คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : (RL) บทที่ 1 : ขุนพลเทพทั้งห้า
บทที่ 1
- ขุนพลเทพทั้งห้า -
กลิ่นความเศร้าลอยเคล้ามากับสายฝน ไม่มีลมพัดมาแต่อย่างใด รางกับธรรมชาติรับรู้ถึงการจากไปของพวกเขาทั้งสอง ที่ป่าหลังบ้านไม้เก่าๆนั้นผู้คนจำนวนยี่สิบชีวิต ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ยืนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เมื่อผู้เฒ่าเซนส์วางดอกไม้สีขาวบนหลุมฝังศพที่มีร่างของโคชาร์ตและเอมี่นอนหลับใหลอยู่ภายใต้ผืนดินเสร็จแล้ว ทุกคนจึงพากันก้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อเคารพบุคคลทั้งสอง
ไอริสพยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้ แต่ก็ทำไม่ได้…น้ำตาใสๆไหลรินอาบแก้มนวลอีกครั้ง ความสูญเสียครั้งนี้มันหนักเกินไปสำหรับเด็กอายุแปดขวบแบบเธอ
เวลาผ่านไปจนเย็นย่ำ ทุกคนพากันกลับบ้านของตัวเองยกเว้นไอริส เธอยังคงยืนก้มหน้าอยู่ที่หน้าหลุมศพของผู้ที่เป็นพ่อและแม่
เด็กเอ๋ยเด็ก…
ผู้เฒ่าเซนส์ที่กำลังเดินกลับไปยังสมาคม หันหลังมามองไอริสก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปจับที่ไหล่ของเธอ เด็กน้อยสะดุ้งสุดตัวแล้วหมุนตัวกลับไปพูดกับชายชรา
“ หนูไม่เป็นไรค่ะ…ขอตัวก่อนนะคะ ” เสียงใสเอ่ยขึ้น ร่างบางเดินจากหลุมศพไปอย่างเชื่องช้า มือเล็กปาดน้ำตา
ชีวิตที่ไม่มีพ่อกับแม่แบบนี้มันแย่จริงๆ
“ จะกลับบ้านงั้นหรือ… ” เสียงทุ้มกังวานพูดขึ้น ไอริสชะงักทันที ไม่มีเสียงใดๆออกมาจากปากของเธอ ชายชราเดินเข้ามาใกล้ๆแล้วยิ้มอย่างใจดี
“ ที่สมาคมน่ะ…เป็นที่พักสำหรับสมาชิกทุกคน ถ้าเจ้าต้องการ…ฉันก็ยินดีต้อนรับ ” สิ้นเสียง เด็กน้อยก็โผลกอดผู้เฒ่าเซนส์ทันทีพร้อมกับปล่อยโฮลั่น ชายชรายิ้มอย่างเข้าใจก่อนที่จะลูบหัวไอริสเบาๆ ในเวลานี้เธอไม่เหลือใครอีกแล้ว…
“ ขอบคุณ..ฮึก…ขอบคุณจริงๆ ” ไอริสดันตัวเองออกจากชายชรา มองหน้าเขาแล้วกล่าวขอบคุณทั้งน้ำตา ผู้เฒ่าเซนส์เป็นคนที่เธอรักและเคารพรองจากพ่อกับแม่ เขาคอยช่วยเหลือครอบครัวของเธอเสมอ เวลาที่ไอริสนั่งรอพ่อกับแม่ที่กำลังปฎิบัติภารกิจล่าปีศาจอยู่ที่สมาคม ผู้เฒ่าเซนส์ก็จะชวนเธอเล่นเพื่อฆ่าเวลาและก็เป็นแบบนี้ตลอดมา แม้กระทั่งตอนนี้…เขาก็ยังช่วยเหลือเธอ
“ ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาเสียก่อน ป่านนี้จะมีอะไรกินบ้างน้า? ” ชายชราพูดราวกับเด็ก แล้วเดินนำหน้าไอริสไปเล็กน้อย ไอริสมองก่อนจะวิ่งตามไปสมทบ
กลิ่นหอมฟุ้งลอยมากระทบโสตประสาททันทีที่ประตูไม้เก่าๆถูกเปิดออก ตะเกียงน้ำมันที่ถูกแขวนไว้หลายตำแหน่งกำลังส่องแสงสีเหลืองนวลตามหน้าที่ของมัน ข้างในสมาคมยังมีคนอยู่อย่างประปราย ถ้าจะให้คำนวณแล้วก็ประมาณสิบคน เด็กหญิงผมสีเหลืองเนยถักเปียสองข้าง ตาสีเมล่อน กำลังยกหม้อใบใหญ่ออกมาจากห้องครัว ริมฝีปากบางยิ้มกว้างแล้ววางหม้อนั้นลงบนกลางโต๊ะไม้ เธอชื่อ ครัวซองค์ บัทเตอร์ เป็นแม่ครัวของที่นี่ ที่สำคัญเธออายุแค่เพียงแปดขวบเท่านั้น แต่สามารถทำอาหารได้อย่างหลากหลายและอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ครัวซองค์มาจากหมู่บ้านของเหล่าเซฟชื่อดัง แน่นอน…อาชีพของพ่อและแม่ของเธอก็คือเซฟ ครัวซองค์จึงได้รับเชื้อมาจากพวกท่านเต็มๆ
“ เสร็จแล้วจ้า! วันนี้เป็นข้าวต้มกุ้งนะจ๊ะทุกคน อ้าว! สวัสดีจ้าไอริสจัง ผู้เฒ่าเซนส์ ” เสียงสดใสดังขึ้น เมื่อเห็นไอริสยืนอยู่ที่หน้าประตูพร้อมกับผู้เฒ่าเซนส์ ชายชรายิ้มตอบก่อนที่จะเดินไปยังโต๊ะอาหารแล้วหยิบถ้วยที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะจัดการกับอาหารตรงหน้าเช่นเดียวกับคนอื่นๆที่ทยอยนั่งลงรอบโต๊ะทีละคน
“ สวัสดี ครัวซองค์ ” ไอริสเอ่ยขึ้น ครัวซองค์ยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะเชิญไอริสให้นั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับตักข้าวต้มกุ้งและส่งให้เธอ เด็กน้อยมองอาหารตรงหน้าพลางกลืนน้ำลายดังเอื๊อก กลิ่นหอมหวนของข้าวต้มกุ้งนั้นช่างยั่วน้ำลายเหลือเกิน
“ ลองกินดูสิไอริส อร่อยนะจะบอกให้ ” ชายร่างสูงหน้าตาคมเข้ม ผมสีเทานั่งลงข้างๆเธอ ก่อนที่จะซัดข้าวต้มตรงหน้าอย่างไม่รอช้า เขาชื่อ สตาร์ เบคิว อายุสามสิบปี เป็นสมาชิกของสมาคมแห่งนี้
ไอริสพยักหน้าแล้วใช้ช้อนตักข้าวต้มกุ้งเข้าปาก ความรู้สึกอร่อยแผ่ซ่านเข้าไปในปากทันทีที่เธอกินเข้าไปคำแรก ไอริสตักกินต่อทันทีจนหมดถ้วย ครัวซองค์ที่ยืนมองอยู่นั้นก็ยิ้มร่าพลางทำท่าจะตักข้าวต้มให้ไอริสอีกรอบ
“ เอ่อ…ฉันอิ่มแล้วน่ะ ขอตัวก่อนนะ แล้วก็…ขอบคุณสำหรับข้าวต้มอร่อยๆ ” ไอริสพูดก่อนที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปยังซอกเล็กๆข้างเตาผิงไฟ ที่นั่นเป็นห้องพักสำหรับนักล่าปีศาจเดม่อนฮันเตอร์ทุกคน โดยจะเป็นห้องรวม มีม่านกั้นแต่ละเตียงเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวของแต่ละคนที่จะมาพักที่นี่
ตะเกียงถูกจุดเอาไว้แล้วแสดงว่ามีคนมาพักที่นี่เหมือนกัน
ไอริสเดินสำรวจเพื่อหาเตียงที่ว่างพอจะให้เธอได้ซุกหัวนอนได้ สายตาของเธอเหลือบมองไปยังเตียงเตียงหนึ่งที่มีม่านสีทึบปิดเอาไว้ ป้ายชื่อที่ติดอยู่ปลายเตียงทำให้เธอต้องหยุดการเคลื่อนไหว
น้าบรอนนี่…จะเป็นอย่างไรบ้างนะ ?
มือเล็กเอื้อมไปข้างหน้าหวังจะดึงม่านออก แต่ไอริสก็ชักมือกลับ… เธอไม่อยากไปรบกวนเวลาพักผ่อนของบรอนนี่ในตอนนี้ เท้าทั้งสองก้าวเดินต่อไปจนมาหยุดยืนอยู่ที่เตียงเดี่ยวหลังห้อง ป้ายชื่อที่ปลายเตียงยังว่างเปล่า บ่งบอกได้อย่างดีว่าเตียงนี้ยังไม่มีเจ้าของ
ไอริสไม่รอช้า เธอรีบเขียนชื่อตัวเองลงบนป้ายชื่อทันทีแล้วปิดม่านกั้นเตียงก่อนที่จะทิ้งร่างของตัวเองลงบนเตียง นัยต์ตาสีม่วงมองไปที่เพดานห้องอย่างเลื่อนลอย ไอริสคิดถึงบ้าน แต่ถึงเธอจะกลับบ้านไปในตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์…ไอริสยังเด็กเกินไปกว่าที่จะอยู่คนเดียวที่บ้านได้ พลังเวทย์ก็ไม่มี การโจมตีกายภาพก็ไม่ได้เรื่องทั้งๆที่พ่อของเธอก็เก่งเรื่องการใช้ธนู ส่วนแม่ก็เก่งในเรื่องการใช้เวทย์รักษา แต่ทำไมเธอถึงไม่ได้รับพลังนั้นจากพวกท่านมานะ
พลังของพวกท่าน…แหวน!!
ไอริสลุกขึ้นนั่งก่อนที่จะล้วงมือไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบแหวนเงินทั้งสี่วงออกมา เธอนั่งสำรวจแหวนทั้งหมดเป็นเวลานานจนเผลอหลับไปทั้งๆที่ยังกำแหวนอยู่โดยที่ไม่รู้ว่าเวลานี้มีดวงไฟทั้งสี่สีออกมาจากแหวนและดวงไฟเหล่านั้นก็กลายเป็นร่างเล็กๆทั้งห้าลอยอยู่รอบๆตัวเธอ
เสียงนกน้อยที่กำลังจะออกหากินดังขึ้นระงมไปทั่วป่า แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องลอดใบไม้สีเขียวเข้มก่อนที่ทั้งป่าจะสว่างไสวไปด้วยแสงสีทอง ร่างบางนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหลุมศพของผู้ที่เป็นพ่อและแม่ก่อนที่จะนำดอกไม้สีสวยที่หาจากข้างทางไปวางบนหลุมศพ
“ หนูมาเยี่ยมพ่อกับแม่นะคะ ” เสียงใสดังขึ้น ฝ่ามือน้อยๆลูบไล้ไปตามเนินดินอย่างอาลัย แหวนเงินทั้งสี่ถูกสวมไว้ที่นิ้วชี้ กลาง นาง และก้อยของเธอถึงแม้ว่ามันจะหลวมมากก็ตาม
“ หนูสัญญาค่ะ…แหวนของพ่อน่ะ…หนูจะรักษาให้ดีที่สุด ” เด็กน้อยให้คำสัญญาแล้วก้มกราบหลุมศพ
ร่างบางเดินจากสถานที่แห่งนี้ก่อนที่จะเดินไปยังแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆกัน ไอริสเลือกที่จะนั่งลงบนโขดหิน สายตาของเธอจับจ้องไปยังก้อนเมฆสีขาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า เหล่านกกาบินว่อนไปทั่ว ลมพัดแผ่วๆทำให้ต้นไม้ต้นเล็กๆเอนไหวไปตามแรงลมเล็กน้อย เสียงสายน้ำที่กำลังไหลอยู่นั้นเหมือนกับเป็นเพลงขับกล่อมชั้นดี…บรรยากาศดีมาก มากจนทำให้ไอริสผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
“ นี่… ” เสียงไม่ทราบที่มาดังขึ้นข้างๆหูของไอริส เธอหันไปตามเสียงนั้นแล้วก็ต้องตกใจจนเกือบเผลอกรี๊ดออกมา สิ่งที่เธอเห็นคือร่างเล็กๆขนาดเท่าฝ่ามือของผู้ชายผิวสีคล้ำผมสีแดงเพลิงที่ลอยอยู่ข้างๆเธอ หน้าผากมีวงแหวนสีทองที่ประดับด้วยอัญมณีสีแดงคาดอยู่ หูของมันเรียวแหลมแต่ไม่แหลมเหมือนเอลฟ์ ดวงตาสีแดงดั่งโลหิตเหลือบมองไอริสเล็กน้อยแล้วกอดอก
ตะ…ตัวอะไรกันนี่ !?
“ เฮ้ ! ข้าไม่ใช่ผีสางนะ เจ้าจะตกใจไปทำไมกัน ? ” มันยังคงพูดต่อไปก่อนที่จะลอยวนๆรอบตัวของไอริสจนเธอเวียนหัว
“ นะ…นาย เป็นตัวอะไรเหรอ? ” ด้วยความใสซื่อของความเป็นเด็ก ไอริสจึงถามออกไปตรงๆ แต่คำถามนั้นแทบจะทำให้มันพ่นไฟใส่เธอด้วยความโกรธ
เรียกข้าว่าตัวงั้นรึ !!?
“ ข้าเป็นขุนพลเทพเฟ้ย ! แล้วก็ไม่ใช่ ‘ตัว’ อะไรที่แปลกประหลาดด้วย ! ” เสียงโวยวายดังออกมาจากปากของคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ขุนพลเทพ’ เขาเอามือตบหน้าผากตัวเองด้วยความหัวเสีย
“ ขะ…ขุนพลเทพ ? อย่าบอกนะว่า…นายมาจากแหวนพวกนี้ !? ” ไอริสพูดอย่างทึ่งๆแล้วชี้ไปยังแหวนที่ตัวเองสวมอยู่
“ ใช่ ! ข้าชื่อเลอัส เป็นขุนพลเทพแห่งอัคคี แหวนวงนั้นเป็นสิ่งของที่ทำสัญญาระหว่างข้าและโคชาร์ต ” เลอัสลอยไปใกล้ๆแหวนเงินรูปเปลวไฟ แหวนวงนั้นส่องประกายสีแดงเจิดจ้าก่อนที่จะกลับไปเป็นอย่างเดิม
“ นี่…ขอถามอะไรอย่างสิ ”
“ อะไรล่ะ ? ถ้าข้าตอบได้ข้าก็จะตอบ ” ขุนพลเทพแห่งอัคคีลอยมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กน้อยแล้วนั่งขัดสมาธิบนอากาศ
“ เรื่อง…พ่อกับแม่ของฉันน่ะ… ” สีหน้าของเลอัสเจื่อนลงเมื่อได้ยินคำถามจากไอริส เขาไม่พูดอะไรแต่กำลังรอให้ไอริสพูดต่อ
“ ทำไม…ทำไมพวกท่านถึงได้… ” เสียงของไอริสสั่นเครือเล็กน้อย ดวงตาของเธอตวัดมองมาที่เลอัสอย่างไม่เข้าใจ
ถ้าเป็นขุนพลเทพของพ่อจริง ทำไมถึงไม่ปกป้องพวกท่าน !?
“ ข้าขอโทษ…ทั้งหมดมันเป็นเพราะข้า ” เลอัสหลบตาไอริส ไม่มีใครพูดอะไรต่อ… ความเงียบเข้าครอบงำทั้งสองสักพัก ในที่สุดไอริสก็พูดออกมา
“ แค่คำขอโทษน่ะ…พวกท่านไม่ฟื้นขึ้นมาหรอกนะ ” น้ำเสียงเรียบๆแต่แฝงไปด้วยความโกรธถูกกลั่นออกมาจากปากของเด็กน้อย เลอัสได้แต่ก้มหน้านิ่ง เขาไม่ยอมพูดอะไร จะให้พูดอะไรล่ะ ? ถ้าเขาไม่อ่อนแอ โคชาร์ตและเอมี่ก็คงจะไม่ตาย…ถ้าเขาตัดสินใจให้เร็วขึ้นอีกนิด เรื่องทั้งหมดก็คงจะไม่เป็นแบบนี้ !
“ พูดอะไรมั่งสิ !! ” ไอริสตวาดเสียงดังลั่นไปทั่วป่าอย่างเหลืออด เธอควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้เลย ในที่สุดฝ่ามือของเธอก็ง้างขึ้นเตรียมที่จะทำร้ายขุนพลเทพที่อยู่ตรงหน้าด้วยความโกรธ อีกฝ่ายไม่หลบแต่กลับเงยหน้าขึ้นเตรียมรับโทษในครั้งนี้
“ ถ้าทำแบบนั้นแล้วเจ้าสบายใจ ข้าก็จะยอม ” ดวงตาสีแดงโลหิตฉายแววจริงจังก่อนที่เลอัสจะหลับตาลง ไอริสไม่รอให้เสียเวลา มือเล็กถูกฟาดลงตรงหน้าหมายจะทำร้ายขุนเทพที่ทำให้พ่อกับแม่ของเธอต้องตาย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อฝ่ามือของเธอที่ฟาดไปข้างหน้านั้นกลับไปติดอะไรบางอย่างที่คล้ายกำแพงเล็กๆ มันเย็นเหมือนน้ำแข็ง
“ เจ้าทำอะไรของเจ้า เลอัส !!! ” เสียงอันดุดันดังขึ้นก่อนที่ร่างเล็กๆเท่าฝ่ามือที่มีลักษณะคล้ายๆเลอัสจะปรากฎขึ้น เส้นผมสีฟ้าที่เป็นรากไทรถูกรวบเป็นหางม้า ดวงตาสีน้ำเงินกำลังจ้องมองเลอัสอย่างไม่วางตา คอของเขามีสร้อยทองที่มีอัญมณีสีน้ำเงินประดับอยู่ เขาดีดนิ้วดัง เป๊าะ ! แล้วกำแพงน้ำแข็งก็หายไป
“ อย่ามายุ่งน่าฟรีซ !!! เรื่องนี้ข้าเป็นคนผิดเอง ! เอาเลยไอริส ตบข้าซะ !! ตบข้าสิ โธ่เว้ยยย !! ” ไอริสมองภาพตรงหน้าด้วยความสับสน ทำไมเลอัสถึงรู้จักชื่อของเธอล่ะ? ยังไม่ทันคิดอะไรมากมือของเธอก็ถูกเลอัสดึงไปไว้ที่แก้มของเขาราวกับว่าอยากให้เธอตบเขาเสียเหลือเกิน
“ พอสักที ! เจ้าเองก็บาดเจ็บปางตายเช่นกันนี่ ! ” ฟรีซพูดเสียงดังสนั่น แล้วลอยมาใกล้ๆไอริส
“ บุตรสาวของโคชาร์ตสินะ…ฟังข้าซะ การที่โคชาร์ตและภรรยาของเขาต้องตายไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เสียใจ !! หยุดทำเช่นนั้นเสียที เจ้ากับพ่อช่างแตกต่างกันเหลือเกิน โคชาร์ตไม่เคยคิดที่จะทำร้ายพวกข้าแม้ว่าเขาจะโกรธสักเพียงไหน ! ” ไอริสชะงัก เธอลืมคำพูดของผู้เฒ่าเซนส์ที่บอกไว้ว่า ‘ ดูแลพวกเขาดีๆแล้วกัน ’ และสัญญาที่เธอเพิ่งจะพูดออกไปกับหลุมศพของพ่อกับแม่ สัญญาที่ว่าจะรักษาให้ดีที่สุด… เธอลืมไปได้ยังไงกัน !?
เลอัสหยุดพยายามที่จะให้ไอริสตบตัวเองแล้ว เขาปล่อยมือของเธอออกก่อนที่จะนั่งก้มหน้านิ่ง ฟรีซถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปกติเขาจะไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นและไม่ชอบออกมาในร่างตัวจิ๋วนี่ แต่เขาก็ทนไม่ได้เหมือนกันที่เห็นเลอัสกำลังจะถูกทำร้าย
“ ฉัน…ฉันขอโทษ…ฉันมันแย่จริงๆ ” ไอริสพูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา ความโกรธหายไปแล้ว เหลือแต่ความสำนึกผิดและคำถามต่างๆ
“ ไม่ใช่เจ้าที่ผิดหรอก… เพราะข้าเอง…ไอริส ข้าขอโทษ ขอโทษจริงๆ ” เลอัสยังคงพร่ำขอโทษต่อไป ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ช่วยให้โคชาร์ตและเอมี่ฟื้นขึ้นมาเหมือนที่ไอริสบอก แต่ตอนนี้เขาก็ทำได้แค่นี้…
เด็กน้อยมองขุนพลเทพตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะยิ้มให้ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าก่อนที่พ่อกับแม่จะตายนั้นเกิดเรื่องอะไรบ้างก็ตาม
ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าเรื่องนั้นมันเป็นมาอย่างไร แต่ถ้าเป็นพ่อกับแม่ล่ะก็…พวกท่านทั้งสองคงเข้าใจเลอัสแน่ๆ
“ ไม่เป็นไรหรอก เลิกขอโทษได้แล้วน่า ” ไอริสพูดทีเล่นทีจริง อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเด็กน้อยที่ตอนนี้กำลังมองเขาและส่งยิ้มให้
สายตาแบบนี้…เหมือนโคชาร์ตไม่มีผิด !
“ เจ้า…หายโกรธข้าแล้วรึ ? ” เลอัสหรี่ตาถามเด็กน้อยตรงหน้า ไอริสส่ายหัวไปมา แววตาของเธอประกายสดใสเจิดจ้าราวกับไม่มีเรื่องทุกข์ใจใดๆ
“ อืม ! ไม่โกรธแล้วล่ะ ถ้าเป็นพ่อ พ่อก็คงจะไม่โกรธเลอัสเหมือนกัน… ใช่มั้ยล่ะ ? ” คำตอบที่ดูเหมือนจะมีคำถามแทรกมาด้วยทำให้เลอัสอึ้ง เขาไม่เคยคิดเลยว่าไอริสจะหายโกรธเขาแล้วจริงๆ แต่แววตาของเด็กน้อยกลับยืนยันถึงความบริสุทธิ์ใจของเธอ
“ นี่…เงียบแบบนี้ไม่สมกับเป็นนายเลยนะ ” คำทักท้วงดังขึ้น ขุนพลเทพแห่งอัคคีสะดุ้งเล็กน้อยแล้วส่งยิ้มกวนๆไปให้ พลางลอยวนรอบตัวของไอริสก่อนที่จะลอยหนีโดยที่มีเด็กน้อยวิ่งไล่ตาม
ฮึ…โคชาร์ต บุตรสาวของเจ้าน่ะ…ที่จริง ก็ไม่ได้ต่างจากเจ้าเท่าไรเลยนี่
ขุนพลเทพแห่งวารีได้แต่ยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดก่อนที่โวยวายบอกให้ทั้งสองหยุดเล่นกันได้แล้ว ไอริสกับเลอัสหยุดทันที…ทั้งสองมองหน้ากันพลางส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กัน เหมือนอีกฝ่ายรู้ตัว ฟรีซกำลังจะลอยหนีแต่กลับถูกไอริสตะครุบตัวไว้ เลอัสเด็ดดอกหญ้าข้างทางมาเขี่ยแถวๆเอวของฟรีซ นั่นทำให้ลุคที่ดุดันของเขาเปลี่ยนไปแทบจะทันที
“ อุ๊บ! หยุ…ฮ่าๆ หยุดนะ!! ฮ่าๆๆ ” เสียงดุดันปนหัวเราะดังขึ้นจากปากของฟรีซ เลอัสได้แต่หัวเราะชอบใจแต่ยังไม่หยุดแกล้ง
นี่แหละ !! จุดอ่อนของเจ้าฟรีซ โดนซะมั่ง…ชอบดุข้าดีนัก นี่แหน่ะๆ
“ เลอัส !!! อย่าแกล้งฟรีซสิ ! ” เสียงใสดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของขุนพลเทพคนที่สาม ผมสีเขียวเข้มที่ถูกมัดเป็นจุกทั้งสองข้างปลิวไสวไปตามแรงลมเช่นเดียวกับต่างหูมรกตทั้งสองข้าง ดวงตากลมโตสีเขียวอ่อนที่เป็นประกายสดใสนั้นกำลังจ้องมองฟรีซที่ถูกกลั่นแกล้งก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมา
“ จะ..เจ้า ฮึๆๆ หัว…หัวเราะอะไร!!!..ฮ่าๆ ” ขุนพลเทพแห่งวารีพยายามที่จะปัดป้องดอกหญ้าออกไปให้พ้น แต่ร่างกายของเขากลับไร้เรี่ยวแรงแค่พูดเฉยๆยังเหนื่อยแทบตาย
อย่าให้ข้าหลุดออกไปได้นะ แกตายแน่ เจ้าบ้าเลอัส!!!!
“ เปล่านะ !! ข้าไม่ได้หัวเราะเจ้าเลย เปล่าเลยๆ ” คนมาใหม่พูดขึ้นอย่างร้อนตัวแต่ก็อดขำกับภาพตรงหน้าไม่ได้ พลันสายตาของเธอก็ไปสะดุดกับเด็กน้อยที่กำลังจับตัวของฟรีซเอาไว้
นี่น่ะเหรอ? บุตรสาวของโคชาร์ต น่ารักดีเหมือนกันแหะ
“ เอ่อ…เจ้าน่ะ…ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าชื่อไอริสจัง ใช่มั้ย? ” เสียงใสถามขึ้น ไอริสหันมามองคนถามก่อนที่พยักหน้ารับพร้อมกับรอยยิ้ม ฟรีซถือโอกาสที่ไอริสเผลอนั้นกัดเข้าที่มือของเด็กน้อยจนเธอปล่อยมือออก เลอัสกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเมื่อเห็นว่าฟรีซหลุดออกมาจากพันธนาการได้แล้ว อีกฝ่ายแสยะยิ้มพลางหักนิ้วมือดัง กร๊อบแกร๊บ แล้วสงครามเล็กๆก็ก่อตัวขึ้น
“ โอ๊ย ! เจ็บชะมัด ให้ตายสิ! ว่าแต่…เธอชื่ออะไรเหรอ ? ” ไอริสไม่ได้สนใจสงครามตรงหน้าแต่กลับหันไปพูดกับขุนพลเทพอีกคน เธอยิ้มอย่างร่าเริงแล้วแนะนำตัวเอง
“ ข้าชื่อ อาเทอรี่ เป็นขุนพลเทพแห่งวายุ สดใส ร่าเริง เป็นกัน… ”
“ ส่วนข้าชื่อ เวนส์ เป็นขุนพลเทพแห่งวายุเช่นกัน ยินดีที่ได้รู้จัก ไอริสจัง ” ยังไม่ทันที่จะแนะนำตัวเสร็จ ก็มีเสียงๆหนึ่งของผู้ชายพูดขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของขุนพลเทพคนที่สี่ ที่มีลักษณะคล้ายอาเทอรี่ทุกอย่างรวมถึงต่างหูมรกต ยกเว้นเพศและทรงผม
แฝดกันแหงๆ !!
“ เวนส์ ! เจ้าอย่าพูดแทรกจะได้มั้ย !!? ” อาเทอรี่หันไปพูดกับเวนส์ อีกฝ่ายหัวเราะแหะๆเป็นเชิงขอโทษก่อนที่จะไปให้ความสนใจกับสงคราม(ประสาท)ของฟรีซและเลอัส
“ โอ้ว ! กัดกันเป็นหมาบ้าเลยแหะ ”
ขวับ !!
ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นหมาบ้าทั้งสองคนหันขวับมามองผู้กล่าวหาก่อนที่จะพูดพร้อมกัน
“ เจ้าว่าอะไรนะ เวนส์ !!! ” อีกฝ่ายหัวเราะแหะๆกำลังจะหนีแต่กลับถูกล็อคตัวไว้ก่อน
“ อย่าทำอะไรข้าเลย ข้าผิดไปแล้วววว ” เสียงโหยหวนของเวนส์ดังขึ้นก่อนที่จะถูกฟรีซและเลอัสลากไปตะลุมบอนต่อ ไอริสกับอาเทอรี่มองหน้ากันพลางหัวเราะดังลั่น
“ หยุดเล่นกันได้แล้วน่า ” เสียงลึกลับของผู้หญิงดังขึ้นแล้วร่างของขุนพลเทพคนสุดท้ายก็ปรากฎตรงหน้าของไอริส เส้นผมสีน้ำตาลยาวมีอัญมณีสีดำติดอยู่ ดวงตาสีเดียวเส้นผมกำลังมองสงครามขนาดย่อมตรงหน้าอย่างระอาก่อนที่เธอจะเข้าไปในวงตะลุมบอนนั้นแล้วลากขุนพลเทพทั้งสามคนออกมา
“ มินนา ! ” เสียงทั้งสามเสียงประสานกันแล้วพากันกลืนน้ำลายดังเอื๊อก สายตาของพวกเขาจับจ้องอยู่ที่คนมาใหม่ เธอแสยะยิ้มเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย
“ ว่าไง พวกเจ้าว่างกันมากสินะถึงได้มาเล่นอะไรปัญญาอ่อนแบบนี้ ” คนถูกทักทายถึงกับเงียบไปตามๆกัน มินนาเห็นดังนั้นจึงหันไปพูดกับไอริส
“ ข้าชื่อมินนา เป็นขุนพลเทพแห่งปฐพี…พวกเราได้รับคำสั่งครั้งสุดท้ายจากโคชาร์ตให้มาปกป้องเจ้า ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเจ้าได้รับการยอมรับจากพวกข้าแล้วจึงไม่ต้องทำการทดสอบอะไรอีก ” มินนาเปิดประเด็นทันที เด็กน้อยทำหน้าฉงนก่อนที่จะพยักหน้าช้าๆ ขุนพลเทพแห่งปฐพีกลอกตาไปมา
ให้ตาย ! ข้าลืมไปได้ไงว่าบุตรสาวของโคชาร์ตยังเป็นแค่เด็ก
“ เอาเป็นว่า…ข้าจะบอกวิธีเรียกขุนพลเทพออกมาแล้วกัน ข้อแรก เจ้าต้องมีความเชื่อใจในตัวพวกข้า ข้อสอง เปล่งเสียงเรียกนามของขุนพลเทพที่เจ้าต้องการ เข้าใจใช่มั้ย ? ” ไอริสพยักหน้าหงึกหงัก แค่นี้ทำไมเธอจะทำไม่ได้ !?
“ อ้อ…ข้าลืมบอกไป เจ้าจะเรียกขุนพลเทพออกมาได้แค่หนึ่งตนเท่านั้น !! ถ้าเรียกมากกว่าหนึ่งตนเจ้าอาจจะสูญเสียพลังบางอย่างไป ถึงขั้นเกิดอาการช็อคและ…ตายได้ ! ” มินนากำชับกฎข้อสำคัญให้เด็กน้อยตรงหน้าฟัง ซึ่งคนฟังก็ถึงกับหน้าซีด
ตายได้เลยงั้นเหรอ !
“ เอาล่ะ ลองเรียกขุนพลเทพสักหนึ่งตนดูสิ ” ไอริสกวาดตามองไปยังขุนพลเทพทั้งห้าที่ออกมาในร่างตัวจิ๋วอย่างชั่งใจ แต่แล้วเธอก็ตัดสินใจที่จะเรียกเลอัสออกมา
“ ขออัญเชิญขุนพลเทพแห่งอัคคี เลอัส ! ” สิ้นเสียงร่างของเลอัสก็กลายเป็นดวงไฟขนาดย่อมก่อนที่จะใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นจนขนาดเท่ากับคนจริงๆ ดวงไฟสลายหายไปทิ้งไว้แต่ร่างของชายร่างกำยำผิวเข้ม เส้นผมสีแดงเพลิงปลิวมาปรกหน้าเล็กน้อยก่อนที่เจ้าตัวจะเสยขึ้นไปด้วยความรำคาญ วงแหวนสีทองที่คาดอยู่ที่หน้าผากประดับด้วยอัญมณีสีแดงช่างดูงดงามเหลือเกินยามต้องกับแสงแดด เขาไม่ได้สวมเสื้อมีแต่กางเกงคล้ายๆจงกระเบนสีแดงเข้ม สวมกำไลข้อเท้าสีทองทั้งสองข้างแต่ไม่สวมรองเท้า ดวงตาสีโลหิตเหลือบมามองไอริสก่อนที่จะนั่งยองๆข้างๆเธอ
“ หล่อใช่มั้ยล่ะ ” เลอัสพูดพลางยิ้มกวนๆพลางชูสองนิ้วขึ้นมา ทำให้คนฟังอยากจะกระโดดเตะเขาสักป้าบ แต่ไอริสก็ไม่ได้ปฎิเสธ…เลอัสดูหล่อจริงๆ !
“ ส่วนวิธีการเรียกกลับนั่นก็คือ ชูแหวนที่ทำสัญญากับขุนพลเทพตนนั้นขึ้นมา แล้วขุนพลเทพตนนั้นจะกลับเข้าแหวนทันที…ลองดูสิ ” มินนาอธิบายต่อด้วยท่าทีสบายๆ เด็กน้อยพยักหน้ารับเธอชูนิ้วชี้ที่สวมแหวนสีเงินรูปเปลวไฟไว้ แหวนนั้นส่องประกายสีแดงเจิดจ้าแล้วเลอัสก็หายไปก่อนที่จะปรากฎขึ้นในร่างเท่ากับฝ่ามืออีกครั้ง
“ เก่งมาก เจ้าเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเหมือนโคชาร์ตไม่มีผิด ” สิ้นเสียงของมินนาทุกคนก็พากันปรบมือให้ไอริส เธอยิ้มแก้เขินก่อนที่จะแสร้งมองไปยังทางอื่น
“ ไอริสจัง… ” เสียงเรียกของใครสักคนดังขึ้นจากทางข้างหลัง เหล่าขุนพลเทพพากันหายตัวกลับเข้าไปในแหวน ไอริสยืนขึ้นแล้วหันหน้าไปมองคนๆนั้น
“ ครัวซองค์… ” คนที่เรียกเธอก็คือครัวซองค์นั่นเอง เด็กหญิงวิ่งยิ้มร่ามาหาไอริสพลางชักชวนเธอให้ไปกินข้าวเช้าด้วยกัน ไอริสตอบตกลงก่อนที่ทั้งสองจะพากันวิ่งกลับไปยังสมาคมท่ามกลางแสงแดดและสายลมที่กำลังพัดมาอย่างต่อเนื่อง
ที่สมาคมตอนเช้าต่างกับเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง สมาชิกทุกคนต่างแวะมาที่สมาคมก่อนที่จะรับงานตามลิสต์หรืองานที่มีการจ้างวานไว้ ส่วนใหญ่จะเป็นนักล่าปีศาจที่เก่งกาจและอยู่กันเป็นกลุ่ม อาหารเช้าของวันนี้เป็นสปาเก็ตตี้ซอสเห็ดที่ครัวซองค์เป็นคนทำ โต๊ะอาหารดูเล็กลงถนัดตาเมื่อทุกคนต่างพากันนั่งซึ่งไอริสเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
เด็กน้อยนั่งกินสปาเก็ตด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ ความเศร้าทั้งหมดหายไปโดยฉับพลัน…เธอไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีคนคอยช่วยเหลือเธอมากมาย…รวมถึงขุนพลเทพทั้งห้าด้วย !
เมื่อเธอกินสปาเก็ตตี้จนหมดแล้ว ร่างบางจึงเดินไปหาผู้เฒ่าเซนส์ที่ตอนนี้กำลังนั่งอ่านหนังสือ ‘ ว่าด้วยการกำจัดปีศาจ ’ อยู่บนเก้าอี้ข้างๆเตาผิง ชายชราปิดหนังสือแทบจะทันทีเมื่อเห็นผู้มาเยือน
“ มีอะไรรึ ไอริส ” เสียงทุ้มแต่ใจดีดังออกมา แววตาสีม่วงของไอริสประกายจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหนๆ…การแก้แค้นกำลังจะเริ่มขึ้น!
“ หนูอยากไป…อยากไปล่าปีศาจค่ะ !! ” เสียงของเด็กน้อยก้องกังวานไปทั่วสมาคม ทุกคนหยุดทำกิจกรรมของตัวเองทันทีก่อนที่จะหันมามองไอริสด้วยความตกใจเช่นเดียวกับผู้เฒ่าเซนส์…ชายชราขยับแว่นสายตาเล็กน้อยก่อนที่จะพูดกับไอริสอย่างใจดี
“ เด็กเอ๋ย…เจ้ายังเด็กเกินไป... ทางเรามีกฎให้คนที่อายุสิบแปดขึ้นไปสามารถรับงานล่าปีศาจได้ แต่ต้องเรียงไปตามความยากง่ายเสียก่อน ” ไอริสหน้ามุ่ยแทบจะทันที…ต้องรออีกสิบปีเลยเหรอเนี่ย !?
‘ ก่อนจะถึงเวลานั้น…เจ้าก็ฝึกฝนวิชาซะสิ ’ เสียงของเลอัสดังขึ้นในโสตประสาท ไอริสหันซ้ายแลขวาแต่ก็ไม่พบร่างจิ๋วของขุนพลเทพตัวแสบ
‘ จิตของผู้สวมแหวนและขุนพลเทพจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉะนั้นถึงไม่ปรากฏร่าง เจ้าก็จะได้ยินในสิ่งที่พวกข้าพูด ’เลอัสเฉลยคำตอบให้เด็กน้อย ไอริสทำหน้าฉงนถึงจะไม่ค่อยเข้าใจมากนักแต่เธอก็ยังพอรู้อยู่บ้าง
‘ จงอย่าแค้น…ไอริส เจ้าจงคิดว่าจะต้องสะสางงานที่โคชาร์ตและเอมี่ทิ้งไว้ให้เจ้าสิ ’ เสียงเยือกเย็นราวน้ำแข็งของฟรีซดังแทรกเข้ามา เด็กน้อยพยักหน้าถึงจะไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆเวลาที่เธอต้องสู้กับมัน เธอจะยังเก็บความรู้สึกไม่ให้แค้นได้อยู่หรือไม่ !
แล้วเรามาเจอกัน...อีกสิบปีข้างหน้า ฉันจะแข็งแกร่งขึ้น !
ความคิดเห็น