ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์พยาบาท

    ลำดับตอนที่ #7 : 7 เอาแต่ใจ

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ค. 64


    7

    ตัด NC เลว

     

    อรุโณทัยฝืนความเจ็บกระชากตัวเองออกมาจากเขา วิ่งไปยังหน้าต่างขย้อนสิ่งที่เพิ่งกลืนลงไปและสิ่งที่ตกค้างในกระเพาะออกมาหมดไส้หมดพุง ต้นตระกูลเดินเข้ามาใกล้ ทำหน้าเบ้ สภาพกระเซอะกระเซิงเป็นยายเพิ่งหัวฟูของเธอก็ว่าแย่แล้ว นี่ยังมีกลิ่นอาเจียนเหม็นหึ่งนั่นอีก น่าเกลียดจริง ชายหนุ่มผู้รักสะอาดจัดชุดตัวเองให้เรียบร้อยแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งคนข้างหลังร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตา

    ศีรษะได้รูปเอนพิงฝา ดวงตาเลื่อนลอยนั้นยังเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำแห่งความชอกช้ำและเจ็บปวด ผู้มาใหม่รู้สึกสงสารและเวทนานัก กัลยารีบเดินมาหานายสาว หญิงชราย่อกายลงนั่งเคียงข้าง มือเหี่ยวย่นยื่นไปแตะแขนเรียวเบาๆ แรงแตะนั้นทำอรุโณทัยหลุดจากภวังค์ ดวงตาแดงก่ำเริ่มจะกลั่นน้ำใสๆ ออกมาอีกครั้งเมื่อมองเห็นกัลยา เพื่อนที่ดีที่สุดไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน

    “กัลยา..” หญิงสาวพูดได้แค่นั้น ก้อนสะอื้นแล่นมาจุกอยู่ที่ลำคอ “ฉันน่าจะเชื่อเธอตั้งแต่แรก.. เขาไม่ใช่ไผ่ของฉัน ไผ่ไม่มีทางทำกับฉันแบบนี้” เธออยากจะพูดอยากจะระบายอะไรหลายอย่าง แต่กลับทำไม่ได้เลย.. เสียงพูดของเธอกลายเป็นเสียงสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวด กัลยาคว้าตัวนายสาวเข้ามากอดแน่น ร่างน้อยสั่นเทาน่าสงสาร กัลยาเห็นเพียงเด็กน้อยหลงทางคนหนึ่งในร่างนี้ เด็กผู้หลงทางในความรัก

    “ใช่ค่ะ คุณไผ่ไม่มีทางทำเลวๆ แบบนี้กับคุณปราย”

    ฮือ..

    สองนายบ่าวกอดกันร่ำไห้อยู่ตรงนั้น

    ช่างน่าสมเพช..

    ต้นตระกูลก้าวอาดๆ เข้ามาในห้อง ข้างหลังเขามีลูกน้องร่างยักษ์สามนายถือถาดอาหารเข้ามาด้วย ชายหนุ่มจะขุนร่างผอมบางปลิวลมให้มีเนื้อมีหนังมากขึ้นอย่างที่ตั้งใจ

    “หยุดร้องได้แล้ว มากินข้าว” น้ำเสียงทรงอำนาจสั่งขึ้น สองร่างกอดกันแน่น ดวงตาสองคู่มองเขาด้วยความโกรธแค้น

    “ทำไมแกไม่ไปผุดไปเกิดเสียที” กัลยาตวาดลั่น สองมือกอดนายสาวไว้แน่นขึ้นอีก

    “ยังหรอก อีกนานกว่าจะไป ตอนนี้ขอชำระแค้นกับเจ้ากรรมนายเวรก่อน” ต้นตระกูลพูดไปอย่างนั้นเพื่อความสะใจไม่คิดว่ามันจะกระทบใจอีกคนอย่างจัง

    “ฉันอยากมีกรรมมีเวรกับคุณ”

    “แต่ฉันอยากมี เกิดชาติหน้าจะได้เจอกันอีก” ชายหนุ่มยิ้มหยัน “จะกินดีๆ หรือให้กรอก ยายแก่นั่นก็ด้วย จะออกห่างจากนายของแกดีๆ หรือให้ลากออกมา”

    ชายหนุ่มย่างสามขุมเข้าหา อรุโณทัยรีบกางมือออกกั้นระยะห่าง “ก็ได้ ฉันจะกิน”

    “คุณปราย.. ถ้ามันใส่ยา”

    “คิดว่าฉันจะพิศวาสอรุโณทัยนักเหรอ อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลยน่า.. แค่ครั้งเดียวก็เกินทน” สิ่งที่พูดไปไม่ใช่ความจริงสักนิด เขายังติดใจรสสวาทของเธออยู่ไม่หาย แต่จะบอกว่าชอบให้ได้ใจทำไมกัน

    “เอามา ฉันจะกิน”

    “ดี” ต้นตระกูลพยักหน้าทีหนึ่งให้ลูกน้อง พวกเขาทั้งสามนำอาหารนานาชนิดมาวางไว้ข้างหน้าอรุโณทัยแล้วถอยห่างออกไปยืนด้านหลังผู้เป็นนายอย่างรู้หน้าที่

    อรุโณทัยนิ่งงัน มองอาหารหลากหลายอย่างตรงหน้าแล้วเงยขึ้นมองเขา “นี่แน่ใจนะว่าให้คนกิน” เขาขนมาอย่างกับจะขุนหมูสักคอก “เยอะขนาดนี้ฉันกินสามมื้อยังไม่หมด”

    “เธอไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะต่อรองได้ บอกให้กินก็กิน”

    แววตาหมดอาลัยตายอยากทอดมองอาหารตรงหน้า แค่มองเธอก็อิ่มแล้ว ข้าวสองจานพูนๆ กล้วยหนึ่งหวี น้ำเปล่าขนาดหนึ่งลิตรหนึ่งขวด ไก่ย่างหนึ่งไม้ แกงเขียวหวานและต้มยำอย่างละหนึ่งถ้วยใหญ่ ข้าวลอดช่องอีกหนึ่งชาม

    “กิน..” เสียงร้องขู่ดังขึ้น เธอตวัดสายตามองเขาทีหนึ่งแล้วก้มหน้าก้มตายัดอาหารเข้าปาก ก็ยังไม่เลวเท่าไรนักเพราะอย่างน้อยอาหารที่เขานำมาก็รสชาติดีไม่น้อย

    “อิ่มแล้ว”

    ตาคมหรี่ลง อาหารที่นำมาพร่องไปนิดเดียวเท่านั้น

    “อยากให้กรอกใช่ไหม”

    “อีกก็ได้” อรุโณทัยลนลานตอบ รีบหยิบกล้วยมาปอกกิน แต่เพราะเธอเป็นคนทานน้อยมาแต่ไหนแต่ไร ร่างกายจึงประท้วงเมื่อเริ่มจะรับไม่ไหว “ไม่ไหวแล้วจริงๆ”

    ต้นตระกูลทรุดลงนั่งยองๆ จ้องหน้าใสในระยะกระชั้นชิด มองเธอลูบท้องไปมาสีหน้าพะอืดพะอม ชายหนุ่มถอนหายใจเล็กน้อย.. “วันนี้ฉันใจดี ปล่อยไปก่อนแล้วกัน”

    ใจดี? อรุโณทัยอยากเอามือฟาดปากเขาเสียงจริง

    เจ้าของบ้านคนใหม่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สบตาวาวๆ ของเธอแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก ต้นตระกูลหมุนกายเดินจากไป หญิงสาวที่ตกเป็นเพียงผู้อาศัยชั่วข้ามคืนกำหมัดแน่น

    เพล้ง!

    เสียงข้าวของกระทบพื้นอยู่ในห้องเรียกรอยยิ้มอารมณ์ดีจากชายหนุ่มหน้าตายได้อย่างไม่ยาก

    บอกได้คำเดียวว่าสะใจ

    “ไอ้บ้า! ไอ้กัลป์บ้า!” คุณหนูผู้สูงศักดิ์เก็บกิริยาผู้ดีที่สั่งสมมาเป็นร้อยๆ ปีไว้ไม่อยู่อีกต่อไป หญิงสาวฟาดงวงฟาดงาขว้างชามอาหารระบายอารมณ์จนเกลื่อนห้อง กัลยาได้แต่นั่งแอบอยู่ข้างฝา กลัวอารมณ์ของอรุโณทัยเช่นกัน

    อรุโณทัยไม่ใช่คุณหนูผู้อ่อนแอ เธอสู้คน และไม่ยอมให้ใครมากดขี่ได้ง่ายๆ แต่ที่ยอมต้นตระกูลในหนแรกก็เพราะยังปักใจว่าเขาคือไผ่ แต่นับจากนี้มันจะไม่เป็นแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อต้นตระกูลไม่ใช่ไผ่แล้วเหตุใดเธอต้องอ่อนข้อให้เขากดขี่ ส่วนบ้านหลังนี้ก็คงต้องแล้วแต่เจ้าคุณพ่อจะจัดการเอาก็แล้วกัน พวกเขาเป็นพ่อเป็นลูกกันนี่ อรุโณทัยคนนี้จะไม่ทน!!

    เพราะเธอไม่ใช่คนหัวอ่อนที่จะต้องทำตามกฎเกณฑ์ของใคร

    เพราะเธอถูกตามใจจนพยศไม่เลิก

    เพราะเธอยึดมั่นในความคิดของตนมากกว่าจะเอาเหตุผลของคนอื่นมาใส่ใจ

    และเพราะอย่างนี้ไงเล่า นายสาวจึงสร้างตำนานรักตำนานแค้นกับทาสหนุ่มผู้นั้นได้ ยอมผิดจารีตผิดประเพณีเพราะคำว่ารักเพียงคำเดียว!!

    เย็นวันนั้นกัลยาโทรรายงานเดชาเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดโดยไม่มีตกหล่นแม้แต่น้อย

    “คุณปรายเธอฝืนกินข้าวในจานจนหมด กินไปร้องไปจนอิฉันอยากร้องไห้ตาม ขนาดขอร้องไอ้คนชั่ว เอ๊ย! คุณกัลป์ว่าอย่ารังแกคุณปรายอีกเลย คุณกัลป์ก็ไม่ฟังกันเลยค่ะ เธอทั้งโหดเหี้ยมทั้งน่ากลัว ที่แย่กว่านั้นคือคุณปรายเธอกินไม่ไหว คุณกัลป์เธอโมโหจับข้าวกรอกปากเจ้าค่ะ ช่างน่าเวทนา อิฉันกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย”

    อีกทั้งยังใส่สีตีไข่อีกเล็กน้อยเพื่อให้เรื่องดูเลวร้ายกว่าเก่า

    คราวนี้แหละ คุณกัลป์คงไม่รอดแน่

    ‘อีกไม่นานฉันจะกลับแล้ว ระหว่างนี้ฉันจะส่งคนไปรักษาความปลอดภัย’

    “ขอบคุณมากค่ะคุณท่าน”

    ทั้งสองคุยกันต่ออีกนิดจึงวางสายลง กัลยาโล่งใจอย่างมาก อย่างน้อยเธอกับนายสาวก็ยังมีเดชาคุ้มครอง ต้นตระกูลคงทำอะไรยากขึ้น

    แต่ทว่าวันต่อมากลับได้ข่าวร้ายว่าคนของเดชาไม่สามารถเข้ามาในบ้านได้เพราะพนักงานควบคุมรีโมทประตูเข้าออกเรือนหลังนี้คือคนสนิทของต้นตระกูล ทุกอย่างล้มเหลวไม่เป็นท่า เดชาสัญญาว่าหลังจากเสร็จงานแล้วเขาจะรีบกลับมาสะสางโดยเร็ว นั่นเป็นเพราะต้นตระกูลไม่ยอมรับสายคุยกับผู้เป็นพ่อสักครั้งเดียว

    พายุเข้าอีกแล้ว.. ต้นตระกูลนั่งเคาะพวงมาลัยรถอย่างหงุดหงิด ชายหนุ่มมองที่ปัดน้ำฝนทั้งสองเคลื่อนปัดหยาดน้ำสีใสที่เทกระหน่ำลงมาไม่หยุดอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้น ด้านนอกฝนตกมืดฟ้ามัวดิน ระยะการมองเห็นสั้นไม่ถึงห้าร้อยเมตร รถติดเป็นทางยาวทั้งขาเข้าขาออก นานๆ ถึงจะได้ขยับเขยื้อนสักที เขานั่งอยู่อย่างนี้เกือบชั่วโมงแล้ว สาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะมันเป็นเวลาเลิกงานซึ่งปกติรถก็เยอะอยู่แล้ว อีกอย่างคงเพราะเพิ่งมีอุบัติเหตุรถชนกันอยู่ข้างหน้า ทางตำรวจจึงต้องปิดช่องถนน รถจึงติดกว่าที่ควรจะเป็น

    ไอ้บ้า! ไอ้กัลป์บ้า

    เสียงแหลมเล็กเสียดหูดังขึ้นมาในความคิด กระตุ้นให้ริมฝีปากหยักเผยรอยยิ้มออกมา ต้นตระกูลเลิกเคาะพวงมาลัยมาค้นในกระเป๋าเอกสารที่พกติดกายตลอด ไม่นานเขาก็เจอสิ่งที่ค้นหา กระดาษโฟโต้แผ่นเล็กขนาด A5 ถูกดึงออกมาจากช่องลับ บนกระดาษแผ่นนั้นเป็นรูปของอรุโณทัย นิ้วเรียวสวยไล้กรอบหน้าหวานละมุนของคนในรูปแผ่วเบาอย่างทะนุถนอมผิดกับกิริยาที่กระทำต่อเจ้าของรูปตัวจริงอย่างลิบลับ ความหวามหวานแปลกๆ แล่นเข้าสู่หัวใจก่อนกระจายไปทั่วร่าง

    ต้นตระกูลอดหวนคิดไปถึงวินาทีแรกที่สบตากับคนในรูปไม่ได้

    ดวงตากลมโตคู่นั้นมีอำนาจสะกดใจเขาอย่างไม่น่าเชื่อ เขายอมรับว่าผ่านผู้หญิงมามากมายหลายรูปแบบ ทั้งดารานางแบบคนดังระดับโลก ผู้หญิงกลางคืน หมอนวด คนธรรมดา นักศึกษา หรือแม้แต่นักเรียนมอปลายใจแตก ทุกคนไม่เคยหยุดสายตาเขาได้เลย โดยเฉพาะหัวใจด้านชาดวงนี้ยิ่งไม่เคยมี แต่น่าแปลกยิ่งนักที่ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งสามารถทำให้ใจเขาเต้นด้วยจังหวะแปลกๆ ได้ ทั้งความรู้สึกห่วงหาและความเกลียดชังพุ่งตรงใส่เขาอย่างบ้าคลั่ง เธอคนนั้นมีอะไรดีกันนะ ชายหนุ่มเฝ้าถามตัวเองมาตลอด แต่วันนี้เขาพอจะให้คำตอบกับตัวเองได้แล้ว

    อาจเป็นเพราะเธอเป็นเมียน้อยของผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของเขานั่นเอง

    เพิ่งจะรู้ว่าการใช้ผู้หญิงของพ่อมันดีขนาดนี้ จะเป็นอย่างไรนะถ้าเขาจะแย่งมาเป็นของตนเอง ใบหน้าหล่อเหลาผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

    อารมณ์ของต้นตระกูลดีขึ้นอีกเท่าตัว

    แสงไฟสีส้มหน้ารถสาดไปตามถนนเล็กแคบพอให้เห็นเส้นทาง ฝนที่เทลงมาอย่างหนักยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกแต่อย่างใด ใจของคนขับล่องลอยไปหาหญิงสาวคนแรกที่ทำให้ใจของเขาเต้นแรง รถคันหรูจอดนิ่งรอให้ประตูเลื่อนเปิด ประตูอัลลอยบานใหญ่เลื่อนครืดๆ ไถลไปตามขอบร่องของมันตามการสั่งการของรีโมท เผยให้เห็นบ้านเรือนไปคุ้นตาทีละนิดๆ จนในที่สุดก็เห็นจนเต็มตา ต้นตระกูลขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนเคยมาที่นี่ในบรรยากาศแบบนี้ ชายหนุ่มสั่นหัวแรงๆ สงสัยเขาคงจะคิดมากไป

    “จะเอามาให้กินทำไมเยอะแยะเนี่ย หมอนั่นคงคิดจะขุนให้ฉันเป็นหมู”

    เสียงหวานบ่นกระปอดกระแปดลอยมาก่อนเจอตัว ต้นตระกูลยิ้มกริ่มเดินขึ้นบันไดเบาๆ ฝีเท้าเงียบกริบ จนกระทั่งเจอตัวคนพูด อรุโณทัยนั่งหน้ามุ่ยมองข้าวปลาอาหารที่เขาตั้งใจนำมาขุนอย่างที่เธอว่า

    “คอยดูนะ ฉันจะเอาไปเททิ้งให้หมดเลย” ชายหนุ่มหลุดยิ้ม เธอกอดอกทำหน้าเชิด หญิงชราอยู่ข้างๆ คอยกล่อมอยู่ไม่ห่าง

    “คุณปรายกินไปได้นิดเดียวเองนะคะ ความจริงอิฉันว่ากินอีกสักนิดก็ยังดี”

    “ฉันไม่หิว ฉันอิ่มแล้ว ถ้าเธอเสียดายนักก็กินเองเสียสิ”

    “โธ่..” หญิงชราโอดครวญ ยังไม่ทันพูดอะไรต่อต้นตระกูลก็ออกมาปรากฏตัวให้เห็น นายบ่าวทั้งสองนั่งตัวแข็งแต่คนละความรู้สึก กัลยานั้นกลัว แต่อรุโณทัยหยิ่งทะนง

    เชิดเข้าไปเถอะแม่คุณ.. ระวังจะคอเคล็ดไม่รู้ด้วย

    “ทำอะไรกันเหรอ” น้ำเสียงราบเรียบทว่ามีแววกระเซ้าเล็กน้อยดุจระลอกคลื่นเล็กๆ บนแม่น้ำผืนใหญ่ทำให้คำพูดของเขาไม่ดูหยาบกระด้างจนเกินไป ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับอดีตเจ้าของบ้าน อรุโณทัยทำเพียงมองผู้มาใหม่ผ่านหางตา ไม่คิดจะทักทายแม้แต่น้อย

    “เอ่อ..” กัลยาอึกอัก แม้เขาจะไม่เจาะจงแต่นางก็พอจะรู้ว่าคนที่เขาต้องการคำตอบไม่ใช่นาง แต่เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียจึงจำใจตอบ “ทานข้าวกันอยู่ค่ะ”

    คนที่สมควรตอบยังคงปิดปากเงียบ ไม่หือไม่อือ

    คนถามไม่ว่าอะไร เขาตอบแต่เพียงว่า “อืม”

    สงครามจิตวิทยายังคงดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ อรุโณทัยนั่งหน้าเชิดมองออกไปนอกเรือน ส่วนต้นตระกูลนั้นเขานั่งเหยียดขาพิงเสาอย่างสบาย อาหารร้อนๆ ส่งควันหอมฉุยเมื่อครูเริ่มเย็นชืด ใบหน้าคมขมวดมุ่น เขาเปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิมองอาหารมากมายเหล่านั้นสลับกับคนที่นั่งหน้าเชิดอยู่ ถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง

    “มากินเถอะ” ความจริงต้นตระกูลยังไม่ทานอะไรมาเหมือนกัน เลิกงานแล้วชายหนุ่มก็มุ่งหน้ามาเรือนนี้เลย จึงไม่แปลกที่น้ำย่อยในกระเพาะจะประท้วงผู้เป็นเจ้าของ มือหนาคว้าชามข้าวที่ยังไม่มีการแตะต้องมาวางไว้หน้าตนเอง

    “ฉันชวนเธอแล้วนะอรุโณทัย”

    เมื่อเธอยังคงเมินเฉยเขาจึงไม่ย้ำให้ยุ่งยาก ชายหนุ่มนั่งรับประทานอาหารไปเงียบๆ ไม่เอ่ยพูดอะไรอีก สำรับอาหารพร่องไปอย่างรวดเร็ว อรุโณทัยแอบเหล่มองแล้วเกิดความเสียดายขึ้นมา แท้จริงแล้วเธอเพียงเล่นแง่ อยากจะประชดไปเท่านั้นจึงไม่ยอมทานทั้งที่ยังหิวอยู่ เธอรู้ว่ากัลยาต้องพยายามกล่อมให้กินอย่างทุกวัน แต่การที่ต้นตระกูลมาที่นี่มันเหนือความคาดหมาย แน่ล่ะ... ใครจะยอมทานข้าวร่วมสำรับกับคนที่ตนเกลียด เธอก็เช่นกัน ตอนนี้อรุโณทัยแน่ใจแล้วว่าเธอเกลียดคนผู้นี้อย่างที่สุด

    และเกลียดมากขึ้นเมื่อเขากินอาหารที่เธอตั้งใจเก็บไว้กินกลางดึกจนหมดเช่นนี้

    ต้นตระกูลน่าตายนัก!!

    คืนนี้เธอคงนอนไม่หลับ.. เห็นทีต้องดื่มน้ำเปล่าให้อิ่มก่อนขึ้นเตียง

    อรุโณทัยกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ต้นตระกูลคนหน้าไม่อายยังคงแย่งอาหารของเธอกินอย่างน่าเกลียด อาหารคาวหมดไปแล้ว อาหารหวานก็กำลังจะหมด ส่วนผลไม้

    อา.. พวกมันยังไม่ถูกกิน

    ใบหน้าหวานแอบยิ้มกริ่ม เธออาศัยช่วงจังหวะที่เขาก้มหน้าก้มตากินของหวานอยู่นั้นเกลี่ยมังคุดผลหนึ่งเข้ามาหาตนเอง มังคุดผลใหญ่สีม่วงเข้มกลิ้งเข้าหาอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

    คงพอบรรเทาหิวได้บ้าง

    หญิงสาวกำลังฝันหวาน ท่ามกลางค่ำคืนแห่งความอดอยากหิวโหย เธอคงจะผ่านมันไปได้ด้วยมังคุดน่ากินลูกนี้ อย่างน้อย.. ก็ยังดีกว่าน้ำเปล่า

    “ดีดมังคุดทำไมน่ะ ไม่กินก็อย่าเล่นสิ เอามานี่ เสียของจริง”

    หมับ!

    ต้นตระกูลคว้าราชินีแห่งผลไม้ออกจากมือน้อย หญิงสาวอึ้งงัน มองหน้าเขาปริบๆ ก้มลงมองมือตัวเองที่ไม่มีมังคุดอยู่แล้ว วกไปยังมังคุดที่อยู่ในมือเขาอีกครั้ง เขาใช้นิ้วโป้งกดปลายผลเข้าไปเบาๆ ส่วนนั้นบุบลงอย่างง่ายดาย จากนั้นเขาออกแรงเพียงนิดบิดเปลือกสีม่วงจมมันขาดครึ่งออกจากกัน

    แปะ!!

    ส่วนครึ่งกลวงโบ๋ของมังคุดที่ไม่มีเนื้อสีขาวถูกนำมาวางบนฝ่ามือเธออีกครั้ง

    “อ่ะนี่ เล่นตามสบาย”

    ใบหน้าหวานที่ซีดเผือดเปลี่ยนเป็นแดงเป็นเขียวด้วยความโมโห

    ในหัวมีเพียงประโยคเดียว.. แค้นนี้ต้องชำระ!!!

    ชามอาหารใบสุดท้ายถูกกัลยาเก็บใส่ซ้อนกันใส่ถาดเพื่อนำไปล้าง อรุโณทัยมองตามตาละห้อย เธอก้มมองเปลือกมังคุดที่ถูกบีบจนบี้แบนในมือตนเองแล้วปรายตามองต้นตระกูล เขากำลังตบท้องปุ๊ๆ เสียงดังอย่างกับลูกแตงโมสุก ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย ริมฝีปากอิ่มโค้งลงอย่างขัดใจ

    ยิ่งเห็นเขายิ้มละไมเธอยิ่งโมโห ต้นตระกูลทำให้เธอหลุดมาดคุณหนูผู้ดีเก่าได้อย่างง่ายๆ และหญิงสาวคงไม่รู้อีกเช่นกันว่าเธอทำให้มนุษย์น้ำแข็งซ่อนไฟอย่างต้นตระกูลกลายเป็นหนุ่มน้อยขี้แกล้งจอมกวนคนหนึ่งได้อย่างที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน

    “กินอิ่มแล้วก็เชิญกลับไปได้”

    ต้นตระกูลเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ “เธอคงลืมไปว่าฉัน” ต้นตระกูลชี้อกตัวเองประกอบคำพูด “ต้นตระกูลคนนี้เป็นเจ้าของบ้าน ส่วนเธอ..” นิ้วเดิมพุ่งตรงไปยังคนออกปากไล่เขาเมื่อครู่ “เป็นแค่ผู้อาศัย”

    อรุโณทัยอ้าปากค้าง หญิงสาวกำมือแน่นระงับความโกรธ ใบหน้างามเชิดไปอีกทางไม่ยอมปริปากพูดอะไรอีก

    ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม เขาลุกขึ้นยืนบิดกายขับไล่ความเมื่อยขบจากนั้นก็เดินตรงไปยังแอ่งน้ำน้อยที่ตั้งอยู่ชานระเบียง มือหนาเปิดฝาแอ่งออก จับกระบวยเก้ๆ กังๆ เพราะไม่เคยใช้มาก่อน เขาตักน้ำในนั้นมาบ้วนปาก

    พรวด!!!

    อรุโณทัยตาโตอ้าปากหวอ.. บอนสีสุดที่รักของเธอ เปียกปอนไปด้วยน้ำสกปรกที่เพิ่งคายออกจากปากเขา ชายหนุ่มหันมายิ้มกว้าง “ฉันกลัวมันจะแห้งตายเลยช่วยรดน้ำให้ ความจริงเธอควรจะขอบคุณฉันนะ”

    ขอบคุณหามารดาเขาน่ะสิ!

    หญิงสาวนั่งตัวสั่นด้วยความโกรธ เย็นไว้อรุโณทัย เห็นยิ้มๆ อย่างนั้นก็รู้ว่าเขาจงใจแกล้งให้เธอทนไม่ได้ พอทนไม่ได้ก็ต้องหอบข้าวของออกจากบ้านหลังนี้อย่างพ่ายแพ้ เธอไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นแน่

    ซ่า!!!

    แปะๆ เสียงน้ำหยดจากเส้นผมสลวยตกลงพื้นเรือน อรุโณทัยยกมือขึ้นลูบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำ ร่างบางเปียกปอนสั่นสะท้านแรงกว่าเดิม ดวงตากลมโตแฝงไปด้วยความโกรธเคืองตวัดทิ่มแทงใส่คนที่ยืนยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาว

    “แย่จัง ฝนสาดเข้าบ้าน เปียกหมดเลยเนอะ”

    ถึงจะไม่ทันมองแต่เธอก็รู้นะว่าเขาเพิ่งสาดน้ำในกระบวยใส่เธอ อรุโณทัยลุกขึ้นยืนก่อนจะ..

    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด....

    กัลยาวิ่งทะเล่อทะล่าขึ้นเรือนมาด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของเจ้านายตน “เป็นอะไรหรือคะคุณปราย”

    “ฮือ..” อาการโกรธจนร้องไห้มันเป็นอย่างไรเธอก็เพิ่งรู้ หญิงสาวไม่ตอบกลับเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าห้องปิดประตูดังโครมใหญ่

    “ไอ้คนไม่มีมารยาท ฮือๆ”

    “มารยาทมีนะแต่ไม่อยากใช้”

    “ไอ้เลว”

    “เลวเป็นพิเศษเพื่อเธอคนเดียวนะ”

    กัลยากะพริบตาปริบๆ ฟังคนทั้งสองตอบโต้กันด้วยความงุนงง หญิงชราถอนหายใจเดินกลับออกไปล้างชามที่ค้างต่อให้เสร็จ เมื่อไรนะคุณท่านจะกลับมาสักที นางกลัวว่าคุณปรายจะเสียสติไปเสียก่อน

    อรุโณทัยนั่งน้ำตาไหลด้วยความคับข้องใจ คอยดูนะ ถ้ามีโอกาสเมื่อไรเธอจะสับต้นตระกูลให้เละเลย เธออยากฆ่าเขานัก เขามันชั่ว เขามันเลว มือเรียวเช็ดน้ำตาป้อยๆ ไม่ทันสังเกตว่ามีคนเปิดประตูเข้ามา

    “ร้องไห้เป็นเด็กไปได้”

    ต้นตระกูลส่ายศีรษะเอือมระอา เขาก้าวเข้ามายังเตียงขนาดเล็กที่หญิงสาวนั่งอยู่ อรุโณทัยเด้งตัวลุกขึ้นยืนระแวดระวัง อดนึกถึงความสะอิดสะเอียนในครั้งนั้นไม่ได้

    “เข้ามาทำไม”

    “นอน”

    “หือ?” เจ้าของห้องร้องครางในอก เจ้าบ้านี่มันไม่เลิกจองเวรกับเธอจริงๆ ใช่ไหม “บ้านนี้ออกจะกว้าง อยากไปนอนที่ไหนก็ไปไม่ใช่ที่นี่”

    “ก็ฉันอยากจะนอนที่นี่ใครจะทำไม” ว่าแล้วร่างสูงก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงที่เธอนอนอยู่ทุกคืนโดยไม่แยแสสิ่งใดอีก อรุโณทัยกรีดร้องในใจอย่างบ้าคลั่ง ไม่เคยอยากฆ่าใครเท่าต้นตระกูลมาก่อนเลย

    ถ้าจะให้ออกไปนอนห้องอื่นซึ้งไม่ได้ใช้มานาน คงมีแต่ฝุ่นเขรอะ นอนไม่ได้แน่ หากจะไปนอนข้างนอกก็คงไม่ได้อีกเช่นกันเพราะฝนกำลังตก เธอคงหนาวตายหรือไม่ก็ถูกยุงหามแน่นอน ทางเลือกเดียวในตอนนี้คือนอนที่นี่ในห้องนี้เท่านั้น อรุโณทัยมองไปยังพื้นที่ว่างเล็กๆ บนเตียงที่ยังไม่ถูกครอบครอง

    ละเหี้ยใจจริง

    หญิงสาวนั่งพิงผนังมองคนที่นอนอยู่บนเตียงของเธอจนเผลอหลับไป

    เธอแน่ใจว่าเธอหลับอยู่ตรงนั้นจริงๆ นะ แล้วทำไมตอนเช้าถึงตื่นขึ้นแล้วพบว่าตัวเองอยู่บนเตียงได้ล่ะ ช่างมันเถอะ อรุโณทัยไม่อยากคิดอะไรให้ปวดหัวไปยิ่งกว่านี้ แค่ตื่นมาไม่เจอเจ้ากรรมนายเวรของเธอหญิงสาวก็อารมณ์ดีจนอยากร้องเพลงดังๆ สักเพลง ร่างบางเตรียมชุดไปอาบน้ำ เดินนวยนาดลงไปอาบน้ำข้างล่างเรือน พอถอดเสื้อออกเท่านั้นแหละ

    รอย..รอยนี่มัน

    ต้นตระกูลคนฉวยโอกาส ไอ้คนบ้า

    อรุโณทัยขัดๆ ถูๆ ตัวจนแดงเถือกหวังลบรอยคิสมาร์กที่กระจายไปทั่วลำคอและเนินอกเต่งตึงให้หมดไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×