ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์พยาบาท

    ลำดับตอนที่ #8 : 8 ไม่น่าไว้ใจ

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ค. 64


    8

    “ต้นตระกูลคิดจะรังควานฉันไปถึงไหน”

    อรุโณทัยบ่นอุบเมื่อรู้ว่าเช้าวันนี้จะมีคณะถ่ายหนังเข้ามาทำการถ่ายทำการแสดงในเรือนของเธอ เดิมทีนั้นเธอไม่ยินยอมหรอก แต่เมื่อต้นตระกูลทราบเรื่องเขากลับยินดีและอนุญาตให้คนพวกนั้นเข้ามาถ่ายทำได้ตามสบาย แน่ละ.. สิ่งไหนที่เธอไม่ชอบ เขามักจะทำเสมอ

    คงอยากให้เธอระเห็จออกจากเรือนหลังนี้จนใจจะขาด ข้อนี้เธอก็ไม่ยอมเหมือนกัน

    “อดทนไว้ค่ะคุณปราย อีกวันสองวันคุณท่านก็จะกลับมาแล้ว” มีเพียงกัลยาคนเดียวที่คอยปลอบคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แม้จะทำอะไรไม่ได้มากก็เถอะ เสียงโหวกเหวกดังลอยมาแต่ไกลทำให้รู้ว่าคณะถ่ายทำคงเดินทางมาถึงแล้ว กัลยาขออนุญาตนายสาวออกไปต้อนรับพวกเขาอยู่หน้าเรือน

    คนแรกที่เดินนำขบวนเข้ามานั้นเป็นชายวัยประมาณสี่สิบปี ใบหน้าขาวซีดขอบตาดำคล้ำเหมือนคนอดหลับอดนอนของเขาทำให้อรุโณทัยเห็นใจอยู่ไม่น้อย หญิงสาวรับไหว้จากพวกเขาก่อนจะเชื้อเชิญให้พวกเขานั่งลง กัลยานั้นเดินเข้าครัวเพื่อนำน้ำมาต้อนรับแขกตามประสาเจ้าบ้านที่ดีอย่างเคย

    ก่อนหน้านี้เธอมัวแต่สังเกตผู้นำคณะซึ่งเขาแนะนำตัวเองว่าเป็นผู้กำกับ มาบัดนี้เธอจึงมีโอกาสได้พินิจดูคนอื่นๆ กันบ้างในขณะที่พวกเขาแนะนำตัวให้เจ้าบ้านอย่างเธอรู้จัก อรุโณทัยผงะไปครู่หนึ่ง และรีบปกปิดใบหน้าสงสัยไว้ในใจ เหตุใดพวกเขาจึงดูโทรมแบบนี้ อาจเป็นเพราะหักโหมถ่ายละครมากเกินไปกระมัง

    “ผมชื่ออ๊อดครับ เป็นผู้ช่วยตากล้อง” ชายร่างเล็กผอมเกร็งแนะนำตัวเป็นคนสุดท้ายในจำนวนสิบชีวิต

    มันแปลกอยู่นะ ที่หนังเรื่องหนึ่งจะใช้คนน้อยขนาดนี้ ผู้กำกับหนึ่ง ผู้ช่วยผู้กำกับพ่วงตำแหน่งช่างไฟอีกหนึ่ง ตากล้อง ผู้ช่วยตากล้อง คนรับใช้ทั่วไป พระเอก นางเอก และตัวประกอบอีกสามชีวิต

    “พวกที่เหลือจะตามมาในไม่ช้าครับ อีกอย่างพวกผมถ่ายทำหนังสั้นเลยใช้คนไม่มาก” ผู้กำกับสิงหารีบไขข้อข้องใจ เจ้าบ้านสาวพยักหน้าหงึกๆ จะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก สัญชาตญาณบอกให้เธอระวังตัว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเธอไม่ค่อยได้เจอกับคนเยอะๆ แบบนี้ อีกทั้งพวกเขายังเข้ามาเป็นแขกในบ้านอีกด้วย

    รอต้นตระกูลกลับมาก่อนเถอะ เธอจะดักตีหัวโยนลงน้ำสักที

    ไอ้บ้านี่! ทำอะไรไม่เกรงใจกันบ้างเลย

    “ฉากที่ถ่ายทำส่วนใหญ่จะเป็นช่วงกลางคืนนะครับ ส่วนนี้ผมและทีมงานต้องขอโทษหากเป็นการรบกวน”

    “ค่ะ” ไม่ว่าคนพวกนั้นจะถามหรือพูดอะไรเธอมักตอบเพียงว่าค่ะหรือไม่ค่ะเพียงแค่นั้น ผู้กำกับจึงอธิบายเพิ่มเติมอีกว่าคณะถ่ายทำคงจะอยู่ที่นี่ประมาณสามถึงสี่วันและจะพยายามเร่งถ่ายทำให้เสร็จโดยเร็วเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเจ้าของบ้านจนเกินไป

    หลังจากนั้นกัลยาจึงพาพวกเขาไปดูห้องหับและพักผ่อนเอาแรงเพื่อถ่ายทำในค่ำคืนนี้

    “อิฉันว่ามันแปลกๆ อยู่นะคะ หนังอะไรถ่ายทำแค่ตอนกลางคืน” กัลยากระซิบกระซาบกันนายสาว ตอนนี้คณะถ่ายทำพักผ่อนอยู่ในห้อง ไม่โผล่หน้าโผล่ตัวมาให้เห็นแม้แต่น้อย พวกเขาทำราวกับตัวเองเป็นค้างคาว กลางคืนทำงานส่วนกลางวันพักผ่อน

    “คอยดูไปก่อนเถอะจ้ะ” คราใดที่นายสาวพูดเพราะๆ แบบนี้ แสดงว่าต้องมีเรื่อง กัลยาขยับเข้าใกล้อรุโณทัยอีกนิด หญิงชราหันซ้ายหันขวาเพื่อสังเกตว่ามีคนอื่นอยู่หรือไม่

    “คุณปรายก็รู้สึกเหมือนกันใช่ไหม”

    อรุโณทัยวางมือจากงานถักที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันคือเสื้อ เธอจ้องตาหญิงชรานิ่ง หากจะบอกว่าเธอสงสัยอะไรเธอก็กลัวกัลยาจะกลัวไปก่อนเหตุ “ฉันแค่ไม่วางใจพวกเขา เอาเป็นว่าเธอระวังตัวเองแล้วก็คอยจับตาดูพวกเขาให้ดี”

    กลิ่นสาบสางชวนคลื่นเหียนยังคงลอยกรุ่นอยู่ในอากาศ ภายใต้ความเยือกเย็นที่แสดงออกไปนั้นอรุโณทัยซ่อนความตระหนกไว้อย่างมิดชิด กลิ่นน่าสะอิดสะเอียนนี้ชวนให้เธอนึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายเมื่อห้าสิบปีก่อน ในยุคสมัยนั้นเป็นยุคแห่งการเรืองอำนาจของมนต์ดำคุณไสยเลยก็ว่าได้ ทุกละแวกบ้านทุกท้องถิ่นล้วนมีคนพวกนี้แอบแฝงอยู่ ชาวบ้านทั่วไปเรียกคนเหล่านั้นว่า ‘คนเล่นของ’ พวกเขาแฝงอยู่ในคนทุกชนชั้น นักการเมือง นักธุรกิจ ชาวนา ชาวไร่ พ่อค้า หรือแม้กระทั่งคนขอทานยังมีวิชาลึกลับน่ากลัวแบบนี้ติดตัว บางคนบำเพ็ญตบะจนแก่กล้าจนกลายเป็นจอมขมังเวทย์ เลี้ยงภูตผีปีศาจไว้ใช้งานโดยการกรีดเลือดของผู้เลี้ยงให้พวกมันดื่มกิน หากเลี้ยงพวกมันให้พอกินพวกมันก็จะอยู่สงบๆ แต่หากอดอยากพวกมันจะออกอาละวาดสร้างความตระหนกให้ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง ดังเช่นข่าวคราวที่มักได้ยินบ่อยๆ ในสมัยนั้น เช่น เกิดการตายปริศนาขึ้นติดกันหลายศพ ทุกศพล้วนถูกกรงเล็บแหลมคมกะซวกหัวใจขาดออกไป ไม่มีการทำร้ายร่างกาย ไม่มีการข่มขืน เห็นได้ชัดว่าฆาตกรมีความเชี่ยวชาญและลงมือรวดเร็วโดยที่เหยื่อไม่มีโอกาสต่อสู้หรือไม่ทันรู้ตัว หรือมีเพียงแววตาแสดงความหวาดกลัวอย่างที่สุดเท่านั้น เธอไม่รู้ว่ากรมตำรวจสรุปคดีว่าอย่างไรเพราะตัวเธอเองก็โดนพวกนั้นเล่นงานจนเกือบเอาตัวไม่รอด

    ย้อนเหตุการณ์ไปครั้งนั้น...

    คืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง ชาวบ้านในละแวกนี้ต่างพากันไปงานลอยกระทงซึ่งจัดอยู่อีกหมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลกันนัก เพราะที่แห่งนั้นมีแม่น้ำสายใหญ่ไหลตัดผ่าน พวกเขาเรียกกันว่า แม่น้ำเจ้าพระยา

    อรุโณทัยนั่งกอดเข่านั่งมองพระจันทร์เต็มดวงอยู่บนหัวกระไดเรือน เสียงพูดคุยสรวลเสเฮฮาของผู้คนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเดินผ่านไป พวกเขากำลังไปลอยกระทงกัน คงมีเพียงสาวน้อยบ้านนี้เท่านั้นที่ไม่ได้ออกไปลอยกระทงอย่างใครๆ เธอไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรู้จัก วันๆ หลบอยู่แต่ในบ้าน ไม่ไปเสวนาคบค้ากับผู้ใด ฉะนั้นจึงไม่แปลกนักที่บางคนไม่รู้ว่าเรือนไทยหลังนี้จะมีคนอาศัยอยู่

    คนธรรมดาพวกนั้นถือกระทงใบตองอันประณีตเดินไปลอยยังแม่น้ำ ส่วนคนพิเศษอย่างอรุโณทัยทำได้เพียงลอยกระทงอันเล็กบนอ่างน้ำในบ้าน

    เธอคุ้นชินกับความเหงาเสียแล้ว...

    “ช่วยด้วย มีใครอยู่ไหม ช่วยผมด้วย” เสียงเด็กชายดังมาจากหน้าบ้าน แรกๆ นั้นอรุโณทัยไม่คิดสนใจเพราะคิดว่าตนเองหูแว่ว หากเพียงไม่นานเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีก

    “เจ็บเหลือเกิน ช่วยด้วย”

    หญิงสาวเดินฝ่าความมืดไปอย่างระมัดระวัง นอกประตูรั้วนั้นมีคนอยู่จริงๆ เสียด้วย เด็กชายร่างเล็กนอนขดตัวร้องครวญครางอย่างน่าสงสาร อรุโณทัยเหลียวซ้ายแลขวา

    น่าแปลกที่ไม่มีคนเดินผ่านไปมาเลย ทั้งที่เมื่อครู่ยังเดินกันเต็มถนนด้วยซ้ำ

    “พี่สาว ช่วยผมด้วยครับ”

    ร่างบางสะดุ้งเฮือก ตกใจที่เด็กคนนั้นพูดกับเธอ ทั้งๆ ที่เธอพยายามลงฝีเท้าให้เบาที่สุดอีกทั้งยังหลบอยู่ในเงามืดของแนวรั้ว เด็กนั่นรู้ได้อย่างไร เธอเงียบ จะว่าสงสารก็สงสารแต่ความกลัวมันมีมากกว่า

    “เป็นอะไร” ท้ายที่สุดก็อดรนทนไม่ไหว ความที่เป็นคนขี้สงสารเธอจึงเมินเฉยไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ

    “ผมโดนตะขาบกัดครับ ปวดเหลือเกิน”

    “ถ้าอย่างนั้นรออยู่ตรงนี้นะ ฉันจะไปเอายามาให้”

    “ตรงนี้มืดน่ากลัวจัง ให้ผมเข้าไปด้วยนะครับ”

    อรุโณทัยชะงัก ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอกลัวอย่างไม่รู้สาเหตุ แต่เมื่อมองสบตากับเด็กชายน่าสงสารคนนั้นเธอก็ใจอ่อน กลัวอะไรกับเด็กคนหนึ่ง

    และแล้วอรุโณทัยก็ตัดสินใจเปิดประตูออกไป เด็กคนนั้นลุกขึ้นยืน เดินกะเผลกๆ มาหยุดยืนตรงหน้าประตู ขนท้ายทอยร่างบางที่ยืนอยู่อีกฝั่งลุกชัน เธอกลืนน้ำลายลงเอือก!

    ทำไมเธอรู้สึกว่าเด็กคนนี้ตัวโตกว่าเก่า ดวงตากลมโตจ้องเด็กชายตาไม่กะพริบ เธอไม่เห็นใบหน้าเล็กๆ นั้นเพราะถูกเงาไม้บังมิด

    “ให้ผมเข้าไปนะครับ”

    “เข้ามาสิ”

    เด็กคนนั้นก้าวเข้ามา อรุโณทัยเผลอถอยหลังไปหนึ่งก้าว หญิงสาวปลอบตัวเองว่าคงไม่มีอะไร เธอคิดมากไปเอง อรุโณทัยเดินนำเด็กคนนั้นขึ้นไปบนบ้าน “เจ็บตรงไหนหรือ” เธอหันมาถามคนข้างหลัง เด็กคนนั้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตาเธอ หญิงสาวผงะถอยหลัง

    เสียงหัวเราะเสียดหูดังขึ้นจากปากเล็กนั้น มันแหบพร่าเกินกว่าจะเป็นเสียงเด็ก อีกทั้งดวงตาแดงฉานปานสีเลือดมองอย่างไรก็ไม่ใช่ดวงตาของคนแน่

    หลงกลเข้าแล้ว!!

    กายเด็กน้อยค่อยๆ ยืดขึ้น สูงขึ้น ใหญ่ขึ้น กลายเป็นรูปร่างคนสูงทะมึนหัวของมันจรดเพดานข่มร่างเล็กของอรุโณทัยให้ดูจ้อยไปถนัดตา ใบหน้าเด็กนั้นเหี่ยวย่นอย่างน่าเกลียด ร่างเทอะทะนั้นก้าวเข้ามาหาอรุโณทัยช้าๆ ทุกย่างก้าวทำพื้นเรือนลั่นเอียดอาด กลิ่นลมหายใจเน่าเหม็นคละคลุ้งจนอยากอาเจียน

    “อย่าเข้ามานะ” เสียงสั่นด้วยความกลัวตวาดออกไป เธอก้าวถอยหลังพยายามรักษาระยะห่างของปิศาจตนนั้นกับเธอให้มากที่สุด มันยังคงย่างสามขุมเข้ามาเรื่อยๆ

    “พลังชีวิตเยอะนะหนู” น้ำเสียงของมันฟังดูละโมบอย่างปิดไม่มิด มันกำลังอยากเอาชีวิตเธอเพื่อเสริมพลังของมัน อรุโณทัยพยายามครองสติให้อยู่กับตัว

    หากจะสู้กับพลังเหนือธรรมชาติเธอก็จำต้องมีของดีอยู่กับตัว

    ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่มันไม่ได้อยู่กับตัวนี่สิปัญหาของเธอ

    “แกคงไม่อยากได้แค่ชีวิตของฉันหรอกใช่ไหม”

    “ฉลาดดีนี่” ปีศาจตนนั้นเงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง กลิ่นสาบสางตลบอบอวลรอบร่าง ยิ่งสูดดมร่างกายก็เหมือนจะไร้เรี่ยวแรง “บ้านหลังนี้ ข้าต้องการบ้านหลังนี้”

    “บ้านหลังอื่นสวยๆ ก็มีทำไมไม่ไปเอา”

    “คิดจะถ่วงเวลาตายเหรอ” ฝ่ามือใหญ่โตราวฝาโอ่งสะบัดใส่เธอทีเดียว ร่างบางทรุดฮวบรู้สึกเหมือนมีเข็มนับพันทิ่มแทง

    อรุโณทัยพยายามฝืนความเจ็บนั้นหอบร่างกายชอกช้ำวิ่งไปยังห้องที่อยู่สุดทางเดิน มันเป็นห้องพระเก่าแก่ที่คุณหลวงสิงหบดีเดชาสั่งห้ามนักหนาว่าไม่ให้เข้า เพราะในห้องนั้นเป็นสถานที่เก็บรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เรือนแห่งนี้ รวมทั้งยังมีสร้อยลูกประคำของขลังที่ช่วยปกปักรักษาเจ้าของให้พ้นภัยจากอำนาจอิทธิฤทธิ์ของภูตผีปิศาจ เธอเคยเห็นแต่ไม่เคยแตะเพราะคุณหลวงท่านเก็บรักษาไว้ดีนัก

    “มีใครอยากตายบ้างล่ะ”

    “พูดได้ดี”

    แกร๊ก!! ทันทีที่ลั่นดานประตูได้ หญิงสาวพุ่งตัวเข้าไปในห้องอย่างเร็ว นับว่ายังดีที่ร่างของปิศาจนั้นใหญ่เทอะทะเป็นปัญหาต่อการไล่จับตัวเธอ อรุโณทัยอาศัยเรือนร่างเล็กที่ได้เปรียบกว่ามากวิ่งเข้าไปในห้อง กวาดสายตาไม่นานก็เห็นสร้อยลูกประคำเส้นใหญ่ถูกวางอยู่บนหิ้งบูชาที่เต็มไปด้วยหยากไย่ แต่หิ้งนั้นอยู่สูงเกินไป ไม่ว่าเธอจะกระโดดสักกี่ครั้งก็ยังเอื้อมมือไม่ถึง จนในที่สุดปิศาจนั้นก็แทรกตัวเข้ามาในห้องจนได้ ดูเหมือนมันจะหดตัวลงเท่าคนธรรมดาแล้ว

    “จะหนีไปไหนก็หนีไม่พ้นหรอก”

    “ทำไมถึงอยากได้บ้านหลังนี้ล่ะ” หญิงสาวกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ คิดในใจว่าอย่างไรก็ต้องตายในวันนี้ ก่อนตายเธอขอรู้สาเหตุของมันก่อนจะเป็นไรไป

    “ที่นี่มีขุมพลังซ่อนอยู่ ในคืนวันเพ็ญเช่นนี้พลังยิ่งทวีคูณนัก เจ้าเป็นมนุษย์คงไม่เห็นหรอกว่าด้านนอกนั่นมีวิญญาณภูตผีมากมายล่องลอยอยู่นอกแนวรั้ว พวกมันอยากเข้ามาที่นี่ เพื่ออาบพลัง” ปิศาจตนนั้นเว้นช่วงไปสักพัก มันหันมองรอบกาย “ที่นี่ต้องมีดีอะไรสักอย่างเป็นแน่ ข้าต้องการบ้านหลังนี้เพื่อเสริมอำนาจ ต่อไปนี้ข้าจะต้องเป็นใหญ่เหนือผู้ใด ฮ่าๆๆๆ”

    อรุโณทัยสงสัย เธออยู่ที่นี่มาแสนนานเหตุใดจึงไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย

    เหลือเชื่อที่สุด

    เพล้ง!! ชามกระเบื้องเคลือบอย่างดีตกลงพื้นด้วยการชี้มือเพียงครั้งเดียวของปิศาจ บ่งบอกว่ามันไม่คิดจะยืดเยื้ออีกต่อไป ตราบใดที่เธอยังไม่ตายเธอก็ยังมีความหวัง อรุโณทัยคิดเช่นนั้น

    ร่างบางวิ่งหลบไปโต๊ะเตี้ยๆ เพื่ออาศัยให้พวกมันกำบัง แต่ไม่นานข้าวของเก่าแก่พวกนั้นก็พังเป็นผุยผงด้วยอำนาจแห้งมนต์ดำอันน่ากลัวที่เธอเพิ่งเคยประจักษ์แก่สายตาตนเอง

    อึก!! มือที่มองไม่เห็นชกเข้าที่กลางลำตัวจนอรุโณทัยทรุดตัวลงพื้นด้วยความเจ็บปวด ร่างทะมึนเดินกระแทกส้นเท้าเข้ามาใกล้ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวพังระเนระนาดเพียงเพราะมันผู้นั้นก้าวผ่าน

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใด มันมีจริงหรือไม่ ทำไมไม่ยอมปกปักรักษาเธอและเรือนหลังนี้

    เคร้ง!!

    หิ้งไม้ด้านบนทนแรงกดดันจากอสูรร้ายไม่ไหว มันพังลงมาเหมือนกันกับข้าวของอื่นๆ โชคยังดีที่หญิงสาวหลบทัน มิเช่นนั้นหัวเธอคงต้องรองรับแผ่นไม้หนาหนักจนบี้แบนคาที่ไปแล้วแน่ๆ

    ความกดดันส่งผ่านกระแสเลือด วิ่งเข้าสู่หัวใจ มันเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งเมื่อร่างปิศาจก้าวเข้ามาใกล้ มือใหญ่กุมคอเธอมิด มันเริ่มบีบรัดแน่น อรุโณทัยร้องเสียงแหบ พยายามดิ้นให้พ้นอุ้งมือมารสุดแรง เธอกำลังจะขาดอากาศหายใจ ใบหน้านั้นขาดเลือดมาหล่อเลี้ยงจนขาวซีด เธอกำลังจะตายในไม่ช้า ร่างทั้งร่างไม่สามารถขยับได้เพราะโดนมันกดทับทั้งตัว แต่แล้วมือเธอก็ปัดไปโดนอะไรสักอย่างมันเป็นลูกกลมๆ เรียงต่อกัน

    ลูกประคำ คำคำนี้ผุดขึ้นในหัว อรุโณทัยกำมันไว้แน่น ก่อนจะนำมาคล้องคอให้มันอย่างรวดเร็ว

    ได้ผล.. ปิศาจตนนั้นคลายมือออกจากลำคอของเธอ มันกรีดร้องโหยหวนดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะสลายกลายเป็นฝุ่นควันสีดำมืดลอยหายไปในอากาศ เหลือเพียงสร้อยลูกประคำศักดิ์สิทธิ์เส้นนั้นที่วางอยู่บนพื้นท่ามกลางความพินาศของทรัพย์สินเก่าแก่ภายในห้อง อรุโณทัยหอบหายใจรัวเร็ว เธอรีบคว้าสร้อยเส้นนั้นมาสวมไว้กับตัวไม่ยอมให้ห่างกายอีกเลย

    เหตุการณ์ทุกอย่างยังคงดำเนินเป็นปกติเธอจึงวางใจนำสร้อยเส้นนั้นไปขึ้นหิ้งเพื่อบูชา แต่เห็นทีคราวนี้คงต้องนำออกมาสวมติดตัวไว้เสียแล้ว

    ทุกอย่างเป็นเพราะต้นตระกูลคนเดียว อรุโณทัยกำมือแน่น เหล่าภูตผีจะเข้ามาในบ้านได้ก็ต่อเมื่อเจ้าของบ้านอนุญาต เมื่อเขาเอ่ยปากเธอหรือจะมีสิทธิ์โต้แย้ง

    หาเรื่องตายให้กันชัดๆ

    ตะวันเคลื่อนต่ำลงจนลับขอบฟ้า เรือนหลังน้อยเริ่มมีชีวิตชีวาต่างจากทุกคืน คณะถ่ายหนังเริ่มทำการขนย้ายอุปกรณ์ เซตฉากต่างๆ เสียงร้องสั่งของผู้กำกับดังโหวกเหวกกว่าใครเพื่อน

    “ไอ้อ๊อด เพิ่มไฟ”

    “ผมเตรียมกล้องอยู่ครับลูกพี่”

    “ไอ้เวร เพิ่มให้ก่อนไม่ได้หรือไงวะ”

    เสียงก่นด่ากันดังขรมแสดงถึงความวุ่นวายของกองถ่ายดังขึ้นมาถึงชั้นสองของเรือน เนื่องจากเป็นลานโล่ง คนบนนั้นจึงเห็นกิจกรรมทุกอย่าง ดูเผินๆ อาจเห็นว่าพวกเขากำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น แต่อรุโณทัยไม่อาจวางใจ พวกมันพาพวกมาเยอะขนาดนี้ต้องทำงานใหญ่ โดยเฉพาะหญิงสาวที่แสดงเป็นนางเอกของเรื่องดูจะมีอำนาจกว่าใคร ทีมงานต่างให้ความยำเกรงกับเธอคนนี้จนออกนอกหน้า อรุโณทัยคิดสะระตะขณะลอบสังเกตเพียงตะวัน หญิงสาวร่างบอบบางน่าทะนุถนอม หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักราวตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ผิวขาวปานไข่ปอกของเธอแลดูผุดผาดยิ่งนักเมื่อต้องกับแสงไฟ เพียงตะวันไม่มีกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนเหมือนคนอื่นๆ หรือหล่อนอาจจะมีแต่สามารถกลบกลิ่นได้

    อันตรายนัก.. หากเป็นเช่นนั้นจริงหล่อนคงเป็นตัวแม่เลยทีเดียว

    “ไม่รู้ว่าคุณกัลป์กับน้องปรายแอบกุ๊กกิ๊กอะไรกันหรือเปล่านะคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานน่าฟังเอ่ยกระเซ้าต้นตระกูลอย่างเป็นกันเอง ชายหนุ่มหัวเราะรีบปฏิเสธ ดูก็รู้ว่ากำลังเอาใจดาราสาว เพียงตะวันยกมือปิดปากหัวเราะอย่างมีจริตหล่อนแอบหันมาส่งสายตาเหยียดให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก กัลยาเห็นเช่นกันเลยจะเอ่ยอะไรสักอย่างโต้ตอบตามประสาคนเลือดร้อนแต่ถูกนายสาวห้ามไว้จึงทำได้เพียงนั่งข่มใจรอดูสถานการณ์

    “ไม่มีอะไรหรอกครับ พวกเขาเป็นแค่คนดูแลบ้านให้ผม”

    คนดูแลบ้าน!!? ช่างกล้าพูด

    “แหม.. บ้านกว้างขนาดนี้จ้างเด็กกับคนแก่ไว้สองคนคงจะเหนื่อยแย่ สนใจรับไว้อีกสักคนไหมเอ่ย” ดาราสาวพูดทีเล่นทีจริง ทุกครั้งที่จิกกัดอรุโณทัยได้หล่อนจะหันมาเบ้ปากเย้ยเธอนิดๆ

    ไม่รู้ว่าตอนนี้สมควรจะกลัวอะไรมากกว่ากันระหว่างอำนาจลึกลับกับความอิจฉาริษยาของสตรี ต้นตระกูลก็ช่างเนื้อหอมเกิน ตั้งแต่เข้ามาเขายังไม่ได้อยู่คนเดียวสักทีเพราะมียายนางเอกเพียงตะวันประกบติดไม่ห่าง

    “สวยๆ อย่างคุณเพียงไม่เหมาะกับงานบ้านหรอกครับ ตำแหน่งอื่นก็ยังว่าง”

    “ตำแหน่งอะไรคะ” เพียงตะวันรีบถามกลับทันที ตาลุกวาวด้วยความคาดหวัง

    ต้นตระกูลไม่ตอบอะไร เขาหัวเราะกลบเกลื่อนพาพูดออกนอกเรื่องไปเสียไกล เมื่อเรื่องไหนที่เข้าตัวเขาก็พยายามเลี่ยง เห็นได้ชัดว่าเขาลื่นยิ่งกว่าปลาไหลเสียอีก อรุโณทัยฝืนนั่งฟังคนทั้งสองจีบกันจนเริ่มง่วง เพราะตั้งใจรอให้ดาราสาวออกไปถ่ายทำส่วนตัวเองจะได้เจรจากับเขาสักที ยังไงคืนนี้เธอต้องกักต้นตระกูลไว้ที่นี่ให้ได้ อย่างน้อยถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เธอก็ยังมีเพื่อนตายอีกคน

    อ้อ! จะพูดให้ถูกคือต้นตระกูลคือต้นเหตุ เขาต้องร่วมรับผิดชอบ

    “คุณเพียงครับ พร้อมถ่ายแล้วครับ” เสียงตะโกนของผู้กำกับดังขึ้น เพียงตะวันทำหน้าขัดใจนิดๆ จากนั้นจึงหันไปยิ้มหวานกับชายหนุ่มหนึ่งเดียวในบ้าน เอ่ยล่ำลาพอเป็นพิธีก่อนจะเดินนวยนาดด้วยมาดนางพญาออกไป

    อรุโณทัยชะเง้อคอมองแม่นางเอกจนลับตาจากนั้นจึงรีบลุกเดินเร็วๆ ไปหาต้นตระกูล เขามองเธอนิ่ง เลิกคิ้วเป็นคำถามแต่ไม่พูดอะไรกับเธอสักคำ แต่เวลานี้อรุโณทัยไม่มีอารมณ์โต้เถียง หญิงสาวเขยิบเข้าไปใกล้ๆ เขา

    “อะไร” ชายหนุ่มถามเสียงห้วน ทำหน้ารังเกียจเต็มประดา

    “คืนนี้คุณค้างอยู่ที่นี่ได้ไหม” อรุโณทัยสลัดความอายออกไปจนไม่มีเหลือ น้ำเสียงและแววตาเว้าวอนนั้นเกือบทำให้ต้นตระกูลใจอ่อน แต่ก็แค่เกือบเท่านั้นล่ะ

    ชายหนุ่มเปลี่ยนท่านั่ง ในใจเริ่มสงสัยว่าอรุโณทัยจะมาไม้ไหนอีก

    “ที่นี่คนเยอะ มีแต่พวกผู้ชาย ถ้าหากว่าเขา..”

    “รับรองไม่เกิดเรื่องแบบนั้นหรอก” เขาพูดราวกับรู้ว่าเธอจะเอ่ยอะไร ดวงตาสีเข้มไล่มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะเค้นเสียงเฮอะออกมาดังๆ “รูปร่างหน้าตาแบบนี้ยังคิดกลัวอยู่อีกเหรอ”

    อ้าว.. หมายความว่าอย่างไรกัน

    “นี่จะบอกให้เอาบุญนะ อย่างเธอเนี่ยผู้ชายสติดีที่ไหนเขาจะมาคิดพิศวาสกันหา ดูรึ นมก็แฟบอย่างกับไม้กระดาน มองแทบไม่ออกว่าเป็นด้านหน้าหรือด้านหลัง จะเลี้ยงลูกโตหรือเปล่าก็ไม่รู้”

    อรุโณทัยก้มหน้าลงมองเนินอกของตนทันที กำลังจะแย้งว่าเธอก็มีพอเป็นที่เชิดหน้าชูตาอยู่นะ เขาก็สวนขึ้นด้วยวาจาเผ็ดร้อนอีกหลายระดับ

    “หุ่นก็แห้ง ขาก็เล็กอย่างกับไม้ตะเกียบ ก้นก็ไม่มีกับเขา หน้าตารึก็ใช่ว่าจะดี ไม่มีอะไรดึงดูดเพศตรงข้ามเลยสักอย่าง เฮ้อ.....” ลงท้ายด้วยการถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนจะเวทนาเหลือประมาณ

    “.........”

    หญิงสาวนิ่งอึ้ง

    “ต้องทำยังไงถึงจะสวยถูกใจนายล่ะ”

    “ไปตายแล้วเกิดใหม่เถอะ”

    ถึงจะเจ็บแสนเจ็บเธอก็อดถามอีกไม่ได้ “แล้วถ้าเกิดใหม่แล้วขี้เหร่กว่าเดิมล่ะ”

    ต้นตระกูลถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มองเธอด้วยสายตาที่แสดงความเวทนาอย่างสุดซึ้ง “ก็ตายแล้วเกิดใหม่อีกหลายๆ รอบจนกว่าจะสวย” ว่าแล้วเขาก็ลูบหัวเธอเบาๆ ก่อนเดินจากไป อรุโณทัยมองตามปริบๆ ก่อนจะหันมามองกัลยาที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ

    “ฉันมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”

    กัลยายื่นหน้าเข้ามาเมียงมองเธอใกล้ๆ ก่อนจะส่ายหัวจนผมกระจาย “ไม่เลยค่ะ คุณปรายของอิฉันสวยที่สุด สวยกว่าใครๆ อยู่แล้ว” จริงอย่างที่นางว่า อรุโณทัยเป็นสวยน่ารักฉบับไทยแท้ สวยโดยธรรมชาติไม่ผ่านมีดหมออย่างคนสมัยนี้ กัลยาแน่ใจว่าหากนายสาวของตนก้าวออกจากเขตเรือนนี้เมื่อไรคงมีหนุ่มๆ ตามจีบเพียบ

    แต่คนที่ถูกสั่นคลอนความมั่นใจไม่อาจเลิกคิดมาก เธอก็เป็นผู้หญิงอีกคนที่รักสวยรักงาม โดยผู้ชายวิจารณ์ซึ่งๆ หน้าแบบนี้จึงกังวลเป็นธรรมดา

    “เอาอย่างนี้ไหมคะ พรุ่งนี้อิฉันจะหาสมุนไพรมาให้พอกหน้าบำรุงผิว”

    “ดี” อรุโณทัยพยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยอย่างที่สุด “ถ้าอย่างนั้นฉันไปนอนก่อนนะ ฝากปิดไฟด้วย” ร่างบอบบางเดินเร็วๆ เข้าห้องนอนของตนทันที

    นอนเร็ว หน้าจะได้ไม่โทรม

    ภายในห้องนั้นมีแสงจากข้างนอกลอดมาพอสลัว ถึงจะมืดไปหน่อยแต่มันไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเจ้าของห้องเพราะเธออยู่ที่นี่จนชินทาง ข้าวของทุกอย่างล้วนจำได้ว่ามันถูกวางไว้ตรงไหน ต่อให้หลับตาเดินก็ยังไม่ชน เงาร่างเบาเคลื่อนตัวเงียบกริบไปยังเตียงหลังน้อย อรุโณทัยเลิกผ้าห่มขึ้นสูงและสอดตัวลงไปแผ่วเบา แม้กลิ่นสาบสางจะจางหายไปบ้างแต่เธอก็ยังรู้สึกถึงสภาพอากาศที่ไม่บริสุทธิ์อย่างเคย หญิงสาวพลิกตัวกลับไปกลับมา ตาไม่ยอมหลับอย่างที่ต้องการ เธอมีเรื่องมากมายที่ต้องขบคิด

    เรือนหลังนี้ที่มีพลังลึกลับสามารถเสริมกำลังให้แก่ผู้อยู่อาศัย เธออยากจะเชื่อนะเพราะเธอมีอายุยืนยาวขนาดนี้แต่ทำไมคนอยู่กันเป็นร้อยเธอถึงอยู่รอดมาได้เพียงคนเดียว อรุโณทัยเชื่อว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น บางที.. เธออาจเป็นคนพิเศษ

    ส่วนคณะถ่ายหนังนั้นไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแน่เธอมั่นใจ พวกเขาตาลอยไร้แวว มีท่ามีแข็งๆ เป็นบางครั้ง ยกเว้นแต่แม่นางเอกเพียงตะวันซึ่งอาจจะเป็นตัวการสำคัญ เป้าหมายคงจะเป็นเรือนหลังนี้อีกเช่นเคย พวกมันอาจจะฆ่าเธอและกัลยาเพื่อยึดแหล่งกบดาน อรุโณทัยลุกขึ้นนั่ง ปัดผ้าห่มออกจากตัวและเดินไปส่องคณะถ่ายหนังที่กำลังถ่ายทำอยู่ด้านล่าง พวกมันอาจจะลงมือในเร็วๆ นี้ เธอจะต้องหาวิธีรับมือโดยเร็ว

    หมับ!

    อรุโณทัยสะดุ้งเฮือก อยากจะร้องก็ร้องไม่ออก เธอเลื่อนสายตาสั่นระริกลงมาที่ไหล่ มือปริศนาแตะลงมาจนไหล่บางแทบทรุด เธออยากคิดให้มันดูดีเฉยๆ อันที่จริงมันเป็นการทิ้งน้ำหนักทั้งแขนลงมาเลยแหละ ร่างทะมึนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังแผ่ความเย็นยะเยือกซึมลึกเข้าแก่นกระดูก หญิงสาวหอบหายใจรัว เธอสงสัยตลอดมาว่าการเผชิญหน้ากับความตายมันจะเป็นอย่างไร พอเอาเข้าจริงเธอกลับขลาดเกินกว่าจะเผชิญกับมัน เธอยังมีสิ่งที่ต้องทำ ยังไม่ได้ล่ำลาเจ้าคุณพ่อ ยังไม่ได้ฝากฝังอะไรกับกัลยา

    หมับ!!!

    ไหล่อีกข้างถูกมันจับกระชับ หญิงสาวยืนตัวแข็ง ดวงตาทั้งคู่ปิดลงรอรับความตายที่มันกำลังจะหยิบยื่นให้ ขอเพียงมันไม่เจ็บ..ก็น่าจะดี

    “ทำไมไม่นอน”

    ดวงตาที่ปิดอยู่ลืมขึ้นพรึบ! เธอจำได้ดีเสียงนี้เป็นของใคร

    “เฮ่ๆ ช็อกตายหรือยังเธอ”

    ชัดแล้ว ปากสุนัขแบบนี้ไม่มีทางเป็นใครอื่น อรุโณทัยเปิดรอยยิ้มดีใจที่เขาไม่มีทางได้เห็น เธอหันกลับมาเผชิญหน้ากับร่างสูง ทั้งโล่งใจและอุ่นใจในคราวเดียวกัน

    “อะไร”

    “ฉันแค่กำลังมองให้ชัดๆ ว่าเป็นคุณจริงหรือเปล่า”

    “ไม่สวยแล้วหูตายังฟ่าฟางอีก” ลงท้ายด้วยเสียงถอนหายใจตามเคย “ไปนอนได้แล้ว” ต้นตระกูลจับแขนเธอเดินมายังเตียง

    “ฉันนึกว่าคุณกลับไปแล้ว”

    ต้นตระกูลชะงัก ภายใต้แสงสลัวนั้นเธอเห็นเขาทำหน้าครุ่นคิด ไม่นานเขาก็หัวเราะเจ้าเล่ห์ในลำคอ ชายหนุ่มนั่งลงบนเตียง ไม่ลืมฉุดร่างบางลงไปด้วย อรุโณทัยล้มลงบนตักเขาพอดี ใบหน้าสาวขึ้นสีระเรื่อในความมืด

    “กลับไปแล้ว กลับมาอีกไม่ได้หรือไง” เขาว่าเสียงรวนๆ “เธออย่าขยันทำฉันอารมณ์เสียได้ไหม อยู่ดีๆ ไม่เป็นหรือไง”

    นั่น... ว่าไม่ได้เลย

    “ปล่อยก่อนได้ไหมคะ”

    “เพิ่งว่าอยู่เมื่อกี้” น้ำเสียงเขาฟังดูเหมือนจะเอือมระอาเต็มแก่ ต้นตระกูลตระกองกอดร่างบางแน่นขึ้น เหมือนงูหลามรัดเหยื่อ รัดจนเจ็บร้าวไปทั้งกระดูก

    อรุโณทัยไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีก ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่าเธอไม่ควรแหย่เสือไม่ว่ากรณีใดๆ เพราะเสือร้ายตัวนี้มันพร้อมจะเอาคืนมากกว่าเดิมสิบเท่า คนรู้จักเอาตัวรอดย่อมรู้จักโอนอ่อนผ่อนตามไปก่อน จะอีกกี่สิบกี่ร้อยปีแค้นนี้ก็ยังไม่สาย

    ต้นตระกูลล้มตัวลงนอน คืนนี้เขายังคงกอดเธอและหลับไปจนถึงเช้าเหมือนคืนก่อนๆ ไม่มีการทำอะไรไปมากกว่านั้นนอกจากจะมีจูบ หอมแก้ม และจับนิดๆ หน่อยๆ

    ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากเธอน่าพิศวาสขึ้นมามันจะขนาดไหน แต่ก็ดีแล้วที่เธอไม่ต้องทำอะไรแบบนั้นอีก ริมฝีปากอิ่มเบ้น้อยๆ เมื่อคิดภาพตอนเธอทำรักด้วยปากให้เขา อี๋.. ต้นตระกูลคนหื่น

    “เงียบ”

    เสียงทุ้มดังอยู่เหนือศีรษะ หญิงสาวเงยหน้าขึ้น เห็นแต่เพียงใบหน้าเขารางๆ ในความมืด

    “เงียบทำไม”

    “อ้าว..”

    “กวนประสาทใช่ไหม”

    “เปล่านะ” บอกเธอทีว่าเขามีประเดือนหรืออย่างไร เหตุไฉนอารมณ์จึงแปรปรวนได้ขนาดนี้ อรุโณทัยนอนนิ่ง บางทีต้นตระกูลก็ปรับอารมณ์ได้เร็วจนเธอตามไม่ทัน

    “ใครจะไปรู้ เมื่อกี้เห็นเถียงอยู่ฉอดๆ” ชายหนุ่มรั้งตัวขึ้นคร่อมร่างบาง คนด้านล่างเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย มือทั้งสองถูกยกมากั้นกลางระหว่างสองร่างทันทีทันใด “เถียงได้เถียงดี เถียงคำไม่ตกฟาก”

    “ไม่ได้เถียงนะ”

    “นั่นไง นี่แหละเขาเรียกว่าเถียง”

    “เขาเรียกว่าชี้แจงต่างหาก”

    “ยัยเด็กดื้อ”

    “ไม่ได้ดื้อ แล้วก็ไม่ใช่เด็ก” เธออยู่มาสองร้อยปีกว่าแล้วนะ เขามาหาว่าเธอเป็นเด็กได้อย่างไร ถ้าจะเทียบกันเรื่องอายุเธอคงเป็นถึงทวดของทวดของทวดของเขานั่นแหละ

    ใบหน้าคมดำมืดขึ้นอีกหนึ่งระดับ เขาหายใจฟืดฟาดเหมือนวัวกระทิงขี้โมโห อรุโณทัยยิ้มแฉ่ง หวนคิดถึงค่ำคืนแสนหวานของเธอและไผ่ คืนนั้นไผ่คร่อมเธอไว้แบบนี้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจดวงน้อยพองโตอย่างประหลาด

    ‘น่าหยิกแก้มจัง’ เสียงใสเอ่ยแผ่วเบาดุจเสียงกระซิบแต่หากคนฟังกลับได้ยินชัดเจนทั้งโสตประสาท เขาเอื้อมมือมาไล้แก้มเนียนแผ่วๆ พอจั๊กจี้ เธอหัวเราะคิกคัก

    ‘หนึ่งหยิกแลกหนึ่งจูบ’ เสียงแหบพร่าเพราะแรงพิศวาสเอ่ยออกมาอย่างไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่น้อย หญิงสาวใต้ร่างยิ้มกว้างกว่าเก่า

    ‘ก็ลองดูสิ’

    และแล้ว.. ไม่ว่าเธอจับหยิกหรือจะจับแก้มเขาเฉยๆ ผลที่ได้รับคือจูบสถานเดียว!!

    อรุโณทัยยิ้มกริ่มมองร่างทะมึนที่คร่อมอยู่ด้านบน อยากลองอีกสักครั้งว่าเขาจะตอบว่าอย่างไร

    “น่าหยิกแก้มจัง” หญิงสาวยิ้มละไม ถ้าเขาตอบแบบไผ่เธอจะปฏิเสธหรือโอนอ่อนตามดีนะ

    “ลองสิ” อรุโณทัยตาวาวกำลังจะปล่อยมือที่ยันอกมาจับแก้มเขา “ติดข้างฝาแน่!!!”

    เฮือก!!! ก็เขาไม่ใช่ไผ่ อารมณ์โรแมนติกอ่อนหวานแบบนั้นจะมีได้อย่างไร

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×