คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2
สดชื่น..นั้นเป็นความรู้สึกแรกที่จุนมยอนรู้สึกเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่เคยรู้สึกว่าร่างกายกระปรี้กระเปร่าแบบนี้ พอแก่ตัวลงมาทุกๆวันก็ไม่เคยรู้สึกดีอย่างนี้ มันมีแต่ความปวดเมื่อยทั่วร่างกาย แต่วันนี้รู้สึกสดชื่นจริงๆ
ลุกออกจากเตียงแล้วเดินออกไปเอาหนังสือพิมพ์ที่มาส่งทุกเช้าตรงช่องรับจดหมาย เดินเข้าครัวเปิดแก๊สต้มน้ำร้อน หยิบแว่นสายตาที่วางไว้หลังตู้เย็นมาใส่เพื่ออ่านหนังสือพิมพ์รอระหว่างรอน้ำที่ต้มเดือด
“เอ๋..ทำไมมันลายๆ” ถอดแว่นออกมาก่อนจะเอาเสื้อเช็ดเลนส์เมื่อเห็นว่าแว่นที่ใส่แล้วปกติจะเห็นตัวหนังสือชัดแจ๋ว มาวันนี้กลับใส่แล้วเห็นภาพเบลอไปหมด
“เฮ้ย!” เอามือขยี้ตาไปมา ก่อนจะเบิกตากว้างจ้องมองตัวหนังสือตรงหน้า เมื่อเห็นว่าสายตาที่ปราศจากเลนส์แว่นนั้นมองเห็นชัดแจ๋วเหมือนสมัยหนุ่มๆไม่มีผิด
เสียงร้องหวีดจากกาน้ำร้อนร้องลั่นเตือนว่าน้ำที่ต้มไว้นั้นเดือดแล้ว จุนมยอนพักความสงสัยเรื่องสายตาไว้ ลุกขึ้นไปปิดแก๊สแล้วเทน้ำร้อนใส่แก้วที่ใส่ผงกาแฟไว้รออยู่แล้ว หยิบช้อนมาคนเพื่อให้ผงกาแฟละลายเข้ากับน้ำร้อน
“ร้อนๆๆๆ” เพราะแรงที่ใช้คนมากไปจนน้ำร้อนกระฉอกจากแก้วหกใส่มือ เขารีบวิ่งเอาน้ำแข็งในตู้เย็นมาถูหลังมือบริเวณที่โดนน้ำร้อนลวก ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผิวหนังที่เคยเหี่ยวย่นไปตามอายุกลับเรียบตึงและไร้ริ้วรอย
เร็วเท่าความคิด..เขารีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะร้องลั่นออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นภาพที่สะท้อนออกมาจากกระจกเงา
ภาพของชายหนุ่มวัยแรกรุ่น ผมสีดำสนิทยิ่งขับให้ผิวที่ขาวใสนั้นดูขาวเปล่งประกายมากยิ่งขึ้นไปอีก
“นี้มันเกิดอะไรขึ้น..ทะ..ทำไม..” รู้สึกงงจนแทบจะเป็นลมเมื่อพบว่ารูปร่างหน้าตาของตัวเองนั้นกลับไปเป็นเด็กมอปลายอีกครั้ง
“อะไรนะ! เก็บดวงวิญญาณมาผิด!” ไคโพล่งออกมาอย่างตกใจหลังจากได้ยินคำบอกกล่าวของหัวหน้าหน่วย เขาเพิ่งจะกลับมานอนพักได้ยังไม่ถึงชั่วโมง หัวหน้าของเขาก็บุกมารบกวนเวลาพักผ่อนแถมยังเอาข่าวร้ายมาฝากถึงบ้าน
“ก็ใช่น่ะสิ! ดวงวิญญาณที่ต้องเก็บน่ะคือ วิญญาณของคิมจุนมยอน คนแก่อายุห้าสิบสามปี แต่ที่นายเก็บมานั้นมัน โดคยองซู เด็กอายุสิบแปด!”
ดีโอที่ยืนอยู่ข้างหลังสองคนอย่างเงียบๆ ได้แต่สอดส่องสายตามองไปมาระหว่างยมทูตตัวสูงและหัวหน้ายมทูตตัวเล็ก ที่ทั้งสองทำหน้าเครียดเหมือนยมโลกกำลังจะระเบิด
“เด็กคนนี้..” หัวหน้ายมทูตลู่หานชี้ไปที่ดีโอ ก่อนจะหันกลับมาหาไคแล้วพูดต่อว่า
“อายุขัยของเด็กคนนี้ยังไม่หมด”
“อะไรนะครับ!” ดีโอเบิกตากว้างอย่างตกใจพร้อมกับถามออกมาอย่างสงสัย ถ้ายังไม่หมดอายุขัยงั้นก็หมายความว่าเขายังไม่ถึงเวลาตายน่ะสิ
“หมายความว่านายยังไม่ถึงเวลาที่ต้องตายไงเด็กน้อย” ลู่หานอธิบาย
“แล้วทำไมวิญญาณผมถึงออกจากร่างล่ะ”
“นั้นเพราะร่างกายนายอยู่ในภาวะครึ่งเป็นครึ่งตาย..แต่ในเมื่อยังไม่หมดอายุไขเดี๋ยววิญญาณก็จะกลับเข้าร่างคืนได้เหมือนเดิม แล้วนายก็จะลืมเรื่องที่วิญญาณนายหลุดออกมาจากร่าง” ยมทูตไคที่นั่งหน้าเครียดอยู่อธิบาย
“งั้นก็หมายความว่าผมก็กลับเข้าร่างแล้วไปใช้ชีวิตต่อได้น่ะสิ” ยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจเมื่อรู้ว่าจะได้กลับไปใช้ชีวิตต่ออีกครั้ง แต่คำพูดของยมทูตทั้งสองคนที่เอ่ยออกมาพร้อมกันทำให้รอยยิ้มกว้างนั้นหุบลงทันที
“ไม่ได้!”
ไคมองวิญญาณที่ทำหน้าจ่อยพลางขมวดคิ้วอย่างเห็นใจก่อนจะอธิบายต่อ
“วิญญาณของมนุษย์ที่อยู่ในโลกหยางนั้นจะมีพลังหยางเป็นหลัก แต่เมื่อใดที่วิญญาณข้ามประตูมิติเข้าสู่โลกหยินแล้วนั้น วิญญาณจะเปลี่ยนเป็นมีพลังหยินเป็นหลักแทน หมายความว่าวิญญาณของนายตอนนี้เต็มไปด้วยพลังหยิน การจะใส่ดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยพลังหยินเข้าไปในกายเนื้อของมนุษย์เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เว้นแต่..”
“เว้นแต่จะเอาดวงวิญญาณอื่นที่เต็มไปด้วยพลังหยางมาแลกแทน” ลู่หานต่อประโยคของไคจนจบ
“สรุปคือต้องมีคนตายเพื่อแลกกับการที่จะทำให้ผมกลับเข้าร่างได้งั้นเหรอ” ดีโอถามออกไปเพื่อตรวจสอบว่าเขาเข้าใจถูกต้องรึเปล่า ยมทูตทั้งสองพยักหน้า
“แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก..ใช่ว่าดวงวิญญาณจะสามารถแลกเปลี่ยนพลังหยินหยางกันได้ง่ายๆ” หัวหน้ายมทูตบอก เดินไปตบไหล่ของวิญญาณที่น่าสงสารอย่างปลอบใจแล้วส่งยิ้มให้
“ในกรณีของนาย..วิญญาณของคิมจุนมยอนเท่านั้นที่สามารถแลกเปลี่ยนพลังหยินหยางกับนายได้”
“คิมจุนมยอนงั้นเหรอ..เขาเป็นใครครับ”
“เป็นวิญญาณที่ฉันต้องไปเก็บแต่ดันเก็บวิญญาณนายแทนมาไงล่ะ..พูดง่ายๆคือนายเป็นคนตายแทนคิมจุนมยอนดังนั้นมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ช่วยนายได้” ไคอธิบาย ก่อนจะส่งสายตาไปถามหัวหน้าตัวเองเป็นเชิงว่าแล้วจะทำไงต่อ
“ไค..นายอยากได้เวลาพักผ่อนเยอะๆไหม” ไคเลิกคิ้วมองหัวหน้าตัวเองที่จู่ๆก็เปลี่ยนเรื่องพูดคุยขึ้นมาซะงั้น ก่อนจะพยักหน้าตอบ ตั้งแต่เข้ามาทำงานเป็นยมทูตก็แทบจะไม่ได้นอน เวลาพักผ่อนคืออะไรที่มีค่าที่สุดแล้ว
“ฉันมีงานพิเศษให้นายทำ..รับรองว่านายจะมีเวลาว่างขึ้นเยอะเลย”
“งานอะไรครับ ถ้าเงินเดือนไม่ลดลงก็น่าสนใจ”
“ช่วยดูแลวิญญาณของโดคยองซูด้วย”
จุนมยอนเดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูทางเข้าโรงเรียนมัธยมซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของเขา กำลังลังเลว่าจะเดินเข้าไปทำงานตามปกติดีหรือเปล่า แต่สภาพเขาเปลี่ยนไปขนาดนี้ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าเขาคือคิมจุนมยอนภารโรงแก่ๆคนนั้น
“นี้นายน่ะ” นักเรียนที่มีเข็มติดที่อกบ่งบอกฐานะว่าเป็นหนึ่งในสารวัตนักเรียนเดินตรงมาที่เขา
“เป็นนักเรียนโรงเรียนนี้รึเปล่า..เห็นเดินไปเดินมาตั้งนานแล้ว”
“อ้อ..เปล่าคือฉันมาหาเพื่อนน่ะ” เขาพูดแก้ตัวไป กำลังจะขอตัวกลับเพราะเห็นสายตาไม่ไว้วางใจส่งมาแต่เสียงใครอีกคนดังขึ้นมาขัดไว้ซะก่อน
“เขามาหาฉันเอง” นักเรียนคนหนึ่งเดินมาหาเขา ท่าทางที่ดูนิ่งๆกับสายตาที่มองเลยไปด้านหลังของเขาทำให้จุนมยอนนึกแปลกใจ
“เพื่อนนายงั้นเหรอ..โอเคฉันไปล่ะ” สารวัตนักเรียนพูดจบแล้วเดินจากไป
“ที่ท่านทำมันเรื่องใหญ่มากเลยนะ..ท่านทูตสวรรค์”
“นายพูดอะไร” จุนมยอนหันซ้ายหันขวาก่อนจะหันไปตามทิศที่มือของนักเรียนคนนี้ชี้ไป แต่ก็พบแค่อากาศว่างเปล่าเท่านั้น
“เขาตามคุณมาตั้งนานแล้ว..ทูตสวรรค์ที่ทำให้คุณย้อนอายุกลับมาเป็นเด็กอีกครั้งน่ะ..คุณลุงจุนมยอน”
“ว่าไงนะ!” เขารู้สึกขนลุกขึ้นมาดื้อๆ ไอ้เด็กตรงหน้านี้พูดอะไรน่ากลัวชะมัด ถ้าเป็นแต่ก่อนคงคิดว่ามันบ้า แต่ในเมื่อมาเจอเหตุการณ์ที่ตัวเองย้อนกลับไปเป็นเด็กมอปลายแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่เชื่อแล้วล่ะ
ทูตสวรรค์พยอนแบคฮยอนทำท่าฮึดฮัดเล็กน้อยเมื่อโดนจับได้โดยมนุษย์ว่าตัวเองทำอะไรลงไป เขาเคลื่อนตัวไปข้างๆเด็กหนุ่มแล้วถามออกไปอย่างหงุดหงิด
“นี้เจ้ามนุษย์! เธอมองเห็นฉันได้ไงหา!”
“ผมปาร์คชานยอลเป็นผู้ประสาน” เด็กหนุ่มแนะนำตัวให้กับคนทั้งสองโลกพร้อมๆกัน
“อะไรคือผู้ประสาน ฉันงงไปหมดแล้ว แล้วนายกำลังพูดกับใคร” จุนมยอนถามออกไปอย่างร้อนรน ตอนนี้เขาสับสนไปหมด เรื่องบ้าๆอะไรก็ไม่รู้กำลังเกิดขึ้นกับชีวิตเขา
“ผู้ประสานก็คือคนที่สามารถรับรู้เรื่องราวของอีกโลกหนึ่งได้ไงครับ” ชานยอลอธิบายก่อนจะหันไปหาทูตสวรรค์ที่ยืนอยู่ข้างๆ
“นี้คุณทูตสวรรค์ผมว่าคุณเบิกเนตรให้คุณลุงเขาหน่อยเถอะ ให้สับสนกับชีวิตอยู่แบบนี้คงได้ประสาทตาย” เขาหันไปบอกทูตสวรรค์ การเบิกเนตรคือการที่ทำให้คนในโลกหยางสามารถรับรู้เรื่องราวในโลกหยินได้ แต่เขาเป็นผู้ประสาน สามารถรับรู้เรื่องราวของทั้งสองโลกได้ตั้งแต่เกิดแล้ว แค่มองปราดเดียวเขาก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างออกมาจากตัวจุนมยอนและยิ่งเห็นว่ามีทูตสวรรค์ยืนอยู่ข้างๆด้วยเขาก็ยิ่งมั่นใจว่ามีอะไรผิดปกติถึงได้เดินเข้าไปหา และด้วยความสามารถของผู้ประสานทำให้สัมผัสได้ถึงมนตร์ที่รายล้อมอยู่รอบตัวของจุนมยอน
“เออๆ..รู้แล้วๆ เป็นแค่มนุษย์อย่ามาสั่งทูตสวรรค์อย่างฉันสิ”
จุนมยอนรู้สึกเหมือนมีลมกระแทกเข้าที่ดวงตาทั้งสองข้าง รู้สึกเคืองจนต้องเอามือขยี้ตาไปมา
“ฮัลโหล!”
“เฮ้ย!” ตกใจจนหงายหลังกองลงไปกับพื้นเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของคนที่สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวยืนยิ้มโบกมือทักทายอยู่ตรงหน้า..แสงออร่าที่ออกมารอบๆตัวของคนๆนั้นทำให้รู้สึกราวกับเป็นเทวดาตัวน้อยๆ..หรือว่า!
“เทพแห่งแสงสว่าง!”
“เกิดอะไรขึ้น!” เสียงโวยวายของคริสดังขึ้นเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องพักผู้ป่วยฉุกเฉิน เขาเพิ่งรู้ข่าวเมื่อตอนเช้านี้เองว่าเพื่อนสนิทอย่างดีโอถูกรถชน
“เบาๆหน่อยคริส นี้โรงพยาบาลนะ” เถา เพื่อนสนิทอีกคนของคริสกล่าวเตือน
“อาการดีโอเป็นไงบ้าง” คริสพยายามทำใจให้เย็นลงพลางมองลอดผ่านกระจกตรงช่องประตูเข้าไปมองร่างของเพื่อนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
“หมอบอกว่าปลอดภัยแต่ยังไม่รู้สึกตัว..อาจจะ..”
“อาจจะอะไร” คริสถามอย่างร้อนรนเมื่อเห็นว่าเถาเริ่มมีน้ำตาคลอ เพื่อนคนนี้อ่อนไหวและร้องไห้ง่ายแค่ไหนเขารู้ดี
“อาจจะเป็นเจ้าชายนิทรา..” เถาบอกพลางปล่อยโฮออกมาทันที คริสกระชับร่างของเพื่อนเข้ามากอดปลอบ
“มันเป็นเพราะฉันคนเดียว..ถ้าไม่ขอร้องให้ดีโออยู่ช่วยทำงานจนดึก..ดีโอคงไม่โดนรถชนแบบนี้” เมื่อคืนเขาต้องเร่งทำรายงานให้เสร็จ เลยขอร้องให้ดีโอไปช่วยทำที่บ้าน พอทำเสร็จก็ดึกแล้วเขาอาสาจะขับรถไปส่งแต่เพื่อนก็ไม่ยอม บอกลากันที่สวนสาธารณะแถวบ้านเขา เพียงแค่หันหลังกลับไปยังไม่ถึงนาทีเสียงเบรครถและเสียงดัง ปั้ง! ของร่างดีโอที่กระทบกับตัวรถก็ดังขึ้น
“มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอกนะ..เลิกโทษตัวเองได้แล้ว ตอนนี้ที่เราทำได้คืออธิษฐานให้ดีโอปลอดภัยเท่านั้น”
เถารับผ้าเช็ดหน้าจากคริสมาซับน้ำตาเมื่อเริ่มทำใจให้เย็นลงได้แล้ว ก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนข้างๆเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน
“นายพูดเหมือนคุณลุงคนหนึ่งเลย..”
“ลุงที่ไหน”
“ก็ลุงภารโรงของโรงเรียนเราที่แก่ที่สุดไง จำไม่ได้ว่าลุงเขาชื่ออะไรแต่ฉันจำหน้าได้ว่าลุงเขาเป็นภารโรงที่โรงเรียนเรา เขาก็ปลอบฉันแบบที่นายบอกนั้นแหละ..ตอนนี้ที่ทำได้คือแค่อธิษฐานให้ดีโอปลอดภัยเท่านั้น”
“อ้อ..ตาลุงนั้นน่ะเหรอ” คริสพึมพำพลางนึกถึงลุงภารโรงแก่ๆคนหนึ่งที่โรงเรียน นึกถึงก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ไม่มีใครกล้าว่าเขาแบบที่ตาลุงนั้นทำมาก่อน แถมยังกล้าเมินเงินที่เขาให้อีก เฮอะ! นึ กว่าตัวเองเป็นใครกัน พอนึกได้ก็ชักอยากจะเล่นงานขึ้นมาซะแล้วสิ จะได้รู้ไว้ว่าอย่ามาทำกร่างกับคนอย่างอู๋อี้ฟาน
***** Rolling Back *****
ความคิดเห็น