ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rolling Back (FIC EXO- Kris X Suho)

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.ย. 55


    จะสี่ทุ่มแล้ว  ปกติเป็นเวลาที่จุนมยอนจะต้องเข้านอน  แต่ว่าวันนี้เขากลับนอนไม่หลับรู้สึกกระวนกระวายและสังหรณ์ใจแปลกๆ  เลยตัดสินใจออกไปเดินเล่นนอกบ้าน

    “อารมณ์ไหนวะ”  นึกแปลกใจตัวเองที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเป็นแบบนี้  ยิ่งอายุวัยไม้ใกล้ฝั่ง  ไอ้อารมณ์นึกครึ้มมาเดินเล่นตอนสี่ทุ่มกว่าแทนที่จะนอนหลับอยู่บนเตียงมันไม่เคยมีอยู่ในหัวซักนิด

    “ไปหาอะไรดื่มดีกว่า”  ตัดสินใจเดินเข้าร้านสะดวกซื้อที่เปิดบริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง  เข้าไปเดินเล่นแล้วออกมาพร้อมกับน้ำผลไม้หนึ่งกระป๋อง  สาวเท้ามุ่งหน้าไปยังสวนสาธารณะเพื่อไปนั่งรับลมเย็นๆช่วงกลางดึกเผื่อว่าจะเกิดความง่วงขึ้นบ้างจะได้กลับไปนอนซักที

    เสียงไซเรนร้องดังออกมาจากรถพยาบาลที่วิ่งผ่านหน้าไปทำให้จุนมยอนสะดุ้งเล็กน้อย  คิดในใจว่าคงเกิดอุบัติเหตุขึ้นแถวๆนี้  และก็เป็นไปดังคาด  เมื่อเขาเดินมาถึงสวนสาธารณะก็เห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนมุงกันอยู่ตรงถนนที่ตัดผ่านหน้าสวนสาธารณะ

    “เด็กนักเรียนโดนรถชน”  กลุ่มคนที่ยืนมุงอยู่แถวนั้นพูดขึ้น 

    ร่างที่อาบไปด้วยเลือดถูกหามใส่เตียงก่อนจะนำเข้าไปที่รถพยาบาล  สายตาของจุนมยอนจับจ้องอยู่ที่ร่างของเด็กชายผู้โชคร้าย  เขาได้แต่รู้สึกหดหู่อยู่ในใจ  เพราะดูจากสภาพรถเก๋งที่กระจกแตกเพราะกระแทกร่างของเด็กคนนั้น  และสภาพร่างผู้เคราะห์ร้ายที่อาบไปด้วยเลือดแล้วเห็นทีคงรอดยาก

    “อายุแค่นี้..ไม่น่าเลยนะพ่อหนุ่ม”  พึมพำพลางสวดแผ่เมตตาให้กับหนุ่มน้อยผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น  มันเป็นวิธีเดียวที่เขาคิดว่าสามารถพอจะช่วยได้ในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง

    “คุณลุงระวัง!” 

    ความรู้สึกเจ็บแทรกเข้ามาบริเวณหัวไหล่รู้สึกว่าร่างถูกชุดกระชากจนล้มลง  เสียงกรี้ดร้องของผู้คนดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงเบรคห้ามล้อของรถกระบะคันหนึ่งที่พุ่งทะยานมาจากอีกฝั่งของถนน

    “คุณลุงเป็นอะไรรึเปล่าครับ”  เด็กผู้ชายในเครื่องแบบนักเรียนมัธยมปลายเอ่ยถามคนสูงอายุที่เขาฉุดกระชากให้หลบรถกระบะที่เสียหลักพุ่งมาทางที่คุณลุงยื่นอยู่ได้อย่างเฉียดฉิว

    “มะ..ไม่เป็นไร”  จุนมยอนยังตกใจไม่หาย  เขาเอามือนวดไหล่ที่ถูกแรงกระชากจนเจ็บเบาๆ  ใจหายวูบเมื่อนึกว่าเมื่อครู่ตัวเองนั้นเข้าใกล้ความตายมากแค่ไหน

    “ขอบใจนะ..”  หันไปบอกเด็กหนุ่มที่เพิ่งช่วยชีวิตเขาไว้  แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าใบหน้าของหนุ่มน้อยตรงหน้าอาบไปด้วยคราบน้ำตาและเครื่องแบบนักเรียนก็มีคราบเลือดติดอยู่  กำลังจะถามว่าเป็นอะไรเด็กคนนั้นก็พูดออกมาซะก่อน

    “ไม่เป็นไรก็ดีแล้วครับ..แค่เพื่อนผมคนเดียวก็เกินพอแล้ว” 

    “เด็กที่โดนรถชนเพื่อนเธอเหรอ”  เด็กหนุ่มพยักหน้าทั้งน้ำตา

    “ไม่รอดหรอก..เขาหยุดหายใจไปตั้งนานแล้วด้วยซ้ำก่อนรถพยาบาลจะมา”

    “อย่าไปแช่งเพื่อนแบบนั้นสิ..หมอสมัยนี้เก่งจะตาย”  แม้จะเห็นด้วยกับเด็กหนุ่มแต่ก็อดไม่ได้ที่จะปลอบใจ

    “เป็นเพราะผมคนเดียวดีโอถึงถูกรถชน”  เด็กหนุ่มตรงหน้าเริ่มปล่อยโฮออกมา  ภาพที่ร่างของเพื่อนกระแทกกับตัวรถแล้วกระเด็นลงถนนยังติดอยู่ในตา  เพราะต้องรอให้ปากคำกับตำรวจเลยต้องรออยู่ที่นี้ทั้งๆที่ในใจอยากจะกระโดดขึ้นรถพยาบาลเพื่อตามไปดูอาการเพื่อน

    จุนมยอนได้แต่ลูบหลังปลอบใจคนรุ่นหลาน  ฟังสิ่งที่อีกคนต้องการระบายออกมาเพื่อให้ใครซักคนช่วยแบ่งเบาความหนักหน่วงในใจอย่างเงียบๆ

    “ถ้าผมไม่ขอร้องให้เขาอยู่ช่วยทำงานจนดึกก็คงไม่เป็นแบบนี้”

    “ไม่ใช่ความผิดของเธอซักหน่อย..มันเป็นกรรมที่เพื่อนของเธอต้องเจอต่างหาก  ตอนนี้แทนที่จะนั่งโทษตัวเองทำไมไม่อธิษฐานขอให้เพื่อนปลอดภัยละ”

    “เรื่องแบบนั้นน่ะมันไม่มีจริงซักหน่อย”

    “รู้ได้ไงว่ามันไม่จริงแล้วรู้ได้ไงว่ามันจริง..มันเป็นเรื่องที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ก็แปลว่ามันอาจจะจริงแล้วก็ไม่จริงก็ได้  แต่ถ้ามันจริงขึ้นมาล่ะ  คนแก่อย่างฉันก็งมงายแบบนี้ละนะ  แต่มันก็ไม่เสียหายอะไรที่จะทำไม่ใช่เหรอ  เธอจะได้สบายใจขึ้นด้วยไง”

    ให้ข้อคิดก่อนจะขอตัวกลับบ้านเพราะเห็นว่าเวลาล่วงเลยเข้าวันใหม่แล้ว  นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก็อดนึกไม่ได้ว่าอายุขัยตัวเองจะจบลงเมื่อไหร่  เขาใช้ชีวิตอยู่มานานจนเริ่มปลงกับอะไรหลายๆอย่าง  อย่างเรื่องความตายตอนที่ยังหนุ่มเขาก็ช็อคแบบนั้นแหละเมื่อต้องเสียคนใกล้ตัวไป  แต่พอวันเวลาผ่านไปจนอายุขนาดนี้ก็เริ่มชินไปเอง  เกิด  แก่  เจ็บ  ตาย  เป็นเรื่องปกติ  สงสัยต้องอายุอานามขนาดเขาก่อนละมั้งถึงจะเข้าใจสัจธรรมชีวิตในข้อนี้

     

     

    “นายตายเพราะโดนรถชนใช่ไหม” 

    เด็กหนุ่มตัวเล็กจ้องมองชายร่างสูงในชุดคลุมสีดำตัวยาวที่สวมหมวกคลุมใบหน้าไว้จนมิด 

    “คะ..ครับ”  ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงติดจะสั่นเล็กน้อย  เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยและจำได้ดีเลยว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเขาเพิ่งถูกรถชน  ยังจำความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ได้รับตอนที่ร่างถูกกระแทกได้เป็นอย่างดี  หลังจากนั้นเหมือนสติเขาจะหลุดลอยไป  รู้สึกตัวอีกทีคือตอนที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของแม่กับพ่อ  พร้อมกับเห็นร่างตัวเองนอนนิ่งอยู่บนเตียงในห้องผ่าตัดและถูกรุมล้อมไปด้วยแพทย์และพยาบาลที่กำลังทำการปั๊มหัวใจช่วยชีวิตอยู่..นี้เขาตายแล้วเหรอ    

    “เป็นวิญญาณที่รับรู้สภาพตัวเองได้เร็วดีนะ..เอาละหมดเวลาของนายบนโลกมนุษย์แล้วตามฉันมา”  คนในชุดคลุมตัวยาวบอกเสียงเย็นก่อนจะหันหลังเดินนำวิญญาณเด็กหนุ่มไป

    ข้อมือที่โผล่พ้นเสื้อคลุมโบกสะบัดกลางอากาศเผยให้เห็นช่องทางที่ค่อยๆแยกออกกลางอากาศ  รอซักพักใครอีกคนที่ท่าทางดูใจดีก็โผล่หน้าออกมาจากช่องทางนั้น

    “งานยุ่งเชียวนะไค..ไม่ใช่มันเวลาเลิกงานแล้วเหรอ”  มินซอกผู้พิทักษ์ประตูหยินหยางทักทายยมทูตที่ตอนนี้เปิดหมวกคลุมออก  เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอนมาหลายวัน  วิญญาณเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลังเบิกตากว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใบหน้าของยมทูตภายใต้หมวกนั้นดูดีกว่าที่เขาจินตนาการไว้เยอะ  เขาคิดว่ายมทูตจะมีแต่หัวกะโหลกแบบที่เคยอ่านเจอในการ์ตูนซะอีก

    “ช่วงนี้คนตายเยอะ..หัวหน้าก็ติดเคลียร์เอกสาร  จนเดือดร้อนฉันต้องทำงานล่วงเวลา  ตามจริงนี้เป็นเคสของหัวหน้าต่างหาก”  ไคอธิบาย  ยมทูตจะมีสังกัดอยู่ตามแต่ละพื้นที่และแต่ละสังกัดก็จะมีหัวหน้าหน่วย  เขาเป็นยมทูตน้องใหม่เลยถูกหัวหน้าใช้งานหนักกว่าใครเพื่อนจนไม่ได้นอนพักมาสองวันเต็มๆแล้ว  พอถึงเวลาจะได้พักก็ถูกเรียกตัวด่วนซะได้

    “ขอรายงานประวัติด้วย”  เป็นหน้าที่ของผู้พิทักษ์ประตูหยินหยางที่ต้องคอยตรวจสอบการเข้าออกระหว่างมิติทั้งสอง  และต้องคอยตรวจเช็คดวงวิญญาณที่ยมทูตจะพาเข้าสู่แดนหยินด้วย

    “หัวหน้ายังไม่ส่งมาให้อีกเหรอ..ประวัติอยู่กับหัวหน้าน่ะ”  ตามปกติแล้วยมทูตจะมีบัญชีประวัติของดวงวิญญาณที่ต้องมาเก็บทุกดวง  แต่กรณีนี้เป็นเคสของหัวหน้า  ด้วยความเร่งรีบหัวหน้าจึงแค่บอกว่าให้เขามาเก็บดวงวิญญาณที่ถูกรถชนตายแล้วจะส่งประวัติมาให้ผู้พิทักษ์ประตูหยินหยางเอง

    “ฉันยังไม่ได้รับข้อความอะไรจากลู่หานเลยนะ..แล้วนายเก็บวิญญาณมาโดยที่ไม่ได้ซักประวัติอะไรเลยงั้นเหรอ  นี้นายสอบผ่านใบประกอบอาชีพยมทูตมาได้ยังไงกัน!

    “ก็หัวหน้าเพิ่งบอกฉันไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง..แถมไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเลยนอกจาก  สาเหตุการตาย  สถานที่และเวลา  ซึ่งมันก็มีแค่วิญญาณนี้ดวงเดียวเท่านั้น”

    “ไม่มีประวัติก็ให้ผ่านไม่ได้นะนายก็รู้..

    “งั้นเดี๋ยวฉันติดต่อหัวหน้าให้..ง่วงจะตายอยู่แล้วขืนนายยังไม่ให้ผ่านอีกฉันจะนอนมันตรงนี้แหละ!”  มินซอกขำกับอาการหงุดหงิดของยมทูตหน้าใหม่ที่กำลังหมุนแหวนที่นิ้วเพื่อทำการติดต่อกับหัวหน้าหน่วยของตนเอง

    “นายยังเด็กอยู่เลยนะ..ชื่ออะไรเหรอ”  ผู้พิทักษ์ประตูหยินหยางหันมาพูดคุยกับดวงวิญญาณที่ยื่นนิ่งเงียบอยู่คนเดียวระหว่างรอไคติดต่อกับหัวหน้าหน่วย

    “โดคยองซูครับ”

    “อายุเท่าไหร่ล่ะ”

    “สิบแปดครับ” 

    “เป็นวิญญาณที่นิ่งดีจังนะ..ปกติแล้ววิญญาณส่วนมากจะส่งเสียงร้องไห้โฮซะจนน่ารำคาญ”  มินซอกนึกถึงดวงวิญญาณมากมายที่ยังทำใจไม่ได้กับการตายของตัวเอง  แต่วิญญาณตรงหน้าเขาตอนนี้แค่ทำหน้าเศร้านิ่งๆเงียบๆเท่านั้น  เขาคิดว่าวิญญาณที่จะก้าวเข้าสู่แดนหยินควรจะดีใจซะมากกว่าที่ตัวเองใช้กรรมในชาตินี้เสร็จซักที  แต่เพราะมนุษย์ยังมีกิเลสยึดติดกับเรื่องราวของตัวเองอยู่ตลอดเวลาเลยไม่สามารถทำใจได้ที่ตัวเองต้องสูญเสียสิ่งที่เคยมีไป  ไม่ก็รู้สึกเสียดายว่ายังไม่ได้ทำนั้นทำนี้เลยก็มาตายซะก่อน  ความฝั่งใจเลยติดตัวตามไปชาติหน้าจนต้องมาเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบจักสิ้น  แบบนี้ไงวิญญาณจำนวนมหาศาลถึงยังวงเวียนอยู่ในสังสารวัฏ(ภพภูมิที่มนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิด)ไม่ยอมพากันนิพพานไปซักที

    “ติดต่อได้แล้ว  คุยกันเองแล้วกัน”  มินซอกรับแหวนที่ยมทูตโยนให้ก่อนจะใช้นิ้วสัมผัสลงบนอัญมณีที่ประดับอยู่บนหัวแหวน

    “ฮ้า!..อาลู่นี้นายดูซูบลงเยอะเลยนะ”  ในหัวของเขาปรากฏเป็นภาพของยมทูตตนหนึ่งที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานที่มีเอกสารกองอยู่เต็มไปหมด 

    “นี้มินซอก..”  แม้แต่น้ำเสียงก็ยังอิดโรยไม่แพ้หน้าตา

    “หัวหน้าหน่วยยมทูตทำงานหนักขนาดนี้เลยเหรอไง”  ถามออกไปอย่างอดสงสัยไม่ได้เมื่อเห็นขอบตาของคนที่สนทนาด้วยนั้นคล้ำจนดูออกว่าไม่ได้นอนมาหลายวัน

    “ก็เออน่ะสิ..มีดวงวิญญาณตั้งมากมายที่ตามเก็บไม่เจอ  แถมยังปัญหานู้นนี้นั้นล้านแปด  รู้แบบนี้แล้วนายก็รีบๆปล่อยให้ไคพาดวงวิญญาณเข้ามาซะ”

    “จะบ้าเหรอไง..ยังไงฉันก็ต้องเช็คประวัติก่อน  นายก็แค่รีบๆส่งประวัติมาให้ฉันดู”

    “นายดูเวลาบ้างรึเปล่าฮะนี้มันเวลาเลิกงานแล้วเจ้าหน้าที่ส่งสารกลับบ้านกันไปหมดแล้ว  และฉันก็มีงานติดพันไปไม่ได้ด้วย  ถือว่าขอร้องเถอะนะ  นายไม่เห็นหรือไงว่าฉันร่างจะสลายอยู่แล้วเนี่ย”  ใบหน้าหงุดหงิดปนเหนื่อยโทรมของลู่หานทำให้ผู้พิทักษ์ประตูหยินหยางพยักหน้าอย่างจำใจ

    “ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมานายต้องรับผิดชอบนะอาลู่  เห็นว่าเป็นเพื่อนกันหรอกนะถึงช่วย  เอ้าพาเข้าไปได้แล้ว” 

    ไคเดินนำดวงวิญญาณก้าวผ่านประตูมิติ  ดีโอรู้สึกกลัวเล็กน้อยตอนที่เท้าเขาก้าวเข้าไปในประตูนั้น

    “เข้าสู่แดนหยินเต็มตัวแล้ว  ชีวิตในแดนหยางของนายก็ถือว่าจบลง  นายจะจำเรื่องราวของชาตินี้ไปได้จนกว่าจะเกิดใหม่อีกครั้ง”  เสียงเยือกเย็นของยมทูตอธิบายให้วิญญาณที่เดินตามหลังฟัง 

    “เมื่อดวงวิญญาณใดก้าวผ่านเข้ามาในแดนหยินก็ถือว่าเป็นคนของแดนหยินโดยทันที  จะไม่สามารถกลับไปที่แดนหยางได้อีกจนกว่าจะได้รับอนุญาตจากผู้พิทักษ์ประตูหยินหยางหรือไม่ก็ตอนไปเกิดใหม่อีกครั้ง  การที่วิญญาณแอบลักลอบเข้าแดนหยางถือเป็นความผิดร้ายแรงอย่างมาก  การลงโทษขั้นหนักสุดคือการถูกพิพากษาให้สลายวิญญาณ  เพราะฉะนั้นนายอย่าคิดหนีกลับไปโลกมนุษย์เด็ดขาด”

    ทางเดินรอบด้านมีเพียงกลุ่มหมอกที่ปกคลุมหนาแน่นจนไม่สามารถมองเห็นอะไรนอกจากพื้นอิฐที่เดินเหยียบอยู่เท่านั้น  ดีโอค่อยๆหยุดฝีเท้าลงเมื่อยมทูตนำเขามาหยุดอยู่หน้าประตูไม้ขนาดใหญ่ที่ขนาบข้างด้วยกำแพงอิฐสูงและยาวขยายออกด้านข้างจนเลยไปสุดสายตา

    เกิดเสียงดัง  เอี๊ยด..เมื่อยมทูตหนุ่มผลักประตูบานไม้นั้นให้เปิดออก  ดีโอที่มองอยู่นึกหวั่นเกรงในพละกำลังของยมทูตที่แค่ผลักเบาๆประตูขนาดใหญ่ยักษ์ก็เปิดออกอย่างง่ายดาย

    “นี้คือยมโลก..นายต้องเข้ารับการพิพากษาวิญญาณจากที่นี้ก่อนเพื่อดูว่านายจะถูกส่งตัวไปที่ไหน  ก็มีแค่สามที่เท่านั้นแหละ  สวรรค์  นรก  ไม่ก็ยมโลก  ถ้าทำความชั่วไว้เยอะก็จะถูกส่งตัวลงไปทำโทษในนรก  ถ้าทำความดีไว้เยอะก็จะมีทางเลือกคือไปทำหน้าที่บนสวรรค์หรือจะทำหน้าที่ในยมโลกนี้ก็ได้  แต่นายเป็นดวงวิญญาณในความดูแลของหัวหน้า  หัวหน้าเท่านั้นที่จะเป็นคนพานายไปยังแดนพิพากษาได้  เพราะฉะนั้นฉันจะพานายไปส่งต่อให้หัวหน้า”

    วิญญาณหนุ่มน้อยมองซ้ายมองขวาไปตลอดสองข้างทางอย่างตื่นตาตื่นใจ  เขาแทบอยากจะเขียนบันทึกลงในสมุดแล้วโยนกลับไปให้เพื่อนในโลกมนุษย์ได้อ่านจริงๆว่ายมโลกนั้นเป็นยังไง  มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลย  มันเหมือนเมืองๆหนึ่งไม่มีผิด  ติดที่บรรยากาศจะดูมืดๆและเย็นๆ  ยมทูตพาเข้าเดินเข้าไปภายในอาคารสูงใหญ่ที่มีป้ายเขียนไว้ตรงทางเข้าว่า  สำนักงานยมทูต’  ภายในมีคนใส่ชุดฟอร์มเดียวกันคือเสื้อคลุมยาวสีดำ

    ไคเคาะประตูหน้าห้องของหัวหน้าหน่วยก่อนจะเปิดเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงอนุญาตให้เข้าไปได้

    “ขอบคุณมากนะไค  ไม่มีนายฉันต้องตายแน่ๆ  นายกลับไปพักผ่อนได้แล้วล่ะ”  ลู่หาน  หัวหน้าหน่วยยมทูตที่ไคสังกัดอยู่เอ่ยขอบคุณ  แต่ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาตรวจเช็คเอกสารตรงหน้าอย่างเคร่งเครียดไม่ได้มองหน้าผู้เข้ามาใหม่ซักนิด

    “งั้นผมขอตัว”  เมื่อสิ้นสุดหน้าที่ยมทูตหนุ่มก็เดินออกไปจากห้องทันที  ทิ้งให้วิญญาณหน้าใหม่ยืนนิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของหัวหน้าหน่วยยมทูตที่ตอนนี้ยังคงให้ความสนใจกับเอกสารในมือมากกว่าวิญญาณตรงหน้า

    “อ้า..ขอโทษทีนะ  เอ๋..ทำไม”  ลู่หานตาแทบถลนเมื่อเห็นวิญญาณที่อยู่ตรงหน้า

    “มันต้องมีอะไรผิดพลาด!”  โพล่งอย่างตกใจแล้วรีบหยิบสมุดที่หอปกด้วยหนังสีดำขึ้นมาดูอย่างรวดเร็ว

    “บอกชื่อมา!”  ถามอย่างร้อนรนพลางเปิดไล่หน้าสมุดอย่างเอาเป็นเอาตาย

    “โดคยองซูครับ”  ดีโอมองยมทูตตรงหน้าอย่างสงสัย  เกิดอะไรขึ้นทำไมต้องทำหน้าตื่นขนาดนั้นกันตอนเห็นเขา

    “มะ..ไม่มี!  มันหายไปได้ไง  ตอนนั้นยังเห็นอยู่เลย!”  ลู่หานมองหน้ากระดาษที่แสดงประวัติของดวงวิญญาณที่ต้องเก็บในแต่ละวัน  หน้ากระดาษที่แสดงประวัติวิญญาณที่ต้องเก็บล่าสุดกลับว่างเปล่า  ตัวอักษรที่เคยมีทั้งหมดหายไปอย่างไร้ร่องรอย

    “ประวัติของวิญญาณคิมจุนมยอนหายไปไหน!







     

    *****  Rolling Back  *****









     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×