ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Period}[Fic-Red Velvet] The Princess' Pearl

    ลำดับตอนที่ #5 : -4-

    • อัปเดตล่าสุด 1 ธ.ค. 57


    -4-

     

     

                เหตุใดจูฮยอนยังต้องอาศัยอยู่ในวังนั้นตัวคุณหนูเองก็มิอาจทราบได้ จะว่าไปการที่นางเข้ามาอยู่ในรั้ววังหลวงดูเหมือนจะไม่มีใครยินดีเท่าใดนัก มีก็แต่องค์หญิงคังเท่านั่นแหละที่ดูจะมีความสุขกว่าใคร

               

                “เจ้าว่าอีกนานเท่าไหร่ข้าจึงจะหายเป็นปกติ”

     

                “เจ็ดวันได้เพคะ อย่างเร็วที่สุด

     

                “ไม่สิไม่ เอาแบบช้าที่สุด”

     

                “ สิบวันเพคะ อันที่จริงแล้วหม่อมฉันก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่พระองค์สามารถพักฟื้นได้โดยไม่มีหม่อมฉั-

     

                “ใครว่าล่ะ เจ้าสำคัญที่สุด”

                องค์หญิงทอดเสียงอ่อน ใบหน้าเรียบขรึมของพระองค์แปรเปลี่ยน มุมปากยกขึ้นเพียงเล็กน้อยแต่กระนั้นก็ยังทำให้หัวใจชุ่มชื้น เหมือนฤดูหนาวที่กำลังจะย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน จูฮยอนสดับฟังนิ่ง ดวงหน้าขาวใสไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆที่ตอบรับ อย่างน้อยๆก็ควรขานรับ หรือยิ้มตอบอะไรแบบนั้นมิใช่หรือ

                จูฮยอนไม่สามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้ เด็กสาวมีความประหม่าเกินกว่าจะใช้สมองตริตรองว่าควรทำสิ่งใดต่อไป

     

                “เป็นอะไรไปจูฮยอน เจ้าไม่มีความสุขที่ได้คุยกับข้าหรือ”

     

                “มิได้เพคะ! หม่อมฉันรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติยิ่ง เพียงแต่หม่อมฉันข้องใจอะไรนิดหน่อย”

     

                “สิ่งใดที่เจ้าข้องใจ ข้าพอจะช่วยคลายความสงสัยนั้นได้หรือไม่”

     

                “เพคะ, หม่อมฉันข้องใจเกี่ยวกับการมีตัวตนอยู่ที่นี่ เหตุใดพระองค์จึงมีรับสั่งให้อยู่ต่อ ถึงแม้ว่าหม่อมฉันจะเป็นแพทย์รักษาพระองค์ก็จริง แต่อาการของพระองค์ดีขึ้นมากแล้ว มากจนเกินความจำเป็นของแพทย์ฝึกหัดผู้นี้ หม่อมฉันรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ที่ต้องอยู่ร่วมกับผู้คนมีศักดิ์มากมาย ทั้งๆที่หม่อมฉันเป็นเพียงบุคคลผู้หนึ่ง”    

                พอจะถามจะพูด ปากก็ปิดขึ้นมาไม่ได้เสียดื้อๆ จูฮยอนกล่าวอย่างลืมตนเสมือนสติเลือนหายไปครู่หนึ่ง แทนที่องค์หญิงคังจะมีท่าทีไม่ชอบใจ แต่เปล่าเลย พระองค์แย้มสรวลกว้างขึ้น นัยน์ตาสีเข้มแฝงไปด้วยความขี้เล่นซุกซนเต็มเปี่ยม ดูท่าพระองค์เกิดชอบใจการสนทนากับแพทย์สาวผู้นี้ขึ้นมาเสียแล้ว

               

                “สิ่งใดที่เจ้าเรียกว่าผู้คนมีศักดิ์ เจ้ามีศักดิ์เท่าเทียมกับทุกคนบนผืนแผ่นดินแคว้นโนรัน เจ้าลืมไปแล้วหรือ สิ่งสำคัญที่สุดคือความเท่าเทียมภายใต้แผ่นดินสีเหลืองอร่ามแห่งนี้ และแม้ว่าเจ้าจะบอกว่าที่นี่ไม่จำเป็นต้องการแพทย์มือสมัครเล่น จงคิดดูให้ดีเถิด มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยข้าได้ จูฮยอน,หวังว่าการขอร้องครั้งนี้คงไม่มากเกินไปนัก ข้ารู้ตัวดีว่าข้าเป็นใคร สำคัญกับแผ่นดินนี้เช่นไร ได้โปรดอย่าทำประมาทเลย รอให้ข้าหายดีเสียก่อน เมื่อนั้นเจ้าประสงค์จะไปที่ใดก็ย่อมได้”

                คำตอบของพระองค์มิได้ทำให้ความแคลงใจทั้งหมดสลายไป แต่กลับเพิ่มความอับอายขึ้นให้เด็กสาว เรื่องผู้มีศักดิ์นั้นได้แต่ร้องเถียงอยู่ในใจ ว่าไม่มีหรอกความเท่าเทียม หากมีจริงนางจะถูกผู้คนในรั้ววังมองด้วยสายตาเช่นนั้นหรือ ส่วนเรื่องที่นางถูกกล่าวหาว่าประมาท ไม่สิ นางประมาทจริงๆและนั่นทำให้องค์หญิงคังถึงกับต้องเอ่ยปากขอร้อง จูฮยอนจะมีหน้ากลับไปหาบิดาได้เช่นไรหากงานนี้ไม่สำเร็จ หากพระองค์เกิดเป็นอะไรขึ้นมา แค่คิดก็กล้ำกลืนฝืนทน เด็กสาวพยักหน้าหงึกๆอย่างเกรงกลัว ถึงกระนั้นยังคงดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาขององค์หญิงคังซึลกิ

     

                “เจ้ากลัวรึ”

     

                “กลัวเพคะ กลัวว่าหากพระองค์เป็นอะไรไป ท่านพ่อจะเอาไม้มาโบยหม่อมฉัน”

                ด้วยความสัตย์จริง จูฮยอนกล่าวตามความคิดของตนอย่างใสซื่อ และนั่นเกือบทำให้องค์หญิงหัวเราะลั่น โชคดีที่พระองค์ยังเก็บอาการไว้ทัน องค์หญิงคังซึลกิรีบตอบทันควันว่า

     

                “อ้าวแล้วกัน เจ้าไม่เป็นห่วงองค์หญิงรัชทายาทอย่างเราหน่อยหรือ”

     

                “เป็นห่วงสิเพคะ เป็นห่วงมากเลยด้วยเพคะ”

     

                “ที่เจ้าตอบแบบนี้ เป็นเพราะรู้ว่าถึงเราจะเจ็บเจียนตายอย่างไรก็สามารถสั่งทหารให้โบยเจ้าสักร้อยที จับไปสาดน้ำเกลือจนแสบแผลตายก็ยังได้ อย่างนั้นใช่หรือไม่”

     

                “มิได้เพคะ หม่อมฉัน

                จนปัญญา หมดหนทางจะพูด จูฮยอนไม่รู้จะแก้ตัวยังไงแล้ว ถูกบุคคลผู้หนึ่งวิ่งไล่เสียจนมุม  ซึ่งจะไม่น่าหนักใจเท่านี้หากบุคคลผู้นั้นไม่ใช่องค์หญิงคังซึลกิ ตอนนี้เลยดูเหมือนถูกกระชากวิญญาณออกจากร่างไปเสียดื้อๆ ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลาที่ได้รับเกียรติให้สนทนากับองค์หญิง จูฮยอนไม่รู้นักว่าคำว่าองค์หญิงรัชทายาทมีความสำคัญเช่นไร ในเมื่อตอนนี้พระราชาคังก็ปกครองบ้านเมืองได้อย่างสงบสุขและดูท่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนาน อาจนานเสียจนชั่วชีวิตของนาง เพราะนางเองก็ไม่รู้เวลาตายของตนเองที่แน่ชัดเท่าใดนัก ไม่แน่อาจเป็นภายในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้

     

                “ข้าล้อเล่นหรอก อย่ามาทำกลัวใจเสาะไปหน่อยเลย หน้าซีดไปหมดแล้ว”

                แต่องค์หญิงคังไม่ใช่คนโหดร้ายแบบนั้น นั่นคือสิ่งที่จูฮยอนผู้โง่เขลาไม่รู้ แต่ก็พอจะเดาออกหลังจากรอยยิ้มสดใสนั่นค่อยๆขยับเข้ามาใกล้นางทีละนิด ค่อยๆซึมซับลงภายในหัวใจห้องที่หนึ่งโดยที่นางก็ไม่รู้ตัว และไม่เคยคิดว่าต่อไปรอยยิ้มนั่นจะเข้ามาเกาะกุมหัวใจทั้งหมดสี่ห้อง โดยที่นางไม่ได้ทันตั้งตัวหรือตั้งใจให้เป็นแบบนั้นเลยสักนิด

     

                นิ้วเรียวยาวลูบไล้รอบใบหน้าสวย จูฮยอนนั่งนิ่งเกร็งเมื่อปลายนิ้วสัมผัสลงที่แก้มใสของตน องค์หญิงยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง พระองค์ไม่มีสติมากพอเลยหรือ ว่าวันนี้พระองค์ยิ้มเกินความจำเป็นไปมากนัก ในวันธรรมดาหากจะขอยลรอยยิ้มจากพระองค์คงยากเสียยิ่งกว่าว่ายน้ำข้ามคลองโนรันมุล หากแต่รอยยิ้มนั้นถูกพบได้ง่ายดายเหลือเกินเพียงเพราะมีจูฮยอน เพียงเพราะเป็นจูฮยอน เพียงเพราะเอ่ยคำว่าจูฮยอน

               

                พระองค์รู้ดีว่ากระต่ายตาโตที่นั่งอยู่หน้าพระพักตร์ตื่นตูมและขี้ตกใจเหมือนดังนิทานที่เล่าขานกันมามิมีผิด แต่ถึงกระนั้นกระต่ายตัวนี้กลับน่ารักน่าชังเสียยิ่งกว่าที่ในนิทานบรรยายเอาไว้ จูฮยอนไม่มีหูยาวเหมือนกับกระต่าย มิได้มีจมูกรูปสามเหลี่ยม ไม่มีหางกลมๆปุกปุยเหมือนกับก้อนเมฆสีขาวนั่น แต่กลับให้ความรู้สึกบริสุทธิ์ น่ารักเหมือนกระต่ายไม่มีผิดเพี้ยน

                กฎของกษัตริย์อย่างน้อยๆข้อหนึ่งคือต้องไม่ทำตามใจตนมากเกินไป เรื่องนั้นพระองค์รู้ดีอยู่แก่ใจ ด้วยความที่รู้ว่าอย่างไรเสียจูฮยอนยังคงกลัวและปรับตัวเข้ากับพระองค์ไม่ได้ทั้งหมด องค์หญิงจึงชักมือกลับอย่างไม่รีบร้อนนัก ใบหน้าเข้าที่เรียบตึงดังเดิม นั่นทำให้เด็กสาวรู้สึกสับสนขัดใจอยู่ลึกๆ ในเมื่อนางโปรดปรานรอยยิ้มพิเศษนั่นมากกว่าใบหน้าเรียบนิ่งเป็นไหนๆ

               

                “อยู่กับข้านานๆเจ้าจะอึดอัดเอา กลับไปพักผ่อนเถอะ”

     

                “เพคะ”

                มิใช่เรื่องเลยที่องค์หญิงจะรู้สึกเสียใจกับท่าทีที่ไม่ปฏิเสธของอีกคน จูฮยอนใสซื่อเกินกว่าจะทำตัวอ้อร้อออเซาะเหมือนอย่างที่ผู้อื่นเขาทำกัน จูฮยอนไม่ปฏิเสธนั่นก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่านางไม่อยากอยู่ร่วมห้องกับพระองค์สองต่อสองอย่างที่คาดไว้ แต่ทำไมกัน องค์หญิงคังซึลกิ ทำไมถึงได้รู้สึกแปลกๆแบบนี้ พระองค์เองคิดสงสัย ว่าถ้าหากจะให้จูฮยอนลดความใสซื่อนั่นลงไปบ้าง แล้วหันกลับมาโกหกว่าอยากอยู่ต่อนั้น จะทำให้ความรู้สึกแปลกๆนี้หายไปหรือไม่

                เป็นครั้งแรกและภาวนาให้เป็นครั้งเดียว ที่องค์หญิงไม่เข้าใจตนเองเท่าไรนัก

     

               

     

               

                จุนฮยอกเฝ้านับวันนับเวลาตั้งแต่จูฮยอนหายตัวจากบ้านไปหลังจากวันงานปีใหม่ ได้แต่โทษว่าเป็นความผิดของเขา เมื่อสอบถามหมอเบทางนั้นก็ดูเหมือนไม่สนใจอะไร ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเขาจะเป็นเช่นไร จุนฮยอกจะไม่เดือดร้อนเลยหากเพิ่งเป็นวันแรกๆ แต่มิใช่ สามวันเข้าไปแล้วเมื่อไม่ได้ยินเสียงของนางผู้นั้น

                จุนฮยอกรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย มองไปทางไหนก็เหมือนโลกกำลังจะถล่ม โลกที่ไม่มีจูฮยอนย่อมไม่สวยงาม จะมีหัวใจไปเพื่ออะไรในเมื่อไม่มีจูฮยอน ชีวิตจุนฮยอกแค่ ข้าว น้ำ และอากาศ นั่นอยู่ไม่ได้หรอก ถึงแม้จะมีครบทุกอย่างแต่ถ้าขาดจูฮยอนไปเด็กหนุ่มก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

             

                “เจ้ากำลังจะตาย รู้มั้ยจุนฮยอก ทำหน้าทำตาเข้า ข้าล่ะอยากวิ่งไปซื้อโรงมารอเชียว”

              น้ำเสียงยียวนจากเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆนั่นพอจะทำให้ใบหน้าเศร้าหมองนั่นฉายแววความสดใสขึ้นมาบ้าง จุนฮยอกหัวเราะเบาๆก่อนที่มือหนาจะตบเข้าให้ที่ศีรษะของ ชเวยงฮวา อย่างจัง และนั่นก็เกือบจะทำให้เกิดการวิวาทย่อมๆขึ้นกลางตลาด

     

                “ไอ้บ้าเอ้ย จะมาตบหัวข้าทำไมเนี่ย”

     

                “ปากดีเกินไปแล้วเจ้าน่ะ”

     

                “ปากดีอะไรก็เห็นๆกันอยู่ เจ้าทำหน้าซังกะตายแบบนี้จะมีลูกค้าที่ไหนกล้าเข้าร้าน”

                จริง จริงอย่างที่ยงฮวาว่าไว้ จุนฮยอกเพิ่งสังเกตว่าแผงขายมันเผาของเขาวันนี้ไม่มีลูกค้าย่างกรายเข้ามาใกล้สักราย มันคงทำให้ยงฮวาต้องเดือดร้อนไปด้วยในเมื่อเขาทั้งสองเป็นหุ้นส่วนแผงขายมันเผาเล็กๆนี้ด้วยกัน

                จุนฮยอกยกยิ้มขึ้นบางเบา ตำหนิตนเองจนหนำใจแล้วก็หันกลับมาสนใจเรื่องอื่นได้เสียที เด็กหนุ่มตาลุกวาวเมื่อเห็นลูกค้ารายแรกเดินเข้ามาหา

     

                “เชิญเลยขอรับ”

     

                “เจ้ารู้จักแม่นางคนนี้ใช่มั้ย”

                แทนที่จะเข้ามาซื้อมันเผา แต่กลับไม่ใช่ นั่นทำให้ทั้งจุนฮยอกและยงฮวามองหน้ากันอย่างเบื่อหน่าย พลางปาดสายตาไปมองภาพบนแผ่นผ้าอย่างลวกๆ ก่อนที่ทั้งสองจะต้องตกตะลึง เมื่อภาพเขียนนั่นคุ้นตาเสียเหลือเกิน นางในภาพนั้นเหมือนเหมือนจูฮยอนไม่มีผิด

     

                “รรู้จักขอรับ”

     

     

     

     

               

     

     

                เมื่อเวลาองค์หญิงว่าง พระองค์ชอบขลุกตัวอยู่ในห้องหนังสือเสมอ ข้อเท็จจริงนี้เป็นที่รู้กันทั่วพระราชวัง แต่คงต้องยกเว้นจูฮยอนไว้หนึ่งคน

               

                ครืด

                เสียงเปิดประตูทำเอาองค์หญิงคังสะดุ้งเฮือก ก่อนจะนึกได้ว่าพระองค์เองเป็นคนรับสั่งไม่ให้มีทหารหรือนางกำนัลมาเฝ้าหน้าห้องเลยแม้แต่ผู้เดียว พวกเขาควรเอาเวลาที่จะมานั่งเฝ้าพระองค์ไปพักผ่อนส่วนตัวดีกว่า เพราะงานแต่ละวันที่ได้รับมามันก็มากพอ นั่นคือความคิดขององค์หญิงคังซึลกิ

                และเพราะไม่มีใครอยู่หน้าห้องเลยนั้นจึงเป็นเหตุทำให้จูฮยอนเดินเข้ามาแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เด็กสาวตาเป็นประกายเมื่อเห็นหนังสือต่างๆรายล้อมรอบกายเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด คิดเอาเองแบบเด็กๆว่าหากนางอ่านจนหมดห้องคงมีหนังสือใหม่เพิ่มเข้ามาเรื่อยๆคล้ายกับมีเวทมนต์อาถรรพ์

                ไม่ใช่เวทมนต์อะไร เพียงแค่องค์หญิงโปรดปรานการอ่านหนังสือมากพอจะตามเก็บหนังสือทุกเล่มทุกประเภทต่างหาก นั่นเป็นเหตุที่ว่าห้องหนังสือนี้ดูจะมีหนังสือมากมายเกินกว่าจะนับได้นั่นเอง

     

                ตึกตึกตึก          

                เสียงฝีเท้าย่างก้าวอย่างแผ่วเบา จูฮยอนยังไม่รู้ตัวว่าถูกแอบมองจากใครสักคน จากที่ไหนสักที่ในห้องแห่งนี้ นางยังคงทำหน้าเหมือนเด็กทารกได้ดื่มนมแม่ครั้งแรก องค์หญิงคิดว่ามันตลกมากจริงๆจนต้องกลั้นขำ

                ถึงอย่างนั้นดวงตาเรียวเล็กยังคงจับจ้องที่นางอย่างไม่ลดละ ไม่ว่านางจะก้าวไปทางไหน จะซ้ายหรือจะขวา นัยน์ตาสีนิลก็ขยับตามเหมือนใคร่รู้สิ่งที่นางจะกระทำมากกว่าฉากต่อไปในบทละครในมือ

     

                จูฮยอนหยุดอยู่ที่หมวดวรรณกรรมอยู่นาน นางชื่นชอบหนังสือประเภทนี้มากกว่าประเภทไหนๆ ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มขึ้นอย่างพึงใจ นับว่าเป็นเรื่องดีๆเรื่องที่สองนับแต่ก้าวเข้ามาในรั้ววังหลวงแห่งนี้

                เรื่องที่หนึ่งอย่างนั้นหรือ? สำหรับจูฮยอน เรื่องดีๆเรื่องแรกที่ได้ก้าวเข้ามาในรั้ววังหลวงคงเป็นรอยยิ้มขององค์หญิง รอยยิ้มยามเจ็บป่วยของคนไข้ผู้นั้นที่ทำให้แพทย์สาวอย่างนางมีกำลังใจจะทำหน้าที่ต่อไป

     

                เมื่อเห็นว่ามีหนังสือเล่มที่เคยตามหาอ่านมาอยู่นานตั้งแต่เด็กๆ จูฮยอนก็เอื้อมมือไปจนสุด โชคไม่ดีนักที่หนังสือเล่มนั้นวางอยู่ชั้นบนสุด ยากเหลือเกินสำหรับความสูงของเด็กสาวในการจะไขว่คว้ามาได้  นางชั่งใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจก้าวขาข้างหนึ่งขึ้นไปเหยียบบนชั้นวางที่หนึ่ง เอื้อมไปจนสุดมือแล้วแต่ก็ยังเอื้อมไม่ได้จริงๆ แต่แล้ว

                โครม!!           

              เสียงกระทบของวัตถุบางอย่างดังลั่น ตามมาติดๆด้วยเสียงโอดโอยเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเด็กสาวตัวเล็ก จูฮยอนน่าจะได้รับบทเรียนแล้วว่าวรรณกรรมเรื่องที่นางอยากอ่านมีข้อคิดดีๆว่าให้ระวังตัวให้มากก่อนจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง

     

                ปึ้ก

     

                “คใครน่ะ!

                แล้วกัน องค์หญิงคังมือไม้อ่อนทันที หนังสือในมือหล่นลงไปกองที่พื้น เพียงแค่ได้ยินเสียงโครม ดูเหมือนไม่มีอะไรสำคัญอีกต่อไป พระองค์รีบพาร่างของตนมายังที่เกิดเหตุ แล้วก็ต้องกระพริบตาปริบๆกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า จูฮยอนล้มก้นจ้ำเบ้าไม่เหลือสภาพแพทย์หญิงที่พระองค์รู้จัก

     

                องค์หญิงคังยิ้มน้อยๆกับใบหน้าเหวอของจูฮยอน คุณหนูเบผู้นั้นกำลังทำหน้าตกใจสุดขีด เมื่อเห็นว่ายังนิ่งค้างอยู่นานไม่ยอมลุกขึ้นมา พระองค์จึงยื่นพระหัตถ์ไปให้อย่างไม่ถือตัว

               

                และโชคดีที่จูฮยอนยังพอมีสติอยู่บ้าง เด็กสาวจับมือของพระองค์เป็นที่ยึดก่อนจะหยัดตัวขึ้นมา ใบหน้าขึ้นสีร้อนผ่าวแบบที่ว่าชาตินี้คงไม่มีอะไรต้องเขินอายกันอีก ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าการที่ล้มก้นจ้ำเบ้าต่อหน้าพระพักตร์องค์หญิงรัชทายาท

               

                “ขขอประทานอภัย หม่อมฉันไม่คิดว่าพระองค์อยู่ในนี้ จะรีบออกไปเพคะ”

     

                “ไม่ๆ ข้าไม่เคยบอกว่าจะให้เจ้าไป”

     

                “แต่ว่า

     

                “จูฮยอน อยู่เป็นเพื่อนข้าก่อนเถอะนะ











                -----------------------

    มาแล้วค่ะ คือหายไปนานมาก ถถถถถถถถถถถถถ ที่ตอนมันดูสั้นๆนี่เพราะไม่ค่อยมีสาระป่ะคะ ถถถถถถถถ เอาเถอะจะได้ติดตามกันนานๆนุ๊ ถถถถถถถ เพื่อเพิ่มอรรถรสนะคะ แคว้นโนรัน = แคว้นสีเหลืองค่ะ ส่วนแคว้นกามัน = แคว้นสีดำ นะคะ ส่วนคลองโนรันมุลคือคลองที่คั่นระหว่างสองแคว้นค่ะ =w=

    วันนี้มีทีเซอร์ฟิคมาฝากด้วยค่ะ แต่จะแต่งจริงๆมั้ยก็อีกเรื่อง….555555555555

                

    SQWEEZ
    SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×