตาม จนหญิงสาวเริ่มท้อจากการสูญเสียพลังเวทไปมากมาย
‘ทั้งๆที่อยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ’ เธอได้แต่คิดในใจ พลันลมหนาวที่สุดก็พัดผ่านทำให้เธอตัวสั่น
“ไฟเอ๋ยจงลุกโชน” มนต์บทไฟสร้างดวงไฟเล็กๆขึ้นมาให้ความอบอุ่นแก่เธอ พลันแสงสีเขียวก็ค่อยๆปรากฏขึ้นและลอยสลายหายไปซึ่งนั่นหมายถึง ‘เขตแดนกำลังพังทลาย’ เธอจึงได้ทีร่ายเวทไฟต่อไป
“ไฟเอ๋ยจงลุกโชน”
“เพล้ง” เสียงสัญญาณที่แสดงว่าเขตแดนพังทลายลงโดยสมบูรณ์ดังขึ้นพร้อมสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเขตแดน... เบื้องหน้าหญิงสาวนั้น ไม่ดีมีเพียงน้ำนมราชสีห์ที่เธอปรารถนา !!!
‘ว่ากันว่าต้นไม้ที่อาบแสงจันทร์มากกว่าพันหมื่นราตรีจะค่อยๆสะสมพลังเวทของดวงจันทร์จนกระทั่งสามารถใช้เวทมนตร์ด้วยตนเองได้...’ อยู่ๆเรื่องราวเก่าๆที่คุณย่าเคยพูดเอาไว้ก็ผุดขึ้นมาในหัวของหญิงสาว
‘หรือต้นไม้พวกนี้กำลังปกป้องเด็กคนนี้’ เธอคิดในใจเมื่อเบื้องหน้าของเธอปรากฏภาพของเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลกำลังหลับใหลไร้สติ เบื้องหลังของเขาคือต้นสนขนาดมหึมาซึ่งน่าจะอายุเกินหนึ่งหมื่นปี
“ท่านคงจะเป็นห่วงเด็กคนนี้ แต่เขาเป็นมนุษย์ ขอท่านจงให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างมนุษย์เถิด ข้าจะดูแลเขาอย่างดี” เมื่อพูดจบหญิงสาวก็ดับไฟที่ก่อลงแต่ก็ยังไร้สัญญาณใดๆจากสิ่งรอบข้าง เธอตัดสินใจก้าวเข้าไปหาร่างของเด็กหนุ่ม พลันแสงสีเขียวก็ปรากฏและแปลเปลี่ยนเป็นจี้ไม้รูปหัวใจ
“ตู้ม” ยังไม่มีเวลาให้เธอได้สงสัยอะไร เสียงระเบิดจากที่ไกลๆก็ดังขึ้น
“พวกเมโทรโปลิสกำลังไล่ลาเด็กคนนี้อยู่” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นในหัวของเธอ
“พาเขาหนีไปทางทิศเหนือ” ซึ่งเธอมั่นใจว่าไม่ใช่เสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของตัวกลางเป็นแน่ แต่คำถามในใจเธอตอนนี้คือ ’แล้วจะให้แบกเจ้าหนูนี่ไปยังไง’
“แฮ่กๆ” เสียงหอบเป็นหลักฐานอย่างดีว่าต้นไม้รกทึบประกอบกับเส้นทางที่ลาดชันทำให้หญิงสาวประคองกึ่งลากเด็กหนุ่มอย่างยากลำบาก แต่เธอก็มิอาจหยุดพักได้เมื่อรู้ดีแก่ใจว่าเบื้องหลังของเธอคือชาวเมโทรโปลิสซึ่งหมายเอาชีวิตเด็กหนุ่มอยู่ เหงื่อที่ชุ่มไปทั้งร่างพร้อมกับดวงตาที่เริ่มปรือสื่อถึงขีดกำจัดของร่างกายที่กำลังจะถึงในไม่ช้า ทันใดนั้นเองเธอก็รู้สึกถึงสัญญาณตอบรับจากร่างที่ไร้สติข้างๆ นัยน์ตาสีเขียวมรกตค่อยๆปรือขึ้นและมองเธออย่างสับสน
“เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย” หญิงสาวเอ่ยปากถามเด็กหนุ่ม และได้รับเพียงการพยักหน้าเบาๆ
“ข้าเจอเจ้าสลบอยู่ใต้ต้นสนยักษ์บนเขา แล้วมีพวกเมโทรโปลิสตามมา เจ้าไปทำอะไรพวกนั้นกัน” เธอถามคำถามที่สงสัยมานานต่อเด็กหนุ่มตรงหน้า
“ข้า...ข้าจำอะไรไม่ได้เลย” แต่ก็มิได้รับสิ่งใดเพิ่มเติม
“ลองนึกดูดีๆสิ” เด็กหนุ่มส่ายหัวพลางทำหน้าเบ้แบบคิดหนัก
“ข้าขอโทษข้าจำไม่ได้จริงๆ”
“แกรบ” และเสียงรองเท้าเหยียบใบไม้แห้งก็ตัดบทการสนทนาของทั้งคู่แบบทำให้ลืมหายใจเลยทีเดียว ทั้งคู่มองตากันก่อนหญิงสาวจะทำมือชี้ลงพื้นเป็นสัญญาณให้นั่งลงเพื่อหลบซ่อนภายใต้แนวไม้ใหญ่ ในหัวหญิงสาวเต็มไปด้วยความคิดว่าจะทำยังไงถึงจะช่วยเจ้าหนูนี่และตัวเองให้รอด ก่อนการบริกรรมคาถาจะเริ่มขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
‘ไฟเอ๋ยจงลุกโชน’
จากหนึ่งต้นลามไปอีกหนึ่งต้น ผืนป่าแห่งนี้กำลังจะแปลเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิง ใบหญ้าที่ถูกเผาไหม้ส่งเสียงดีดเปรี้ยะตลอดเวลาคลอเคล้าเสียงโหวกเหวกโวยวายของเหล่าเมโทรโปลิสผู้ตามล่าเด็กหนุ่มหญิงสาวใช้โอกาสชุลมุนนี้ลากเด็กหนุ่มไปอย่างไร้ทิศทาง
“โอ้ย” เด็กหนุ่มร้องเมื่อหน้าคะมำลงไปจูบพื้นดิน
“กับดักของพวกมัน!!” หญิงสาวคิดในใจเมื่อสังเกตเห็นสิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มล้มลง... โซ่ตรวนหนาที่รัดเข้ากับข้อเท้าของเด็กหนุ่มอยู่
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!!” โดยไม่ทันได้ตั้งตัว เสียงแหบห้าวของชาวเมโทรโปลิสก็ดังขึ้นเบื้องหลัง
“ยกมือขึ้น แล้วหันมาทางนี้” ชายร่างยักษ์ตะโกนพลางหันปืนเลเซอร์ไปยังทั้งคู่
“สายลมเอ๋ยจง...” หญิงสาวพยายามเปล่งเสียงอย่างแผ่วเบาแต่ก็ไม่อาจหลอกตาชายหนุ่มผู้ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน
“วิ๊ง” แสงสีแดงทะลุผ่านท้องของหญิงสาวพร้อมกับร่างของเธอที่ล้มลงต่อหน้าเด็กหนุ่ม
“ไม่น่าแส่หาเรื่องแท้ๆ”
“ไฟเอ๋ยจงลุกโชน” เสียงบริกรรมคาถาของหญิงสาวกลับไม่ได้มาจากหญิงสาวแต่เป็นเด็กหนุ่มลึกลับผู้อยู่ใต้ต้นสน ร่างทั้งร่างของชายหนุ่มร่างยักษ์พลันลุกเป็นไฟในเสี้ยววินาที ดวงหน้าหวาดกลัวในตอนแรกของเด็กหนุ่มบัดนี้กลายเป็นใบหน้าเรียบเฉยที่แม้ราชสีห์ยังหวาดเกรง
..TBC..
ความคิดเห็น