ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1
            เมื่อกาลเวลา นำเธอกลับมาสู้ฉันแล้ว
            ก็เสมือนว่า เธอเป็นของขวัญล้ำค่าที่
            กาลเวลา ไม่อาจเอาคืนจากฉันได้
          นอกเสียจากว่าจะรอจน ฉันตายจากเธอไป
          .......นั่นแหละ คือสิ่งเดียวที่กาลเวลาสามารถทำได้
                  หากต้องการเธอคืนกลับไป
Chapter 1
แสงอาทิตย์ยามเข้าสาดส่องลอดไรของใบไม้ลงมายัง ใต้ต้นทำให้เห็นแสงเป็นดวงๆรอบตัวต้นไม้นั้น ลมเย็นยามเช้าพัดไปเอื่อยๆ แต่ก็ทำให้ ใบไม้ไหวได้ เสียงไหวของใบไม้ดังออกมาเป็นระยะๆ เหล่าผู้คนจำนวนมากต่างเร่งรีบในยามเช้าเช่นนี้  บางคนรีบจ้ำเดินเพื่อที่จะไปให้ทันเวลางาน บางคน เดินเอื่อยๆ คงเพราะว่าอีกนานกว่าจะเข้างาน แต่ฉันคงจะเป็นคนที่สบายที่สุด เพราะนี่คือ เวลาปิดเทอมที่แสนสุขสบาย 
เด็กบางคนปิดเทอมแล้วมักจะนอนดึกตื่นบ่าย แต่นั่นไม่ใช่ฉัน  ฉันชอบที่จะตื่นเช้าๆ เพื่อออกมาวิ่งและสูดอากาศบริสุทธิ์มากกว่าที่จะนอนกินบ้านกินเมืองแบบนั้น  บรรยากาศยามเช้าของกรุงเทพ ทำให้ฉันยิ้มได้กับความหลากหลายของผู้คน ที่ต่างก็ไม่เหมือนกัน โลกนี้ยังมีอะไรให้ฉันศึกษาอีกมากมาย หากว่า ฉันไม่หมดความพยายามอยากรู้ไปเสียก่อน 
ร้านค้าหลายร้านเริ่มเปิดประตูและจัดเรียงของเพื่อขาย บางร้านก็เปิดรอไว้และจัดของเรียบร้อยแล้ว แต่บางร้านยังไม่แม้จะแง้มประตูเปิด ฉันวิ่งเหยาะๆ ผ่านร้านค้าตามรายทางมากมาย แต่ก็ไม่มีร้านไหนที่จะทำให้ฉันสะดุดตาอยากเข้าไปเท่าร้านนี้  ร้านหนังสือเก่าๆร้านหนึ่ง ที่แสนจะธรรมดาไม่มีอะไรที่โดดเด่น แต่มันทำให้ฉันละสายตาไปไม่ได้จนสุดท้าย ฉันก็ต้องเข้าไป
ฉันผลักประตูกระจกเก่าๆเข้าไปข้างในร้าน ประตูกระจกเสียง ดังกรุ๊งกริ๊งเมื่อโดนแรงผลัก ภายในร้าน เป็นไม้ทั้งหมด หนังสือเก่าๆมากมายวางเรียงตัวไว้บนชั้นหนังสือ  ฉันเดินดูหนังสือตามชั้นไปเรื่อยๆ ส่วนมากหนังสือในร้านนี้จะเป็นหนังสือเก่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์หรือเรื่องของเมืองโบราณต่างๆ  หนังสือทุกเล่มในนี้ล้วนน่าสนใจและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์  ที่น่าแปลกใจคือ ทำไมหนังสือเหล่านี้ ไม่ตกไปอยู่ในมือของนักประวัติศาสตร์ที่คลั่งไคล้เรื่องโบราณหรือหอสมุดแห่งชาติล่ะ 
“สวัสดีหนูน้อย” เสียงแหบแห้งของคุณลุงคนหนึ่งที่จู่ๆก็มานั่งอยู่ที่โต๊ะจ่ายเงินทักฉันอย่างใจดี ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหาฉันที่อยู่ไม่ห่างไปจากคุณลุงนัก
“สนใจหนังสือเล่มไหนล่ะ”
“เอ่อ  ยังไม่รู้เลยค่ะ ว่าจะดูไปเรื่อยๆก่อน”ฉันตอบคำถามของคุณลุงที่ตอนนี้เดินมาถึงตัวฉันแล้ว พร้อมกับรอยยิ้ม แล้วหันไปดูหนังสือต่อ
“เรื่องโรมันโบราณก็น่าสนใจนะ”
“ใช่ค่ะ โรมันโบราณเป็นเมืองที่ลึกลับน่าค้นหาพอๆกับอียิปต์ก่อนคริสตกาล ที่มีฟาโรห์ผู้เป็นประมุขซึ่งยังไม่เคยมีใครค้นพบ”ฉันตอบพลางไล้มือไปตามสันหนังสือ
“คุณลุงคะ อาณาจักรฮิปไทต์นี่ คือตุรกีโบราณใช่มั๊ยคะ”
“ใช่เลยล่ะหนูน้อย ตุรกีโบราณเป็นอาณาจักรที่มีการค้นพบทางประวัติศาสตร์น้อยกว่าอาณาจักรอื่นๆมาก เพราะช่วงเวลาของฮิปไทต์ เป็นช่วงเวลาแห่งความลึกลับ” คุณลุงตอบฉันแล้ว เอื้อมตัวหยิบหนังสือของชั้นวางทางด้านหลังมาให้ฉัน
“ถ้าหนูอยากศึกษา ต้องหนังสือเล่มนี้”
“ขอบคุณค่ะ”ฉันรับหนังสือมาถือไว้ก่อนจะเอ่ยขอบคุณแล้วลองเปิดดู แต่พอฉันจะจับปกหนังสือเพื่อเปิดมันขึ้นมา คุณลุงก็เอามือมาปิดหนังสือเอาไว้ไม่ให้ฉันเปิด
“หนูจงจำคำของลุงไว้นะหนูน้อย”
“เอ่อ ค่ะ”
“หนังสือเล่มที่หนูถืออยู่นี้ มันเลือกเจ้าของ และเมื่อหนูได้ถือมันไว้แล้ว คือมันได้เลือกหนูเป็นเจ้าของแล้ว”
ฉันทำหน้าไม่เข้าใจกับคำพูดของคุณลุง แต่ก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจอย่างช่วยไม่ได้
“ห้ามให้ใครเปิดหนังสือเล่มนี้ดูเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้น สิ่งร้ายจะเกิดขึ้นกับคนนั้นนี่เป็นคำสาป  ที่สำคัญคือ ต้องเปิดในที่รโหฐาน ที่ซึ่งใครเข้าไม่ถึง ที่ที่เป็นของเรา”
“เอ่อ”
“เล่มนี้ลุงไม่คิดเงิน เพราะมันได้เลือกหนูเป็นเจ้าของแล้ว”พอคุณลุงพูดจบ ท่านก็ทำท่าเหมือนจะเดินกลับเข้าไปยังหลังร้านแต่ก็หันหน้ามาพูดประโยคสุดท้ายกับฉันเสียก่อน
“อะนาโตเลียโอ เลเซนโตนาลุส” แล้วท่านก็หายเข้าไปยังหลังร้านทิ้งให้ฉัน ไม่เข้าใจกับ คำพูดประโยคสุดท้ายของท่านเลย แต่ฉันก็ต้องตัดใจเดินออกจากร้านหนังสือนั้นด้วยอาการที่ไม่สบายใจเท่าใด
ฉันกระชับหนังสือที่ถืออยู่ในมือก่อนจะออกวิ่งเหยาะๆ เพื่อกลับบ้าน ระหว่างทางฉันคิดถึงแต่คำพูดของคุณลุง ที่เอ่ยไว้กับฉันทั้งหมด ด้วยความสงสัยอยู่ว่า หนังสือจะเลือกเจ้าของได้อย่างไร เมื่อมันไม่มีชีวิตไม่มีจิตใจ  พอฉันวิ่งห่างออกมาจากร้านได้สักระยะก็หันกลับไปมองร้านหนังสือนั้น แต่ทว่าไม่ร่องรอยของร้านนั้นเลย ประตูสีเงินปิดสนิท ป้ายร้านค้าทองก็ขึ้นมาแทนที่ร้านหนังสือ ฉันก้มหน้ามามองหนังสือในมืออีกครั้งมันก็ยังคงอยู่ในมือ แต่ร้านนั้นกลับหายไป อย่างไร้ร่องรอย  ฉันตัดใจวิ่งกลับบ้าน พร้อมกับหนังสือในมือ คงจะจริงที่ว่า หนังสือเลือกเจ้าของ ด้วยตัวของมันเอง
แสงอาทิตย์เจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ  ผู้คนก็เร่งรีบมากขึ้น เหมือนว่าตอนนี้  แม้แต่ฉันก็ยังรีบ ไปด้วย  เสียงรถยนต์เคลื่อนตัวตามกันไปในการจราจรที่ติดขัด บรรดาคนทำงานต่างพากันเดินจ้ำ เพื่อให้ไปทันเวลางาน ผิดกับเมื่อ ยี่สิบนาทีก่อนอย่างลิบลับ  เหมือนกับร้านหนังสือกลายเป็นร้านทองได้ล่ะมั้ง
ฉันกลับมาถึงบ้านในยี่สิบนาทีต่อมาพร้อมกับหนังสือเล่มใหญ่ที่ได้มาจากคุณลุงคนนั้นกับร้านหนังสือปริศนา  ฉันยังจำได้ดีถึงคำกำชับของท่าน และแน่นอน ฉันเชื่อมันครึ่งหนึ่งแล้วล่ะ เพราะร้านยังหายไปได้ต่อหน้าต่อตา แล้วคำสาปนั้น มันก็คงจะต้องมีจริง
ฉันเปิดประตูบ้านเข้าไป แล้วเดินขึ้นห้องตัวเองอย่างเงียบๆ ถึงแม้ว่า น้องตัวดีจะหลับอยู่ และพ่อกับแม่ก็ออกไปทำงานแล้ว แต่ว่า เราก็ไม่ควรประมาทในทุกสิ่งที่เราทำ  ฉันวางหนังสือลงบนโต๊ะข้างหัวเตียงก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ
 
“ดอน” ฉันตะโกนเรียกเจ้าน้องชายตัวดีเสียงดังแต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบรับกลับมานอกจากความเงียบสงัด  หลังจากที่ฉันลงมาทำกับข้าวได้พักใหญ่เหมือนว่าบ้านจะเงียบลงกว่าเดิมหลายเท่าตัวจากความรู้สึกของฉัน สิ่งหนึ่งจากสัญชาติญาณคือ เหมือนมีอะไรบางอย่างที่แปลกไป แต่ไอ้อะไรนั่น มันคืออะไรกันล่ะ
ฉันตัดสินใจเดินขึ้นไปเรียก น้องบนห้องนอน แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วก็พบความว่างเปล่าเป็นคำตอบ เตียงนอนยับยู่ยี่ มีรอยคนนอนแต่คนที่เคยนอนอยู่กลับหายไป ฉันเดินเข้าไปดูในห้องน้ำพร้อมกับส่งเสียงเรียก แต่ก็ไม่มีใครเลย  สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวฉันหลังจากพบว่าน้องชายฉันไม่อยู่ในห้องก็คือคำพูดของคุณลุง บางที เจ้าน้องชายตัวดีที่ชอบเข้าไปค้นของในห้องนอนของฉัน อาจจะไปเปิดดูหนังสือเล่มนั้นแล้วก็ได้  แต่เมื่อไปดูในห้องนอนของฉันแล้วกลับไม่พบอะไรหรือใครเลยนอกเสียจาก หนังสือโบราณที่เปิดอยู่
“พี่เดย์” เสียงคุ้นเคยของน้องชายที่ดังมาจากข้างหลังทำให้ฉันตกใจแทบบ้า ฉันหันไปหาน้องชายก่อนจะลากลงไปทานอาหารเช้า
“ไปไหนมาล่ะเราพี่หาทั่วบ้านแล้วไม่เจอ”
“ไปเล่นกับเชี่ยวเหลียนมาฮะ มันน่ารักมากเลย ผมสั่งให้มันนั่งก็นั่ง นอนก็นอน ยืนสองขาได้ด้วยนะฮะ”ดอนพูดพลางทำตาโต แสดงให้ฉันรู้ว่ามันน่ารักและแสนรู้จริงๆ ก่อนจะตักข้าวต้มกุ้งเข้าปาก แล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ทำท่าน่ารักน่าเอ็นดู
“เหรอจ๊ะ แล้วทำไม ดอนไม่น่ารักเหมือนเจ้าเชี่ยวเหลียนบ้างล่ะจ๊ะ”
“แหม พี่เดย์ฮะ ผมไม่ใช่หมานะครับ” คนถูกแซวตอบฉันหน้าง้ำก่อนจะตักข้าวต้มเข้าปากอีกคำใหญ่ๆแล้วเคี้ยวเอย่างไม่สนใจ ฉันที่ยืนหัวเราะอยู่ข้างๆเลย
เชี่ยวเหลียน เป็นสุนัขพันธ์พุดเดิ้ล  ที่เพิ่งถูกซื้อมาจากเมืองจีน ฉันก็ไม่แน่ใจในชื่อของมันว่าแปลว่าอะไร ทำไมเจ้าของถึงตั้งชื่อนี้ให้ก็ไม่รู้  เชี่ยวเหลียน เป็นหมาที่แสนรู้จนจะเรียกว่าฉลาดมากเลยก็ได้ เพราะทุกเช้ามันจะคาบหนังสือพิมพ์มาให้เจ้านายมัน  และมันยังเป็นหมาที่ขี้อ้อนขี้ประจบ ทำให้หลายๆคนที่ได้รู้จักมัน รักมันเหมือนเป็นหมาของตัวเอง
  น้องชายตัวดีของฉันพอทานข้าวเช้าเสร็จก็รีบวิ่งไปเล่นกับเพื่อนที่สนามเด็กเล่นใกล้บ้านโดยไม่ลืมที่จะขอเงินฉันติดตัวไปเพื่อซื้อขนม
เมื่อไม่มีใครอยู่แล้ว ฉันก็นึกถึงหนังสือเล่มนั้นและคำพูดของคุณลุง ว่าให้เปิดในที่ที่เป็นของเรา ถ้างั้น ห้องนอนส่วนตัวก็คงเป็นที่ที่เป็นของเราด้วยใช่มั๊ย 
ฉันเปิดหนังสือเล่มหนาอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวว่ามันจะขาดเสียก่อนเพราะหน้ากระดาษหนังสือแปรสภาพตัวเองเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆไปแล้ว หน้าปกของหนังสือเล่มนี้เป็นปกแข็งสีแดงเลือดหมู มีตัวอักษรสีทองเขียนไว้ว่า อาณาจักร อนาโตเลีย หน้าหนังสือถูกเปิดออกไปเรื่อยๆ จนไปหยุดอยู่ที่หน้าหนึ่ง ซึ่งเป็นรูปภาพสี่สีที่ดูใหม่ จนทำให้ฉันสะดุดใจ ถ้าหนังสือเล่มนี้ เก่าจนหน้ากระดาษเป็นสีน้ำตาล ทำไมภาพสี่สีถึงไม่เก่าไปตามกระดาษและ ในสมัยที่หนังสือเล่มนี้ผลิต ยังไม่มีสีนี่ ?
ฉันทิ้งข้อกังขาไว้กับหน้าหนังสือนั้น แล้วเปิดต่อไปเรื่อยๆ ตัวหนังสือสีดำ เหมือนเพิ่งจะพิมพ์เสร็จใหม่ๆ ปรากฏให้เห็น ขัดกับหน้ากระดาษเก่า นั่นยิ่งทำให้ฉันสงสัย พลันสมองก็นึกไปถึงคำพูดสุดท้ายของคุณลุง แล้วพูดขึ้นอย่างลืมตัว
“อะนาโตเลียโอ เลเซนโตนาลุส”
ทันใดนั้นหน้าหนังสือก็เปิดไปยังรูปภาพนั้นแล้วเปล่งแสงเจิดจ้าออกมาจนฉันยังต้องหลับตา  แล้วทุกอย่างก็หายไปในความทรงจำ
            ก็เสมือนว่า เธอเป็นของขวัญล้ำค่าที่
            กาลเวลา ไม่อาจเอาคืนจากฉันได้
          นอกเสียจากว่าจะรอจน ฉันตายจากเธอไป
          .......นั่นแหละ คือสิ่งเดียวที่กาลเวลาสามารถทำได้
                  หากต้องการเธอคืนกลับไป
Chapter 1
แสงอาทิตย์ยามเข้าสาดส่องลอดไรของใบไม้ลงมายัง ใต้ต้นทำให้เห็นแสงเป็นดวงๆรอบตัวต้นไม้นั้น ลมเย็นยามเช้าพัดไปเอื่อยๆ แต่ก็ทำให้ ใบไม้ไหวได้ เสียงไหวของใบไม้ดังออกมาเป็นระยะๆ เหล่าผู้คนจำนวนมากต่างเร่งรีบในยามเช้าเช่นนี้  บางคนรีบจ้ำเดินเพื่อที่จะไปให้ทันเวลางาน บางคน เดินเอื่อยๆ คงเพราะว่าอีกนานกว่าจะเข้างาน แต่ฉันคงจะเป็นคนที่สบายที่สุด เพราะนี่คือ เวลาปิดเทอมที่แสนสุขสบาย 
เด็กบางคนปิดเทอมแล้วมักจะนอนดึกตื่นบ่าย แต่นั่นไม่ใช่ฉัน  ฉันชอบที่จะตื่นเช้าๆ เพื่อออกมาวิ่งและสูดอากาศบริสุทธิ์มากกว่าที่จะนอนกินบ้านกินเมืองแบบนั้น  บรรยากาศยามเช้าของกรุงเทพ ทำให้ฉันยิ้มได้กับความหลากหลายของผู้คน ที่ต่างก็ไม่เหมือนกัน โลกนี้ยังมีอะไรให้ฉันศึกษาอีกมากมาย หากว่า ฉันไม่หมดความพยายามอยากรู้ไปเสียก่อน 
ร้านค้าหลายร้านเริ่มเปิดประตูและจัดเรียงของเพื่อขาย บางร้านก็เปิดรอไว้และจัดของเรียบร้อยแล้ว แต่บางร้านยังไม่แม้จะแง้มประตูเปิด ฉันวิ่งเหยาะๆ ผ่านร้านค้าตามรายทางมากมาย แต่ก็ไม่มีร้านไหนที่จะทำให้ฉันสะดุดตาอยากเข้าไปเท่าร้านนี้  ร้านหนังสือเก่าๆร้านหนึ่ง ที่แสนจะธรรมดาไม่มีอะไรที่โดดเด่น แต่มันทำให้ฉันละสายตาไปไม่ได้จนสุดท้าย ฉันก็ต้องเข้าไป
ฉันผลักประตูกระจกเก่าๆเข้าไปข้างในร้าน ประตูกระจกเสียง ดังกรุ๊งกริ๊งเมื่อโดนแรงผลัก ภายในร้าน เป็นไม้ทั้งหมด หนังสือเก่าๆมากมายวางเรียงตัวไว้บนชั้นหนังสือ  ฉันเดินดูหนังสือตามชั้นไปเรื่อยๆ ส่วนมากหนังสือในร้านนี้จะเป็นหนังสือเก่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์หรือเรื่องของเมืองโบราณต่างๆ  หนังสือทุกเล่มในนี้ล้วนน่าสนใจและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์  ที่น่าแปลกใจคือ ทำไมหนังสือเหล่านี้ ไม่ตกไปอยู่ในมือของนักประวัติศาสตร์ที่คลั่งไคล้เรื่องโบราณหรือหอสมุดแห่งชาติล่ะ 
“สวัสดีหนูน้อย” เสียงแหบแห้งของคุณลุงคนหนึ่งที่จู่ๆก็มานั่งอยู่ที่โต๊ะจ่ายเงินทักฉันอย่างใจดี ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหาฉันที่อยู่ไม่ห่างไปจากคุณลุงนัก
“สนใจหนังสือเล่มไหนล่ะ”
“เอ่อ  ยังไม่รู้เลยค่ะ ว่าจะดูไปเรื่อยๆก่อน”ฉันตอบคำถามของคุณลุงที่ตอนนี้เดินมาถึงตัวฉันแล้ว พร้อมกับรอยยิ้ม แล้วหันไปดูหนังสือต่อ
“เรื่องโรมันโบราณก็น่าสนใจนะ”
“ใช่ค่ะ โรมันโบราณเป็นเมืองที่ลึกลับน่าค้นหาพอๆกับอียิปต์ก่อนคริสตกาล ที่มีฟาโรห์ผู้เป็นประมุขซึ่งยังไม่เคยมีใครค้นพบ”ฉันตอบพลางไล้มือไปตามสันหนังสือ
“คุณลุงคะ อาณาจักรฮิปไทต์นี่ คือตุรกีโบราณใช่มั๊ยคะ”
“ใช่เลยล่ะหนูน้อย ตุรกีโบราณเป็นอาณาจักรที่มีการค้นพบทางประวัติศาสตร์น้อยกว่าอาณาจักรอื่นๆมาก เพราะช่วงเวลาของฮิปไทต์ เป็นช่วงเวลาแห่งความลึกลับ” คุณลุงตอบฉันแล้ว เอื้อมตัวหยิบหนังสือของชั้นวางทางด้านหลังมาให้ฉัน
“ถ้าหนูอยากศึกษา ต้องหนังสือเล่มนี้”
“ขอบคุณค่ะ”ฉันรับหนังสือมาถือไว้ก่อนจะเอ่ยขอบคุณแล้วลองเปิดดู แต่พอฉันจะจับปกหนังสือเพื่อเปิดมันขึ้นมา คุณลุงก็เอามือมาปิดหนังสือเอาไว้ไม่ให้ฉันเปิด
“หนูจงจำคำของลุงไว้นะหนูน้อย”
“เอ่อ ค่ะ”
“หนังสือเล่มที่หนูถืออยู่นี้ มันเลือกเจ้าของ และเมื่อหนูได้ถือมันไว้แล้ว คือมันได้เลือกหนูเป็นเจ้าของแล้ว”
ฉันทำหน้าไม่เข้าใจกับคำพูดของคุณลุง แต่ก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจอย่างช่วยไม่ได้
“ห้ามให้ใครเปิดหนังสือเล่มนี้ดูเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้น สิ่งร้ายจะเกิดขึ้นกับคนนั้นนี่เป็นคำสาป  ที่สำคัญคือ ต้องเปิดในที่รโหฐาน ที่ซึ่งใครเข้าไม่ถึง ที่ที่เป็นของเรา”
“เอ่อ”
“เล่มนี้ลุงไม่คิดเงิน เพราะมันได้เลือกหนูเป็นเจ้าของแล้ว”พอคุณลุงพูดจบ ท่านก็ทำท่าเหมือนจะเดินกลับเข้าไปยังหลังร้านแต่ก็หันหน้ามาพูดประโยคสุดท้ายกับฉันเสียก่อน
“อะนาโตเลียโอ เลเซนโตนาลุส” แล้วท่านก็หายเข้าไปยังหลังร้านทิ้งให้ฉัน ไม่เข้าใจกับ คำพูดประโยคสุดท้ายของท่านเลย แต่ฉันก็ต้องตัดใจเดินออกจากร้านหนังสือนั้นด้วยอาการที่ไม่สบายใจเท่าใด
ฉันกระชับหนังสือที่ถืออยู่ในมือก่อนจะออกวิ่งเหยาะๆ เพื่อกลับบ้าน ระหว่างทางฉันคิดถึงแต่คำพูดของคุณลุง ที่เอ่ยไว้กับฉันทั้งหมด ด้วยความสงสัยอยู่ว่า หนังสือจะเลือกเจ้าของได้อย่างไร เมื่อมันไม่มีชีวิตไม่มีจิตใจ  พอฉันวิ่งห่างออกมาจากร้านได้สักระยะก็หันกลับไปมองร้านหนังสือนั้น แต่ทว่าไม่ร่องรอยของร้านนั้นเลย ประตูสีเงินปิดสนิท ป้ายร้านค้าทองก็ขึ้นมาแทนที่ร้านหนังสือ ฉันก้มหน้ามามองหนังสือในมืออีกครั้งมันก็ยังคงอยู่ในมือ แต่ร้านนั้นกลับหายไป อย่างไร้ร่องรอย  ฉันตัดใจวิ่งกลับบ้าน พร้อมกับหนังสือในมือ คงจะจริงที่ว่า หนังสือเลือกเจ้าของ ด้วยตัวของมันเอง
แสงอาทิตย์เจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ  ผู้คนก็เร่งรีบมากขึ้น เหมือนว่าตอนนี้  แม้แต่ฉันก็ยังรีบ ไปด้วย  เสียงรถยนต์เคลื่อนตัวตามกันไปในการจราจรที่ติดขัด บรรดาคนทำงานต่างพากันเดินจ้ำ เพื่อให้ไปทันเวลางาน ผิดกับเมื่อ ยี่สิบนาทีก่อนอย่างลิบลับ  เหมือนกับร้านหนังสือกลายเป็นร้านทองได้ล่ะมั้ง
ฉันกลับมาถึงบ้านในยี่สิบนาทีต่อมาพร้อมกับหนังสือเล่มใหญ่ที่ได้มาจากคุณลุงคนนั้นกับร้านหนังสือปริศนา  ฉันยังจำได้ดีถึงคำกำชับของท่าน และแน่นอน ฉันเชื่อมันครึ่งหนึ่งแล้วล่ะ เพราะร้านยังหายไปได้ต่อหน้าต่อตา แล้วคำสาปนั้น มันก็คงจะต้องมีจริง
ฉันเปิดประตูบ้านเข้าไป แล้วเดินขึ้นห้องตัวเองอย่างเงียบๆ ถึงแม้ว่า น้องตัวดีจะหลับอยู่ และพ่อกับแม่ก็ออกไปทำงานแล้ว แต่ว่า เราก็ไม่ควรประมาทในทุกสิ่งที่เราทำ  ฉันวางหนังสือลงบนโต๊ะข้างหัวเตียงก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ
 
“ดอน” ฉันตะโกนเรียกเจ้าน้องชายตัวดีเสียงดังแต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบรับกลับมานอกจากความเงียบสงัด  หลังจากที่ฉันลงมาทำกับข้าวได้พักใหญ่เหมือนว่าบ้านจะเงียบลงกว่าเดิมหลายเท่าตัวจากความรู้สึกของฉัน สิ่งหนึ่งจากสัญชาติญาณคือ เหมือนมีอะไรบางอย่างที่แปลกไป แต่ไอ้อะไรนั่น มันคืออะไรกันล่ะ
ฉันตัดสินใจเดินขึ้นไปเรียก น้องบนห้องนอน แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วก็พบความว่างเปล่าเป็นคำตอบ เตียงนอนยับยู่ยี่ มีรอยคนนอนแต่คนที่เคยนอนอยู่กลับหายไป ฉันเดินเข้าไปดูในห้องน้ำพร้อมกับส่งเสียงเรียก แต่ก็ไม่มีใครเลย  สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวฉันหลังจากพบว่าน้องชายฉันไม่อยู่ในห้องก็คือคำพูดของคุณลุง บางที เจ้าน้องชายตัวดีที่ชอบเข้าไปค้นของในห้องนอนของฉัน อาจจะไปเปิดดูหนังสือเล่มนั้นแล้วก็ได้  แต่เมื่อไปดูในห้องนอนของฉันแล้วกลับไม่พบอะไรหรือใครเลยนอกเสียจาก หนังสือโบราณที่เปิดอยู่
“พี่เดย์” เสียงคุ้นเคยของน้องชายที่ดังมาจากข้างหลังทำให้ฉันตกใจแทบบ้า ฉันหันไปหาน้องชายก่อนจะลากลงไปทานอาหารเช้า
“ไปไหนมาล่ะเราพี่หาทั่วบ้านแล้วไม่เจอ”
“ไปเล่นกับเชี่ยวเหลียนมาฮะ มันน่ารักมากเลย ผมสั่งให้มันนั่งก็นั่ง นอนก็นอน ยืนสองขาได้ด้วยนะฮะ”ดอนพูดพลางทำตาโต แสดงให้ฉันรู้ว่ามันน่ารักและแสนรู้จริงๆ ก่อนจะตักข้าวต้มกุ้งเข้าปาก แล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ทำท่าน่ารักน่าเอ็นดู
“เหรอจ๊ะ แล้วทำไม ดอนไม่น่ารักเหมือนเจ้าเชี่ยวเหลียนบ้างล่ะจ๊ะ”
“แหม พี่เดย์ฮะ ผมไม่ใช่หมานะครับ” คนถูกแซวตอบฉันหน้าง้ำก่อนจะตักข้าวต้มเข้าปากอีกคำใหญ่ๆแล้วเคี้ยวเอย่างไม่สนใจ ฉันที่ยืนหัวเราะอยู่ข้างๆเลย
เชี่ยวเหลียน เป็นสุนัขพันธ์พุดเดิ้ล  ที่เพิ่งถูกซื้อมาจากเมืองจีน ฉันก็ไม่แน่ใจในชื่อของมันว่าแปลว่าอะไร ทำไมเจ้าของถึงตั้งชื่อนี้ให้ก็ไม่รู้  เชี่ยวเหลียน เป็นหมาที่แสนรู้จนจะเรียกว่าฉลาดมากเลยก็ได้ เพราะทุกเช้ามันจะคาบหนังสือพิมพ์มาให้เจ้านายมัน  และมันยังเป็นหมาที่ขี้อ้อนขี้ประจบ ทำให้หลายๆคนที่ได้รู้จักมัน รักมันเหมือนเป็นหมาของตัวเอง
  น้องชายตัวดีของฉันพอทานข้าวเช้าเสร็จก็รีบวิ่งไปเล่นกับเพื่อนที่สนามเด็กเล่นใกล้บ้านโดยไม่ลืมที่จะขอเงินฉันติดตัวไปเพื่อซื้อขนม
เมื่อไม่มีใครอยู่แล้ว ฉันก็นึกถึงหนังสือเล่มนั้นและคำพูดของคุณลุง ว่าให้เปิดในที่ที่เป็นของเรา ถ้างั้น ห้องนอนส่วนตัวก็คงเป็นที่ที่เป็นของเราด้วยใช่มั๊ย 
ฉันเปิดหนังสือเล่มหนาอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวว่ามันจะขาดเสียก่อนเพราะหน้ากระดาษหนังสือแปรสภาพตัวเองเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆไปแล้ว หน้าปกของหนังสือเล่มนี้เป็นปกแข็งสีแดงเลือดหมู มีตัวอักษรสีทองเขียนไว้ว่า อาณาจักร อนาโตเลีย หน้าหนังสือถูกเปิดออกไปเรื่อยๆ จนไปหยุดอยู่ที่หน้าหนึ่ง ซึ่งเป็นรูปภาพสี่สีที่ดูใหม่ จนทำให้ฉันสะดุดใจ ถ้าหนังสือเล่มนี้ เก่าจนหน้ากระดาษเป็นสีน้ำตาล ทำไมภาพสี่สีถึงไม่เก่าไปตามกระดาษและ ในสมัยที่หนังสือเล่มนี้ผลิต ยังไม่มีสีนี่ ?
ฉันทิ้งข้อกังขาไว้กับหน้าหนังสือนั้น แล้วเปิดต่อไปเรื่อยๆ ตัวหนังสือสีดำ เหมือนเพิ่งจะพิมพ์เสร็จใหม่ๆ ปรากฏให้เห็น ขัดกับหน้ากระดาษเก่า นั่นยิ่งทำให้ฉันสงสัย พลันสมองก็นึกไปถึงคำพูดสุดท้ายของคุณลุง แล้วพูดขึ้นอย่างลืมตัว
“อะนาโตเลียโอ เลเซนโตนาลุส”
ทันใดนั้นหน้าหนังสือก็เปิดไปยังรูปภาพนั้นแล้วเปล่งแสงเจิดจ้าออกมาจนฉันยังต้องหลับตา  แล้วทุกอย่างก็หายไปในความทรงจำ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น