คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เบาะแสและโรงเรียนใหม่
เมื่อกลับไปถึงบ้าน เรฟและเฟริสก็ค่อยๆย่างเท้าลงไปบนพื้นไม้เบาๆเพื่อไม่ให้เกิดเสียดัง
พวกเขาเดินต่อไปเรื่อยๆโดยพยายามหลบไปตามข้าวของเครื่องใช้ต่างๆที่พอจะบังตัวพวกเขา จากสายตาของชายวัยกลางร่างใหญ่ผิวเข้ม ผู้เป็นเจ้าของนัยน์ตาสีดำกับผมสีน้ำตาลเข้ม และมีนามว่าสมคิด อิสรพัก ผู้ที่กำลังนั่งหน้าเข้มอยู่บนโซฟา
“กว่าจะกลับมาได้นะ เซเรฟ เฟริส”เสียงเครียดที่ดุดันแสดงถึงความไม่พอใจของผู้เป็นพ่อ ช่วยสะกดร่างชายหญิงทั้งสองให้แน่นิ่งราวกับหินผา “อุส่าบอกว่ามีเรื่องสำคัญ มัวไปเล่นอยู่ที่ไหนอีก”
“อะ..เออ คือ..”
“ผมชวนเฟไปกินข้าวเองครับ”เรฟที่เห็นท่าทีที่อำอึ้งของเด็กสาว จึงรีบตอบคำถามของชายวัยกลางที่กำลังโกรธทันที
“เซเรฟลูกก็ชอบทำตัวแบบนี้ตลอดเลยนะ”
“ผมขอโทษครับ”
ผู้เป็นพ่อถอดหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเรียกพวกเขาทั้งสองเข้าไปกอด เป็นการปลอบใจ
“เราอย่าทำให้เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ มาทำให้เสียบรรยากาศของเรื่องสำคัญที่เราจะคุยกันเลย”
“แล้วมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรเหรอครับ”เรฟถามขึ้นพร้อมกับนั่งลงไปบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับผู้เป็นพ่อและเฟริส
“เรื่องที่จะพูดก็เกี่ยวกับพ่อของลูกไง เซเรฟ”
เรฟแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่หูของเขาได้ยิน เพราะเรื่องของพ่อที่เขาพยายามจะถามมาตลอด แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบอะไรกลับมาเลย แต่แล้ววันนี้ก็จะมาบอกเอาเสียดื้อๆ ทำให้เด็กหนุ่มดีใจจนพูดอะไรไม่ถูก
“แล้วพ่อของผมเป็นใครกัน นิสัยยังไง แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน แล้ว...”
“พอก่อน”สมคิดพูดขัดขึ้นมาทำให้เด็กหนุ่มต้องหยุดคำถามที่เขาอยากถามต่อลง “พ่อจะบอกในสิ่งที่ควรจะบอกเอง ลูกไม่ต้องถามอะไรมากมายหรอก”
“ครับ”เด็กหนุ่มตอบกลับไปด้วยความผิดหวังเล็กน้อย
“พ่อของลูกนะ เป็นคนที่น่ายกย่องมาก เขาเป็นคนที่มองเห็นปัญหาของสิ่งต่างๆก่อนใครๆ แล้วเลือกที่จะเดินทางตามทางที่ตนเองคิดว่าดี แต่เขาก็หายตัวไป โดยที่ไม่ว่าใครจะพยายามตามหายังไงก็ไม่พบ เบาะแสเดี่ยวที่จะหาเขาเจอก็คือ...”ชายวัยกลางหยิบแผ่นกระดาษเล็กๆที่ลักษณะคล้ายกับตั๋ว ยื่นไปให้เด็กหนุ่ม “โรงเรียนมหาเวทย์อิดินเบิค หรือที่ใครๆเรียกกันว่าอ.ด.บ. คือสถานที่สุดท้ายก่อนที่พวกพ่อจะแยกกัน”
น้ำตาของเด็กหนุ่มเริ่มไหลออกมาจากดวงตาทั้งสอง เรื่องราวเกี่ยวกับพ่อที่ถูกเก็บไว้เป็นความลับมานานสิบหกปี ความยาวที่เขาต้องทนทรมานอดกลั่นทำเป็นไม่สนใจเพื่อไม่ให้ใครต้องเป็นห่วง แต่ตอนนี้ความรู้สึกเหล่านั้นเมื่อได้ถูกปลดปล่อยออกมา
“แล้วชื่อของพ่อ... พ่อผมชื่ออะไรครับ”เสียงสะอื้นที่กลั้นออกมาพร้อมน้ำตาบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข ทำให้ชายวัยกลางไม่สามารถที่จะปิดบังอะไรกับชายหนุ่มได้อีกต่อไป
“เรมิเนีย รามินต้านี้คือชื่อพ่อของลูก แล้วลูกจงจำไว้ว่าอย่าได้พูดชื่อนี้ออกมาง่ายๆเด็ดขาด”
“ทำไมกันครับ หรือว่าพ่อผมไปทำอะไรที่เลวร้ายกันครับ”
“เปล่าเลย”ชายวัยกลางส่ายหน้า “แต่เพื่อเป็นการปกป้องลูกจากผู้ไม่ไหวดีที่คิดจะฆ่าลูกต่างหาก”
เซเรฟเริ่มหน้าซีดลง คำถามมากมายที่เขาไม่สามารถหาคำตอบได้เริ่มถามขึ้นในหัวของเขา
“พ่อค่ะ ใครกันที่คิดจะฆ่าพี่เรฟ”เฟริสที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆผู้เป็นพ่อมาได้ซักระยะ ถามขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าที่สับสนของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม “เฟริสจะไปจัดการมันเอง”
ผู้เป็นพ่อกุมขมับ เขาเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าตนนั้นได้เผลอหลุดปากพูดในสิ่งที่ยังไม่ควรออกไปเสียแล้ว
“ความมืดกำลังจะแผ่ขยาย นั้นคือคำพูดสุดท้ายที่พ่อได้ฟังจากมิเนียก่อนที่เขาจะหายไป”
“คำพูดนั้นมาหมายความว่ายังไงกันครับ”
“พ่อเองก็ไม่รู้”สมคิดเงยหน้าขึ้นมามองเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่มุ่งมัน “พ่อใช้เวลาคิดมากว่ายี่สิบปี แต่ถ้าเป็นลูกเซเรฟ ลูกที่เป็นลูกชายของมิเนียต้องรู้ได้แน่”
“ผมไม่มั่นใจนะครับว่าจะทำได้หรือเปล่า แต่ถ้านั้นคือสิ่งที่สิ่งที่จะทำให้ผมได้เข้าใกล้พ่อเข้าไป ผมจะพยายามครับ”
ความสับสนที่เคยมีในหัวของเด็กหนุ่ม ในตอนนี้มันได้จางหายไปหมดแล้ว เพื่อผู้เป็นพ่อที่เข้าใฝ่หา ไม่ว่าปัญหาข้างหน้าจะมากมาย เข้าก็พร้อมจะเดินต่อไปอย่างมุ่งมั่น
ความมุ่งมั่นและความตั้งใจอันแรงกล้า ทำให้ชายวัยกลางอดยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิไม่ได้ เขาจ้องมองเด็กหนุ่มที่ตนเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กด้วยความปิติ
“ดีมากเซเรฟ”น้ำใสๆไหลออกมาจากดวงตาของสมคิดเล็กน้อย “เมื่อตกลงกันได้แบบนี้แล้ว พวกเราก็ไปสู่อ.ด.บ.กันได้เลย”
“ผมขอเวลาซักหน่อยหน่อยนะครับ”
“ลูกจะทำอะไร”สมคิดผู้ขึ้นอย่างเสียอารมณ์
“ถ้าเกิดผมไปอยู่ที่อ.ด.บ.ก็ต้องแยกกับเนตรและวิน”ชายหนุ่มหยุดพูด จ้องมองไปยังหน้าของสมคิดที่กำลังไม่พอใจ “ผมขอบอกลากับเจ้าพวกนั้นก่อนได้หรือเปล่าครับ”
ชายวัยกลางถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ
“ได้ แต่รีบหน่อยนะ เพราะเวลามันไม่เคยคอยใคร”
เมื่อเรฟได้ยินดังนั้นจึงรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องของตน ก่อนหยิบมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง แล้วโทรออกไปหาเพื่อนทั้งสองคนของเขาทันที
“แกมีเรื่องอะไร ถึงได้โทรมารบกวนเวลาเล่นเกมอันแสนมีค่าขอฉัน”การพูดที่รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นของใครดังขึ้นมาทันทีที่สายติด
“นั้นสิเรฟ นายมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ”
“คือว่าฉัน....จะต้องย้ายโรงเรียน”
“หา!”เสียงอุทานขอเพื่อรักทั้งสองของเด็กหนุ่มดังขึ้นมาอย่างพร้อมเพียง
“ย้ายโรงเรียน แกจะย้ายไปไหน”กวินถามขึ้นอย่างความตื่นตระหนก
“ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่คงจะไม่ได้อยู่ในประเทศไทยแน่”เรฟตอบเสียงอ่อยๆกลับไป
“แล้วทำไมนายต้องย้ายไปด้วยล่ะเรฟ ถ้าเรื่องเงิน..”
“เนตร”เรฟพูดแทรกขึ้นมา “ที่ฉันต้องย้ายก็เพราะว่า โรงเรียนใหม่ที่ฉันจะเข้าไปมันเป็นเบาะแสเดียวที่ฉันอาจได้เจอพ่อ”
เนตรเริ่มเปล่งเสียงสะอื้นออกมาเล็กน้อย ถึงตัวของเขาจะรู้ดีว่าไม่ควรจะทำแบบนี้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะทนกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ยอมหยุด สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือพยายามอดทนต่อความรู้สึกที่มีเท่านั้น
“ไอ้บ้า”กวินตะคอก “แกก็ชอบทำตัวแบบนี้ทุกที จู่ๆก็มาบอกว่าจะย้ายโรงเรียนเอาเสียดื้อๆไม่มีมาบอกให้พวกฉันเตรียมใจกันเลย”
“ก็ฉัน..”เรฟกำลังจะพูดเถียงกลับไป แต่เขาก็ไม่สามารถเถียงกลับไปได้ เพราะตัวเขานั้นเข้าใจความรู้สึกของทั้งสองคนเป็นอย่างดี “ขอโทษ”
กวินถอนหายใจออกมาเบา
“แต่ถึงนายจะเป็นแบบนี้ พวกฉันก็ยังคิดว่าแกเป็นเพื่อนอยู่เสมอ และพร้อมที่จะช่วยให้แกได้พบกับสิ่งที่ประสงค์ไว้”กวินสอืนออกมาเล็กน้อย แต่นั้นก็ทำให้เด็กหนุ่มผมดำยิ้มออกมาพร้อมน้ำตา “ไม่ต้องห่วงทางนี้นะ พวกฉันไม่เป็นไรหรอก แถมดีซะด้วยซ้ำที่ตัวน่ารำคาญหายไปจากโรงเรียน”
“ใช่แล้วฉันเองก็ไม่ได้กลัวนะ... ถึงไม่มีนายอยู่... ฉันก็ไม่เป็นไร”เนตรพูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นรั่ว “ฉะ...ฉันดูแลตัวเองได้ ไม่มีอะไรที่นายต้องเป็นห่วงเลย”
“พวกนาย”เรฟปาดนายตาออกจากใบหน้าของตนจนหมด “ฉันเนี่ยช่างเป็นคนที่โชคดีจริงๆ การที่ได้มาเป็นเพื่อนกับพวกนาย ฉันมีความสุขมาก”
“แกอย่าพูดมากนะตั้งใจทำในสิ่งที่แกสมควรทำให้ดีเถอะ เงินฉันจะหมดแล้วขอว่างล่ะ”
พูดจบกวินก็วางสายไปทันที
“เจ้าบ้าเงินแกจะหมดได้ไงในเมื่อฉันเป็นคนโทรไป”เรฟพูดไปยิ้มไป
“กวินก็เป็นพวกโกหกโง่ๆแบบนี้นี่”น้ำเสียงของเนตรจากที่สั่นรั่ว ในตอนนี้ได้หายไปจนเกือบจะเป็นปกติแล้ว
“นั้นสินะ นายเองก็ดูแลเจ้านั้นดีๆด้วยล่ะ”
“อย่าห่วงไปเลยเรฟ เชื่อมือฉันเถอะ ฉันวางแล้วนะ”
ทันทีที่เนตรวางสายลง เรฟก็เริ่มรับรู้ได้ถึงหน้าที่อันใหญ่หลวงที่เขาได้รับมา ความรู้สึกเศร้าของจากการลาทั้งหมด มันจะถูกเก็บเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของความทรงจำ แล้วรอให้ถึงวันที่พวกเขาทั้งสามจะได้มาพบเจอกันอีก
เด็กหนุ่มค่อยๆเดินลงมาจากห้องของตนด้วยใบหน้าที่ไร้กังวล ตรงเข้าไปหาสมคิดที่กำลังนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนโซฟา
“หมดห่วงแล้วสินะ”สมคิดถาม
“ครับ ตอนนี้ไม่มีอะไรที่จะรั้งผมเอาไว้อีกแล้วครับ”เรฟตอบกลับไปอย่างมั่นใจ
“ดีงั้นเราก็ไปกันเถอะ”
สมคิดล่วงมือไปหยิบแผ่นกระดาษเล็กๆสีเขียวที่อยู่ในกระเป้ากางเกงของตน ก่อนจะฉีกมันออกเป็นสองส่วน
ชั่วพริบตาเดียว เด็กหนุ่มก็เริ่มสึกเหมือนกับถูกเหวี่ยงไปรอบๆด้วยความเร็วมหาสาร จนร่างกายของเขาไม่อาจยื่นต้านทานไหว ต้องล้มลงไปนอนกองอยู่ที่พื่น
เฟริสเดินเข้าไปช่วยประคองร่างที่ไร้กำลังของเขาขึ้นมา
“นี่มันอะไรกัน”เรฟพูดขึ้น พร้อมกับมองไปรอบๆตัวที่ควรจะเป็นห้องเล็กๆในบ้านหลังน้อย แต่สถานที่ที่เขากำลังยื่นอยู่นั้นกลับเป็นชานชาลาของรถไฟขบวนหนึ่ง
“ครั้งแรกก็เป็นแบบนี้กันหมดนั้นแหละ เดี๋ยวครั้งต่อๆไปก็ชินเอง”สมคิดพูดขึ้น
ดูเหมือนว่าคำพูดของสมคิดจะไม่ได้เขาไปในหูของเด็กหนุ่มที่กำลังตาค้างตกตะลึงกับสิ่งแปลกให้ที่ประจักษ์แก่ตาสาย
ผู้คนส่วนมากต่างก็ทยอยกันเดินเข้าไปในรถไฟ และอีกส่วนหนึ่งก็นั่งหน้าเศร้านอนผิงกำแผงอยู่กับที่ไม่ขยายร่างไปไหน
เรฟยังคงมองต่อไปเรื่อยๆ แล้วเขาก็เริ่มสังเกตเห็นจุดรวมของคนที่ยังไม่ได้ขึ้นรถไฟมาก่อกลุ่มกันอยู่ข้างๆทางขึ้นรถไฟ และกลุ่มคนตรงนี่ก็ต้องเป็นส่าเห็นที่ทำให้หลายคนต้องมาทำหน้าเหมือนจะตายเป็นแน่
“เซเรฟ นี่ฟังอยู่รึเปล่า”สมคิดพูดขึ้นพลางเขย่าตัวผู้เป็นลูกที่กำลังยืนเหม่อ
“คะ ครับ ผมฟังอยู่ครับ”เรฟรีบตอบกลับไป
สมคิดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวลูกไปรวมตัวกับผู้คนที่อยู่ตรงนั้นก็แล้วกัน”สมคิดชี้ไปยังกลุ่มคนที่ยื่นรวมกันอยู่ข้างทางเข้ารถไฟ “ตรงนั้นเป็นจุดทดสอบว่าลูกจะได้เรียนที่อ.ด.บ.หรือไม่ เอาล่ะลูกไปได้แล้ว เดี๋ยวพ่อจะรอฟังผลของลูกอยู่แถวนี้”
พูดจบสมคิดก็ตบไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆเป็นการให้กำลังใจ ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปสู่การทดสอบ
ความคิดเห็น