คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : -1-
-1-
เสียงหัวเราะคิกคักที่ไม่เคยขาดไปจากพระตำหนักจางซอนดัง บัดนี้หายกริบไร้วี่แววเจ้าของเสียงตัวเล็กที่มักจะออกมาวิ่งเล่นรอบๆเหมือนอย่างเคย ถือว่าเป็นเรื่องดีของเหล่านางกำนัลเพราะอย่างน้อยๆคือพวกนางไม่จำเป็นต้องวิ่งไล่องค์หญิงตัวน้อย หากแต่มันก็กลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตายได้เช่นกันหากยังหาตัวองค์หญิงไม่พบในเร็วๆนี้
“องค์หญิงน่ะก็เหลือเกิน เล่นซนเหมือนเด็กผู้ชายไม่มีผิด นี่ก็ใกล้เวลาแล้ว ยังไม่ยอมออกมาอีกหรือเพคะ”
ชเวซังกุงบ่นโอดโอย พลางสายตาก็ประสานเข้ากับกำแพงที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แลเห็นบันไดไม้ไผ่ที่คุ้นตาก็หน้าซีดเผือก ในใจทั้งต่อว่าด่าทอพวกทหารยามสารพัด ก็เป็นเพราะนางรู้แล้ว ว่าองค์หญิงน้อยมิได้ไปหลบซ่อนอะไรที่ไหน หากแต่พระองค์ได้ก้าวผ่านรั้วสูง แอบหนีไปเที่ยวเล่นเพื่อหนีวิชาเย็บปักถักร้อยเหมือนอย่างเคย
“องค์หญิงแอบหนีออกไปเที่ยวอีกแล้วงั้นหรือคะ”
นางกำนัลนางหนึ่งถามเสียงแหลม ทำเอาซังกุงสูงสุดรุ่นที่สิบลมแทบจับ และนั่นทำให้นางกำนัลสาวทั้งหลายบ่นกันหนาหูในเวลาต่อมา แต่เพียงได้ประสบกับดวงตานิ่งงันของชเวซังกุง ทุกคนก็รู้ตัวดีว่าควรปิดปากเงียบก่อนที่เรื่องจะไปกันใหญ่
“คราวนี้ก็คงต้องรอให้พระองค์กลับมาเสียก่อน ค่อยว่ากล่าวตักเตือน ใช้ได้ที่ไหน ทีวิชาการเมืองการปกครองล่ะไม่เคยหนี”
สิ้นเสียงของซังกุงก็ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจของนางดังเฮือก เป็นที่รู้กันดีว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้คือทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ส่วนตัว และจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งก็เมื่อยามตะวันลับขอบฟ้า อันเป็นเวลาที่องค์หญิงจะเสด็จกลับ
องค์หญิงคังซึลกิ มิได้หนีการเรียนวิชาเย็บปักถักร้อยเป็นครั้งแรก หากแต่บ่อยเสียจนไม่มีใครคิดจะนับ อายุก็เพิ่งจะได้เพียงสิบพรรษาเท่านั้น ยังทำตัวเกกมะเหรกเกเรจนยากที่เหล่านางกำนัลจะต้านทานไหว เห็นจะมีก็แต่อาจารย์คิม ที่พอจะสู้รบปรบมือได้บ้าง
ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครสามารถหยุดองค์หญิงได้จริงๆจังๆเลยสักคน คงเป็นเพราะเลือดกษัตริย์ที่สูบฉีดอยู่ในร่างเล็กกระมัง ที่ทำให้นิสัยขององค์หญิงห้าวหาญไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครง่ายๆ ยิ่งพระราชาคังซินมูแอบส่งเสริมเล็กๆอย่างนี้…ให้ตายอย่างไรก็คงเป็นได้เพียงแค่ความฝัน หากจะได้เห็นองค์หญิงทำตัวอ่อนหวานนุ่มนวลเหมือนดังเด็กสาวทั่วไปอย่างที่ควรจะเป็น
ทางด้านคนที่หนีการเรียนมาได้ก็แอบยิ้มในใจยกใหญ่ เมื่อเห็นว่าไม่มีทหารตามมาจับตัวเหมือนอย่างเคย พระองค์ก็ยิ่งภูมิใจในตัวพระองค์เองมากขึ้น องค์หญิงน้อยคิดส่งเสริมตนเองเป็นการใหญ่ว่าคงเป็นเพราะพระองค์มีความสามารถหลบหลีกจนพวกทหารตามไม่ทัน แต่หารู้ไม่ ที่ไม่ตามเป็นเพราะไม่มีใครคิดจะตามมาต่างหาก เพราะพอรู้ดีว่าถึงอย่างไรพระองค์ก็จะเสด็จกลับวังเองในเวลาเย็น
ดวงตาของพระองค์นั้นเล็กเรียว หากแต่พอแย้มสรวลแล้วดวงตาคู่น้อยก็หายไปพลัน ดวงหน้าเต็มดูอิ่มเอิบ ใบหูที่กางออก มองอย่างไรก็ดูน่ารักน่าหยิกมิผิดแปลกไปจากเด็กธรรมดา หากแต่เครื่องแต่งกายที่ใส่อยู่ก็พอจะบ่งบอกฐานะได้บ้าง ว่าพระองค์ต่างจากเด็กธรรมดาอย่างไร
“คิดเท่าไหร่”
เสียงเล็กเอ่ยขึ้นทั้งในมือยังถือลูกท้อไว้ลูกหนึ่ง เรียกความสนใจจากหญิงชราที่กำลังเหม่อลอยได้ทันที นางยิ้มค่อยๆก่อนจะกล่าวเสียงสั่น
“สำหรับเด็ก ข้าไม่คิดสักเหรียญ”
“ไม่คิดสักเหรียญเชียวหรือ”
องค์หญิงซึลกิเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม ลำพังเองก็ไม่ได้นึกอยากได้ลูกท้อมากมาย หากแต่จุดประสงค์คือต้องการช่วยซื้อของจากหญิงชราบ้างตามกำลังที่พระองค์มีอยู่ เพราะเมื่อก้าวผ่านเขตนอกวังก็เพิ่งจะนึกได้ว่านำเงินติดมาด้วยไม่กี่สิบวอนเท่านั้น หากไม่อย่างนั้น พระองค์คงเหมายกแผง แล้วนำไปแจกเด็กแถวๆนี้เหมือนอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก
“ไม่คิดสักเหรียญจริงๆ เด็กอย่างเจ้ายังต้องเติบโต หากไร้ซึ่งของกินพวกนี้แล้วจะเอากำลังที่ไหนไปร่ำเรียนกันเล่า เจ้าอยากกินก็เอาไปได้ตามที่ต้องการเลย”
พอกล่าวจบหญิงชราก็ยิ้มขึ้นอีกครั้ง หากแต่เป็นยิ้มที่สดใสยิ่งกว่าเดิม เป็นรอยยิ้มที่องค์หญิงเองก็เพิ่งจะพบเห็นเป็นครั้งแรก
รอยยิ้มที่ฉาบบนใบหน้าเหี่ยวย่น หากแต่ดูมีความสุขมากเหลือเกิน…
“มิกล้า การซื้อขายย่อมมีการแลกเปลี่ยน หากท่านไม่คิดเงิน งั้นให้ข้าช่วยงานอะไรได้ไหม”
สิ้นเสียงใส หญิงชรามองไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็หัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น ทำเอาองค์หญิงหน้าเสีย พอจะอ้าปากถามก็โดนชิงพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ท่าทางเจ้าคงเป็นลูกพ่อค้าที่ร่ำรวย หรือไม่ก็พวกขุนนาง ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็คงช่วยงานข้าไม่ได้หรอก มันทั้งหนักทั้งลำบาก เด็กผู้ชายตัวโตๆยังสู้งานไม่ไหว นับประสาอะไรกับลูกคุณหนูตัวเล็กๆอย่างเจ้า”
เมื่อได้ยินคำสบประมาท องค์หญิงตัวน้อยก็ถึงกับลมออกหู กระทืบเท้าน้อยๆของตนก่อนจะตะโกนเสียงดัง
“ข้าไม่สน! ใครทำไม่ได้ก็ช่างเขาปะไร! ข้าจะทำ!!”
องค์หญิงแสนดื้อที่ถูกประคบประหงมอย่างดีภายในรั้ววังหลวง หากแต่พอออกมาเผชิญกับโลกภายนอกก็กลับทำตัวเป็นสามัญชนคนธรรมดา และตอนนี้พระองค์เองกำลังหาทางลำบากให้ตัวเอง จากนิสัยมุทะลุดุดันอันเป็นเอกลักษณ์แม้ยังอยู่ในช่วงเยาว์วัยก็มิได้ลดหย่อนลงแต่อย่างใด ซ้ำยังไม่รู้จักควบคุมตนปล่อยให้อารมณ์เป็นใหญ่ หากพระราชาคังได้มาเห็นเข้า องค์หญิงได้ถูกโบยเป็นร้อยทีแน่
“งานง่ายๆคือแค่ให้เจ้าไปขนหินที่ตรงสุดทางนั่น แล้วนำกลับมาให้ข้าที่นี่”
หญิงชราพูดพลางชี้นิ้วสั่ง ดวงเนตรเรียวเล็กทอดมองปลายทางที่อยู่ไกลลิบๆก่อนจะกลืนน้ำลายดังเอื้อก เพราะหินที่ว่านั่นใหญ่มาก…มากยิ่งกว่าตัวพระองค์เองกับหญิงชรานี่รวมกันเสียอีก
แต่เชื้อกษัตริย์ตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ องค์หญิงซึลกิเดินตรงไปยังที่จุดหมายทันที มันเป็นเพียงพื้นที่ใกล้ๆป่าที่ไม่มีทางให้ไปต่อ และมีหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งอันเป็นที่รู้กันดีว่าไม่เคยมีใครเคลื่อนย้ายมันได้
มือเล็กค่อยๆแตะไปที่ก้อนหินเบาๆก่อนจะยกจนสุดแรงทั้งหมดที่มี แต่ก็เป็นอย่างที่พระองค์คิด ว่าหินไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ครั้นจะให้ยอมแพ้ง่ายๆตอนนี้ก็จะดูเหมือนไม่ใช่องค์หญิงคังซึลกิ
จะทำอย่างไรดี…องค์หญิงน้อยคิดแล้วคิดเล่า
“บางครั้งก้อนหินก้อนใหญ่ อาจเป็นอุปสรรคในชีวิตของท่าน”
อาจารย์คิมกล่าวยิ้มๆ เมื่อครั้งยังเห็นองค์หญิงนั่งมองเศษผ้าด้วยพระพักตร์ไม่แจ่มใสเหมือนที่คุ้นตา ที่ชายชราพอจะเดาได้ว่าองค์หญิงคงลืมวิธีเย็บผ้าที่เพิ่งเรียนไปเมื่อครู่
“ถ้าเป็นเช่นนั้น…ข้าต้องทำอย่างไรท่านอาจารย์”
“พระองค์ต้องมองมันให้เล็ก ทุบมันให้แตก ค่อยๆขจัดปมทีละนิด…”
“อย่างไรเล่าท่านอาจารย์”
องค์หญิงน้อยเอียงคอถามด้วยความสงสัย แววตาไร้ความซุกซนขี้เล่นเหมือนอย่างที่เคยเป็น หากแต่กลับเต็มไปด้วยคำถามและความแคลงใจ ที่เจ้าตัวไม่ชอบจะปล่อยความรู้สึกนี้เอาไว้นานๆ
“ข้าขอฝากเป็นการบ้าน ให้พระองค์ลองคิดทบทวนดู”
สิ้นเสียงของชายชรา องค์หญิงถอนหายใจดังเฮือกเมื่อคิดได้ว่าเพิ่งหางานให้ตัวเองเพิ่มไปอีกหนึ่ง จากนั้นพระองค์ก็หันกลับมาสนใจเศษผ้าที่อยู่เบื้องหน้า ที่ถ้าหากว่าลืมไปแบบนี้แล้ว พรุ่งนี้คงถูกดุอีกเป็นแน่…
ประโยคที่คุ้นหูดังก้องในหัวสมอง องค์หญิงซึลกิขมวดคิ้วเล็กๆด้วยความไม่แน่ใจ ก่อนที่จะตัดสินใจวิ่งไปขอค้อนเล็กๆอันหนึ่งจากบ้านช่างตีเหล็กที่อยู่ใกล้ๆ
ใช่…มองให้เล็ก ทุบให้แตก
ชั่งใจอยู่เพียงครู่องค์หญิงก็ไม่รีรอ รีบทุบค้อนลงไปที่หินก้อนใหญ่ซ้ำไปซ้ำมาจนมีก้อนหินเล็กหลุดออก แต่กว่าหินจะแตกได้มือไม้ของพระองค์ก็เต็มไปด้วยบาดแผล ด้วยว่ากำค้อนแน่นมากเสียจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ส่วนด้านในของนิ้วก็ถูกเสียดสีกับด้ามค้อนจนด้านชาไปหมด
“นี่ หินที่ท่านสั่ง”
องค์หญิงพูดพลางยื่นก้อนหินเล็กให้ หญิงชราก็รับมาด้วยความแปลกใจ แต่นางก็ตาไวพอจะสังเกตเห็นร่องรอยบาดแผลที่มือน้อยๆของเด็กหญิงตรงหน้า
“เหตุใดจึงเหลือก้อนเพียงเท่านี้ แล้วนั่นมือเจ้าไปโดนอะไรมา”
“เหลือก้อนเท่านี้เพราะข้าจะทยอยนำมา วันนี้เอามาให้ท่านแค่นี้ วันต่อๆไปก็จะเอามาให้อีก ให้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดนั่นแหละ”
“ฉลาดสมเป็นลูกขุนนาง ถ้าข้าเดาไม่ผิด”
“ไม่ผิดนักหรอก”
“แล้วแผลที่มือเจ้าล่ะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
องค์หญิงซึลกิยิ้มกริ่ม ก่อนจะเสมองท้องฟ้าแล้วนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นเวลาเย็นมากแล้ว มากจนเลยเวลาที่ต้องกลับ นั่นทำให้พระองค์ร้อนรนในใจยิ่ง ทำให้องค์หญิงเพียงแค่หันไปกล่าวอำลาหญิงชราก่อนจะรีบวิ่งไปฝุ่นตลบจากไป โดยมีสายตาเศร้าๆจากหญิงชราผู้นั้นเฝ้าดูอยู่จนลับตา
“มองให้เล็ก ทุบให้แตกอย่างนั้นหรือ…”
หญิงชรายิ้มพลางมองหินก้อนเล็กในมือ นางไม่ได้ตั้งใจจะให้เด็กคนนั้นทำงานอะไรที่เกินตัวหรอก เพียงแค่นางคิดว่าเด็กๆเวลาร้องไห้ขี้มูกโป่งน่ะ น่าเอ็นดูเท่านั้นเอง
แต่คงไม่ใช่กับเด็กคนนี้ เพราะจากประสบการณ์ของนางเอง..
ใบหน้าของเด็กคนนี้ตอนภูมิใจในงานที่ทำน่ะ… ดูดีมากกว่าเป็นไหนๆ
“ข…ขอประทานอภัยเพคะ”
เสียงพูดตะกุกตะกักปนหอบดังขึ้นเบาๆต่อหน้าพระพักตร์เจ้าเหนือหัว พระราชาคังยังคงไว้ซึ่งใบหน้านิ่งดุดัน โดยมีชเวซังกุงคอยมองดูอยู่อย่างห่วงๆ ก็อย่างว่าถึงแม้ปากจะบ่นจะว่าเสียอย่างไร แต่จิตใจย่อมผูกพันรักและเป็นห่วงองค์หญิงตัวน้อยไม่แพ้ใคร เนื่องด้วยวันนี้องค์หญิงกลับช้าผิดปกติจึงเกิดเรื่องวุ่นวายกันใหญ่ มีรับสั่งว่าให้ตามหาทุกซอกทุกมุมภายในวัง ทำเอาทุกคนเดือดร้อนไปตามๆกัน แต่สิ่งที่ทุกคนเป็นเหมือนกันคือเมื่อเห็นพระพักตร์ขององค์หญิงน้อยแล้วก็ลืมความลำบากเดือดร้อนไปหมดสิ้น ทิ้งไว้แต่เพียงความห่วงใยที่แสนอ่อนโยน เท่าที่คนๆหนึ่งจะมีต่อเด็กคนนึงได้
“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันผิดเองที่ไม่สามารถดูแลองค์หญิงให้ดีได้…”
“ไม่เพคะ ชเวซังกุงไม่ผิด! ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของลูกแต่เพียงผู้เดียว”
น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวจากปากขององค์หญิงวัยสิบพรรษาไม่ได้ทำให้พระราชาคังยินดียินร้ายหรือเห็นอกเห็นใจอะไร ใบหน้ายังคงนิ่งงันประดุจสายลมอ่อนๆ ที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าจะเกิดพายุโหมกระหน่ำในไม่ช้า
“หากเจ้ารู้ว่าทำผิด แล้วเหตุใดยังทำ”
“ลูกผิดไปแล้ว เพียงแค่คิดอยากหนีการเรียน ลูกจึงแอบออกไปนอกเมือง”
“เป็นสิ่งที่กษัตริย์สมควรทำหรือไม่”
“…ไม่เพคะ”
“กักบริเวณองค์หญิงเป็นเวลาสิบวัน ให้เรียนแต่เย็บปักถักร้อยอย่างเดียว ห้ามใครเข้าไปยุ่งยกเว้นชเวซังกุง”
พอตรัสจบ องค์ราชาหนุ่มก็ลุกขึ้นเสด็จออกจากบัลลังก์ สองขาย่างก้าวอย่างสุขุมตรงมาที่องค์หญิงน้อย ก่อนจะใช้พระหัตถ์อุ้มร่างเล็กขึ้น วินาทีนั้นเองที่องค์หญิงน้อยรู้สึกเหมือนร่างตัวเองลอยละลิ่วเบาหวิว เป็นเวลากว่าห้าปีแล้วที่ไม่ได้เล่นหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานกับพระบิดา หากจะกล่าวให้ถูกต้องคือห้าปีมานี้งานราชกิจของหลวงมีมากนัก จนทำให้พระราชาอาจละเลยพระองค์ไปบ้าง
ร่างของพระองค์ถูกพามายังบัลลังก์อันเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นที่ประทับของกษัตริย์ผู้ปกครองแคว้นโนรัน แต่ตอนนี้พระองค์เองกำลังถูกวางให้ประทับบนนั้น ท่ามกลางสายตาแตกตื่นของเหล่าขุนนางและนางกำนัล อย่าว่าแต่พวกนั้นจะตกใจเลย… องค์หญิงคังซึลกิเองก็แปลกใจไม่แพ้กัน
“ต่อไปมันคือที่ของเจ้า…ของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
“ส…เสด็จพ่อ”
“ข้าขอแต่งตั้งองค์หญิงคังซึลกิ ให้ขึ้นเป็นองค์หญิงรัชทายาท นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
สิ้นสุรเสียงของกษัตริย์แห่งแคว้นโนรัน เหล่าขุนนางน้อยใหญ่รวมไปถึงพวกซังกุงและนางกำนัลทุกคนก้มลงคุกเข่า ก่อนจะเปล่งเสียงสรรเสริญโดยพร้อมเพรียงกัน เหตุการณ์ทั้งหมดถูกบรรจุลงนัยน์ตาสีเข้มขององค์หญิงตัวน้อย
เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่พระองค์เองจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต…
[TBC.]
◊ SQWEEZ
ความคิดเห็น