คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 9 เกล็ดทรายในสายลม Sand of Time [ตอนจบ]
วันแห่งการผนึกเริ่มต้นขึ้นที่เทือกเขาพนมรุ้งตั้งแต่สีดำของราตรีเริ่มจางจากท้องฟ้า ฝูงนกโบยบินจากรัง ดวงอาทิตย์ขยับตัวออกจากหลังเหลี่ยมเขาที่สุดสายตา ผู้คนที่อยู่ในบริเวณรอบปราสาทหินเตรียมการกันอย่างรีบเร่ง บ้างเตรียมอุปกรณ์อีเลกทรอนิกส์ บ้างจัดเตรียมยานพาหนะ บ้างก็ประชุมวางแผนการสำหรับใช้จริงในช่วงเย็น สิ่งเหล่านี้ดำเนินไปจนกระทั่งก่อนจะถึงเวลาปฏิบัติการณ์ไม่นานจึงหยุดลง เมื่อเวลามาถึงทุกคนแยกย้ายกันไปตามจุดประจำการ พร้อมกับเตรียมพร้อมสำหรับการผนึกการูด้าราชันแห่งขุนเขา
การผนึกในครั้งนี้จะไม่มีการเปิดมิติขนาดใหญ่แต่อย่างใด จะเป็นการผนึกการูด้าที่ออกมาจากมิติเบื้องหลังด้วยพลังของไนท์ โดยมีการสนับสนุนจากซีกเกอร์เข้าช่วย
และแล้วเวลาก็มาถึง ทุกคนเตรียมพร้อม สายตาจับจ้องไปที่องค์ปรางค์ประธานที่วางตัวอยู่กึ่งกลางหมู่โบราณสถาน แสงสีส้มที่เกิดจากการกระเจิงแสงในหมวดหมู่อินฟราเรดเริ่มลอดตัวผ่านประตูทั้งสิบห้าบาน ดวงตะวันมองเห็นได้ชัดเจนเมื่อสายตาลอดแนวประตูทั้งหลาย เมื่อแสงยามเย็นทอดตัวผ่านปราสาทได้สำเร็จ เสียงแหลมสูงถูกส่งกรีดอากาศมาจากปราสาทเมืองต่ำที่ด้านล่าง บางสิ่งกำลังทะยานตัวขึ้นสู่ฟากฟ้า มีบางสิ่งที่มีความเร็วสูงถีบตัวสู่เบื้องบน สายตาที่จ้องมองอยู่รับรู้ว่ามีบางอย่างอยู่เบื้องหน้าแต่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า
“การูด้า!” เสียงฝ่ายวิจัยที่ใช้กล้องจับภาพความเร็วสูงร้องตะโกน “วิหกทราย!” เขาร้องบอกอีกครั้ง
วิลเลี่ยมที่ควบคุมงานครั้งนี้หันไปดูที่มอนิเตอร์ ภาพจากมอนิเตอร์นั้นจับภาพการูด้าเป็นภาพเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ รูปร่างของนกอินทรีขนาดยักษ์ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ขนแต่ละเส้นที่อยู่รอบตัวมันคือทิวแถบที่เรียงตัวจากเม็ดทราย เมื่อมันใช้ความเร็วบินโฉบบนท้องฟ้า ทำให้สายตาที่จับจ้องไปที่มันไม่สามารถเห็นตัวของมันได้ นัยน์ตาสีแดงสดจับจ้องลงมาเบื้องล่าง แพนหางที่เป็นละอองทรายยาวลู่ไปตามลมที่วิ่งเข้าประทะ ‘การูด้า’ รีเมนเดอร์แห่งขุนเขาหลุดออกสู่มิติเบื้องหน้าโดยสมบูรณ์!
“เฮ้ย! วิลเลี่ยมแล้วมันเร็วแบบนี้จะจัดการมันยังไง!” ทิชาที่ยืนอยู่ที่สะพานนาคราชตะโกนใส่วิทยุสื่อสารที่ติดอยู่ที่ปกเสื้อ
“ใจเย็นหลบเข้าที่กำบังตัวก่อน” วิลเลี่ยมสั่งการ
ทิชาที่ได้รับคำสั่งแนบตัวเข้ากับด้านข้างของสะพานนาคราช ละอองทรายก่อตัวปลิวพัดทั่วบริเวณ แว่นกันฝุ่นถูกยกขึ้นมาสวมทับรอบดวงตาสีสนิมเหล็ก ประกายจากอัญมณีส่องแสงเป็นแวววาว ‘คิมเบอร์รี่(Kimberly)’ เพชรน้ำงามสีแชมเปญอยู่ในมือของทิชา อัญมณีทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าคือคีย์ในครั้งนี้
แต่มันก็ถูกเก็บเข้าไปที่ช่องนิรภัยบนชุดของเธอเช่นเดิม ปืนสั้นสองกระบอกถูกชักออกจากเอวแทน รอยยิ้มปรากฏที่ริมฝีปากที่ทาด้วยสีเปลืองมังคุด สายตาที่มองแล้วเหมือนกับกำลังพบเพื่อนเก่าฉายแววชัดเจน
“ไนล์ ครั้งนี้ฉันต้องขอแรงเธออีกแล้ว” เธอว่า
ละอองทรายปลิวทั่วบริเวณ ภาพปราสาทหินถูกรบกวนด้วยละอองทรายในอากาศ รีเมนเดอร์แห่งขุนเขายังบินฉวัดเฉวียนซ่อนตัวอยู่ในละอองทราย พร้อมกับปล่อยกระสุนทรายที่จับตัวแข็งออกมาโจมตีใส่เหล่ามนุษย์ที่เบื้องล่าง ร่างของซีกเกอร์ล้มลงและแสดงความเจ็บปวดหลายจุด อาวุธทั้งหลายที่เตรียมไว้ไม่สามารถใช้การได้เนื่องจากละอองทรายแทรกตัวเข้าไปทำให้มันขัดข้อง
เรย์และทีน่าหายไปจากบริเวณนั้น ขาและเธอไม่อยู่ในรัศมีการมองเห็น มีเพียงทิชาเท่านั้นที่ยังใช้ขอบสะพานนาคราชเป็นกำบังพร้อมจะปะทะกับการูด้า เธอพิงหลังเข้ากับขอบสะพาน ปีศาจแห่งฟากฟ้าบินอยู่ที่ด้านหลัง ปืนสองกระบอกนามแองเจิ้ลและดีม่อนถูกแนบเข้ากับอก เสียงเรียบแต่หนักแน่นถูกเอ่ยขึ้น
“จิตแห่งบรรพกาล ดวงเนตรแห่งพื้นพิภพ โปรดเบิกทางแห่งห้วงมิติ”
อากาศรอบรังเพลิงของปืนทั้งสองบิดเบี้ยวและสั่นไหว หากอยู่ในระยะใกล้จะได้ยินเสียงที่บาดอากาศแหลมและสูง สลักของมิติถูกเปิดออก อาวุธผนึกมิติในมือเธอเตรียมพร้อมที่จะลั่นไกเพื่อฝังหัวกระสุนที่สร้างด้วยเพชรเข้าสู่ร่างของรีเมนเดอร์ เพื่อจะผนึกมันด้วยพลังของไนท์ผู้มีสายเลือดบรรพกาล
ทิชาหันกลับไปทางการูด้า เธอใช้สายตาจับจ้องไปยังบนฟากฟ้าอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดก็มีเสียงจากวิทยุสื่อสารดังขึ้น
“ทิชา...สังเกตจุดที่มีทรายหนาแน่น ที่นั่นล่ะการูด้ามันซ่อนตัวอยู่!” เสียงวิลเลี่ยมที่วิเคราะห์จากภาพที่กล้องจับไว้ได้ตะโกนผ่านมาจากเครื่องสื่อสาร
ทิชาทำเสียงหัวเราะขึ้นจมูกก่อนจะพูดอย่างสะใจ “ไอ้นกเวร...หลบหัวหลบหางเก่งนักนะ คราวนี้เอาลูกตะกั่วไปกินเถอะ”
สิ้นเสียงนั้นทิชาเผยตัวพ้นขอบสะพานเธอวิ่งสู่บริเวณที่เป็นเสานางเรียงที่เรียงรายอยู่หลายสิบต้น เธอใช้มันเป็นกำบังร่างกายบางส่วน และเตรียมพร้อมจะตอบโต้วิหกทรายที่กำจังจับจ้องมาที่เธอ ปืนสองกระบอกถูกยกขึ้นชี้ไปที่กลุ่มทรายในอากาศ จุดนั้นละอองทรายหนาแน่นกว่าจุดอื่นๆ มันกำลังพุ่งลงมาหาทิชาด้วยความเร็วสูง
“เอาไปกิน!” เสียงทีชาตะโกนขณะล้มตัวไปด้านหลัง พร้อมกับส่งกระสุนจากรังเพลิงไปที่เป้าหมาย ใจหวังว่าเมื่อกระสุนฝังในร่างเจ้ารีเมนเดอร์เธอจะปิดมิติเพื่อถ่วงเวลาไว้แล้วจึงใช้ ‘คิมเบอร์รี่’ คีย์ในครั้งนี้เข้าผนึกมันอย่างถาวร
แต่แล้วความผิดพลาดก็เกิดขึ้น แทนที่กระสุนจะฝังในร่างการูด้า มันกลับทะลุผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ทิชาไม่สามารถผนึกมิติได้
“เฮ้ย...ซวยสิทีนี้” ทิชาอุทานขณะที่การูด้ากำลังพุ่งตรงมาหาเธอ
ในเวลาเดียวกันที่ซากปรักหักพังไกลออกไปหลายสิบเมตร ร่างหญิงสาวพร้อมคันธนูกำลังส่งเสียงปลุกพลังของซินที่สถิตย์ในอัญมณีที่ฝังบนคันศร
“พันธนาการแห่งบาปจงปลดปลง อราคเน่จงลืมตาตื่น”
คันศรสั่นไหวตอบรับต่อเสียงเรียก ประกายแสงจากสตาร์ออฟแอฟริกาส่องสว่าง ลูกศรสีเหลืองหม่นปรากฏอยู่ที่คันชัก ศรนั้นถูกดึงไปด้านหลังจนสุด ก่อนจะถูกปล่อยให้วิ่งฝ่าอากาศไปยังเป้าหมาย
“มันไม่มีร่างจริง ยิงไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก!” เสียงเรย์ที่พุ่งตัวเข้าช่วยทิชาพูดใส่เครื่องมือสื่อสาร
ทีน่าได้ยินคำนั้นชัดเจน ศรที่เธอส่งไปเข้าเป้าอย่างจัง แต่ก็ทำอะไรเจ้าปีศาจไม่ได้อย่างที่เรย์ว่า มีเพียงควันสีเหลืองล้อมรอบการูด้าหนาแน่นจนเห็นด้วยตาเปล่า
“ถ้าแค่ดอกเดียวน่ะใช่” ทีน่าว่า “แต่ถ้าดอกนี้ด้วยละก็ไม่แน่” ทันทีที่พูดจบศรดอกที่สองพุ่งทะยานแหวกอากาศพุ่งสู่เป้าหมาย ศรดอกนี้ต่างกับดอกแรกอย่างมาก เมื่อมันถูกปล่อยออกจากคันชักพระเพลิงก็ห่อหุ้มลูกศร และเมื่อมันพุ่งเข้าใส่การูด้าที่ถูกคลุมด้วยหมอกสีเหลืองเสียงกัมปนาทและแสงระเบิดก็เกิดขึ้นกลางอากาศ
“เกิดอะไรขึ้นทีน่า เธอทำอะไร?” เรย์ร้องถาม
“ดอกแรกลูกศรที่สร้างจากฟอสฟอรัสเหลืองที่ติดไฟง่าย ส่วนดอกที่สองก็เหมือนจุดระเบิดไงละ” เสียงทีน่าที่พิงหลังเข้ากับกำแพงตอบกลับมาอย่างอ่อนแรง
“ทีน่าคุณทำได้อย่างไรน่ะ?” เสียงวิลเลี่ยมถาม
“พลังของอราคเน่ซินที่ติดต่อกับฉัน” เธอตอบสั้นๆ
วิลเลี่ยมและทิชาที่ได้ยินต่างมีสีหน้าตกใจ “เธอใช้พลังของไอ้แมงมุมไฟนั่นได้รึ?” ทิชาที่หลบเข้าที่กำบังพร้อมกับเรย์ทวนคำ “มีคนทำแบบนี้ได้ด้วยรึนี่ บ้ากันไปใหญ่แล้ว” เธอว่า
เรย์ที่อยู่ไม่ไกลนักตะโกนสำทับ “ไม่ได้มีแค่นี้หรอกนะ บอกแล้วพวกเราน่ะของจริง” เรย์กวน “นั่นไงล่ะไอ้นกนั่นหายไปไม่เหลือซากเลย” เรย์สะบัดหน้าไปบนฟ้า
ร่างของวิหกทรายหายไปจากท้องฟ้ายามสนธยา เรย์และทีน่าถอนหายใจเกือบจะพร้อมกัน
“จบกันซะที” เรย์ว่าพร้อมทรุดตัวลง
“ทุกคนระวัง!” เสียงวิลเลี่ยมดังมาจากวิทยุ “สัญญาณการูด้ายังอยู่ที่จุดเดิม” เขาตะโกนด้วยความตกใจ
เหมือนเป็นความสามารถที่ติดตัวของเหล่าผู้ผ่านความเป็นตาย เมื่อภัยมาเยือนความรู้สึกจะบอกถึงอันตราย เรย์และทิชาพุ่งตัวออกจากจุดเดิมเข้าสู่กำแพงด้วยสัญชาตญาณ และแล้วก็เป็นดังที่พวกเขาหวาดกลัวพื้นดินบริเวณที่เขาทั้งสองอยู่เมื่อสักครู่ถูกขุดลึกลงไปอย่างรวดเร็ว
“แย่แน่” เสียงวิลเลี่ยมบ่นพึมพัมดังมาจากวิทยุสื่อสาร “แย่แน่ๆ” เขาว่า
แซ็กที่ครั้งนี้ช่วยอะไรไม่ได้ ได้แต่เพียงช่วยอยู่ข้างๆ วิลเลี่ยมสงสัยในคำพูดของเพื่อนจนต้องเอ่ยถาม
“วิลมีอะไร อะไรที่ว่าแย่?” แซ็กถาม
“ทรายน่ะสิ มันไม่ใช่ทรายแล้วมันโดนความร้อนสูงจากแรงระเบิดของพลังของอราคเน่ทำให้มันเปลี่ยนไป” วิลเลี่ยมตอบ สายตาเขายังจ้องไปที่จอภาพอย่างไม่วางตา
“เฮ้ย! เปลี่ยนแปลงอะไรบอกมาเร็ว ทางนี้จะแย่อยู่แล้ว” ทิชาตะโกนถาม
“ทรายเปลี่ยนเป็นแก้วน่ะสิ เมื่อทรายหรือซิลิก้า (Silica) ถูกความร้อนสูงมันจะถูกหลอมเหลว และเมื่อมันเย็นลงก็จะเปลี่ยนเป็นแก้ว!” วิลเลี่ยมตะโกนบอกกับทุกคน “และเมื่อมันเป็นแก้วแล้วอยู่ในอากาศก็ทำให้มองเห็นตัวมันยากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะช่วงอาทิตย์ตกแบบนี้ด้วยยิ่งแล้วใหญ่”
แซ็กที่อยู่ข้างๆ หันไปถามอย่างเป็นกังวล “แล้วจะทำอย่างไร?” เขาถาม
วิลเลี่ยมส่ายศีรษะ สีหน้าเป็นกังวลไม่แพ้แซ็ก “ยังไม่รู้เลย”
ก่อนที่แซ็กกับวิลเลี่ยมจะพูดอะไรต่อไปเสียงหนึ่งดังผ่านวิทยุสื่อสาร “ไอ้ตัวนั้นมันเป็นแก้วใช่ไหม ตกลงว่ามันมีตัวตนใช่ไหม?” เสียงทิชานั่นเองที่ส่งมา
“ใช่มันเป็นแก้ว แล้วมันก็มีตัวตน” วิลเลี่ยมตอบ
เสียงทิชาหัวเราะขึ้นจมูกดังมาจากเครื่องสื่อสาร “เฮ้อะ...ขอให้ไอ้เวรนั่นมีร่างกายแค่นี้ก็ เสร็จฉันล่ะ” เธอว่า
ทิชาลุกขึ้นยืนท่ามกลางเสานางเรียงที่เรียงราย ปืนสองกระบอกกระชับอยู่ข้างกาย แสงอาทิตย์สีแดงยามอัสดงส่องกระทบขุนเขา การูด้าบินวนอยู่บนท้องฟ้าสีแดงส้ม ทิชาสงบใจพร้อมกับผ่อนลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ เธอใช้ความรู้สึกจับหาแหล่งที่อยู่ของศัตรู
“จิตแห่งบรรพกาล ดวงเนตรแห่งพื้นพิภพ โปรดเบิกทางแห่งห้วงมิติ”
เมื่อสิ้นเสียงก็เป็นเวลาเดียวกับที่การูด้าดิ่งตัวลงมาจากท้องฟ้า เป้าหมายมิใช่อย่างใดนอกจากทิชาที่ยืนอยู่กลางหมู่เสา ด้วยร่างกายที่กลายเป็นแก้วใสทำให้ไม่สามารถมองเห็นร่างของมันขณะบินฝ่าอากาศได้ ทิชาหลับตาลงใช้ความรู้สึกจับที่มาของจิตมุ่งร้าย และเมื่อระยะห่างของเธอและการูด้าเหลือเพียงไม่ถึงร้อยเมตรกระสุนหลายนัดก็พุ่งออกจากปลายกระบอกปืน มันพุ่งตรงเข้าใส่วิหกแก้วอย่างไม่ผิดพลาด หัวกระสุนที่เป็นเพชรฝังลงในตัวที่เป็นแก้วผลึก มิได้ทะลุผ่านเหมือนตอนร่างกายของมันเป็นทรายเช่นที่แล้วมา เมื่อผู้ลั่นไกรู้แน่แล้วว่ากระสุนนั้นเข้าเป้า เสียงปิดมิติก็ดังขึ้นตามมาในทันที
“ขอวิงวอนพลังแห่งผืนดิน ดวงจิตไร้ขอบเขต เส้นทางแห่งมิติจงปิด”
ร่างของการูด้าที่อยู่เหนือสะพานนาคราชหยุดนิ่งค้างอยู่กลางอากาศด้วยพลังของอัญมณี “คราวนี้ล่ะของจริง” ทิชาพูดพร้อมหยิบคีย์ออกมา คิมเบอร์รี่เพชรทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสะท้อนกับแสงอาทิตย์สีส้ม เบื้องหน้าคือการูด้าที่นิ่งอยู่กลางอากาศ เบื้องหลังเป็นภาพปราสาทแห่งพระศิวะ ปราสาทหินเขาพนมรุ้งขณะที่แสงอาทิตย์ทอดตัวผ่านประตูทั้งสิบห้าบาน
“จิตแห่งบรรพกาล ดวงเนตรแห่งพื้นพิภพ โปรดเบิกทางแห่งห้วงมิติ”
เมื่อเธอวิงวอนต่อคีย์ มิติเกิดการสั่นคลอน ห้วงมิติเปิดล้อมรอบตัววิหกบรรพกาล
“ขอวิงวอนพลังแห่งผืนดิน ดวงจิตไร้ขอบเขต เส้นทางแห่งมิติจงปิด”
เมื่อสิ้นเสียงอ้อนวอนต่อพลังของคีย์มิติก็ปิดตัวลง การปิดตัวลงนั้นนำการูด้าวิญญาณบรรพกาลที่สถิตอยู่ในขุนเขานี้สู่มิติที่เกิดจากพลังของคิมเบอร์รี่ เพชรน้ำงามแห่งราชวงศ์รัสเซียที่เป็นคีย์ในครั้งนี้
ขุนเขาสงบนิ่ง แสงสุริยะจางหายจากขอบฟ้า นกกาส่งเสียงขณะบินกลับรังนอน สายลมไล้ไปตามยอดหญ้าคา ทิวไผ่เอนตัวตามสายลม เสียงดนตรีดังแว่วมาจากระยะไกลทางทิศเหนือ เสียงอันไพเราะที่ส่งมาจากแคนเจ็ดของชาวพื้นเมือง ลูกแคนทั้งเจ็ดส่งเสียง โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โด เสียงนั้นบรรเลงขับกล่อมขุนเขาอันเป็นดั่งตำหนักของพระศิวะ ขับกล่อมด้วยเสียงอันไพเราะของแคน เสียงพิณและโปงลาง ขับกล่อมด้วยบทเพลงแห่งจิตวิญญาณของสยามประเทศ...
ความคิดเห็น