คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1
จะสี่ทุ่มแล้ว ปกติเป็นเวลาที่จุนมยอนจะต้องเข้านอน แต่ว่าวันนี้เขากลับนอนไม่หลับรู้สึกกระวนกระวายและสังหรณ์ใจแปลกๆ เลยตัดสินใจออกไปเดินเล่นนอกบ้าน
“อารมณ์ไหนวะ” นึกแปลกใจตัวเองที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเป็นแบบนี้ ยิ่งอายุวัยไม้ใกล้ฝั่ง ไอ้อารมณ์นึกครึ้มมาเดินเล่นตอนสี่ทุ่มกว่าแทนที่จะนอนหลับอยู่บนเตียงมันไม่เคยมีอยู่ในหัวซักนิด
“ไปหาอะไรดื่มดีกว่า” ตัดสินใจเดินเข้าร้านสะดวกซื้อที่เปิดบริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เข้าไปเดินเล่นแล้วออกมาพร้อมกับน้ำผลไม้หนึ่งกระป๋อง สาวเท้ามุ่งหน้าไปยังสวนสาธารณะเพื่อไปนั่งรับลมเย็นๆช่วงกลางดึกเผื่อว่าจะเกิดความง่วงขึ้นบ้างจะได้กลับไปนอนซักที
เสียงไซเรนร้องดังออกมาจากรถพยาบาลที่วิ่งผ่านหน้าไปทำให้จุนมยอนสะดุ้งเล็กน้อย คิดในใจว่าคงเกิดอุบัติเหตุขึ้นแถวๆนี้ และก็เป็นไปดังคาด เมื่อเขาเดินมาถึงสวนสาธารณะก็เห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนมุงกันอยู่ตรงถนนที่ตัดผ่านหน้าสวนสาธารณะ
“เด็กนักเรียนโดนรถชน” กลุ่มคนที่ยืนมุงอยู่แถวนั้นพูดขึ้น
ร่างที่อาบไปด้วยเลือดถูกหามใส่เตียงก่อนจะนำเข้าไปที่รถพยาบาล สายตาของจุนมยอนจับจ้องอยู่ที่ร่างของเด็กชายผู้โชคร้าย เขาได้แต่รู้สึกหดหู่อยู่ในใจ เพราะดูจากสภาพรถเก๋งที่กระจกแตกเพราะกระแทกร่างของเด็กคนนั้น และสภาพร่างผู้เคราะห์ร้ายที่อาบไปด้วยเลือดแล้วเห็นทีคงรอดยาก
“อายุแค่นี้..ไม่น่าเลยนะพ่อหนุ่ม” พึมพำพลางสวดแผ่เมตตาให้กับหนุ่มน้อยผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น มันเป็นวิธีเดียวที่เขาคิดว่าสามารถพอจะช่วยได้ในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง
“คุณลุงระวัง!”
ความรู้สึกเจ็บแทรกเข้ามาบริเวณหัวไหล่รู้สึกว่าร่างถูกชุดกระชากจนล้มลง เสียงกรี้ดร้องของผู้คนดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงเบรคห้ามล้อของรถกระบะคันหนึ่งที่พุ่งทะยานมาจากอีกฝั่งของถนน
“คุณลุงเป็นอะไรรึเปล่าครับ” เด็กผู้ชายในเครื่องแบบนักเรียนมัธยมปลายเอ่ยถามคนสูงอายุที่เขาฉุดกระชากให้หลบรถกระบะที่เสียหลักพุ่งมาทางที่คุณลุงยื่นอยู่ได้อย่างเฉียดฉิว
“มะ..ไม่เป็นไร” จุนมยอนยังตกใจไม่หาย เขาเอามือนวดไหล่ที่ถูกแรงกระชากจนเจ็บเบาๆ ใจหายวูบเมื่อนึกว่าเมื่อครู่ตัวเองนั้นเข้าใกล้ความตายมากแค่ไหน
“ขอบใจนะ..” หันไปบอกเด็กหนุ่มที่เพิ่งช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าใบหน้าของหนุ่มน้อยตรงหน้าอาบไปด้วยคราบน้ำตาและเครื่องแบบนักเรียนก็มีคราบเลือดติดอยู่ กำลังจะถามว่าเป็นอะไรเด็กคนนั้นก็พูดออกมาซะก่อน
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้วครับ..แค่เพื่อนผมคนเดียวก็เกินพอแล้ว”
“เด็กที่โดนรถชนเพื่อนเธอเหรอ” เด็กหนุ่มพยักหน้าทั้งน้ำตา
“ไม่รอดหรอก..เขาหยุดหายใจไปตั้งนานแล้วด้วยซ้ำก่อนรถพยาบาลจะมา”
“อย่าไปแช่งเพื่อนแบบนั้นสิ..หมอสมัยนี้เก่งจะตาย” แม้จะเห็นด้วยกับเด็กหนุ่มแต่ก็อดไม่ได้ที่จะปลอบใจ
“เป็นเพราะผมคนเดียวดีโอถึงถูกรถชน” เด็กหนุ่มตรงหน้าเริ่มปล่อยโฮออกมา ภาพที่ร่างของเพื่อนกระแทกกับตัวรถแล้วกระเด็นลงถนนยังติดอยู่ในตา เพราะต้องรอให้ปากคำกับตำรวจเลยต้องรออยู่ที่นี้ทั้งๆที่ในใจอยากจะกระโดดขึ้นรถพยาบาลเพื่อตามไปดูอาการเพื่อน
จุนมยอนได้แต่ลูบหลังปลอบใจคนรุ่นหลาน ฟังสิ่งที่อีกคนต้องการระบายออกมาเพื่อให้ใครซักคนช่วยแบ่งเบาความหนักหน่วงในใจอย่างเงียบๆ
“ถ้าผมไม่ขอร้องให้เขาอยู่ช่วยทำงานจนดึกก็คงไม่เป็นแบบนี้”
“ไม่ใช่ความผิดของเธอซักหน่อย..มันเป็นกรรมที่เพื่อนของเธอต้องเจอต่างหาก ตอนนี้แทนที่จะนั่งโทษตัวเองทำไมไม่อธิษฐานขอให้เพื่อนปลอดภัยละ”
“เรื่องแบบนั้นน่ะมันไม่มีจริงซักหน่อย”
“รู้ได้ไงว่ามันไม่จริงแล้วรู้ได้ไงว่ามันจริง..มันเป็นเรื่องที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ก็แปลว่ามันอาจจะจริงแล้วก็ไม่จริงก็ได้ แต่ถ้ามันจริงขึ้นมาล่ะ คนแก่อย่างฉันก็งมงายแบบนี้ละนะ แต่มันก็ไม่เสียหายอะไรที่จะทำไม่ใช่เหรอ เธอจะได้สบายใจขึ้นด้วยไง”
ให้ข้อคิดก่อนจะขอตัวกลับบ้านเพราะเห็นว่าเวลาล่วงเลยเข้าวันใหม่แล้ว นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก็อดนึกไม่ได้ว่าอายุขัยตัวเองจะจบลงเมื่อไหร่ เขาใช้ชีวิตอยู่มานานจนเริ่มปลงกับอะไรหลายๆอย่าง อย่างเรื่องความตายตอนที่ยังหนุ่มเขาก็ช็อคแบบนั้นแหละเมื่อต้องเสียคนใกล้ตัวไป แต่พอวันเวลาผ่านไปจนอายุขนาดนี้ก็เริ่มชินไปเอง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องปกติ สงสัยต้องอายุอานามขนาดเขาก่อนละมั้งถึงจะเข้าใจสัจธรรมชีวิตในข้อนี้
“นายตายเพราะโดนรถชนใช่ไหม”
เด็กหนุ่มตัวเล็กจ้องมองชายร่างสูงในชุดคลุมสีดำตัวยาวที่สวมหมวกคลุมใบหน้าไว้จนมิด
“คะ..ครับ” ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงติดจะสั่นเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยและจำได้ดีเลยว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเขาเพิ่งถูกรถชน ยังจำความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ได้รับตอนที่ร่างถูกกระแทกได้เป็นอย่างดี หลังจากนั้นเหมือนสติเขาจะหลุดลอยไป รู้สึกตัวอีกทีคือตอนที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของแม่กับพ่อ พร้อมกับเห็นร่างตัวเองนอนนิ่งอยู่บนเตียงในห้องผ่าตัดและถูกรุมล้อมไปด้วยแพทย์และพยาบาลที่กำลังทำการปั๊มหัวใจช่วยชีวิตอยู่..นี้เขาตายแล้วเหรอ
“เป็นวิญญาณที่รับรู้สภาพตัวเองได้เร็วดีนะ..เอาละหมดเวลาของนายบนโลกมนุษย์แล้วตามฉันมา” คนในชุดคลุมตัวยาวบอกเสียงเย็นก่อนจะหันหลังเดินนำวิญญาณเด็กหนุ่มไป
ข้อมือที่โผล่พ้นเสื้อคลุมโบกสะบัดกลางอากาศเผยให้เห็นช่องทางที่ค่อยๆแยกออกกลางอากาศ รอซักพักใครอีกคนที่ท่าทางดูใจดีก็โผล่หน้าออกมาจากช่องทางนั้น
“งานยุ่งเชียวนะไค..ไม่ใช่มันเวลาเลิกงานแล้วเหรอ” มินซอกผู้พิทักษ์ประตูหยินหยางทักทายยมทูตที่ตอนนี้เปิดหมวกคลุมออก เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอนมาหลายวัน วิญญาณเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลังเบิกตากว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใบหน้าของยมทูตภายใต้หมวกนั้นดูดีกว่าที่เขาจินตนาการไว้เยอะ เขาคิดว่ายมทูตจะมีแต่หัวกะโหลกแบบที่เคยอ่านเจอในการ์ตูนซะอีก
“ช่วงนี้คนตายเยอะ..หัวหน้าก็ติดเคลียร์เอกสาร จนเดือดร้อนฉันต้องทำงานล่วงเวลา ตามจริงนี้เป็นเคสของหัวหน้าต่างหาก” ไคอธิบาย ยมทูตจะมีสังกัดอยู่ตามแต่ละพื้นที่และแต่ละสังกัดก็จะมีหัวหน้าหน่วย เขาเป็นยมทูตน้องใหม่เลยถูกหัวหน้าใช้งานหนักกว่าใครเพื่อนจนไม่ได้นอนพักมาสองวันเต็มๆแล้ว พอถึงเวลาจะได้พักก็ถูกเรียกตัวด่วนซะได้
“ขอรายงานประวัติด้วย” เป็นหน้าที่ของผู้พิทักษ์ประตูหยินหยางที่ต้องคอยตรวจสอบการเข้าออกระหว่างมิติทั้งสอง และต้องคอยตรวจเช็คดวงวิญญาณที่ยมทูตจะพาเข้าสู่แดนหยินด้วย
“หัวหน้ายังไม่ส่งมาให้อีกเหรอ..ประวัติอยู่กับหัวหน้าน่ะ” ตามปกติแล้วยมทูตจะมีบัญชีประวัติของดวงวิญญาณที่ต้องมาเก็บทุกดวง แต่กรณีนี้เป็นเคสของหัวหน้า ด้วยความเร่งรีบหัวหน้าจึงแค่บอกว่าให้เขามาเก็บดวงวิญญาณที่ถูกรถชนตายแล้วจะส่งประวัติมาให้ผู้พิทักษ์ประตูหยินหยางเอง
“ฉันยังไม่ได้รับข้อความอะไรจากลู่หานเลยนะ..แล้วนายเก็บวิญญาณมาโดยที่ไม่ได้ซักประวัติอะไรเลยงั้นเหรอ นี้นายสอบผ่านใบประกอบอาชีพยมทูตมาได้ยังไงกัน!”
“ก็หัวหน้าเพิ่งบอกฉันไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง..แถมไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเลยนอกจาก สาเหตุการตาย สถานที่และเวลา ซึ่งมันก็มีแค่วิญญาณนี้ดวงเดียวเท่านั้น”
“ไม่มีประวัติก็ให้ผ่านไม่ได้นะนายก็รู้..”
“งั้นเดี๋ยวฉันติดต่อหัวหน้าให้..ง่วงจะตายอยู่แล้วขืนนายยังไม่ให้ผ่านอีกฉันจะนอนมันตรงนี้แหละ!” มินซอกขำกับอาการหงุดหงิดของยมทูตหน้าใหม่ที่กำลังหมุนแหวนที่นิ้วเพื่อทำการติดต่อกับหัวหน้าหน่วยของตนเอง
“นายยังเด็กอยู่เลยนะ..ชื่ออะไรเหรอ” ผู้พิทักษ์ประตูหยินหยางหันมาพูดคุยกับดวงวิญญาณที่ยื่นนิ่งเงียบอยู่คนเดียวระหว่างรอไคติดต่อกับหัวหน้าหน่วย
“โดคยองซูครับ”
“อายุเท่าไหร่ล่ะ”
“สิบแปดครับ”
“เป็นวิญญาณที่นิ่งดีจังนะ..ปกติแล้ววิญญาณส่วนมากจะส่งเสียงร้องไห้โฮซะจนน่ารำคาญ” มินซอกนึกถึงดวงวิญญาณมากมายที่ยังทำใจไม่ได้กับการตายของตัวเอง แต่วิญญาณตรงหน้าเขาตอนนี้แค่ทำหน้าเศร้านิ่งๆเงียบๆเท่านั้น เขาคิดว่าวิญญาณที่จะก้าวเข้าสู่แดนหยินควรจะดีใจซะมากกว่าที่ตัวเองใช้กรรมในชาตินี้เสร็จซักที แต่เพราะมนุษย์ยังมีกิเลสยึดติดกับเรื่องราวของตัวเองอยู่ตลอดเวลาเลยไม่สามารถทำใจได้ที่ตัวเองต้องสูญเสียสิ่งที่เคยมีไป ไม่ก็รู้สึกเสียดายว่ายังไม่ได้ทำนั้นทำนี้เลยก็มาตายซะก่อน ความฝั่งใจเลยติดตัวตามไปชาติหน้าจนต้องมาเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบจักสิ้น แบบนี้ไงวิญญาณจำนวนมหาศาลถึงยังวงเวียนอยู่ในสังสารวัฏ(ภพภูมิที่มนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิด)ไม่ยอมพากันนิพพานไปซักที
“ติดต่อได้แล้ว คุยกันเองแล้วกัน” มินซอกรับแหวนที่ยมทูตโยนให้ก่อนจะใช้นิ้วสัมผัสลงบนอัญมณีที่ประดับอยู่บนหัวแหวน
“ฮ้า!..อาลู่นี้นายดูซูบลงเยอะเลยนะ” ในหัวของเขาปรากฏเป็นภาพของยมทูตตนหนึ่งที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานที่มีเอกสารกองอยู่เต็มไปหมด
“นี้มินซอก..” แม้แต่น้ำเสียงก็ยังอิดโรยไม่แพ้หน้าตา
“หัวหน้าหน่วยยมทูตทำงานหนักขนาดนี้เลยเหรอไง” ถามออกไปอย่างอดสงสัยไม่ได้เมื่อเห็นขอบตาของคนที่สนทนาด้วยนั้นคล้ำจนดูออกว่าไม่ได้นอนมาหลายวัน
“ก็เออน่ะสิ..มีดวงวิญญาณตั้งมากมายที่ตามเก็บไม่เจอ แถมยังปัญหานู้นนี้นั้นล้านแปด รู้แบบนี้แล้วนายก็รีบๆปล่อยให้ไคพาดวงวิญญาณเข้ามาซะ”
“จะบ้าเหรอไง..ยังไงฉันก็ต้องเช็คประวัติก่อน นายก็แค่รีบๆส่งประวัติมาให้ฉันดู”
“นายดูเวลาบ้างรึเปล่าฮะ! นี้มันเวลาเลิกงานแล้วเจ้าหน้าที่ส่งสารกลับบ้านกันไปหมดแล้ว และฉันก็มีงานติดพันไปไม่ได้ด้วย ถือว่าขอร้องเถอะนะ นายไม่เห็นหรือไงว่าฉันร่างจะสลายอยู่แล้วเนี่ย” ใบหน้าหงุดหงิดปนเหนื่อยโทรมของลู่หานทำให้ผู้พิทักษ์ประตูหยินหยางพยักหน้าอย่างจำใจ
“ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมานายต้องรับผิดชอบนะอาลู่ เห็นว่าเป็นเพื่อนกันหรอกนะถึงช่วย เอ้า! พาเข้าไปได้แล้ว”
ไคเดินนำดวงวิญญาณก้าวผ่านประตูมิติ ดีโอรู้สึกกลัวเล็กน้อยตอนที่เท้าเขาก้าวเข้าไปในประตูนั้น
“เข้าสู่แดนหยินเต็มตัวแล้ว ชีวิตในแดนหยางของนายก็ถือว่าจบลง นายจะจำเรื่องราวของชาตินี้ไปได้จนกว่าจะเกิดใหม่อีกครั้ง” เสียงเยือกเย็นของยมทูตอธิบายให้วิญญาณที่เดินตามหลังฟัง
“เมื่อดวงวิญญาณใดก้าวผ่านเข้ามาในแดนหยินก็ถือว่าเป็นคนของแดนหยินโดยทันที จะไม่สามารถกลับไปที่แดนหยางได้อีกจนกว่าจะได้รับอนุญาตจากผู้พิทักษ์ประตูหยินหยางหรือไม่ก็ตอนไปเกิดใหม่อีกครั้ง การที่วิญญาณแอบลักลอบเข้าแดนหยางถือเป็นความผิดร้ายแรงอย่างมาก การลงโทษขั้นหนักสุดคือการถูกพิพากษาให้สลายวิญญาณ เพราะฉะนั้นนายอย่าคิดหนีกลับไปโลกมนุษย์เด็ดขาด”
ทางเดินรอบด้านมีเพียงกลุ่มหมอกที่ปกคลุมหนาแน่นจนไม่สามารถมองเห็นอะไรนอกจากพื้นอิฐที่เดินเหยียบอยู่เท่านั้น ดีโอค่อยๆหยุดฝีเท้าลงเมื่อยมทูตนำเขามาหยุดอยู่หน้าประตูไม้ขนาดใหญ่ที่ขนาบข้างด้วยกำแพงอิฐสูงและยาวขยายออกด้านข้างจนเลยไปสุดสายตา
เกิดเสียงดัง เอี๊ยด..เมื่อยมทูตหนุ่มผลักประตูบานไม้นั้นให้เปิดออก ดีโอที่มองอยู่นึกหวั่นเกรงในพละกำลังของยมทูตที่แค่ผลักเบาๆประตูขนาดใหญ่ยักษ์ก็เปิดออกอย่างง่ายดาย
“นี้คือยมโลก..นายต้องเข้ารับการพิพากษาวิญญาณจากที่นี้ก่อนเพื่อดูว่านายจะถูกส่งตัวไปที่ไหน ก็มีแค่สามที่เท่านั้นแหละ สวรรค์ นรก ไม่ก็ยมโลก ถ้าทำความชั่วไว้เยอะก็จะถูกส่งตัวลงไปทำโทษในนรก ถ้าทำความดีไว้เยอะก็จะมีทางเลือกคือไปทำหน้าที่บนสวรรค์หรือจะทำหน้าที่ในยมโลกนี้ก็ได้ แต่นายเป็นดวงวิญญาณในความดูแลของหัวหน้า หัวหน้าเท่านั้นที่จะเป็นคนพานายไปยังแดนพิพากษาได้ เพราะฉะนั้นฉันจะพานายไปส่งต่อให้หัวหน้า”
วิญญาณหนุ่มน้อยมองซ้ายมองขวาไปตลอดสองข้างทางอย่างตื่นตาตื่นใจ เขาแทบอยากจะเขียนบันทึกลงในสมุดแล้วโยนกลับไปให้เพื่อนในโลกมนุษย์ได้อ่านจริงๆว่ายมโลกนั้นเป็นยังไง มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลย มันเหมือนเมืองๆหนึ่งไม่มีผิด ติดที่บรรยากาศจะดูมืดๆและเย็นๆ ยมทูตพาเข้าเดินเข้าไปภายในอาคารสูงใหญ่ที่มีป้ายเขียนไว้ตรงทางเข้าว่า ‘สำนักงานยมทูต’ ภายในมีคนใส่ชุดฟอร์มเดียวกันคือเสื้อคลุมยาวสีดำ
ไคเคาะประตูหน้าห้องของหัวหน้าหน่วยก่อนจะเปิดเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงอนุญาตให้เข้าไปได้
“ขอบคุณมากนะไค ไม่มีนายฉันต้องตายแน่ๆ นายกลับไปพักผ่อนได้แล้วล่ะ” ลู่หาน หัวหน้าหน่วยยมทูตที่ไคสังกัดอยู่เอ่ยขอบคุณ แต่ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาตรวจเช็คเอกสารตรงหน้าอย่างเคร่งเครียดไม่ได้มองหน้าผู้เข้ามาใหม่ซักนิด
“งั้นผมขอตัว” เมื่อสิ้นสุดหน้าที่ยมทูตหนุ่มก็เดินออกไปจากห้องทันที ทิ้งให้วิญญาณหน้าใหม่ยืนนิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของหัวหน้าหน่วยยมทูตที่ตอนนี้ยังคงให้ความสนใจกับเอกสารในมือมากกว่าวิญญาณตรงหน้า
“อ้า..ขอโทษทีนะ เอ๋..ทำไม” ลู่หานตาแทบถลนเมื่อเห็นวิญญาณที่อยู่ตรงหน้า
“มันต้องมีอะไรผิดพลาด!” โพล่งอย่างตกใจแล้วรีบหยิบสมุดที่หอปกด้วยหนังสีดำขึ้นมาดูอย่างรวดเร็ว
“บอกชื่อมา!” ถามอย่างร้อนรนพลางเปิดไล่หน้าสมุดอย่างเอาเป็นเอาตาย
“โดคยองซูครับ” ดีโอมองยมทูตตรงหน้าอย่างสงสัย เกิดอะไรขึ้นทำไมต้องทำหน้าตื่นขนาดนั้นกันตอนเห็นเขา
“มะ..ไม่มี! มันหายไปได้ไง ตอนนั้นยังเห็นอยู่เลย!” ลู่หานมองหน้ากระดาษที่แสดงประวัติของดวงวิญญาณที่ต้องเก็บในแต่ละวัน หน้ากระดาษที่แสดงประวัติวิญญาณที่ต้องเก็บล่าสุดกลับว่างเปล่า ตัวอักษรที่เคยมีทั้งหมดหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ประวัติของวิญญาณคิมจุนมยอนหายไปไหน!”
***** Rolling Back *****
ความคิดเห็น