ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์พยาบาท

    ลำดับตอนที่ #9 : 9 มารผจญ

    • อัปเดตล่าสุด 30 ก.ค. 64


    9

    เช้าวันใหม่อากาศแจ่มใสกว่าเคย หยาดน้ำค้างบนยอดไม้ยังคงพร่างพรมต้องแสงแดดอ่อนๆ ส่องประกายเจิดจรัสแสบตา อรุโณทัยนั่งบนชานเรือน จ้องมองหยดน้ำบนใบบอนสีแสนรักของเธอ หยดน้ำเล็กๆ ทรงกลมค้างบนแอ่งในใบบัว สักพักพอโดนลมพัด ใบบอนวูบไหวพาหยดน้ำสีใสกลิ้งลงพื้น น้ำซึมเข้าเนื้อไม้จนเกิดสีเข้มเป็นวงกว้าง น้ำอีกหยดตกลงใกล้ๆ กัน เกิดเป็นวงสีเข้มเล็กกว่าอีกวง

    “ว่างนักเหรอ”

    ทันทีที่รู้ว่าผู้มาใหม่เป็นใคร บอนสีกระถางน้อยก็ถูกรวบไปไว้แนบอกโดยพลัน ภาพที่เขาบ้วนน้ำใส่บอนที่น่าสงสารยังคงเด่นชัด ต้นตระกูลมองเหยียดๆ เขาตักน้ำในแอ่งมาล้างมือ

    “เปล่า แล้วนี่คุณไม่ได้ไปทำงานเหรอ”

    “ใจคอจะไม่ให้ฉันหยุดเลยหรือไง”

    อรุโณทัยทำหน้าเมื่อย ค่อยๆ วางกระถางลงเมื่อเห็นว่าบอนสีน่าจะรอดจากน้ำมือเขาแล้ว “เปล่าค่ะ”

    “คุณปรายคะ พร้อมแล้วค่ะ”

    สองหนุ่มสาวหันไปทางต้นเสียง พบกัลยายืนอยู่กลางเรือน ในมือมีดอกบัวสีขาวและปิ่นโตเถาหนึ่ง ต้นตระกูลขมวดคิ้วมองสาวต่างวัยสลับกันไปมา

    “ไปทำบุญที่วัดด้วยกันไหมคะ” บางทีถ้าต้นตระกูลซึ้งในรสพระธรรมเขาอาจจะเลิกแกล้งเธอก็ได้ แต่มันก็คงได้แค่คิดเท่านั้น คนอย่างเขาแม้จะบวชเป็นสิบพรรษาก็ไม่รู้จะซึ้งกับเขาหรือเปล่า

    “ฉันเนี่ยนะจะเข้าวัด” ชายหนุ่มชี้หน้าตัวเองพลางทำหน้าสยดสยอง เข้าวัดครั้งสุดท้ายตอนไหนเขายังจำไม่ได้เลย ต้นตระกูลเดินวนไปวนมาอย่างคนคิดไม่ตก สุดท้ายเขาก็เงยหน้าขึ้นสบตาอรุโณทัยอย่างแน่วแน่ “ตกลง ฉันจะไปวัดกับเธอ”

    คิดนานอย่างกับจะพาไปโรงเชือดเลยทีเดียว

    สามสิบนาทีต่อมา ประตูรถทั้งสองฝั่งถูกผลักออกและปิดลงเกือบจะพร้อมกัน เบื้องหน้าของต้นตระกูลคือด้านข้างของอุโบสถขนาดใหญ่ที่เขาเพิ่งจำได้ว่าเดชาเป็นผู้อุปถัมภ์การก่อสร้างเมื่อห้าปีก่อนเพราะมีรายนามผู้บริจาคสลักไว้ให้เห็น ชายหนุ่มรู้สึกดีกับคนเป็นพ่ออีกนิด อย่างน้อยก็ไม่ได้เอาเงินไปปรนเปรอเมียน้อยอย่างเดียว

    คิดแล้วมันน่าโมโห โมโห โมโห!!!

    ขวับ!!

    จุดที่อรุโณทัยกับกัลยาควรอยู่กลับไร้ร่างของสองคนนั้น ต้นตระกูลหันหน้าหันหลังมองหา พลันมองเห็นอรุโณทัยยืนยิ้มอยู่ไกลๆ เธอป้องปากบอกเขาว่า “ขอบคุณที่มาส่งนะ”

    “..!!? ...”

    ร่างหนาสั่นเทิ้ม หลอกใช้เขาขับรถมาส่งอย่างนั้นเหรอ ยัยตัวแสบ ต้นตระกูลวิ่งกวดตามทั้งคู่ทันที พอมาวิ่งมาถึงก็จับร่างบางเขย่าให้สมกับความอัดอั้น พอจะปริปากเอ่ย เธอก็ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปาก จุ๊ๆ ด้วยใบหน้าระรื่น

    “เขตวัดนะ”

    “เออ ไว้ถึงบ้านก่อนเธอโดนแน่”

    นอกจากจะไม่กลัวอรุโณทัยยังหัวเราะเบาๆ “ไปกันเถอะ เดี๋ยวไม่ทันเวลา” ว่าแล้วก็สะบัดจากการเกาะกุมของเขาเดินไปอีกทาง ต้นตระกูลเลยต้องข่มอารมณ์และเดินตามต้อยๆ ด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

    หลังจากถวายอาหารและสวดมนต์ทำวัตรเช้าเสร็จ อรุโณทัยจึงไปหาพระผู้เฒ่ารูปหนึ่ง ท่านนั่งอยู่บนแคร่ใต้ร่มมะขาม ใบหน้าหย่อนยานตามกาลเวลานั้นไม่สามารถปกปิดความเอิบอิ่มไปด้วยความเมตตาได้เลย อรุโณทัยและกัลยาก้มลงกราบท่าน ต้นตระกูลที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองฝักมะขามอ่อนบนต้นเลยโดนฉุดแขนให้ก้มลงกราบโดยไม่รู้ตัว เห็นดังนั้นพระผู้เฒ่าเลยหัวเราะน้อยๆ

    “นิมนต์ค่ะหลวงตา”

    “เป็นไงมาไงล่ะโยม” น้ำเสียงเอื้ออาทรเอ่ยขึ้น

    อรุโณทัยยิ้มละไม นี่เป็นสิ่งเดียวที่ไม่ทำให้เธอคิดว่าตนเองคือผีเฝ้าเรือน เธอสามารถเข้าวัด สามารถสนทนาธรรมกับพระภิกษุสงฆ์ ผีคงทำแบบนี้ไม่ได้หรอก.. มั้งนะ

    อรุโณทัยรู้จักพระรูปนี้ดี ท่านก็รู้จักเธอดีเช่นกัน ทุกครั้งที่มาวัดเธอจะมาหาพระรูปนี้ คำเรียกขานเปลี่ยนไปตามกาลเวลาตั้งแต่หลวงพี่ หลวงพ่อ จนถึงหลวงตา

    “มีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อยเจ้าค่ะ”

    “อืม.. ว่าอย่างไรล่ะ”

    ยังไม่ทันเอ่ยอะไรโทรศัพท์มือถือของต้นตระกูลก็ดังขึ้น อรุโณทัยตวัดสายตามองเขาอย่างขุ่นเคืองเพราะบอกเขาไปแล้วว่าให้ปิดโทรศัพท์หรือเปิดสั่นแทน แต่มีหรือคนหน้ามึนอย่างเขาจะฟัง ชายหนุ่มขอตัวไปรับโทรศัพท์อยู่นานสองนานจนกระทั่งเธอเล่าเรื่องคณะถ่ายหนังน่าสงสัยให้พระผู้เฒ่าฟังจนหมดเขาก็ยังไม่กลับมา

    “ขุมพลังที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในเรือนนั่นหรอกนะโยม มันอยู่ที่ตัวโยมต่างหากล่ะ” ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเปี่ยมเมตตาขณะมองดูแหวนที่บนนิ้วนางข้างซ้ายของสีกาสาว แสงสีเงินสว่างวูบดูเผินๆ เหมือนมันสะท้อนแสงแดดก่อนจะดับไปดังเดิม

    ผู้เป็นขุมพลังกะพริบตาปริบๆ เหมือนจะยังไม่เข้าใจ ผิดกับกัลยาที่นั่งเงียบมาตลอดถึงกับเอ่ยถามเพื่อความชัดเจน คำตอบที่ได้ก็เหมือนเดิม

    “จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ”

    “มันเป็นไปแล้ว เป็นมานานแล้วล่ะโยม”

    ตัวเธอมีอะไรที่น่าทึ่งกว่านี้อีกไหม อรุโณทัยได้แต่ถามตัวเอง ต้นตระกูลเดินหน้ายุ่งๆ กลับมา เขาก้มลงกราบพระผู้เฒ่าแล้วหันมาชวนอรุโณทัยกลับบ้านอย่างไร้มารยาท

    “กลับกันเถอะ ฉันมีงานด่วน”

    “นี่คุณ”

    ภิกษุชรามองต้นตระกูลด้วยสายตาล้ำลึกยากจะเดาความรู้สึกว่าคิดอะไรอยู่ มุมปากท่านยกยิ้ม หยิบด้ายสายสิญจน์สีขาวออกจากย่ามยื่นให้ชายหนุ่ม เขารับมาไว้แบบงงๆ

    “ช่วยผูกข้อมือโยมสีกาคนนี้แทนอาตมาหน่อยเถิด”

    ต้นตระกูลมองด้ายในมือแล้วเงยหน้ามองพระผู้เฒ่าอย่างไม่เข้าใจ แต่ด้วยความเร่งรีบเขาจึงต้องทำตามอย่างไม่โต้แย้ง อรุโณทัยยื่นมือสั่นๆ ไปให้เขาผูกด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด

    “ความอาฆาต ความพยาบาททั้งหลาย ขอให้จบสิ้นลง ณ ที่นี้เถิด หากไม่แล้ว คนที่เสียใจอาจเป็นโยมเอง”

    “ผมไม่ได้ทำอะไรให้ใคร”

    “ปล่อยวางเสียบ้าง”

    “ผมไม่ผิด”

    “โอ๊ย! มันเจ็บนะ”

    “ขอโทษ” เขาว่าแล้วเดินหนีไปทันที อรุโณทัยมองตามด้วยความหนักใจ เธอหันมากราบลาภิกษุชราและรีบเดินตามไป พระผู้เฒ่ามองตามหลังคนทั้งสามจนลับตา

    คงต้องปล่อยให้กรรมได้ทำหน้าที่ของมันต่อไป

    อรุโณทัยโดนลากถูลู่ถูกังลงจากรถคันงามหลังจากที่มันจอดสนิทภายในบ้าน หญิงสาวร้องขอกัลยาให้ช่วยแต่หญิงชรากลับไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยเพราะโดนคนของต้นตระกูลจับไว้เช่นกัน ซ้ำยังนำเทปดำมาปิดปากไว้อีก พวกเขาทนเสียงบ่นไม่ไหวจริงๆ จึงต้องคิดวิธีนี้ขึ้น

    “เห็นฉันไม่ว่าเข้าหน่อยคงย่ามใจซินะ” เสียงเกรี้ยวกราดตวาดจนคนฟังลนลานด้วยความหวาดกลัว ต้นตระกูลที่หัวเสียตั้งแต่โดนเธอหลอกเมื่อเช้าผสมกับความโกรธเรื่องการทุจริตการสัมปทานการก่อสร้างทำให้เขายั้งอารมณ์ไม่อยู่ ชายหนุ่มผลักร่างบางลงอย่างไม่ออมแรง อรุโณทัยเสียหลักล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น เจ็บจนน้ำตาเล็ด

    “ทะนุถนอมเป็นไหม ฉันเป็นผู้หญิงนะ อ่อนแอบอบบาง”

    “อย่าพูดมาก”

    “ทำไม พูดมากแล้วจะทำไม”

    “เออดี วันนี้ไม่ต้องกินข้าว”

    อรุโณทัยเบิกตาโตนึกไม่ถึงว่าเขาจะพูดมันออกมา พริบตาเดียวเท่านั้นใบหน้างามก็เชิดขึ้นอย่างถือดี เรื่องอะไรเธอจะต้องอ้อนวอนเขาด้วย ฝ่ายต้นตระกูลนั้นกำหมัดแน่น การที่เธอต่อต้านเขาเช่นนี้เท่ากับเป็นการเติมเชื้อไฟ ชายหนุ่มหันไปหาชายชุดดำด้านหลัง

    “เฝ้าผู้หญิงคนนี้เอาไว้ให้ดี ไม่ต้องให้ข้าวให้น้ำจนกว่าฉันจะสั่ง”

    “ครับนาย”

    เจ้านายอารมณ์ร้ายหุนหันออกไปทิ้งให้ลูกน้องหน้าโหดยืนจังก้าเฝ้าอรุโณทัยอยู่หน้าประตู หญิงสาวแอบหวั่นไม่น้อยแต่ที่ยังทำเชิดอยู่ก็เพราะศักดิ์ศรี เธอคืออรุโณทัย เธอเป็นลูกคุณหลวง เธอเป็นคุณหนูที่มีแต่คนคอยเอาอกเอาใจ เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ยอมก้มหัวให้ใครเด็ดขาด

    “มองอะไร ไปไหนก็ไปซิ”

    “เจ้านายสั่งให้ผมเฝ้าคุณไว้ครับ” แม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่กลับแฝงไปด้วยความข่มขู่

    ลืมไปว่าตอนนี้ตนเองเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่อาศัยบ้านคนอื่นอยู่ โชคชะตาช่างเล่นตลกกับชีวิตคนเสียจริง

    เมื่ออะไรล้วนไม่ได้ดั่งใจอรุโณทัยจึงทำได้เพียงนั่งฮึดฮัดอยู่กับพื้น ใบหน้าขาวผ่องนั้นหงิกงอได้อย่างน่ารักทำคนเฝ้าตาลอยอยู่บ่อยๆ เธอเหมือนเด็กมัธยมปลายที่โดนขัดใจเมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ สิ่งไหนนะที่เธอต้องการ.. จู่ๆ ใบหน้าบึ้งตึงของเจ้านายก็ผุดขึ้นในความคิด คนเป็นลูกน้องสะดุ้งตื่นจากฝันกลางวันแล้วรีบสลัดมันออกไปจากสมองให้เร็วที่สุด เธอเป็นของเจ้านาย ใครๆ ก็รู้ว่าเธอเป็นของเจ้านาย

    “งามหน้าจริงๆ ไม่ทันไรก็มีเรื่องทุจริต” นายหญิงแห่งอัศวเมฆินทร์ตบหัวโต๊ะดังปัง คณะกรรมการบริหารกว่ายี่สิบชีวิตเอนกายออกห่าง สีหน้าแต่ละคนเหยเกร้องซี๊ดๆ อูยอยู่ในใจ

    โต๊ะแข็งขนาดนี้ ช่างทุบลงไปได้ไม่สงสารมือบ้างเลย

    กรองแก้วในยามนี้คือสตรีหมายเลขหนึ่งที่ทุกคนต่างให้ความยำเกรง ไม่ใช่เพียงเพราะตำแหน่งภริยาท่านประธานบริษัทแต่เธอยังเป็นถึงอดีตเลขามือดีของท่านประธานเดชาอีกด้วย คนเก่าแก่ต่างรู้ซึ้งถึงฝีมือการทำงานอันเยี่ยมยอดของเธอดี พวกเขาต่างเสียดายยอดเลขาคนนี้นักเมื่อเธอแต่งงานและวางมือไปเมื่ออุ้มท้องต้นตระกูล แต่ยังนับว่าคุ้มค่าไม่น้อยที่ผลผลิตในครั้งนั้นสามารถผลักดันบริษัทจนถึงขีดสุด ทุกคนมองไปยังต้นตระกูลที่ยังคงนิ่งเงียบจนผิดปกติ ดวงตาสีเข้มนั้นหลุบต่ำอย่างครุ่นคิด ไม่นำพาต่อสิ่งใดรอบกาย

    ท่าทางแบบนี้เหมือนมีคลื่นใต้น้ำ น่ากลัวกว่าเดิมอีก

    ธีรกฤษลุกขึ้นรายงานความผิดปกติของการประมูลการก่อสร้าง ช่องโหว่ต่างๆ รวมทั้งความผิดพลาดด้านการดำเนินงาน มติในที่ประชุมในครั้งนั้นสรุปว่าควรมีการจัดการประมูลอีกครั้งเพื่อความโปร่งใสและรัดกุมกว่าเดิมเพื่อไม่ให้มีการเอื้อประโยชน์ส่วนตัวแก่ฝ่ายใด

    จบการประชุม คณะกรรมการทยอยกันออกจากห้อง เหลือเพียงผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวผู้นั่งอยู่หัวโต๊ะซึ่งรับหน้าที่เป็นประธานการประชุมชั่วคราวเนื่องจากผู้เป็นประธานกรรมบริหารเพิ่งเข้ามาสมทบหลังการเปิดประชุม กรองแก้วมองไปยังบุตรชายที่ไม่ยอมกล่าวอะไรเลยตลอดสองชั่วโมงอย่างเป็นห่วงแกมหนักใจ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นต้นตระกูลคงต้องทำงานหนักอีกเท่าตัวเพื่อวางแผนการบริหารงานใหม่ ถัดจากต้นตระกูลนั้นเป็นเลขาหนุ่มหน้าหยกมากไปด้วยฝีมือ เขานั่งนิ่งรอคำสั่งจากเจ้านาย

    “แม่คิดว่าไงครับ” ต้นตระกูลเงยหน้าขึ้นถามมารดา ฝ่ายนั้นยิ้มหวานคว้ากระเป๋าถือยี่ห้อดังเดินมาหาบุตรชาย ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนคนเดียวที่มีสิทธิ์ยืนค้ำหัวเขาด้วยแววตาอ่อนโยน

    “แม่เชื่อมือลูกจ๊ะ ลูกของแม่เก่งที่สุด”

    ชายหนุ่มยิ้มรับ เขาวาดวงแขนโอบกอดเอวบางของมารดาไว้แน่น นางลูบผมเขาเบาๆ อย่างรักใคร่ มีเพียงนางคนเดียวที่รู้ว่าแท้จริงแล้วต้นตระกูลขี้อ้อนเพียงใด เขาเป็นเด็กชายที่น่ารักเสมอยามอยู่กับแม่สองต่อสอง แต่คราวนี้เห็นทีจะผิดแปลกไปเพราะมีเลขาคู่ใจนั่งขนาบอยู่ข้างๆ ธีรกฤษคนนี้คงเป็นยิ่งกว่าเลขาธรรมดาๆ นี่ถ้าต้นตระกูลไม่มีข่าวคาวเรื่องผู้หญิงมาให้เข้าหูนางคงจะกันสองคนนี้ให้ห่างกันมากที่สุด

    กลัวลูกจะเป็นยอดชาย!!

    “ทำไมไม่พาแฟนมาไหว้แม่บ้างละจ๊ะ”

    “แฟนที่ไหนครับไม่มี” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น เห็นมารดาโปรยรอยยิ้มหวานแล้วคันยุบยิบในหัวใจ แม่พูดแบบนี้มันชักจะแปลกๆ แล้วสิ หรือว่า...

    ดวงตาคมตวัดมองเลขาคู่ใจ ดูก็รู้ว่ามันแสร้งเครียดกับเอกสารตรงหน้า ธีรกฤษคือคนที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุด ธีรกฤษคือคนที่มารดาวางใจให้อยู่กับเขามากที่สุด แล้วจะเป็นอีกถ้าไม่ใช่มันที่รายงานนอกเรื่องให้แม่เขาฟัง

    เดี๋ยวก็รู้.. เจ้านายตัวร้ายแอบแสยะยิ้ม ลูกน้องผู้บังเอิญเห็นเริ่มรู้สึกว่าอากาศในห้องนี้มันร้อนขึ้นทุกที ธีรกฤษหันมายิ้มแห้งๆ ให้เจ้านายทั้งสองก่อนจะรีบขอตัวออกไปโดยเร็ว

    “ปกติลูกไม่ได้คบใครนานแบบนี้นี่คะ หรือว่าคนนี้เป็นคนพิเศษ”

    “...”

    ต้นตระกูลไม่ตอบ ชั่วขณะหนึ่งที่นางเห็นแววกร้าวในดวงตาของบุตรชาย กรองแก้วครางลึกในอกอย่างปวดร้าว นางไม่สบายใจเลยที่ต้นตระกูลเห็นผู้หญิงเป็นเพียงของเล่นแบบนี้ มือบางลูบผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มที่ซุกอยู่กับหน้าท้องแบนราบอย่างอ่อนโยน “ว่ายังไงคะ ทำไมไม่ตอบแม่”

    “ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ” ศีรษะได้รูปผละห่างจากมารดา “ผมต้องรีบไปทำงานต่อแล้วครับ” ร่างสูงลุกขึ้นยืนยิ้มกว้างให้มารดาและเดินออกจากห้องไป

    จะตอบว่าผู้หญิงคนนั้นคือคนสารเลวที่เป็นเมียน้อยของเดชาก็เกรงมารดาจะไม่เชื่อ แม้ว่าเดชาจะเคยทำตัวเจ้าชู้แต่ตลอดหลายปีมานี้คนคนนั้นก็ประพฤติตัวเป็นสามีที่ดีกลายเป็นเสือถอดเขี้ยวถอดเล็บจนมารดาของเขาตายใจ แต่ถ้าคิดจะกำจัดสองคนให้พ้นทางคงมีแค่วิธีเดียวเท่านั้นคือสร้างสถานการณ์ให้พวกเขาเป็นชู้กันให้กรองแก้วเลิกรักเดชาเสียที ของแบบนี้ต้องให้เห็นกับตา ต้นตระกูลหัวเราะในลำคอ คิดจะตีงูก็ต้องตีให้หลังหัก ไม่ใช่กลัวมันมาแว้งกัดอีก แต่กลัวมันจะไม่ตายต่างหาก! สำหรับเดชานั้นเขาหวังแค่ให้หลุดออกจากวงโคจรชีวิต แต่สำหรับอรุโณทัย... หล่อนต้องชดใช้ให้สาสม

     

    ติ้ง!

    สมาร์ตโฟนสีดำยี่ห้อดังขนาด 5.5 นิ้ว ส่งเสียงร้องเตือนหนึ่งครั้ง แสงไฟหน้าจอสว่างวาบเหมือนจะเรียกร้องความสนใจจนผู้เป็นเจ้าของอดเหลือบมองไม่ได้ ด้วยความสงสัยว่าอาจมีข้อความด่วนจากคู่ค้าคนสำคัญเขาจึงหยิบขึ้นมาดู เมื่อพบว่าข้อความที่ส่งมาผ่านแอปพลิเคชันไลน์เป็นของ ‘น้ำหนาว’ หญิงสาวที่เขากำลังคุยๆ อยู่จึงวางลงอีกครั้งอย่างไม่คิดใส่ใจมันอีก หากคุยกับเธองานเขาก็คงไม่เสร็จตามเป้าที่วางไว้แน่

    ติ้ง! ติ้ง!

    เสียงร้องดังติดๆ กันสองครั้งทั้งที่ไฟหน้าจอครั้งแรกยังไม่ทันดับสร้างความหงุดหงิดใจให้ธีรกฤษนัก ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเริ่มรู้สึกว่าเธอคนนี้เริ่มจะสร้างความรำคาญให้เขาไม่ต่างจากแฟนคนก่อนๆ

    ไม่ทันตกลงเป็นแฟนยังตามจิกขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดว่าหากตกลงเป็นแฟนกันแล้วจะขนาดไหน

    มือหนาหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเปิดอ่าน พบเพียงข้อความไร้สาระที่เธอเพียรส่งมาทักทายเขาทุกวันอย่าง ‘ทำอะไรอยู่คะ’ ตามด้วยสติ๊กเกอร์จระเข้สีน้ำเงินยื่นหน้ากวนๆ ออกมาจากกรอบประตู มันส่งเสียงว่า ‘เรื่องเผือกขอให้บอก’

    อยากกระโดดถีบหน้าจระเข้ตัวนี้ฉิบหาย

    ชายหนุ่มเลือกโหมดปิดเสียงแล้ววางเครื่องมือสื่อสารเจ้ากรรมลงอีกครั้ง กำลังจะพิมพ์งานต่อแสงบนจอก็วาบขึ้นมาอีกครั้ง ตามด้วยข้อความและสติ๊กเกอร์ที่ส่งติดๆ กันมาอีกห้าตัว ธีรกฤษกลอกตาสีหน้าเบื่อหน่าย ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาอีกครั้ง

    -อ่านแล้วทำไมไม่ตอบ-

    -งานยุ่ง-

    เขาพิมพ์ตอบกลับและวางสมาร์ตโฟนสุดหรูบนโต๊ะทำงานตัวเก่งและไม่คิดจะใส่ใจอีกไม่ว่ามันจะสว่างขึ้นมาอีกกี่ครั้ง ธีรกฤษเดาได้โดยไม่ต้องเปิดอ่านว่าเธอส่งอะไรมา

    -เหนื่อยไหม เป็นกำลังใจให้นะ- จึงค้างเติ่งบนหน้าจออยู่แบบนั้นจนแสงสว่างดับวูบไป

    คนกดส่งแอบปาดน้ำตา ใบหน้าหวานซึ้งจ้องมองโทรศัพท์ราคาถูกของตนเพื่อรอดูว่าเขาจะส่งอะไรกลับมา รอแล้วรอเล่าเขาก็ไม่ส่ง ไม่แม้แต่จะกดอ่านด้วยซ้ำ

    เธอคงไม่สำคัญมากพอ

     

    ร่างสูงของต้นตระกูลเดินมายังที่จองจำนักโทษคนงาม ริมฝีปากหนายกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ทันทีที่เขาเดินเข้าไปอรุโณทัยก็เชิดหน้าขึ้นสู้ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังซึมๆ

    “หิวไหม” คำทักทายนั้นดูก็รู้ว่าแสร้งถามเสียมากกว่าเพราะใบหน้าของเขาช่างเย้ยหยันเธอเหลือเกิน อรุโณทัยเม้มปาก ยังคงนั่งเงียบทำหูทวนลม

    “ที่ฉันพูดไม่ได้ยินเหรอ” เมื่อร่างเล็กยังคงนั่งนิ่งเขาจึงเริ่มทนไม่ไหวทั้งที่คอยพร่ำบอกตัวเองว่าให้ใจเย็นๆ มาตลอด “เออ!!! ไม่มีปากใช่ไหม งั้นก็ไม่ต้องกิน” อีกใจก็แสนห่วงคนตัวเล็กกลัวว่าเธอจะเจ็บจะไข้ แต่อีกใจกลับชังความอวดดีของเธอเหลือเกิน ความอคติที่มีต่อเธอมันรุนแรงจนเขาแทบทนไม่ไหว แค่เห็นหน้าหรือว่าได้ยินเสียงก็ทำเขาอารมณ์ไม่ดีเสียแล้ว ยิ่งเธอขัดใจแบบนี้อารมณ์ที่มีจึงเกินจะควบคุม

    “เอาเข้ามา”

    สิ้นคำ ชามอาหารต่างๆ ก็ถูกลำเลียงเข้ามาจัดวางในห้องอย่างสวยงาม กลิ่นหอมชวนน้ำลายหกกระตุ้นความอยากของอรุโณทัยได้เป็นอย่างดี เธอไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้ว หิวจนตาลายเห็นอะไรก็อยากกินไปหมด

    ต้นตระกูลถอดรองเท้านั่งขัดสมาธิเพื่อจัดการกับอาหารตรงหน้า ชายหนุ่มแค่นยิ้มเมื่อเห็นอรุโณทัยขยับเข้ามาใกล้ๆ ชามน่องไก่ทอด เธอกำลังจะหยิบกินเขาก็พูดขัดขึ้นก่อน “ใครอนุญาตให้กิน”

    มือเล็กค้างไว้กลางอากาศอยู่แบบนั้น อรุโณทัยหน้าง้ำเก็บมือไว้ข้างลำตัวอย่างเดิม “ก็คนมันหิวนี่”

    “เพิ่งจะเอาปากมาเหรอ”

    หญิงสาวสบถด่าเขาในใจ คนอะไรใจจืดใจดำยิ่งกว่าตอตะโก

    “เธอได้กินแน่ แต่ต้องหลังจากที่ฉันกินเสร็จก่อน ของเหลือเดนน่ะรู้จักไหม”

    อรุโณทัยนั่งกำมือระงับโทสะเมื่อเห็นของเหลือเดนที่วางอยู่ด้านหน้า ไก่ทอดทุกชิ้นเต็มไปด้วยรอยกัดอย่างละนิดละหน่อย ข้าวเต็มไปด้วยน้ำแกง อาหารที่เหลือล้วนถูกผสมคลุกเคล้ากันจนเละ เธอไม่ใช่สุนัขถึงจะกินอะไรแบบนี้ อีกอย่างสุนัขสมัยนี้มีอาหารกินดีกว่านี้อีกกระมัง

    “ฉันไม่กิน”

    “ก็แล้วแต่” ร่างสูงเดินออกไปจากห้องโดยไม่ลืมสั่งความคนสนิทให้นำอาหารทั้งหมดไปเททิ้ง เขาไม่มีความจำเป็นต้องเอาใจใส่ ไม่มีความจำเป็นต้องดูแลสารทุกข์สุกดิบหรือความหิวความอยากของคนอื่นแต่อย่างใด โดยเฉพาะเมียน้อยของผู้ชายคนนั้น

    ต้นตระกูลหยุดอยู่หน้าห้อง ใบหน้าชายหนุ่มครุ่นคิดแต่สิ่งที่ทำลงไป ควรแล้วหรือกับการลงทัณฑ์ผู้หญิงคนหนึ่งเพียงเพราะเธอเป็นอีหนูของคนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อ แต่เมื่อคิดถึงสีหน้าเจ็บปวดเต็มไปด้วยน้ำตาของแม่เพราะการกระทำต่ำช้าของเดชาทำให้เขาทอดทิ้งความเห็นใจ เขากำหมัดแน่นเพื่อระงับแรงอารมณ์ หล่อนควรได้รับบทเรียนที่สาสมกับการกระทำอันหยาบช้า ใบหน้าคมหันกลับมาอีกครั้งด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป ดวงตาเข้มข้นไปด้วยแรงพยาบาทจนน่ากลัว ร่างสูงก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองคนที่นั่งน้ำตาไหลเงียบๆ อยู่ด้านหลังอีกเลย

    พระจันทร์ดวงโตลอยเด่นอยู่เหนือฟากฟ้าทอแสงนวลลออตาสีเหลืองทองสุกปลั่ง ความสว่างเพียงน้อยนิดเพียงพอให้เห็นเงาร่างหลายเงากำลังขะมักเขม้นทำงานในส่วนของตน ชายหญิงสองคนกำลังซ้อมบทที่เพิ่งอ่านไป เบื้องหลังนั้นเป็นความวุ่นวายของการเตรียมฉากการแสดง

    “สิงหา มานี่สิ” หญิงสาวร่างเล็กเอ่ยเสียงแข็งขัดกับบุคลิกภายนอก สิงหาผู้ถูกเรียกรีบเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็วเพื่อรอรับคำสั่งจากเจ้านาย

    “เป็นยังไงบ้าง”

    “เรียบร้อยแล้วครับ”

    “ดี คืนนี้ลงมือได้”

    “ครับ” สิงหาค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนเดินจากไป

    ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังการจัดฉากการแสดงคือการเตรียมการเพื่อยึดครองบ้านหลังนี้ เพียงตะวันแสยะยิ้ม ที่นี่คือที่ที่เธอต้องการเพื่อเสริมอำนาจ พระจันทร์เต็มดวงวันนี้สุกสว่างกว่าทุกวัน พวกเขาจึงรับรู้ถึงพลังแห่งชีวิตที่ไหลเวียนอย่างแข็งแกร่ง ไม่เสียแรงเลยที่ดั้นด้นทำทุกอย่างเพื่อจะมีวันนี้

    ห้องนอนในยามนี้มีสองหญิงชายนั่งอยู่คนละมุม ต่างคนต่างมีสีหน้าครุ่นคิด ต้นตระกูลนั้นนั่งหย่อนขาบนเตียงส่วนอรุโณทัยนั่งกอดเข่าพิงฝาอยู่ข้างประตู ข้างกายนั้นมีหมอนกับผ้าห่มผืนบางวางอยู่ ที่ตรงนั้นกลายเป็นที่ประจำของเธอเสียแล้วเพราะเตียงที่เคยนอนมีคนเผด็จการมายึดครองเกือบทุกคืน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเพดานก่อนจะหันไปมองเงาตะคุ่มบนเตียง ดูเหมือนเขากำลังมองเธออยู่ พอเธอหันไปเขาก็หลบหน้าและล้มตัวลงนอน อรุโณทัยถอนหายใจเล็กน้อย เริ่มจะชินกับสภาพอารมณ์อันแปรปรวนของเขา บางคราวเธอก็แอบเห็นเขาทอดสายตาอ่อนหวานมาให้ แต่บางครั้งกลับทำราวกับโกรธเกลียดเธอมาแต่หนหลัง

    อารมณ์แปรปรวนจนยากตามทัน

    เฮ้อ.. มันยากแค่ไหนที่เธอต้องบอกใจตัวเองซ้ำๆ ว่าต้นตระกูลไม่ใช่ไผ่ของเธออีกต่อไปแล้ว

    “เฮ๊ย ไอ้อ๊อด มึงจะเสียงดังทำห่าอะไร”

    เสียงโหวกเหวกของผู้กำกับดังก้องในความเงียบสงัด พร้อมกันนั้นก็มีเสียงโอดครวญอีกเสียงตามมา อรุโณทัยเกร็งตัวโดยอัตโนมัติ เธอค่อยๆ เคลื่อนกายไปยังหน้าต่าง จากระยะที่มองเห็นนั้น กองถ่ายยังคงเร่งการถ่ายทำตามปกติ พวกเขาทำงานกันตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดินยันเช้าเหมือนเคย แต่วันนี้หญิงสาวกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ กลิ่นสะอิดสะเอียนนั้นเข้มข้นและรุนแรงกว่าทุกวันจนเผลอปิดจมูก ดวงตากลมโตเหลือบมองดวงจันทร์ ในความรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปคืนลอยกระทงวันนั้นไม่มีผิด

    อรุโณทัยเลื่อนมือมาคลำสร้อยลูกประคำที่ห้อยคออยู่เพื่อความอุ่นใจ ได้แต่หวังว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น อรุโณทัยถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม

    ผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ เสียงกุกๆ กักๆ ดังขึ้นอีกครั้ง อรุโณทัยนั่งเกร็ง กำมือแน่น คนบนเตียงยังคงหลับสนิทไม่ได้พลิกตัวพอให้เกิดเสียงแต่อย่างใด เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มันมาพร้อมกับกลิ่นสาบเน่าๆ ไม่นานเสียงนั้นก็หยุดลงอยู่หน้าประตู อรุโณทัยหันมองคนบนเตียงด้วยความตระหนก ถ้าหากว่าคนพวกนี้ต้องการบ้านแสดงว่ามันต้องกำจัดเจ้าของบ้านคนเก่าเสียก่อน ต้นตระกูลคือเป้าหมายของมัน!!

    ผ่าง!!

    ประตูถูกเปิดออกอย่างง่ายดายทั้งที่อรุโณทัยแน่ใจว่าได้ล็อกมันไว้อย่างแน่นหนา หญิงสาวนั่งตัวเกร็งอยู่หลังประตู ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอกลั้นหายใจไปตั้งแต่เมื่อไร กลุ่มเงาหลายเงาสะท้อนผ่านบานประตูเข้ามา ไม่กี่อึดใจใครคนหนึ่งก็ก้าวนำเข้ามาและตามด้วยใครอีกหลายคน นับดูแล้ว พวกมันมากันครบเลยทีเดียว

    ร่างเล็กได้รูปเดินนำไปยังเตียงที่เจ้าของบ้านคนปัจจุบันนอนอยู่ ไม่นานต้นตระกูลผู้หลับใหลก็ถูกรุมล้อมด้วยอมนุษย์เกือบสิบร่าง

    คนแอบอยู่หลังประตูนึกค้อนในใจ วันก่อนเธอเผลอไอเบาๆ เขายังตื่นขึ้นมาโวยวายกลางดึก แต่นี่พวกมันเข้ามาเป็นสิบเขากลับไม่รู้สึกอะไร คนบ้าเอ๊ย.. โดนทำของใส่รึเปล่าล่ะนั่น

    “เจ้านาย ฆ่าเขาเลยดีไหมครับ” เสียงอ๊อดดังขึ้นมาในความเงียบ

    “อืม” เพียงตะวันครางรับ เธอยืนนิ่งรอดูลูกน้อง อ๊อดหยิบหมอนขึ้นและวางบนหน้าต้นตระกูล เธอกัดริมฝีปากตัวเอง ในใจอดเสียดายลึกๆ ไม่ได้ แต่ในเมื่อมันไม่มีทางเลือกเธอจึงต้องทำ

    ร่างหนาเริ่มกระสับกระส่ายเพราะขาดอากาศหายใจ อรุโณทัยเริ่มนั่งไม่ติดที่ เธอเป็นห่วงเขาและกลัวเขาตายจากไป หญิงสาวลุกขึ้นพรวด “หยุดเดี๋ยวนี้นะ”

    พรึบ!! ทุกสายตาพุ่งตรงมายังอรุโณทัย โดยที่ไม่ทันตั้งตัว หนึ่งในนั้นก็โผล่มายืนด้านหลังและจับตัวเธอไว้

    อ๊ากกกกกกก...

    พริบตาเดียวมันก็สลายกลายเป็นฝุ่นสีดำ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นเหม็นสาบลอยคลุ้ง อรุโณทัยไอโขลกๆ ไม่ทันสังเกตว่าพวกมันที่เหลือต่างมีสีหน้าตกตะลึงไปตามๆ กัน

    “กดแน่นๆ” เพียงตะวันสั่งอ๊อด มันลนลานมือสั่น ทั้งตื่นตกใจที่เพื่อนสูญสลาย ทั้งกลัวเจ้านายไปในคราวเดียวกัน

    “หยุดนะ” หัวใจดวงน้อยเต้นรัว ยิ่งเห็นต้นตระกูลดิ้นพล่านเธอยิ่งใจเสีย

    อย่าตายนะ อย่ามาตายต่อหน้าฉันนะ

    “จัดการยัยนั่นซะ”

    สิ้นคำสั่ง สมุนที่เหลือต่างกรูกันเข้ามาล้อมอรุโณทัย สีหน้าพวกมันดูตื่นๆ เพราะเพิ่งเห็นกับตาว่าผู้หญิงตัวเล็กคนนี้ทำเพื่อนสูญสลายไป ไม่แน่ว่าพวกมันอาจจะโชคร้ายแบบนั้น

    “ทำบ้าอะไรอยู่ รีบๆ สิ”

    เพียงตะวันตวาดเสียงแหลม ลูกน้องมองตากัน หนึ่งในนั้นยื่นขามาเตะข้อพับอรุโณทัย หญิงสาวเซถลาเพราะทรงตัวไม่อยู่ เมื่อพวกมันเห็นแล้วว่าการแตะต้องตัวเหยื่อไม่อาจนำอันตรายมาให้จึงพร้อมใจกันพุ่งเข้าใส่เพื่อหวังจัดการตัวปัญหาให้หมดไป

    อรุโณทัยหน้าซีดนึกไปถึงตอนที่อมนุษย์ตัวแรกสูญสลาย อา.. ใช่แล้ว เธอมองด้ายสีขาวบนข้อมือของตน บางทีเพราะสิ่งนี้แหละ ชั่วพริบตาที่พวกมันทั้งหมดพุ่งเข้ามา อรุโณทัยยื่นข้อมือที่มีสายสิญจน์สีขาวผูกอยู่ปัดใส่พวกมันวูบเดียว สีหน้าแต่ละตนซีดเผือด ตาเบิกค้าง ยังไม่ทันจะร้องครวญก็สูญสลายไป

    เพียงตะวันกำมือแน่น เธอวิ่งเข้าไปแย่งหมอนจากอ๊อดแล้วกดหน้าต้นตระกูลอีกที ชายหนุ่มที่เหมือนจะได้สติพยายามดึงหมอนออกแต่ก็ไม่สำเร็จ อรุโณทัยรีบวิ่งเข้ามา ลูกสมุนที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวในนั้นรีบลงมาเผชิญหน้า

    “ถอยออกไปถ้าไม่อยากตาย”

    “ไม่” อ๊อดในยามนี้ไม่ได้อ่อนแออย่างที่แสดงอีกต่อไป มันปราดเข้ามาหมายจบชีวิตอรุโณทัย แต่เนื่องจากร่างกายที่สูงใหญ่จึงได้เปรียบกว่ามาก สุดท้ายมันก็ตบหญิงสาวจนทรุดลงไปกับพื้น

    “ย้ากกกกกก...”

    แต่ก็พลาดท่าเมื่อไม่รู้ว่าอรุโณทัยมีของดีอยู่กับตัว เพียงตะวันกรีดร้องด้วยความโกรธเกรี้ยว ลูกน้องของเธอสลายไปหมดแล้ว พลันนั้นเธอก็เหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ บางที.. พลังนั้นอาจอยู่ในตัวอรุโณทัย

    “อั๊ก!!” พริบตาเดียวหล่อนก็ถูกจับทุ่มลงกับเตียง ต้นตระกูลที่แสร้งหมดแรงรอจังหวะอยู่นั้นอาศัยทีเผลอเล่นงานเธอจนได้

    “คิดเหรอว่ามนุษย์โง่ๆ อย่างพวกแกจะสู้ข้าได้”

    “ก็ลองดู” อรุโณทัยวิ่งมายังเตียง เธอยื่นข้อมือโดยพยายามให้สายสิญจน์ถูกตัวของเพียงตะวัน เจ้าหล่อนกรีดร้องเสียงแหลม พลันนั้นร่างอ้อนแอ้นก็เปลี่ยนเป็นยายเฒ่าอัปลักษณ์

    “เรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย” ต้นตระกูลสบถเมื่อรู้แล้วว่าตนเจอเรื่องลี้ลับเข้าแล้ว

    “แค่ด้ายเส้นเดียวหรือ ทำอะไรข้าได้ไม่ได้หรอก ฮ่าๆ”

    “แล้วถ้าเป็นนี่ล่ะ” สร้อยลูกประคำถูกถอดออกมาสวมคอผู้เฒ่าอย่างรวดเร็ว เพียงตะวันกรีดร้องโหยหวนก่อนจะสูญสลายไป ทิ้งไว้เพียงสร้อยเก่าแก่วางอยู่บนเตียง

    สองหนุ่มสาวผู้รอดชีวิตมองสบตากัน ต้นตระกูลหายใจหอบ เขาพยายามสูดอากาศเข้าปอดให้มากที่สุดแม้ว่ามันจะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ก็ตาม แววตาห่วงใยที่ส่งมานั้นทำอรุโณทัยน้ำตาไหล เธอโถมตัวเข้ากอดร่างเขาแน่น ในวินาทีนี้เธอยอมรับกับตัวเองแล้วว่าเธอสูญเสียเขาไปไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าเขาจะชอบแกล้งหรือชอบทำร้ายเธอแค่ไหนก็ตาม

    ขอเวลาก่อนนะ ขอให้เธอได้มีความสุขกับไผ่คนนี้ คนที่เธอคิดและฝันไปเองเพียงฝ่ายเดียว

    “คุณปราย!!” กัลยาวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาพร้อมกับเหล่าลูกน้องของต้นตระกูล

    “นายครับ”

    “ไม่มีอะไรแล้ว ไปพักเถอะ” ต้นตระกูลออกปากไล่ เขาไม่ต้องการให้มาวุ่นวายอะไรในตอนนี้

    “แต่นายครับ” ลูกน้องยังทำท่าเป็นกังวล พวกเขาคิดว่าตนเองแอบหลับในและปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีพอ ทั้งที่ความจริงแล้วโดนอำนาจจากพวกเหนือมนุษย์ ขอนี้ต้นตระกูลพอจะเข้าใจเลยไม่ ถือสาอะไร

    “ออกไปให้หมด”

    “ค..ครับ” พวกเขารับคำ ก่อนจะพากันล่าถอยออกไปโดยไม่ลืมลากร่างหญิงชราออกไปด้วย

    “คุณปราย” เสียงกัลยาดังขรมตลอดทาง แต่ทว่ามันไม่สามารถทะลุเข้าไปในโสตประสาทของอรุโณทัยได้เลย ในเวลานี้มีเพียงอ้อมกอดแสนอุ่นนี้เท่านั้นเป็นที่พึ่งพิง

    “ไม่มีอะไรแล้ว จะร้องทำไมอีก”

    “ก็มันกลัวนี่นา ว่าแต่เจ็บตรงไหนไหมคะ” อรุโณทัยเงยหน้าเปื้อนน้ำตาขึ้นถามเขา

    “ห่วงตัวเองก่อนเถอะ”

    น้ำเสียงกระด้างของเขาทำน้ำตาเธอร่วงพรูอีกครั้ง หญิงสาวถอนตัวออกจากอ้อมกอดอย่างแสนเสียดาย

    “เธอจะนอนเลยไหม” ถามทั้งที่รู้ดีว่าคงไม่มีใครหลับได้ลง แต่ผิดคาด อรุโณทัยพยักหน้าเบาๆ และเดินกอดตัวเองไปยังมุมของเธอ นั่นทำให้ต้นตระกูลหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่รีบตามไปฉุดแขนคนตัวเล็กให้มานอนบนเตียงด้วยกันอย่างเอาแต่ใจ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×