คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 นิกซ์เทพรัติกาล N.Y.X [ตอนต้น]
บทที่ 1
N.Y.X
นิกซ์เทพแห่งรัตติกาล
สายฝนโปรยตัวลงมาจากท้องฟ้ายามสาย เมฆสีดำปกคลุมทั่วท้องฟ้า ทำให้ความเหงาและความคิดถึงแผ่วงกว้างไปทั่วบริเวณ ทิวสนที่ต้องสายลมและหยาดฝนพลิ้วเอนไปตามทิศทางที่กระแสลมพัดพา ไอดินค่อยๆ เผยตัวออกให้ผู้คนที่อยู่เหนือผืนดินได้ดอมดม กลิ่นอันเกิดจากสปอร์ของแบคทีเรียตระกูลแอคติโนไมเซส ที่เร้นตัวหลงเหลืออยู่บนผืนดินอันแห้งแล้ง รอคอยการกลับมาของสายฝนที่โปรยปราย และเมื่อสายฝนหยาดลงเบื้องล่างอีกครั้ง สปอร์ที่วางตัวสงบเงียบอยู่เหล่านั้นฟุ้งกระจายปะปนกับเสียงฝนและความชุ่มชื้น กลายเป็นกลิ่นดินอบอวนรอบอาณาบริเวณ
โบสถ์สีขาวเก่าแก่แต่มีป่าสนล้อมรอบกว้างสุดลูกหูลูกตา มันตั้งหลบเลี่ยงผู้คนอยู่บริเวณชานเมืองของมหานครนิวยอร์กซิตี้ ด้วยสีขาวเก่าๆ อันเป็นสีของสิ่งก่อสร้างและประตูไม้เก่าแก่ เหมือนไม่เคยได้รับการซ่อมบำรุงมายาวนาน หากแต่ดอกแดนดี้ไลออนสีเหลืองสดใสในแปลงดอกไม้ กลับยังชูช่ออยู่เคียงผืนหญ้าสีเขียวแสดงถึงการได้รับการดูและอันเป็นพิเศษกว่าที่อื่น โบสถ์นี้นานทีปีหนจะมีผู้มาเยี่ยมเยือนหรือทำพิธีทางศาสนา เนื่องจากระยะทางที่ต้องใช้เดินทางลัดเลาะทิวสนและดงไม้ที่ทอดตัวเป็นระยะทางหลายไมล์
หากแต่มีเพียงสมาชิกแห่งนิกซ์หน่วยรัตติกาล และคนในรัฐบาลอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ความจริงของที่แห่งนี้ ว่าเป็นทางเข้าสู่ฐานบัญชาการของหน่วยงานที่มีงานเป็นความลับ มันเร้นตัวอยู่ใต้ดินของโบสถ์แห่งนี้ ซึ่งทางเข้าต้องลงจากห้องพักห้องหนึ่งที่อยู่ด้านหลังของตัวโบสถ์ จะเป็นบันไดทอดลงสู่ใต้ดินเพื่อไปสู่ประตูบานใหญ่ซึ่งมีผู้เฝ้าอยู่ตลอดเวลา เมื่อผ่านประตูลงมาลิฟต์จะวางตัวอยู่ด้านหน้า ลิฟท์นั้นพาลงไปสู่ความลึกนับร้อยเมตร อันเป็นที่อยู่ของเหล่าผู้ก้าวเดินเคียงข้างกับความมืดของโลก
‘นิกซ์’องค์กรที่สนับสนุนโดยนานาชาติอีกองค์กรหนึ่ง อันมีหน้าที่กำจัดเหล่าวิญญาณที่เข้าสิ่งสู่มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่น เพื่อที่จะพรากดวงวิญญาณของมนุษย์บนโลกให้ได้มากที่สุด มากพอที่จะทำให้ไอชีวิตจากวิญญาณเหล่านั้นทำให้มันคงสภาพอยู่ในโลกนี้ได้นานเท่าที่มันต้องการ
เสียงเรียกตัวหัวหน้าหน่วยเรย์ดังขึ้นที่ส่วนพักอาศัย ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังขดตัวหลับอยู่ใต้ผ้าห่มจำต้องงัวเงียลุกขึ้น เพื่อเตรียมตัวออกไปตามคำสั่ง เขาบ่นอย่างไม่ค่อยพอใจนักกับการเรียกตัวในครั้งนี้
“มันจะอะไรกันนักหนานะ นี่เราก็เพิ่งกลับจากออสเตรเลียมาเมื่อวานนอนยังได้ไม่ถึงสี่ชั่วโมงเลย แล้วคราวนี้อะไรอีกล่ะ” เขาพูดตามด้วยเสียงถอนหายใจ ก่อนที่จะเริ่มอาบน้ำชำระความเหนื่อยล้าและความง่วงให้หลุดลอยไป
กระจกในห้องน้ำสะท้อนใบหน้าและดวงตาของชายหนุ่ม หากแต่ในขณะนี้ดวงตาที่เคยเป็นสีเหลืองทองนั้น กลับกลายเป็นสีเทาเสียแล้ว ซึ่งตัวเขาเองก็ชินกับการที่มันเป็นเช่นนี้ ที่เมื่อยามราตรีมาเยือนดวงตาของเขานั้นจะเปลี่ยนไปเป็นสีเหลืองทอง หากแต่เมื่อกลับสู่เวลากลางวันก็จะกลับเป็นสีเทาเช่นเดิม เขาใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่จะพร้อมออกไปพบกับหัวหน้าของนิกซ์ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเขา เรย์มาถึงที่หน้าห้องทำงานห้องหนึ่งมีป้ายชื่อติดไว้ว่า ‘โอเวน สเตรย์แฮม’
เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่เรย์จะส่งเสียงเพื่อขออนุญาต “ผมเรย์ครับ ขออนุญาตเข้าไปนะครับ” เขาพูดอยู่ด้านนอกของประตู
“เข้ามาได้” เสียงดังลอดออกมาจากหลังประตู
ประตูเปิดออกเป็นชายสูงวัยแต่ผมของเขายังมีสีทองอยู่เช่นเดิม หนวดเคราขึ้นครึ้มอยู่บนใบหน้าที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลา มันเป็นภาพคุ้นตาของเรย์ที่เห็นมานานปี ตั้งแต่เขาเข้ามาร่วมงานที่นี่ แต่เมื่อเหลือบมองที่ด้านโต๊ะรับรองแขกนั้นก็ปรากฏร่างชายที่เขาไม่คุ้นตานั่งอยู่
“เห็นว่าคุณเรียกหาผมหรือครับ?” เรย์ถามขึ้น
คุณสเตรย์แฮมยิ้มกับเขาก่อนที่จะพูดว่า “ใช่แล้วล่ะผมเรียกหาคุณเพราะผมมีงานให้คุณทำ แต่ก่อนหน้านั้นผมมีคนที่จะแนะนำให้รู้จัก” เขาพูดพลางเดินไปที่ชายหนุ่มอายุราวสามสิบกว่าปี เส้นผมเป็นลอนกว้างสีน้ำตาลเข้ม คิ้วเข้มสีเดียวกับสีผมที่วางตัวอยู่บนดวงตากลมโตสีสนิมเหล็ก ที่มองแล้วเห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่ผ่านอะไรมาหลายอย่าง บนใบหน้าที่ได้รูปนั้นมีเคราบางๆ วางตัวอยู่
“นี่คือคุณแซ็ก คอลลินด์เขามาจากซิลฟ์ที่ลอนดอน เขาเป็นทายาทของสตีฟ คอลลินด์ผู้เป็นผู้นำคนปัจจุบัน” สเตรย์แฮมแนะนำ
เรย์นั้นรู้จักซิลฟ์มาบ้าง เขารู้ว่าซิลฟ์มีหน้าที่สะกดซินที่เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็มีหน้าที่คล้ายกับนิกซ์ที่ต้องคอยจัดการกับเนเมซิสที่เข้าสิงสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย หากแต่จุดหมายนั้นอาจจะต่างกันตรงที่ว่าซิลฟ์นั้นผนึก แต่สำหรับนิกซ์แล้วใช้คำว่ากำจัด
เรย์ยื่นมือออกไปพร้อมกล่าวทักทาย “ผมได้ยินผลงานของพวกคุณที่ผนึกไกอาที่ขั้วโลกเหนือเมื่อสีเดือนก่อนแล้ว มันเป็นงานที่ยิ่งใหญ่จริงๆ “ เรย์กล่าวด้วยความนับถือ
“ขอบคุณครับ งานนั้นเราทุ่มเทกันทุกคนครับ เป็นงานที่ทุกคนร่วมกันเสียสละหลายๆ อย่างกว่าจะสำเร็จ” แซ็กตอบพร้อมกับยื่นมืออกไปจับทักทายกับเรย์
“ว่าแต่คุณมีอะไรให้ผมช่วยหรือ?” เรย์ถามออกไปตรงๆ
“ผมทราบว่าในหน่วยนิกซ์มีผู้ที่มีความสามารถสัมผัส ที่จะจัดการกับนีเมซิสได้ ซึ่งเป็นความสามารถคนละอย่างกับคนของซิลฟ์เรา ที่สามารถเปิดปิดมิติและผนึกดวงวิญญาณได้” แซ็กตอบจุดมุ่งหมายของเขาออกมา
“ซึ่งผู้ที่มีความสามารถนี้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือคุณใช่ไหมครับ คุณ เรย์ โอไบรอัน” แซ็กพูดต่อพร้อมกับหันมาถามเรย์ แต่กลับเป็นสเตรย์แฮมที่เป็นผู้ตอบแทน
“เขาเป็นมือหนึ่งของเราครับผมยืนยัน” ชายชราว่า
เรย์ไม่รู้จะพูดอะไรต่อจึงปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ก่อนที่เขาจะถามต่อไปอีก
“แล้วงานที่คุณจะให้ผมทำคืออะไร?’ เขาถามอย่างสงสัย
“เรื่องนั้นผมจะมาพบคุณอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ พร้อมกับผมต้องนำสิ่งของบางอย่างที่จะช่วยงานของคุณในครั้งนี้มาให้ด้วย” แซ็กตอบโดยที่ยังไม่ยอมบอกจุดหมายของงานแก่เรย์ ซึ่งเรย์เองก็ไม่ได้ซักไซ้อะไร เนื่องจากมันไม่ใช่นิสัยของเขา ส่วนคุณสเตรย์แฮมก็บอกกับเขาว่าเสร็จเรื่องที่เขาต้องการคุยแล้ว ขอให้กลับไปพักผ่อนได้ เนื่องจากเขาเองทราบดีว่าเรย์นั้นเพิ่งกลับมาจากงานที่ซิดนีย์ไม่นานคงยังพักผ่อนไม่เพียงพอ
วันรุ่งขึ้นเรย์ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น
“สวัสดีครับ” เสียงเขาขานรับโทรศัพท์ด้วยเสียงที่งัวเงีย
“สวัสดีครับผมแซ็กครับ ที่เราได้พบกับเมื่อวานวันนี้ ช่วงเที่ยงเราพบกันที่โรงแรมที่ผมพักอยู่ในเมืองนิวยอร์กคุณสะดวกไหมครับ?” เสียงแซ็กถามดังมาจากโทรศัพท์
“เอ่อ...” เรย์คิดใคร่ครวญถึงธุระของเขาในวันนี้ ก่อนที่จะตอบตกลงไป “ได้ครับ ว่าแต่ที่ไหนครับ?” เรย์ถาม
“โรงแรมเดอะริทซ์ชาร์ลตัน แถวเซ็นทรัลพาร์คครับ เมื่อคุณมาถึงแจ้งชื่อของคุณได้เลยครับ ผมสั่งพนักงานของโรงแรมไว้เรียบร้อยแล้ว” แซ็กตอบ
“ครับผมรู้จักดีครับ” เรย์ตอบรับ ก่อนที่จะวางสายแล้วลุกขึ้นจากที่นอนอันเป็นดั่งแดนสวรรค์ที่มีอยู่จริงบนพื้นโลกของเขา เพื่อเตรียมตัวไปพบบุคคลสำคัญจากซิลฟ์หน่วยงานที่เกี่ยวโยงกับนิกซ์มาช้านาน เขาออกจากห้องไปด้วยเสื้อหนังสีดำพร้อมกันกับหมวกนิรภัยสีขาวเรียบของ Shoei ผู้ผลิตหมวกนิรภัยชื่อดังจากแดนอาทิตย์อุทัย
เรย์ออกจากนิกซ์ด้วยมอเตอร์ไซค์คันโปรดสีแดงเพลิงของเขา Ducati 199 Panigale ด้วยความเร็วที่เขาใช้และประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ ในเวลาไม่นานนักเขาก็มาถึงหน้าโรงแรมเดอะริทซ์ชาร์ลตันที่อยู่ห่างจากเซ็นทรัลพาร์คไม่ไกลมากนัก รถมอเตอร์ไซค์สีเพลิงถูกจอดไว้ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในโรงแรมหรูระดับห้าดาว ด้วยชุดหนัง กางเกงสีดำและเสื้อหนังสีขาวขลิบแดง ที่สวมบนร่างกายที่สูงโปร่งได้รูปเรียกสายตาของผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี เขาเดินมุ่งตรงไปที่พนักงานตอนรับสาวผมยาวสีบรอนด์ก่อนที่จะถามขึ้นว่า
“ขอโทษครับ” เขากล่าว “ผมชื่อเรย์ โอไบรอันผมมีนัดกับคุณแซ็ก คอลลินด์ครับ”
พนักงานสาววัยยี่สิบต้นๆ มองใบหน้าอันคมคายของเขาด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะตรวจสอบการนัดหมายของผู้เข้าพักที่ฝากข้อความไว้ ในที่สุดเธอก็มีสีหน้าดีใจและหันมายิ้มให้ชายหนุ่มที่เท้าแขนเอามือข้างหนึ่งชันไว้ที่คางรอคำตอบ
“คุณคอลลินด์สั่งไว้แล้วค่ะ เดี๋ยวดิฉันพาคุณไปที่ห้องพักของคุณคอลลินด์ที่ห้องสวีทชั้นบนสุดให้เองค่ะ” เธอยิ้มอายๆ
“ขอบคุณครับคุณ...เอ่อ” เขาพูดพร้อมปั้นหน้าสงสัย
“เจนนิเฟอร์ค่ะ เรียกฉันว่าเจนก็ได้นะคะ” เธอยิ้มตอบ
“อ่า...ครับ ขอบคุณมากครับเจน” เรย์กล่าวขอบคุณพร้อมกับเน้นเสียงเข้มตรงชื่อของเธอ พร้อมโปรยยิ้มให้เธออีกครั้ง
ประตูลิฟท์เปิดออกที่ชั้นบนสุดของโรงแรม อันเป็นที่ตั้งของห้องสวีท หญิงสาวเดินไปที่ประตูห้องพร้อมทั้งแจ้งการมาถึงของเรย์ เมื่อประตูห้องเปิดออกหน้าที่ของเธอจึงจบลง ในระหว่างที่เธอเดินกลับไปที่ลิฟต์ เธอยื่นนามบัตรของเธอใส่มือของเรย์แล้วจึงเดินเข้าสู่ลิฟต์ ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลง เธอขยับปากแต่ไร้เสียงออกมาอ่านตามการขยับของริมฝีปากได้ว่า “โทรหาฉันนะ” เรย์อมยิ้ม ก่อนจะส่งสายตาให้หญิงสาว ก่อนจะพยักหน้ายืนยันว่าจะทำเช่นนั้น
ชายในชุดสูทดูเรียบร้อยยืนคอยต้อนรับเรย์อยู่ที่ด้านในแล้ว เขาทักทายกับเรย์ก่อนที่จะบอกว่าแซ็กนั้นคอยอยู่ที่ห้องรับแขกด้านใน ห้องที่เขาย่างกรายเข้ามานั้นตบแต่งอย่างเรียบหรู พร้อมกับบริเวณกว้างขวางแบ่งเป็นโซนห้องพัก ห้องรับแขก และส่วนกลาง เขาคิดประมาณค่าเช่าที่ต้องจ่ายในแต่ละคืนแต่ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ เมื่อมาถึงห้องรับรองแซ็กนั่งคอยเขาอยู่แล้ว เมื่อเขาเห็นเรย์เข้ามาถึงจึงกล่าวทักทาย
“สวัสดีครับ ต้องขออภัยที่ต้องให้คุณออกมาถึงที่นี่ เพราะงานในครั้งนี้นั้นเป็นความลับ” เขากล่าวทักทายพร้อมกับเชิญเรย์นั่งลง
“ไม่เป็นไรครับ มันไม่ได้ไกลสักเท่าไรนักจากนิกซ์ แล้วก็มีของแถมดีๆ ด้วยครับวันนี้” เรย์พูด ในหัวเขาคิดถึงแม่สาวพนักงานต้อนรับผมบรอนด์ที่พาเขามา แต่แซ็กนั้นไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร ได้แต่ทำหน้าสงสัย ก่อนที่เรย์จะสังเกตเห็นแล้วพูดต่อว่า
“อ๋อ...ไม่มีอะไรครับเรื่องไร้สาระครับ” เขาบอกก่อนจะถามแซ็กต่อ “แล้วที่คุณว่างานนี้เป็นความลับนั้นคุณหมายถึงอะไร?”
“ครับ... งานครั้งนี้เป็นงานที่ผมเป็นผู้มอบหมายงานไม่ใช่ซิลฟ์” แซ็กตอบเสียงเครียด พร้อมกับจ้องสังเกตท่าทีของเรย์
เรย์ทำสีหน้าประหลาดใจก่อนที่จะทวนคำของแซ็ก “ไม่เกี่ยวกับซิลฟ์?” เขาว่า “แล้วมันหมายความว่าอย่างไรครับ?” ชายหนุ่มในชุดหนังเอ่ยถาม
“งานครั้งนี้เป็นความลับที่ทางซิลฟ์ไม่รู้เรื่องครับ เนื่องจากว่าจะให้เรื่องนี้รู้ไปถึงคนในนั้นไม่ได้ เพราะตอนนี้ในซิลฟ์เกิดความผิดปกติบางอย่างขึ้น ผมคิดว่าคนภายในกำลังมีความคิดที่จะนำเวลาแห่งนิรันดร์มาใช้เพื่อจุดหมายที่เป็นอันตราย คุณรู้จักเวลาแห่งนิรันดร์ใช่ไหม?” เขาถามเรย์ที่กำลังตั้งใจฟังอยู่
“พอรู้ครับ” เรย์ที่กำลังใช้มือท้าวคางฟังอยู่ตอบ “เห็นว่าเป็นคีย์ที่ใช้ผนึกมิติในเรื่องเล่าเก่าแก่ แต่มันมีอยู่จริงนี่ผมต้องสารภาพตามตรงว่าก็ตกใจครับ” เขาตอบสีหน้าจริงจัง
“แล้วเรื่องนี้ผมก็คุยกับคุณสเตรย์แฮมเรียบร้อยแล้ว เพราะครั้งนี้ผมจะขอยืมตัวคุณมาจากนิกซ์ โดยให้คุณทำงานให้ผมโดยตรง เพราะหากนิกซ์รู้เรื่องที่ผมจะทำอาจจะมีข่าวรั่วไปถึงซิลฟ์ได้” แซ็กอธิบาย
“’งานครั้งนี้ที่ผมจะขอร้องคุณคือในคุณช่วยตามหา ‘หยาดแห่งกาลเวลา’ อัญมณีที่คู่กับ ‘เวลาแห่งนิรันดร์’ ” เขาพูดต่อ
“แล้วผมจะรู้ได้อย่างไรว่ามันอยู่ที่ไหนล่ะ แล้วที่สำคัญทำไมต้องเป็นผม?” เรย์ถามน้ำเสียงของเขาเริ่มแสดงความหงุดหงิด
“เพราะมันอยู่ในมือเนเมซิสครับ และที่สำคัญมันเป็นเนเมซิสที่แม้แต่ทางนิกซ์เองก็ยังไม่มีการยืนยันว่ามีอยู่จริง” แซ็กตอบอย่างใจเย็น
“อนูบิส (Anubis)” เรย์หลุดปาก
แซ็กพยักหน้าเพื่อยืนยัน “ใช่แล้วครับมันคืออนูบิสเทพแห่งความตาย เบาะแสเดียวที่เรามีคือหยาดแห่งกาลเวลานั้นอยู่ในมือของเนเมซิสนามอนูบิส ส่วนเรื่องที่อยู่หรืออื่นใดเราไม่รู้เรื่องนี้เลย และไม่สามารถหาข้อมูลจากที่ใดได้ จึงเหลือทางเลือกสุดท้ายนั้นคือ...” แซ็กเว้นช่วงก่อนจะพูดต่อ “การถามโดยตรงจากร่างของเนเมซิส” เขาสรุป
แซ็กที่ได้ฟังหัวเราะแกนๆ ก่อนจะเอนตัวพิงหลังกับพนักพิง “คุณคงจะลืมไปว่าเหล่าเนเมซิสนั้นไม่มีทางที่จะบอกเรื่องจริงแก่มนุษย์ แล้วผมเองก็ต้องบอกว่าผมนั้นก็ไม่สามารถจะทำงานนี้ได้ด้วย” เขาตอบ
“ผมรู้ว่าคุณทำได้” เสียงแซ็กขัดขึ้นในทันที “เพราะคุณเป็นวิสเปอร์เรอร์ (Whisperer) ผู้เชื่อมต่อสัมผัสและพูดคุยเพื่อขอพลังของดวงวิญญาณมาใช้ได้ไงล่ะ” แซ็กกล่าวเสียงเข้มในขณะที่เรย์มีสีหน้าประหลาดใจในคำพูดของแซ็ก
“คุณรู้เรื่องผมได้ยังไง? แม้แต่ในนิกซ์ก็มีเพียงคนที่สนิทกับผมไม่กี่คนที่รู้เท่านั้น” เรย์ลุกขึ้นถามเสียงดัง
แซ็กเงยหน้ามองไปที่ชายหนุ่ม โดยที่ใบหน้าเขายังสงบนิ่ง “เรื่องนั้นช่างมันเถอะครับ ที่สำคัญคุณจะช่วยงานนี้ผมไหม ถ้าเป็นเรื่องเงินไม่มีปัญหา คุณต้องการเท่าไรบอกมาได้เลย” แซ็กถามต่อ ขณะที่เขาเอื้อมมือมาหยิบแก้วกาแฟที่วางอยู่ด้านหน้าขึ้นมาดื่ม
“แล้วคุณจะเอามันไปทำอะไร?” เรย์ถามเสียงหงุดหงิด
แซ็กวางถ้วยกาแฟลงกับโต๊ะกระจกตรงหน้า เสียงถ้วยกระเบื้องเคลือบกระทบกับกระจกดังเบาๆ “ผมจะเอาหยาดแห่งกาลเวลามาช่วยคนรักของผมที่ติดอยู่ในเวลาแห่งนิรันดร์” แซ็กตอบตามตรง ขณะที่เรย์ที่ได้ฟังถึงกับหัวเราะ
“คุณจะให้ผมไปเสี่ยงตายเพื่อช่วยคนรักของคุณนี่นะ ผมว่าผมต้องปฏิเสธแล้วล่ะ คุณไปหาคนอื่นเถอะ ผมไม่ว่างและต่อให้ว่างก็ไม่ใช่เรื่องของผม” เรย์ตอบพลางหันหลังเพื่อที่จะกลับออกไป แต่ก็เป็นเสียงแซ็กที่พูดขึ้นทำให้เขาต้องหยุดชะงักในทันที
“ถึงแม้คนนั้นจะเป็นน้องสาวของคุณน่ะรึ?” แซ็กพูดเสียงเรียบ เรย์หันขวับกลับมามองหน้าแซ็กด้วยสายตาดุดันแต่ก็ยังไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากเขา ทำให้แซ็กได้พูดต่อไป
“โอไบรอันเป็นนามสกุลของแม่คุณ ส่วนพ่อของคุณคือสตีฟ แอนเดอร์สัน แม่พาคุณซึ่งขณะนั้นอายุเจ็ดขวบออกจากแคนาดามาอยู่ที่อเมริกา โดยทิ้งให้น้องสาววัยขวบกว่าอยู่กับพ่อที่แคนาดาใช่ไหมครับ?” แซ็กพูดขณะลุกขึ้นยืนพร้อมกับขยับเสื้อสูทสีเทาของเขาให้เข้าที่
เรย์รู้สึกโกรธอย่างมาก เขาพุ่งตัวเข้าใส่แซ็กที่ยืนอยู่เบื้องหน้า หมัดขวาของเขาชกเข้าเต็มใบหน้าของแซ็ก จนล้มลงไปที่โซฟาด้านหลัง
“แกทำอะไรกรีนิช!” ชายหนุ่มในชุดหนังส่งเสียงคำราม
แซ็กที่ล้มลงยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลออกจากริมฝีปาก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วปล่อยหมัดขวาเข้าที่ท้องของเรย์ ตามด้วยหมัดซ้ายที่แก้ม ทำให้เรย์เซไปด้านหลังจนหลังกระแทกกำแพง เป็นเวลาเดียวกับที่บอดี้การ์ดของแซ็กเข้ามา พร้อมกับทำท่าจะลงมือแต่เป็นแซ็กที่ห้ามไว้แล้วสั่งให้พวกเขาออกไป
“ฉันสิต้องถามนาย!” แซ็กตวาดเสียงเขียว ขณะนี้ใบหน้าที่นิ่งเงียบมาตลอดเวลา แสดงความโกรธอย่างชัดเจน “ตอนที่น้องนายต้องลำบากนายไปอยู่ที่ไหน แล้วนายรู้ไหมว่าซินที่อยู่ในร่างน้องของนายนั้น หากปล่อยมันไว้อีกไม่ถึงปีโดยที่ไม่ผนึกเธอไว้ในเวลาแห่งนิรันดร์ มันจะครอบครองร่างของเธอจนตัวตนของเธอนั้นหายไปตลอดกาล” แซ็กตะโกนเสียงดังด้วยอารมณ์โกรธ
เรย์เมื่อได้ยินดังนั้นจึงเริ่มสงบใจลง ก่อนที่จะพูดออกมาเบาๆ ว่า “ผมไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นผลร้ายเช่นนี้กับเธอ” เขาว่า “แม่พาผมมาอเมริกาเพราะกลัวว่าหากใครรู้ถึงพรสวรรค์ของเราพี่น้อง เมื่อนั้นกรีนิชจะต้องตกอยู่ในอันตราย เพราะจะต้องมีคนบังคับให้ผมใช้พลังเพื่อบังคับแพนโดราที่สิงอยู่ในตัวเธอ และถ้ามันเกิดผิดพลาดเพียงเล็กน้อยวิญญาณของเธอจะต้องสูญสลายไปเพราะพลังอันยิ่งใหญ่ของซิน” เรย์เล่าก่อนที่จะกลับมานั่ง
ส่วนแซ็กนั้นก็เริ่มอารมณ์เย็นลง เขาเรียกให้คนเอาน้ำแข็งมาเพื่อประคบรอยช้ำของเขาและคู่ชก มองไปก็เหมือนกับภาพที่แปลกประหลาด คนสองคนที่เมื่อสักครู่ยังโกรธกันหนักหนา บัดนี้กลับมานั่งลงคุยกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะต่างกับตอนแรกก็เพียงถุงน้ำแข็งสองถุงที่ถูกประคบอยู่ข้างแก้มเพียงเท่านั้น
“แล้วคุณจะให้ผมทำอย่างไรถึงจะช่วยกรีนิชได้” เรย์เริ่มพูดก่อน
“เราได้ข่าวมาว่ามีเนเมซิสที่อยู่ในสวิสเซอร์แลนด์ที่รู้เบาะแสของเรื่องนี้ ผมจะให้คุณเข้าไปจัดการกับมัน” แซ็กตอบ
“สวิสเซอร์แลนด์! ธนาคารสวิส! คุณคงไม่ได้หมายถึงเบลเฟกอล(Belphergor) เทพมารตนนั้นหรอกนะ เพราะถ้าใช่นี่... ขนาดนิกซ์ส่งหน่วยพิเศษเข้าไปคราวก่อนยังไม่สามารถกำจัดมันได้เลยนะ แล้วที่สำคัญผมเองคนเดียวเปิดมิติไม่ได้หรอก แล้วผมจะทำอย่างไร” เรย์โวยวาย
“ใจเย็นๆ ถ้าคุณใช้โซลไนฟ์ที่หน่วยคุณคิดขึ้นมาเพื่อจัดการเบลเฟกอลนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้แน่ ผมจึงนำของชิ้นนี้มาให้คุณ” แซ็กพูดจบแล้วหันไปสั่งให้คนของเขาหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะ มันเป็นกล่องสีเงินขนาดประมาณกระเป๋าใส่เอกสาร แซ็กค่อยๆ เปิดมันออกแล้วหันไปให้เรย์ดู ก่อนที่เขาจะอุทานขึ้นอย่างตกใจ
“โซลไนฟ์!” เรย์อุทานสีหน้าประหลาดใจ
แซ็กพยักหน้า “ใช่แล้วครับโซลไนฟ์ แต่มันไม่ใช่โซลไนฟ์ธรรมดา” เขาหยุดพูดพลางหยิบโซลไนฟ์ขึ้นมาหันทางด้านท้ายที่ฝังอัญมณีสีน้ำเงินขนาดกว่าสี่สิบกะรัตไว้ส่งให้กับเรย์
“ทำไมโซลไนฟ์อันนี้ต้องมีเพชรฝังไว้ด้วย?” เรย์ขมวดคิ้วถามขึ้นอย่างสงสัย
“มันเป็นโซลไนฟ์ที่สามารถใช้ได้เฉพาะวิสเปอร์เรอร์เท่านั้น เพราะเพชรเม็ดสีน้ำเงินที่ติดอยู่นั้นคือ ‘โฮป’ เพชรที่ผนึกซินผู้ควบคุมสายฟ้า ‘นิดฮอกก์’ ไว้ภายใน” แซ็กอธิบายถึงที่มาของสิ่งที่อยู่ในมือเรย์ด้วยสีหน้าเหมือนคิดถึงเหตุการณ์บางอย่างที่ผ่านมาในอดีต ใบหน้าหนึ่งที่ร่วมกับเขาผนึกซินตนนี้ลอยขึ้นมาในหัว
เรย์มีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด จนดวงตาสีเทาของเขาเบิกกว้าง “ในนี้มีวิญญาณของซินผนึกอยู่หรือนี่?” เขาพูดกับตัวเองเหมือนจะไม่เชื่อ พลางพลิกของในมือไปมาเพื่อตรวจสอบ
“กรีนิชเป็นคนผนึกมันด้วยตัวของเธอเอง” แซ็กพูดด้วยแววตาที่เศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด
“เธอน่ะนะสามารถทำสิ่งที่ไม่น่าเชื่ออย่างนี้ได้” เรย์พูดขณะที่จ้องมองไปที่เพชรสีน้ำเงินที่ฝังตัวอยู่ที่ด้ามของโซลไนฟ์
“ส่วนวิธีใช้ก็เหมือนการใช้โซลไนฟ์ของพวกคุณ แต่เมื่อคุณสื่อสารกับนิดฮอกก์สำเร็จ มันจะมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างที่โซลไนฟ์เทียบไม่ได้เลยเชียวล่ะ” แซ็กกล่าว
เรย์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพูดออกมา “สมมุติถ้าผมตกลงจัดการงานนี้คุณก็ต้องรอให้ผมจัดการงานที่มอสโคให้เสร็จเสียก่อนนะ เพราะผมยังมีอีกงานของนิกซ์ค้างอยู่” เขาว่า
แซ็กหัวเราะก่อนที่จะพูดว่า “ก็แสดงว่าคุณรับงาน ส่วนเรื่องนั้นไม่ต้องห่วงผมทราบแล้ว และผมก็จะให้เป็นที่คุณทดลองใช้โซลไนฟ์เล่มนั้นด้วย” แซ็กตอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลง เมื่อเสร็จงานแล้วผมจะบอกให้คุณรู้” เรย์ลุกขึ้นพร้อมเก็บโซลไนฟ์ไว้ด้านในของเสื้อหนังสีขาวของเขา
“ผมว่าไม่จำเป็นต้องบอกหรอก เพราะผมคงได้ดูคุณแสดงฝีมือกับตาตัวเอง” แซ็กพูด มันทำให้เรย์นั้นไม่เข้าใจสักเท่าใดนัก แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไรเช่นกัน เขาทำแค่เพียงยักไหล่เพื่อแทนคำตอบว่า “ก็ตามใจแล้วกัน” ก่อนที่เขาจะลงไปด้านล่าง เพื่อควบมอเตอร์ไซค์คู่ใจเข้าสู่ใจกลางนิวยอร์กเพื่อเสพแสงสีในยามค่ำคืน
ความคิดเห็น