คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 นิกซ์เทพรัติกาล N.Y.X [ตอนจบ]
นาฬิกาปลุกที่ถูกตั้งไว้ในโทรศัพท์มือถือของเรย์ดังขึ้น มันดังเป็นครั้งแรกของเช้านี้ แต่ก็เป็นได้เพียงเสียงกวนใจชายที่นอนหลับอยู่บนเตียงสีหวาน ที่มีตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลมาเบียดตัวเขาให้มีพื้นที่ในการนอนลดลง เขาเอื้อมมือควานหาต้นเสียงที่วางอยู่บนพื้น เพื่อกดปิดเสียงที่ส่งออกมาทำให้มันเงียบไปได้พักหนึ่ง คงเป็นเพราะฤทธิ์ของแอบโซลูทวอดก้าที่เขาดื่มเข้าไปแบบไม่ยั้งเมื่อคืนก่อน ที่ทำให้หัวของเขายังปวดอยู่ไม่หาย เสียงปลุกจากโทรศัพท์เจ้ากรรมเริ่มดังขึ้นอีกรอบในห้านาทีต่อมา ซึ่งทำให้เรย์จำต้องสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา สายตาของเขามองไปรอบตัวแล้วต้องนิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อสิ่งที่เขามองเห็นนั้นเป็นห้องนอนสีหวานและผ้าห่มเย็บมือลายสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะเจ้าลาสีฟ้าเทาที่กำลังนั่งหัวเราะเหมือนจะเยาะเย้ยอยู่เป็นนัย เรย์ขมวดคิ้วจนเกือบจะชนกันพร้อมกับคิดว่า “แล้วที่นี่มันที่ไหนกันวะนี่?”
เขาเอามือทั้งสองข้างลูบที่ใบหน้าตัวเอง ก่อนที่จะกวาดสายตาไปรอบตัวอีกครั้ง ร่างหญิงสาวผมยาวสีทองกำลังนอนหลับตาเบียดเขาอยู่บนเตียง ซึ่งเมื่อเรย์มองจากเสื้อผ้าที่กระจายตัวอยู่บนพรมใยสังเคราะห์สีฟ้าอ่อน แล้วเขาก็สามารถประมาณชิ้นส่วนที่เหลืออยู่บนตัวของเธอได้ ว่าน่าจะเหลือน้อยชิ้นหรืออาจไม่เหลือเลยด้วยซ้ำ
“โอยเพราะเมื่อคืนดันชวนแม่สาวพนักงานต้อนรับที่โรงแรมนั่นเชียว เลยจบที่เมาเละอีกแล้วสิเรา” เขาบ่นกับตัวเองในใจ
“แล้วเดี๋ยวเช้านี้ต้องไปมอสโกอีก...” เมื่อเขาพูดตรงนี้ดวงตาที่จะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่เบิกกว้างขึ้นทันที พร้อมกับเหลือบมองนาฬิกาทรงสามเหลี่ยมที่แขวนบนผนังห้อง มันบอกเวลาเกือบจะแปดโมงเช้าแล้ว
“เวรล่ะทีนี้!” เค้าอุทาน เพราะเวลาที่เขาจะต้องออกเดินทางจากสนามบินเจเอฟเคในเช้านี้ ด้วยเครื่องของนิกซ์ในเวลาเก้าโมงเช้า เขาลุกขึ้นจากเตียง รีบหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาแต่งตัวด้วยความรวดเร็ว กางเกงสีดำถูกหยิบขึ้นมาเป็นชิ้นแรก ส่วนเสื้อหนังสีขาวนั้นถูกสวมใส่เป็นชิ้นสุดท้าย ก่อนที่จะออกไป เขาไม่ลืมบอกลาสาวน้อยที่กำลังลืมตาตื่น
“ขอโทษทีนะแจนพอดีวันนี้ผมมีงานด่วนตอนเช้า แล้วเดี๋ยวผมจะโทรมาหานะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงร้อนลน ก่อนที่จะเปิดประตูออกไป ขณะที่หญิงสาวยังนิ่งไม่รู้จะพูดอะไร
แต่เมื่อผ่านไปไม่ถึงสองนาทีเรย์ก็รีบกลับมา เขาพุ่งตรงเข้าหาหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงพร้อมกับผ้าห่มที่คลุมตัวไว้ เรย์โน้มตัวลงใกล้เธอที่ขอบเตียง หญิงสาวยิ้มและหลับตาลงเพราะรู้ว่าเขาจะเข้ามากอดลาเธอก่อนจากไป แต่ก็เป็นเวลานานเกินไปที่สัมผัสนั้นยังไม่มาถึงเธอสักที เธอจึงลืมตามองหาชายหนุ่ม แล้วเธอก็เห็นภาพเรย์กำลังก้มตัวลงควานมือไปที่ใต้เตียงสีขาวสะอาด ก่อนที่จะหยิบแท่งเหล็กที่มีผลึกสีฟ้าเม็ดโตติดอยู่ที่ปลายด้านหนึ่งขึ้นมา ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาวแล้วพูดขึ้นว่า
“โฮ่! ถ้าทำหายไปนี่ซวยแน่เรา” เมื่อพูดจบเขาก็หันไปหอมแก้มเธออย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่จะรีบออกไปจากห้อง เสียงเขาดังลอดมาก่อนที่ประตูจะปิดลง
“ผมไปก่อนนะแจน เดี๋ยวผมโทรหานะ” เขาใช้คำพูดประโยคเดิมบอกกับเธอ
หญิงสาวขมวดคิ้วก่อนที่ใช้มือเช็ดรอยที่เขาหอมเธอออก แล้วพูดอย่างอารมณ์เสียว่า “ฉันชื่อเจนไม่ใช่แจน อีตาบ้า” ก่อนที่จะล้มตัวลงนอน เอาผ้าคลุมจนมิดศีรษะเพื่อนอนต่ออีกครั้ง
มอเตอร์ไซค์สีแดงเพลิงวิ่งฝ่าการจราจรที่ติดขัดมุ่งตรงสู่สนามบิน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมการสั่นเตือนว่ามีสายเรียกเข้า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นสายจากนิกซ์ที่กำลังรอหัวหน้าหน่วยจู่โจมเช่นเขาอยู่ ยิ่งการสั่นของโทรศัพท์มากเท่าไหร่ความเร็วของล้อที่หมุนก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ด้วยความเร็วที่ถูกใช้จนเต็มที่ เรย์ก็มาถึงสนามบินเจเอฟเคที่ลานบินพิเศษในเวลาไม่นานนัก เสียงของหญิงสาวผมดำยาวที่ถูกมัดไว้ด้านหลังพร้อมกับแว่นขอบดำท่าทางระเบียบจัดดังขึ้น
“เรย์นี่นายไปอยู่ที่ไหนมา เราโทรเรียกตั้งหลายรอบก็ไม่รับสาย” เธอว่า
“ขอโทษทีรอส พอดีผมไม่ได้ยินน่ะ” เรย์ตอบพร้อมปั้นหน้าจริงจัง “พอดีเมื่อวานมีธุระนิดหน่อยเลยทำให้มาสาย” เขาตอบพร้อมกับรีบเดินหนีไปที่ห้องเตรียมตัว
หญิงสาวเอียงคอมองเรย์ที่ท่าทางลุกลี้ลุกลน ก่อนจะพูดไล่หลังเขาไปว่า “ท่าทางนายจะมีธุระกับแผนกเครื่องสำอางนะ ถึงมีรอยลิปสติกติดที่คอของนายน่ะ” เธอตะโกนเสียงดัง เรียกรอยยิ้มจากลูกทีมของเรย์ที่กำลังรออยู่ได้เป็นอย่างดี
เรย์ที่คิดว่าเขารอดพ้นจากการสงสัยไปแล้วยกมือขึ้นเช็ดคราบลิปสติกที่ลำคอออก พร้อมหลับตาลงและส่ายศีรษะแสดงสีหน้าผิดหวังที่เขาลืมทิ้งหลักฐานไว้จนได้
เครื่องบินทะยานตัวออกจากรันเวย์ในเวลาที่ล่าช้ากว่ากำหนดการนิดหน่อย เรย์ที่เหมือนจะพักผ่อนไม่เพียงพอแถมยังมีอาการปวดหัวจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ใช้เวลาที่เครื่องลอยตัวอยู่ในอากาศเป็นเวลาพักผ่อน เขาเพิ่งจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่อเครื่องร่อนลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติเดโมเดโดโว ที่ห่างจากตัวเมืองของกรุงมอสโกประเทศรัสเซียไปทางใต้เป็นระยะทางประมาณยี่สิบสองไมล์
ภารกิจในครั้งนี้คือการลอบสังหารภัณฑารักษ์ของพิพิธภัณฑ์เครมลินอาร์มรี่แซมเบอร์ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณพระราชวังเครมลิน พิพิธภัณฑ์เก่าแก่ที่สุดของกรุงมอสโก ซึ่งภายในมีการจัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายเมื่อครั้งสงครามในสมัยต่างๆของรัสเซีย รวมถึงข้าวของเครื่องใช้หลายชนิดของพระเจ้าซาร์ ทั้งเครื่องเรือน เครื่องนุ่งห่ม รวมถึงสมบัติอันมีค่าทั้งเพชรนิลจินดา มงกุฎเพชรโดยเฉพาะสมบัติอันล้ำค่าอย่างมงกุฎอิมพีเรียลของรัสเซีย ราชบัลลังก์งาช้าง เครื่องราชกุฏภัณฑ์ และสมบัติเลอค่ามากมาย และยังเป็นที่รวมภาพเขียนจากศิลปินที่มีชื่อเสียงอีกมากมายหลายชิ้น อันเป็นสิ่งบอกเล่าถึงความเป็นมาของประเทศหลังม่านเหล็กแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
หน่วยของเรย์นั้นใช้เรือนพักที่ใช้เพื่อรับรองอาคันตุกะของประเทศเป็นฐานที่มั่น เพื่อบุกเข้าสู่จุดหมายเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เพื่อง่ายแก่การแฝงตัวและหลบหลีกจากสายตา ทั้งผู้ที่อยู่ในมิติปกติหรือเหล่าเนเมซิสที่สิงสู่อยู่ในโลกเบื้องหลังก็ตาม
“วันนี้เรามีคนสำคัญจากหน่วยซิลฟ์ลอนดอนจะรวมงานกับเราด้วย เขาเป็นซีกเกอร์ฝีมือดีมาเพื่อเก็บข้อมูลลับโดยคำสั่งของคุณสเตรย์แฮม” หญิงสาวเพียงผู้เดียวในขณะนี้กล่าวแนะนำตัวให้ชายหนุ่มที่หน้าตาคุ้นเสียเหลือเกินสำหรับเรย์
“สวัสดีครับผมแซ็ก คอลลินด์ยินดีที่ได้ร่วมงานกับพวกคุณครับ” แซ็กกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
เรย์ขมวดคิ้วสงสัยถึงการกระทำของแซ็ก แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรก็มีเสียงพึมพำขึ้น “คอลลินด์ ใช่คอลลินด์ที่ผมคิดหรือเปล่าครับ?” เสียงหนึ่งถามขึ้น รอสพยักหน้าตอบเจ้าของเสียง ก่อนที่จะแนะนำให้แซ็กรู้จักคนในทีมจนมาถึงเรย์
แซ็กยิ้มก่อนที่จะพูดว่า “ผมบอกคุณแล้วว่าผมจะดูคุณทำภารกิจจนสำเร็จด้วยตาผมเองไง” เขาว่า
เรย์ได้แต่พยักหน้าด้วยอารมณ์สบายๆ เพราะเขาเองหลังจากที่ได้พูดคุยกับชายคนตรงหน้าเขาแล้ว เขาคิดว่าเรื่องเพียงเท่านี้คงเป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้วสำหรับเขา
แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปได้เกือบสองชั่วโมง ถ้าตามเวลาปกติพิพิธภัณฑ์ได้ปิดทำการแล้ว แต่ข้อมูลที่ส่งมาจากทางรัสเซียยืนยันว่า มิคาเอล เซเรนอฟภัณฑารักษ์ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์วางระเบิดย่านการค้าที่ถนนอาร์บัด ซึ่งเป็นถนนคนเดินและเป็นแหล่งรวมตัวของนักดนตรี อีกทั้งกลุ่มวัยรุ่นจำนวนมาก เหตุระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิตนับร้อยคน และบาดเจ็บอีกมากมาย หน่วยนิกซ์ซึ่งขณะนี้พร้อมออกปฏิบัติการแล้ว ออกจากที่มั่นด้วยรถจีเอ็มซีสีดำสองคัน มุ่งสู่จัตุรัสแดงและพระราชวังเครมลิน
ยอดของมหาวิหารเซนต์เบซิลมองเห็นได้เด่นชัด วิหารอันเป็นเครื่องหมายแห่งศูนย์รวมทางศาสนาของชาวรัสเซียมาตั้งแต่ศตวรรษที่สิบสี่ อีกทั้งยังเป็นเป็นอาคารที่มีความสูงที่สุดของเมืองในยุคนั้น รูปแบบอาคารที่มีลักษณะเป็นรูปโดมทรงหัวหอมซึ่งแต่ละโดมตกแต่งด้วยสีสันสดใส มีเพียงโดมที่สูงที่สุดที่ตกแต่งเป็นรูปดาวแปดแฉก อันเป็นสัญลักษณ์แห่งโบสถ์คริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ ด้วยสีสันที่ร้อนแรงแต่ก็แฝงไปด้วยความอ่อนช้อยสวยงามสะดุดตา อันเป็นผลงานการออกแบบของปอสนิก ยาคอฟเลฟซึ่งเมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อย เขาถูกสั่งให้ควักดวงตาออกเพื่อไม่ให้สามารถออกแบบสถาปัตยกรรมที่งดงามเช่นนี้ได้อีกเป็นครั้งที่สอง
เมื่อมองผ่านกำแพงสีแดงเข้มที่ทอดตัวยาวกว่าสองกิโลเมตรอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังเครมลินที่ตั้งตระหง่านเพื่อตอกย้ำถึงอัตตาธิปไตยแห่งรัสเซียในสมัยก่อน พระราชวังที่เมื่อแสงไฟส่องกระทบจะเห็นเป็นสีขาวขลิบทองวางตัวอยู่ใต้หลังคาสีเขียวเข้ม มหาราชวังเก่าแก่อันอันเกรียงไกรซึ่งเป็นจุดกำเนิดแห่งรัสเซีย ด้วยจำนวนห้องกว่าเจ็ดพันห้องและเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจในสมัยนั้น
เมื่อมาถึงจุดหมาย พวกแซ็กผ่านทหารเฝ้ายามที่ด้านหน้าทางเข้าด้วยคำสั่งพิเศษที่ส่งมาโดยตรงจากสภาความมั่นคง ล้อทั้งสี่หยุดหมุนลงพร้อมกับประตูที่เปิดออก ชายชุดดำห้าคนรีบรุดไปยังพิพิธภัณฑ์อาร์มรี่แซมเบอร์ ที่วางตัวอยู่เบื้องหน้า ทั้งห้ารีบเข้าสู่มุมอับสายตาที่ทั้งมืดและถูกบังด้วยพุ่มไม้ใหญ่ ที่วางตัวอยู่ข้างตัวอาคาร เสียงสั่งการจากเรย์ที่รับหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“ไนท์” เสียงสั่งการสั้นๆ หากแต่ผู้ได้รับคำสั่งรู้ได้ทันทีว่าเป็นหน้าที่ของเขา ซึ่งต้องทำหน้าที่เปิดประตูสู่มิติเบื้องหลัง
“จิตแห่งบรรพกาล ดวงเนตรแห่งพื้นพิภพ โปรดเบิกทางแห่งห้วงมิติ”
เสียงเปิดประตูมิติดังขึ้น อันเป็นเสียงสัญญาณของการเริ่มปฏิบัติการ รอยแยกของมิติปรากฏออกมาดังเช่นเคยเสียงยืนยันจากผู้เปิดทางยืนยันถึงความคงตัวของเอจที่ปรากฏดังขึ้นตามมา
“ยืนยันเอจอยู่ในภาวะเสถียร”
เมื่อเสียงยืนยันดังขึ้นเรย์เริ่มส่งสัญญาณมือโดยกำมือแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือชี้ไปที่ช่องว่างมิติ เมื่อเห็นดังนั้นคนทั้งสามรีบเข้าไปในช่องมิติที่เปิดออก แล้วจึงตามด้วยเรย์เป็นคนสุดท้ายที่เข้าไป
“ไนท์เรียกศูนย์ หน่วยจู่โจมเข้าสู่มิติเบื้องหลังเรียบร้อย เริ่มปฏิบัติการ ไซเรนท์ไนท์ (Silent Night)” เสียงรายงานยืนยันการเร้นกายเข้าสู่มิติแห่งภารกิจดังขึ้นอีกครั้ง
ด้วยทิวทัศน์ที่ไร้ชีวิตรอบกาย และแสงจันทร์ที่ทอแสงอ่อนยามค่ำคืน มันส่องสว่างให้มหานครหลังม่านเหล็กแห่งนี้ดูราวกับแดนสนธยา ประตูหลังของพิพิธภัณฑ์ถูกเปิดออก โดยต้องใช้เวลาพอควรทีเดียว เนื่องจากต้องตัดวงจรของสัญญาณเตือนภัยเสียก่อน ทั้งห้าแฝงตัวเข้าสู่ตัวอาคารอย่างไร้เสียง หน้ากากสำหรับมองในที่มืดพร้อมกับตรวจจับแสงอินฟราเรดถูกดึงลงมาสวมใส่ ทำให้ความมืดที่เป็นอุปสรรคในเวลานี้หายไปในทันที เรย์สืบเท้าเดินนำทีมไปอย่างเงียบสงัดเนื่องจากภารกิจครั้งนี้คำสั่งที่ได้คือ ‘ลอบสังหาร’ ที่ต้องทำด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ
เรย์ค่อยๆ นำทีมคืบไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ซึ่งแซ็กเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน หลังคาที่โค้งมนตกแต่งด้วยโคมไฟระย้าสีทองที่ทิ้งตัวลงมาจากเพดาน บานประตูเหล็กที่กั้นแต่ละห้องออกจากกันค่อยๆ ถูกเปิดออกโดยลูกทีมผู้ชำนาญ ตู้กระจกนิรภัยที่ล้อมรอบเกราะอัศวินสีเงิน บนหลังม้าที่หุ้มเกราะเกินครึ่งร่าง อีกทั้งในตู้ด้านตรงข้ามยังมีเครื่องใช้ที่ทำด้วยทองส่องประกายแวววาวอยู่ภายใน พวกเขาผ่านห้องโถงขนาดใหญ่ที่ตั้งโชว์ผลงานศิปะของศิลปินอันเลื่องชื่อ ผ่านมาจนถึงส่วนของบันไดที่พาสู่ชั้นสองที่ได้รับรายงานว่ามิคาเอล เซเรนอฟผู้เป็นเป้าหมายอยู่ที่นั่น
เรย์ส่งสัญญาณมือให้ทุกคนหยุดเสียงฝีเท้าลง เขาสั่งลูกทีมขึ้นไปดูลาดเลาที่ด้านบนอย่างระมัดระวัง ผู้ได้รับคำสั่งค่อยๆ สืบเท้าขณะที่แผ่นหลังพิงชิดกำแพง ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกจากการขยับร่างกายของเขาแม้แต่น้อย เขาขึ้นไปจนถึงชั้นสองแล้วใช้กล้องขนาดจิ๋ว ที่ติดอยู่ปลายสายของกล้องตรวจเช็คทางเดินทั้งสองด้าน ก่อนที่จะให้สัญญาณมือที่ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น อันมีความหมายว่าทางสะดวก ทั้งสี่จึงตามขึ้นไปจนเกือบถึงบันไดขั้นสุดท้าย แต่ก็ต้องหยุดฝีเท้าลง!
สัญญาณยกฝ่ามือขึ้นถูกส่งมาจากผู้ที่ใช้กล้องสำรวจโถงทางเดิน เหตุเพราะประตูที่เปิดออก โดยมีชายในชุดสูทสีดำเดินออกมา มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากที่นี่เป็นมิติปกติ แต่นี่คือมิติเบื้องหลังอันไร้สิ่งมีชีวิต มีเพียงสองอย่างที่เข้าใจได้คือพวกเดียวกันหรือเนเมซิส
ชายหนุ่มสั่งการด้วยภาษามือต่อไป เขาสั่งให้ใช้กล้องตรวจจับความร้อนในทันที เพราะเนเมซิสนั้นจะส่งสัญญาณความร้อนที่แตกต่างจากมนุษย์อย่างเห็นได้ชัดเจนเมื่อใช้กล้องตรวจจับ กล้องตรวจความร้อนถูกยกขึ้นมาขนานกับสายตาก่อนที่จะมีสัญญาณยืนยันว่าสิ่งเบื้องหน้าหาใช่มนุษย์ไม่
เรย์ค่อยๆ ขยับร่างของเขาขึ้นสู่ชั้นสอง เมื่อเห็นว่าร่างชายชุดดำที่เห็นนั้นหันหลังให้พวกเขา เรย์ชักโซลไนฟ์ด้ามใหม่ของเขาออกจากข้างลำตัว แสงสีขาวที่แปลงจากพลังวิญญาณเปลี่ยนแปลงเป็นคมมีดแสงสีขาวขุ่น เขาค่อยๆ สืบเท้าขึ้นสู่โถงทางเดิน ย่างกรายเข้าด้านหลังเป้าหมายมากขึ้นทุกขณะ จากระยะเกือบสิบเมตรจนขณะนี้เขาอยู่ด้านหลังของมันแล้วมือซ้ายของเรย์ที่ถูกสวมทับด้วยถุงมือสีดำพุ่งเข้าปิดปากเป้าหมาย ก่อนที่จะตามด้วยการแทงโซลไนฟ์เข้าทางด้านหลังสามครั้งติดต่อกัน จนร่างเบื้องหน้านั้นทรุดลงกับพื้นโดยปราศจากเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา
ร่างมนุษย์ที่กองอยู่บนพื้นนั้น บัดนี้เผยร่างจริงออกมาเป็นร่างของปีศาจที่มีใบหน้าคล้ายค้างคาวที่มีใบหูแหลมสีดำพร้อมกับร่างที่มีพังผืดติดอยู่กับแขนทั้งสองข้าง ควันจางๆ ลอยขึ้นจากร่างที่กองอยู่บนพื้น ด้วยพลังของโซลไนฟ์ที่แปรเปลี่ยนพลังวิญญาณให้เป็นพลังงานที่เผาไหม้วิญญาณแห่งบาป
เมื่อแน่ใจแล้วว่าวิญญาณเป้าหมายสลายไปแน่นอนแล้ว เรย์ส่งสัญญาณเรียกคนทั้งสี่ที่เร้นกายอยู่ข้างกำแพงให้ตามมาในระยะประชิด ห้องทำงานของภัณฑารักษ์ที่เป็นเป้าหมายอยู่อีกไม่ไกล ทั้งห้าค่อยๆ ย่างเข้าสู่จุดหมาย กล้องขนาดเล็กถูกสอดลอดใต้ประตูห้องที่ปิดตัวอยู่ เบื้องหน้า ภาพที่กล้องส่งมาให้เห็นคือชายสูงอายุที่กำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ ด้วยหน้าตาและท่าทางที่มองเห็นนั้น หากไม่ได้รับการยืนยันว่าเขาคือผู้บงการคร่าชีวิตผู้คนนับร้อยในคราเดียวแล้ว ก็คงไม่สามารถคาดได้ว่าชายธรรมดาเช่นนี้กล้าออกคำสั่งสังหารมนุษย์มากมายได้อย่างไร เรย์ใช้คำสั่งจากมือให้ทุกคนชักอาวุธประจำกายออกเตรียมพร้อม มีดทั้งสี่เล่มถูกชักออกมาอยู่ในท่าเตรียมในทันที ซึ่งแน่นอนมันรวมทั้งแซ็กด้วย
ประตูค่อยๆ ถูกเปิดออกจากด้านนอกสู่ด้านใน เรย์รอจังหวะที่ร่างเบื้องหน้าลุกออกจากโต๊ะแล้วหันหน้าไปอีกด้านหนึ่ง เขาแฝงตัวเข้าประชิดด้วยความเร็ว โซลไนฟ์ถูกแทงเข้าไปที่หัวของเป้าหมายอย่างเร็วและแรง ก่อนที่จะฟันใสด้านหลังอีกสองครั้งเป็นแนวกากบาท ร่างเบื้องหน้าถูกเฉือนออกเป็นสี่ส่วน ร่างนั้นวิญญาณดับสิ้นลงทันใด รอยยิ้มแตะที่มุมปากของเรย์ในทันที แต่มันกับแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่สงสัย เมื่อร่างนั้นสภาพเดิมเป็นร่างของปีศาจค้างคาว เหมือนกับเจ้าตัวก่อนหน้านี้ที่เขาฆ่ามันตรงโถงทางเดิน
บางอย่างเริ่มไม่เป็นปกติ เพราะตามข้อมูลที่ได้รับมานั้นเนเมซิสในครั้งนี้ต้องเป็นปีศาจค้างคาวกระดูก ที่ร่างกายเป็นโครงกระดูกไร้ซึ่งเนื้อหนัง หากแต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของเรย์นั้นกลับเป็นปีศาจค้างคาวสีดำในร่างเนื้อ ก่อนที่ความคิดของเขาจะหาสาเหตุได้ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นจากด้านบนเพดานสูงของห้อง
เสียงหัวเราะแหบแห้งดังมาจากร่างสีขาวขุ่น ที่ประกอบจากกระดูกหลายชิ้น มันใช้ขาเกาะเกี่ยวห้อยหัวลงมาจากด้านบน กระดูหลายสิบชิ้นที่ประกอบเป็นส่วนอกขยับขยายเข้าออกคล้ายกับร่างที่มีชีวิต มีเพียงขาสองข้างที่เหลือแต่กระดูกที่ยึดตัวมันอยู่บนหลังคา ภาพที่เห็นเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆมันเป็นร่างของค้างคาวที่ดวงตาในเบ้าตาของกะโหลกสีขาวไร้เนื้อหนังที่ลึกจนเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุด หากแต่มีแสงสีแดงเข้มแผ่ออกมาพร้อมความประสงค์ร้าย พังผืดจากแขนกับลำตัวถูกแทนที่ด้วยเส้นเอ็นที่แห้งกรังสานตัวกันจนเป็นปีกทั้งสองข้าง ปากที่ไร้ริมฝีปากเปิดออกเปล่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“ถือว่าเป็นการลอบสังหารที่ทำได้ดีในฐานะที่เจ้าเป็นมนุษย์ ไร้เสียง ไร้การเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น หากนั่นเป็นร่างจริงของข้าไม่ใช่ลูกน้องข้า ข้าคงเสร็จเจ้าไปแล้ว” มันกล่าวขณะที่ห้อยหัวอยู่ด้านบน
“ทุกคนเตรียมพร้อม” เรย์สั่งพร้อมกับกระชับมีดแห่งจิตไว้แน่น ทำให้คนในหน่วยเข้ามาที่ด้านในพร้อมกับโซลไนฟ์ที่เปล่งแสงสีขาวกวัดแกว่งไปมา เนื่องจากการลอบสังหารโดยไร้เสียงนั้นล้มเหลวเสียแล้ว!
“น่าสนุก” มันพูดด้วยเสียงแหบแห้ง ก่อนที่จะปล่อยตัวลงมาจากด้านบน กลับตัวลงมายืนบนพื้นห้องที่ปูด้วยหินขัดมัน กระดูกหลายสิบชิ้นกระทบกันจนทำให้เสียงนั้นดังออกมา ทำให้ผู้อยู่เบื้องหน้าของมันได้ยินอย่างชัดเจน
เรย์ไม่ปล่อยโอกาสให้เสียเปล่า เขาพุ่งเข้าเสียบมีดเข้าที่อกของเจ้าเนเมซิส ก่อนที่จะฟันลงจากไหล่ขวาเฉียงไปที่เอวซ้าย หากแต่เจ้ากระดูกตรงหน้ากลับไม่ได้รับความเสียหายใดๆ
“ซวยละซิ” เรย์อุทาน ก่อนที่มือของเจ้าปีศาจจะหวดเข้าที่หน้าอกของเขา ยังดีที่แขนสองข้างถูกยกขึ้นมากันไว้ได้ทัน แต่ก็ทำให้ร่างเขากระเด็นไปไกลหลายเมตรทีเดียว
ในจังหวะนั้นชายอีกสองคนที่รอท่าอยู่แล้ว พุ่งตัวเข้าหาเนเมซิสโครงกระดูกขนาดสูงเกือบสามเมตร พร้อมกับใช้โซลไนฟ์ของเขาฟันใส่ขาแต่ละข้างของมัน หมายล้มมันลงมาสู่พื้น แต่มีดแห่งจิตนั้นกลับไม่สามารถฟันผ่านกระดูกที่หนาและแข็งแกร่งของมันได้ ขาของเจ้าปีศาจเหวี่ยงเข้าใส่ทั้งสองพร้อมกัน โดนเข้าเต็มท้องของทั้งสองอย่างจัง จนกระเด็นไปชนกับโต๊ะไม้ที่ตั้งอยู่กลางห้องจนหักเป็นชิ้นๆ
“โซลไนฟ์ของพวกนายพลังไม่พอที่จะฟันมัน หลบออกไป!” เรย์ตะโกนบอกคนในทีม ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมากระชับมีดไว้ข้างกายอีกครั้ง คมมีดแห่งจิตเปล่งประกายรุนแรงอีกครั้ง เขาค่อยๆ ขยับตัวเข้าหาค้างคาวกระดูกเบื้องหน้าที่กำลังเดินหน้าเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว แสงสีขาวจากมีดในมือของเขาถูกโบกไปมาเพื่อหาจังหวะ แขนของมันฟาดลงมาจากด้านบน ซึ่งเรย์ที่อ่านทางออกอยู่แล้วนั้นฉากหลบได้ทัน แต่เมื่อขาที่เหลือแต่กระดูกของมันวาดขึ้นด้านบน เรย์ที่ไม่สามารถหลบได้ทำได้เพียงใช้โซลไนฟ์รับการโจมตี แต่ก็ไม่สามารถทานแรงอันมหาศาลของเนเมซิสตนนี้ได้ ร่างเขากระเด็นจนไปชนเข้ากับตู้ด้านหลัง ทำให้กระจกแตกกระจายลงสู่พื้น
เจ้าปีศาจค้างคาวพุ่งตัวด้วยความเร็วเพื่อจะดับลมหายใจเหยื่อเบื้องหน้า กรงเล็บกระดูกถูกฟาดลงใส่จากด้านบนอีกครั้ง แต่แซ็กที่พุ่งเข้ามาใช้โซลไนฟ์ของเขารับการโจมตีนั้นไว้ได้ทัน ทำให้เรย์กลิ้งตัวหลบออกมาได้หวุดหวิด ก่อนที่จะได้ยินเสียงแซ็กตะโกนเสียงดังออกมา
“ใช้ซินในโซลไนฟ์เร็ว ปลุกนิดฮอกก์ขึ้นมาซะ” แซ็กตะโกน
เรย์กลิ้งหลบออกมาได้ด้วยสภาพที่ยับเยินทีเดียว เขาประคองตัวเองลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอ่ยนามของซินแห่งสายฟ้า ผู้สถิตอยู่ในโฮปที่ฝังตัวอยู่ส่วนท้ายของด้ามมีด
“จิตแห่งสายฟ้านิลกาลจงขานรับเสียงเพรียกแห่งข้า”
เมื่อประโยคนั้นถูกขานขับ พลังจากมือที่กุมมีดอยู่ถ่ายเทสู่อัญมณีที่ติดอยู่ แล้วโฮปจึงถ่ายทอดพลังไปยังคมมีดแห่งวิญญาณ บังเกิดสายฟ้าสีดำที่มองได้ด้วยตาเปล่าครอบคลุมรอบคมมีดในทันใด เสียงลั่นของสายฟ้าที่เปล่งพลังงานอย่างรุนแรงออกมาได้ยินชัดเจนเช่นเดียวกับพลังที่สัมผัสได้เมื่อมองเห็น
“พลังอะไรกันนี่!” เรย์อุทาน
เจ้าปีศาจรู้สึกได้ถึงอันตรายในทันที มันหมายขยี้หัวของเรย์ด้วยกรงเล็บอันแข็งแกร่ง แต่เมื่อเรย์ใช้มีดที่ห่อหุ้มด้วยสายฟ้าฟันสวนไป กระดูกอันแข็งแกร่งที่โซลไนฟ์ก่อนหน้านี้ฟันลงไปไม่เกิดแม้กระทั่งรอยขีดข่วน กลับระเบิดออกและมอดไหม้จนไม่เหลือเศษซาก ค้างคาวกระดูกตกใจอย่างเห็นได้ชัด มันเปิดช่องโหว่ให้เรย์พุ่งเข้าปักมีดแห่งสายฟ้าลงที่อกอันเต็มไปด้วยกระดูกอันแข็งแกร่ง
เสียงแผดร้องปานดวงวิญญาณถูกเผาผลาญดังก้องไปทั่ว พลังงานอันทรงพลังถูกปักลงบนร่างอันแข็งแกร่งของนีเมซิสเบื้องหน้า พลังสายฟ้าสีดำที่รู้สึกได้ถึงความรุนแรงที่ปกคลุมทั่วคมมีด พลังที่อัดแน่นจากซินที่หลับใหลถ่ายทอดรวมกับพลังวิญญาณของผู้ใช้ ทำให้ร่างที่ถูกแทงระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ราวกับโดนสายฟ้าทมิฬฟาดใส่ยามพายุกระหน่ำ เศษกระดูกที่กระจายตัวอยู่ทั่วห้องถูกเผาไหม้เหลือแต่เถ้าในทันที
โซลไนฟ์ที่อยู่ในมือของเรย์ขณะนี้ปกคลุมด้วยสายฟ้าสีดำ มันที่ส่องแสงแปลบปลาบแสดงถึงพลังอันมหาศาล ทุกคนที่เห็นตะลึงในพลังของมัน ไม่เว้นแม้แต่ตัวเรย์เองที่เป็นผู้ครอบครองมันอยู่ในขณะนี้ แต่เมื่อเข้านึกขึ้นได้ถึงภารกิจที่ต้องดำเนินต่อไป เขาจึงเก็บโซลไนฟ์ลงแล้วสั่งคำสั่งต่อไป
“ถอนตัว” เรย์สั่ง
เมื่อคำสั่งถูกสั่งออกมา ทุกคนจึงช่วยกันพยุงคนเจ็บออกไปที่จุดนัดพบที่ประตูมิติ พวกเขาใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงเอจที่เปิดอยู่ คนเจ็บถูกส่งออกไปก่อนแล้วตามด้วยลูกทีม โดยเรย์นั้นออกไปเป็นคนสุดท้าย
“ภารกิจเรียบร้อยปิดเอจได้” เรย์หันไปสั่งไนท์เสียงเข้ม
“ขอวิงวอนพลังแห่งผืนดิน ดวงจิตไร้ขอบเขต เส้นทางแห่งมิติจงปิด”
เมื่อสิ้นเสียงวิงวอน ประตูมิติถูกปิดลง พร้อมกับรถจีเอ็มซีสองคันที่วิ่งเข้ามาจอดรับในทันที ทุกคนกลับขึ้นสู่รถมุ่งหน้าตรงไปที่ท่าอากาศยานนานาชาติเดโมเดโดโวในทันที เพื่ออกจากกรุงมอสโคให้เร็วที่สุด
เสียงของรอสที่คอยสนับสนุนอยู่บนรถติดต่อไปยังนิกซ์ที่นิวยอร์กดังขึ้น
“งานเสร็จเรียบร้อย เรากำลังมุ่งสู่นามบิน” เธอรายงานเสียงเรียบ เหมือนคาดการณ์ไว้แล้วว่างานจะต้องสำเร็จ
เสียงไซเรนของรถพยาบาลและรถตำรวจวิ่งสวนไปเพื่อมุ่งหน้าไปยังพิพิธภัณฑ์ คาดว่าร่างในโลกเบื้องหน้าสามร่างที่ถูกนีเมซิสสิงสู่คงถูกพบแล้วเป็นแน่
เสียงเรย์ที่กำลังนั่งอยู่บนรถคันเดียวกับแซ็กหันมาถามแซ็กดังขึ้น
“ในเมื่อโฮปมีพลังขนาดนี้แล้วทำไมนายไม่บอกตั้งแต่แรก?” เรย์ถามด้วยเสียงไม่พอใจนัก
“อ่าว... ก็นายไม่บอกนี่ว่าต้องการความช่วยเหลือ” แซ็กตอบเน้นที่คำว่าช่วยเหลือ อันทำให้ผู้ถามถึงกับนิ่งไม่กล้าพูดอะไรต่อไปอีก
“และที่สำคัญ...” แซ็กเว้นจังหวะพูด “มันไม่ได้มีแต่ข้อดีหรอกนะ แล้วเดี๋ยวนายก็จะรู้เอง”
เรย์ที่ได้ฟังยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนักในขณะนี้ เพราะเขายังไม่รู้ถึงความเจ็บปวดที่จะตามมาหลังจากใช้พลังจากซิน จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่เกินกว่ามนุษย์จะควบคุมได้
รถยนต์สีดำสองคันมุ่งหน้าฝ่าแสงไฟของท้องถนนและกลิ่นไอของเมืองหลังม่านเหล็ก หิมะที่กำลังโรยตัวลงมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน เหมือนกับจะกล่าวคำลาแด่ผู้มาเยือนด้วยทิวทัศน์สีขาวโพลนของมหานครอันเย็นยะเยือกแห่งนี้…
ความคิดเห็น