คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 6 สายฝนยามสนธยา The Town of Lost Children [ตอนต้น]
บทที่ 3
The Town of Lost Children
สายฝนยามสนธยา
คิมหันต์ เหมันต์ และวสันตกาลหมุนเวียนผ่าน ฤดูกาลกำลังแปรเปลี่ยนไป ท้องทะเลตัดกับท้องฟ้าที่ปลายสุดของสายตา หากจะสรรสร้างทะเลและผืนฟ้าที่มองเห็น คงต้องใช้สีฟ้ากว่าสองพันเฉดผสมกันไป ดวงตะวันเผยตัวไม่แอบอิงกับสิ่งใด ลมทะเลพัดพาไอเค็มเข้าติดตรึงกับผิวกาย ใครบางคนเคยกล่าวไว้ว่า ทะเลนั้นเค็มก็เพราะน้ำตาที่หยาดตัวลงสู่ทะเล น้ำตาของผู้คนที่พากันหอบหิ้วความทุกข์และความเศร้ามาฝากไว้กับท้องทะเล
ทิวต้นปาล์มทอดตัวยาวขนานริมชายฝั่ง ถนนซีเมนต์ทอดยาวเคียงข้างกับตัวเมือง ริ้วน้ำทะเลก่อตัวตามแรงคลื่นและสายลม ดวงตะวันโน้มตัวเข้าหาเส้นขอบฟ้า แสงยามเย็นทอดตัวยาวรำไร มอเตอร์ไซค์สีดำวิ่งลัดเลาะผ่านจัตุรัสและกำแพงเมือง อีกทั้งป้อมปราการที่เบนหน้าสู่ทะเลอาเดรียติก สองหนุ่มสาวกำลังมุ่งหน้าสู่บ้านพักที่หลบอยู่มุมหนึ่งของโทรเกียร์ เมืองโบราณที่เคยถูกปกครองโดยจักรวรรดิโรมันอันเกรียงไกร เมืองแห่งศิลปะและอารยะอันเก่าแก่แห่งโครเอเชีย อาคาร บ้านเรือน และป้อมปราการที่วางตัวยาวประดับเป็นทิวทัศน์สองข้างทาง แซมด้วยโบสถ์ยุคโรมาเนสก์ สีขาวเทาอันงดงาม โบสถ์นั้นเคียงข้างอาคารที่โดดเด่นแบบเรอเนสซองส์ และสถาปัตยกรรมบาโรคในยุคเวนิเชียน
เมื่อจุดหมายอยู่ใกล้ที่เบื้องหน้า เบรกที่เท้าขวาถูกกดลง ทำให้ล้อหลังค่อยๆ หยุดหมุนอย่างช้าๆ เผยให้เห็นบ้านขนาดเล็กที่รายล้อมด้วยต้นปาล์มและดอกไม้หลากสีสัน ตัวอาคารสีส้มจางๆ เลียบตัวอยู่ใต้หลังคาสีน้ำตาลแดง กลมกลืนกับความเก่าแก่โบราณ สระว่ายน้ำขนาดกลางอยู่ขนาบข้างตัวตึกทางด้ายซ้าย โมบายรูปนกนางนวลที่หน้าประตูแกว่งไกวเมื่อต้องสายลม เรย์และไนล์กำลังเดินเข้าสู่ที่พัก
ท้องฟ้าที่แจ่มใสเริ่มปกคลุมด้วยก้อนเมฆสีดำหม่นหมอง โมบายอันเดิมแกว่งไกวในจังหวะที่เร็วขึ้น ในเวลาไม่กี่อึดใจ สายฝนก็พรั่งพรูลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เม็ดฝนที่กระทบผิวน้ำและใบปาล์มที่ด้านนอก ทำให้ทั้งสองยังไม่คิดจะออกไปจากที่แห่งนี้ เรย์ทิ้งตัวอยู่ที่โซฟาสีดำสนิท สายตาทอดยาวสู่ท้องทะเล ขณะที่ไนล์นั้นยืนมองสายฝนผ่านกระจกใส
“อากาศวันนี้ดูเศร้าจังนะคะ” เสียงดังมาจากหญิงสาวผิวดำแดงที่กำลังหันหลังให้เรย์กล่าวขึ้น
เขามองไปที่แผ่นหลังของเธอ แผ่นหลังที่มีผมสีดำขลับทิ้งตัวตรงถึงกลางหลัง “ผมก็คิดเหมือนกัน สายตาชายหนุ่มเจือด้วยความสงบ
ไนล์หันกลับมาที่เรย์ พร้อมกับถามอย่างสงสัย “เฮล่า หนึ่งในความตายทั้งสี่อยู่ที่เมืองนี้จริงๆ หรือคะ?” เธอเอ่ยถาม
เรย์พยักหน้า “ภาพที่ผมเห็นจากสมองของเบลเฟกอลบอกว่าอย่างนั้น” เขาตอบเสียงเรียบ
เหตุที่ทั้งสองต้องมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เกิดขึ้นหลังจากกลับจากยูเนี่ยนแบงค์มาที่คฤหาสน์วิลคอร์ฟ เรย์อธิบายสิ่งที่เขาเห็นและได้ยิน จากการสื่อสารกับวิญญาณของเบลเฟกอล ด้วยความสามารถสื่อสารกับวิญญาณของเขา เรย์เล่าข้อมูลทั้งหมดที่ได้มาให้ทีน่า ไนล์ และกริฟฟินได้ฟัง สรุปความแล้วจากข้อมูลที่ได้คือ อานูบีสเป็นหนึ่งในสี่ผู้ที่อยู่ในระดับสูงสุดของเหล่านีเมซิส ซึ่งเรียกว่า ‘ความตายทั้งสี่’
ความตายทั้งสี่นั้น เท่าที่เบลเฟกอลรู้จักมีเพียงสองตน หนึ่งคืออานูบิสที่มันรู้จักเพียงเสียงที่ติดต่อมา กับอีกตนหนึ่งนั่นคือ ‘เฮล่า’ นายของมันโดยตรง เนเมซิสที่แฝงตัวอยู่ในมหาวิหารเซนต์ลอว์เรนซ์บนเกาะโทรเกียร์แห่งนี้ ทีน่านั้นจะตามมาสมทบทีหลัง ซึ่งตอนนี้เธอยังอยู่ในซูริกและกำลังติดต่อกับกริฟฟินเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม
กว่าสายฝนจะหยุดสนิท ดวงอาทิตย์ก็รำไรว่าจะลับขอบฟ้า ไนล์มองออกไปที่ริมสระว่ายน้ำสีเขียวคราม มันเลียบตัวอยู่ด้านข้างกับตัวบ้าน เด็กหญิงตัวน้อยกำลังนั่งชิงช้าที่อยู่ในสวน มันอยู่ไม่ไกลจากสระว่ายน้ำนัก หญิงสาวเดินออกจากประตูที่เปิดอ้าอยู่ประมาณเกือบหนึ่งเมตร เธอเดินตรงเข้าไปหาหนูน้อยในชุดกระโปรงลูกไม้สีเบส ก่อนจะค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งบนชิงช้าที่ว่างเปล่า พร้อมกับแต้มรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างเป็นมิตร
“หนูทำไมมาเล่นอยู่ที่นี่คนเดียวละจ้ะ?” ไนล์เอ่ยถาม ประเมินจากสายตาแล้วเธอน่าจะอายุไม่เกินสิบเอ็ด สิบสองปี ไนล์คิดในใจ
หนูน้อยหันมามองหญิงสาวไม่คุ้นหน้า ก่อนที่เธอจะเอ่ยตอบด้วยเสียงเศร้าๆ “ไม่มีใครรักหนูแล้วค่ะพี่สาว” เสียงใสๆ แต่ก็สั่นเครือตอบมา
เรย์ที่อยู่ในบ้านเมื่อเห็นไนล์อยู่ด้านนอกเขาจึงเดินตามออกมา ในขณะที่ไนล์นั้นใช้มือลูบไปที่ศีรษะเด็กหญิงตัวน้อยกับผมแกละสีน้ำตาลมะฮอกกานีทั้งสองข้าง “ใครจะไม่รักหนูได้ละจ้ะ หนูออกจะน่ารักขนาดนี้” เธอว่า ขณะจ้องมองไปที่ดวงตาไร้เดียงสา แววตานั้นใสราวกับน้ำในทะเลสาบพลิตทวิตเซ่ ที่สงบตัวอยู่ ณ ใจกลางของประเทศแห่งนี้
เด็กน้อยส่ายศีรษะปฏิเสธ “ไม่จริงหรอกค่ะ ที่โรงเรียนก็ไม่มีใครพูดกับหนู ที่บ้านพ่อแม่ก็โกรธหนู” เธอตอบ พร้อมกับเบะปากและหลบสายตาลงต่ำ
“ทำไมทุกคนต้องทำอย่างนั้นล่ะ หืม...” ไนล์ถามพร้อมกับใช้นิ้วเรียวยาวของเธอปาดน้ำตาที่ไหลผ่านแก้มสีชมพูระเรื่อ
เด็กหญิงสะอึกสะอื้นก่อนจะตอบเสียงเครือ “เพราะหนูทำให้มิซูร่าต้องตายค่ะพี่สาว” เธอตอบพร้อมกับใช้ท่อนแขนเล็กๆ ของเธอปาดน้ำตาที่ไหลเอ่อ
เสียงเรย์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ดังขึ้น ซึ่งมันทำให้ไนล์ที่ได้ยินไม่พอใจเขาเท่าใดนัก “คุณอย่าไปยุ่งกับเด็กนี่เลย” เรย์พูดด้วยสีหน้าเย็นชา
เด็กน้อยเมื่อได้ยินที่ชายหนุ่มพูด เธอหันไปจ้องมองเขาด้วยดวงตาสีฟ้าใส ก่อนจะหันหลังกลับ แล้ววิ่งออกไปที่บ้านสีเหลืองอ่อนที่อยู่ติดกัน เธอจากไปพร้อมๆ กับรอยยิ้มบนใบหน้าของไนล์
“ไม่นึกเลยว่าคุณจะเป็นคนแล้งน้ำใจอย่างนี้” ไนล์กระแทกเสียงใส่เรย์ที่พิงตัวกับเสาชิงช้า ก่อนจะนิ่วหน้าเดินเข้าสู่ห้องของเธอที่อยู่บนชั้นสอง
ดวงอาทิตย์จมลงไปจากเส้นแบ่งท้องฟ้าและผืนน้ำ ไนล์และเรย์พักผ่อนอยู่ในบ้านพักสีอิฐด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ยามน้ำขึ้นเสียงคลื่นซัดหาฝั่งดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงนั้นดังเป็นจังหวะไม่ขาดสาย ระคนไปกับเสียงรถยนต์ที่ขับผ่านหน้าบ้านนานๆ ครั้ง ค่ำคืนในเมืองเก่ากำลังเปลี่ยนผ่านสู่รุ่งอรุณแห่งวันใหม่
นาฬิกาสีเทาทรงสามเหลี่ยมเรขาคณิตหน้าตาแปลกประหลาด ทำงานของมันอย่างไม่ลดละ เข็มวินาทีกระโดดข้ามขีดเล็กๆ บนหน้าปัดในจังหวะสม่ำเสมอ ปลายเข็มเรียวบางขยับตัวกระทั่งทาบทับกับเข็มสั้นที่ทึบและหนา เข็มนั้นทาบทับอยู่ที่เลขแปด เลขตัวกลมๆ ที่วางตัวอยู่มุมซ้ายล่างของหน้าปัดนาฬิกา มันบอกเวลาเป็นนัยว่าแปดโมงเช้าขาดเกินก็นิดหน่อย
เรย์และไนล์ขณะนี้อยู่ที่ห้องนั่งเล่นที่ชั้นหนึ่ง เขาและเธอกำลังจะออกจากบ้านเพื่อมุ่งหน้าสู่มหาวิหารเซนต์ลอว์เรนซ์ที่ไกลออกไปราวแปดกิโลเมตร รถมอเตอร์ไซค์คันเดิมพาทั้งสองมาที่ชายถนน ยอดหอคอยสูงสี่ชั้นใต้หลังคาทรงแหลมสีแดง เด่นชัดอยู่ไกลออกไปราวห้าร้อยเมตร เรย์ต้องการทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวเพื่อปะปนหาเบาะแส ทั้งสองเดินลัดเลkะผ่านทางลอดที่อยู่ระหว่าตัวตึกโบราณ หินขนาดย่อมเรียงตัวกันเป็นพื้นทางเดิน มันไม่ได้เป็นระเบียบมากนัก แต่กลับมองแล้วมีความงามเฉพาะตัว บันไดเล็กๆ ที่แนบตัวอยู่ริมทางเดิน กอไม้ล้มลุกที่ถูกปลูกแซมอยู่มุมตึก และบานหน้าต่างไม้สีเหลี่ยมสีอ่อนที่เปิดตัวออกเพื่อรับแสงยามเช้า มองแล้วตราตรึงงดงามด้วยกลิ่นอายของอดีต
เรย์เดินล้วงกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีขาวขลิบน้ำเงิน เขาเดินทอดน่องสูดบรรยากาศ ส่วนไนล์นั้นสวมถุงมือและโค้ทกำมะหยี่ยาวสีน้ำเงิน เธอดูจะชอบบรรยากาศของที่นี่เป็นพิเศษ ซึ่งเรย์เองก็สังเกตได้
“คุณชอบที่นี่รึ?” เขาถามไนล์ที่เดินอยู่ด้านหน้า
หญิงสาวเดินลัดเลาะชมทิวทัศน์ของสิ่งก่อสร้างรอบตัว เหมือนกับเสียงที่ดังมานั้นเป็นเสียงลม เรย์เองเริ่มรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีกับเขาเท่าใดนัก เขาจึงพูดต่อไปว่า
“คุณคงคิดว่าผมใจดำ เลยทำเป็นไม่ได้ยิน”
หญิงสาวเมื่อได้ยินเรย์พูดก็หันหลังกลับมาจ้องไปที่หน้าของเขา “หรือมันไม่จริง?” เธอกระแทกเสียงใส่
เรย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เด็กแบบนั้นมีเยอะแยะไป คุณจะปลอบได้ทุกคนหรือ?” เรย์ว่า
“ถึงจะทำได้ไม่กี่คนก็ดีกว่าไม่ได้ทำค่ะ” ไนล์สะบัดหน้าใส่เรย์
“เอาล่ะ... เอาล่ะ... ผมเข้าใจแล้วเดี๋ยวถ้าเจอเธออีกผมจะช่วยคุณปลอบเธอละกัน” เรย์ตอบเสียงอ่อย อาการใจอ่อนกับสาวสวยของเรย์เริ่มกำเริบ ในขณะที่ไนล์ที่เดินอยู่ด้านหน้าแอบอมยิ้ม แล้วเอามือประสานกันที่ด้านหลัง ก่อนจะเดินชมเมืองอย่างสบายอารมณ์ ปล่อยให้เรย์มองตามผมดำยาวสลวยของเธอขณะปลิวตามลม
ทั้งสองเดินลัดเลาะริมชายฝั่งจนมาถึงสิ่งก่อสร้างแบบโรมาเนสก์ ตัวมหาวิหารเซนต์ลอว์เรนซ์ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า วิหารขนาดใหญ่และงดงามเคียงคู่หอคอยสูง ทั้งหมดวางตัวอยู่ใต้กระเบื้องหลังคาสีกุหลาบ ช่องหน้าต่างที่โค้งมนวางตัวเรียงรายบนผนัง รูปปั้นอดัมกับอีฟตั้งเด่นเคียงข้างสิงโตหินที่ประตูตะวันตก
ไนล์ชะลอฝีเท้าเพื่อเดินเข้าไปพร้อมกับเรย์ รอยยิ้มเริ่มแย้มตัวที่ริมฝีปากของชายหนุ่ม เขาก้าวเท้าเข้าสู่ตัววิหารพร้อมกับเธอ แสงสว่างส่องผ่า นกระจกลายกุหลาบสู่ด้านในของวิหาร ด้านในสุดของห้องโถงหลักในตัววิหาร ปรากฏร่างพระเยซูคริสต์ถูกตึงบนกางเขนหิน อันเป็นสัญลักษณ์ของเหล่าคาทอลิก ผู้คนที่แวะเวียนเข้าชมความงามของที่แห่งนี้มีมาไม่ขาดสาย ทั้งเรย์และไนล์เดินสำรวจด้านในอยู่เป็นนาน จนกระทั่งมาหยุดที่บัลลังก์แปดเหลี่ยมของนักเทศน์ ซึ่งยกตัวสูงจากพื้นเกือบสามเมตร ทั้งคู่หยุดมองศิลปะที่อยู่ตรงหน้าอย่างชื่นชม จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง
“สนใจบัลลังก์นี้หรือคะ?”
เรย์และไนล์หันหน้าไปทางที่มาของเสียงเกือบจะพร้อมกัน เบื้องหน้าคนทั้งสองคือแม่ชีในวัยชรา เธอสวมชุดสีขาวดำและสัญลักษณ์กางเขนที่เด่นชัด
“ฉันสนใจของที่เก่าแก่น่ะค่ะ” ไนล์ตอบพร้อมรอยยิ้ม “มันให้กลิ่นอายของอดีตค่ะ” เธอว่า
หญิงชรายิ้มให้ด้วยสายตาอันอ่อนโยน “มิน่าล่ะพวกคุณถึงมาตามหาความลับของบรรพกาลถึงที่นี่” เธอพูด
สีหน้าของเรย์และไนล์เปลี่ยนไปทันที เรย์รีบล้วงมือไปที่โซลไนฟ์ที่เหน็บอยู่ด้านหลังของเขา แต่ยังไม่ชักมันออกมา
“ใจเย็นๆ พ่อหนุ่ม... ฉันไม่ต้องการการต่อสู้ เวลานี้ฉันต้องการแค่ความสงบตามคำสอนของไบเบิ้ล” หญิงชราค่อยๆ พูดเสียงเนิบ
“คุณเป็นใคร?” เรย์ถามเสียงเข้ม
รอยยิ้มแตะที่ริมฝีปากหญิงชรา “แล้วพวกเธอมาตามหาใครล่ะ?” เธอถามกลับ
ไนล์เลิกคิ้วเบิกตากว้าง “เฮล่า!” เธออุทาน
หญิงชราพยักหน้าเพื่อตอบรับ ก่อนที่เธอจะกล่าวต่อไป “ขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่สะดวกของเราทั้งสาม คืนนี้สองนาฬิกาซิสเตอร์จะคอยที่โบสถ์เซนต์อีวานที่อยู่ไกลออกไปไม่มากนะ” เธอพูดพร้อมกับค้อมตัวเป็นมารยาทพร้อมกับเดินจากไป ทิ้งให้เรย์และไนล์ที่พยายามไม่ให้เธอรู้ถึงการมาของพวกเขา ยืนนิ่งอยู่ข้างม้านั่งไม้ตัวยาวที่อยู่กลางห้องนี้
เมื่อทั้งสองค่อยๆ ปลีกตัวออกจากวิหารแห่งนี้ได้โดยปลอดภัยแล้ว พวกเขามุ่งหน้าตรงกลับสู่บ้านริมทะเลของพวกเขาในทันที เมื่อกระดิ่งอันเล็กๆ ที่แขวนไว้หน้าประตูดังขึ้น ทั้งสองก็มุ่งตรงสู่ห้องโถงที่ด้านล่าง
“นั่นคือเธอจริงๆ หรือคะ?” ไนล์ถาม
เรย์พยักหน้า พร้อมกับทิ้งตัวลงบนโซฟา “ผมรู้สึกกดดันมากแบบไม่เคยเป็นมาก่อน” เขาว่า “ซิสเตอร์คนนั้นไม่ใช่แค่นีเมซิสระดับที่ผมเคยเจอมา" เรย์ยืนยัน
“แล้วทำไมฉันไม่รู้สึกถึงจิตประสงค์ร้ายเลยละคะ?” ไนล์ถามก่อนที่จะเดินมานั่งตรงข้ามกับเรย์
“ผมก็ไม่รู้สึก” เรย์ว่า “แปลก... มันแปลกมาก” ชายหนุ่มกอดอกทำหน้าครุ่นคิด
“แล้วที่เธอนัดเราจะเอาอย่างไรดี?” ไนล์ถาม “หรือเราไม่ควรไป?”
เรย์ส่ายหน้า “ถ้าเธออยากฆ่าเราตอนที่เธอมาอยู่หลังเรานั้น เธอจัดการเราได้สบาย ผมคิดว่าเธอมีอะไรต้องการคุยกับเรา” เขาพูด
“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เราจะไปที่โบสถ์เซนต์อีวานใช่ไหม?” ไนล์จ้องไปที่ตาของชายหนุ่มคาดคั้นคำตอบ
ชายหนุ่มส่ายศีรษะ “ไม่ใช่เรา” เขาว่า “แต่เป็นผมคนเดียว” เขาตอบเสียงเข้ม
“ฉันจะไปกับคุณ คิดว่าคงเป็นประโยชน์กับคุณได้บ้าง” ไนล์ยืนยันว่าเธอต้องไปด้วย พร้อมกับยืนขึ้นเดินกลับไปที่ห้องของเธอ
ยามเย็นมาเยือนอีกครั้งชิงช้าด้านนอกถูกจับจองโดยเด็กสาวคนเดิม ไนล์เมื่อได้เห็นก็เดินตรงเข้าไปหาเธอในทันที ที่ตามมาข้างหลังคือเรย์ที่เดินตามมาอย่างเงียบๆ
“เจอกันอีกแล้วนะจ้ะ” ไนล์ย่อตัวลงนั่งหน้าของเด็กน้อย
เธอยิ้มจนพวงแก้มสองข้างบานออก “วันนี้คุณพ่อซื้อตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ให้หนูด้วยค่ะพี่สาว” เธอเล่า
“จริงหรือจ้ะ? แล้วตั้งชื่อให้เขาหรือยังล่ะ?” ไนล์ปั้นหน้าสงสัย
เด็กน้อยผงกหัว “ดาด้าค่ะ” เธอว่า
“ดาด้า? ชื่อประหลาด” เรย์ที่ยืนพิงเสาชิงช้าอันเดิมพูดออกมา
ไนล์หันไปทำตาเขียวใส่ชายหนุ่มในทันที ซึ่งเมื่อเขาเห็นก็พูดต่อไป “แต่พี่ว่ามันก็ไม่ซ้ำใครดีนะ”
เรย์พูด รอยยิ้มแตะที่ริมฝีปากของหนูน้อย “ใช่แล้วค่ะดาด้ามาเป็นเพื่อนหนูแทนคนอื่นๆ ที่ไม่คุยกับหนู” เธอว่า
ไนล์ทำหน้าเศร้าก่อนจะยื่นมือไปกุมมือเล็กๆ เอาไว้ “ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ... เล่าให้พี่ฟังได้ไหม?” เธอถามพร้อมกับแววตาที่อ่อนโยน
“ทุกคนรักมิซูร่า หนูก็รักมิซูร่า แต่วันนั้นหนูชวนมิซูร่าแอบไปขี่จักรยานที่ริมทะเล” เด็กสาวหยุดพัก ก่อนที่จะค่อยๆ เล่าเรื่องราวของเธอต่อไปด้วยแววตาที่เศร้าลงถนัดใจ
“ตอนแรกมิซูร่าเป็นคนขี่ เธอเก่งมากๆ เธอรับปากว่าวันหลังจะสอนหนูด้วย แต่หนูไม่ยอมจะขอขี่วันนั้นเลย จนสุดท้ายมิซูร่าก็ยอมให้หนูขี่” เธอก้มหน้าลง ก่อนจะเล่าต่อด้วยเสียงไม่ดังนัก
“มันไม่ยากอย่างที่หนูคิด หนูขี่ได้ หนูขี่มันเร็วขึ้นๆ แต่แล้วมีรถคันใหญ่วิ่งสวนมา หนูตกใจกลัวทำให้พวกเราล้มไปด้านหน้ารถคันนั้น แล้ว...” น้ำตาเธอเริ่มไหลออกมา “แล้วมิซูร่าก็ตายไป หลังจากนั้นคนที่โรงเรียนก็ไม่มีใครพูดกับหนูเลย พวกเขาโกรธหนูที่ทำมิซูร่าตายค่ะพี่สาว” น้ำตาเธอไหลออกมาไม่หยุด
ไนล์ที่ได้ฟังรู้สึกสงสารเด็กน้อยเป็นอย่างมาก เธอตั้งใจจะปลอบเด็กหญิงตรงหน้า แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไร เด็กน้อยก็ลุกขึ้นพร้อมบอกกับเธอว่า “เย็นมากแล้วค่ะพี่เดี๋ยววันหลังหนูมาเล่นกับพี่อีกนะคะ วันนี้หนูต้องกลับก่อนนะ ถ้ากลับช้าเดี๋ยวคุณพ่อไม่ให้เล่นกับดาด้า” เธอพูดขณะที่ความเศร้าบนใบหน้าจางลงเล็กน้อย
“พี่ชื่อไนล์ ส่วนพี่ผูชายชื่อเรย์จ้ะ แล้วหนูล่ะชื่ออะไรจ้ะ?” ไนล์ถาม
เด็กหญิงที่วิ่งไปเกือบถึงประตูทางออกหันกลับมา เธอตะโกนตอบเสียงดัง “จาเซนก้าค่ะ” เสียงเธอดังได้ยินชัดเจน ไนล์ดันตัวลุกขึ้นยืน เธอหันมาหาเรย์เพื่อจะปรึกษาเกี่ยวกับเด็กน้อย แต่ที่เธอเห็นถ้าไม่ใช่เพราะแสงยามเย็นนั้นพร่าเลือนหรืออะไร เธอมั่นใจว่าเห็นมีน้ำตาคลออยู่ที่ตาของชายหนุ่ม
เธอนึกเรียบเรียงเรื่องราว ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าทำไมเขาไม่อยากคุยเรื่องเศร้ากับเด็กๆ เธอเดินไปยืนข้างหน้าเรย์ ก่อนจะทาบมือขวาลงที่หน้าอกของเขา แล้วกล่าวออกมาเสียงเบาๆ ว่า
“ขอโทษนะคะที่เข้าใจผิดคิดว่าคุณเป็นคนใจดำ” ไนล์กล่าวด้วยรอยยิ้มและแววตาอันอ่อนโยน
ความคิดเห็น