คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : 6 เลวได้อีก
6
ค่ำวันนั้นเดชามาเยี่ยมอรุโณทัยเพื่อเลียบเคียงถามเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ผลที่ได้ทำให้เดชาแปลกใจยิ่งนัก เหมือนอรุโณทัยไม่รู้ว่าเธอเซ็นสัญญาโอนมันไปแล้ว พอได้ทราบผลตรวจเลือดจากแพทย์เจ้าของไข้ทำให้เดชาเกิดอาการเครียดหนัก นึกไม่ถึงว่าต้นตระกูลจะเล่นลูกไม้สกปรกแบบนั้นได้ แล้วก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่าบุตรชายจะทำอะไรต่อไป แต่มันคงไม่ใช่สิ่งที่ดีนักหรอก
“ปราย พ่อว่าลูกย้ายไปพักที่อื่นชั่วคราวดีไหมลูก” การหนีอาจไม่ใช่วิธีที่ดีนัก แต่เดชากลับอยากพาอรุโณทัยหนีจากต้นตระกูลให้ไกลที่สุด ต้นตระกูลไม่ใช่ไผ่คนเดิม เขามีพลังความอาฆาตพยาบาทสูงเกินไป
“ทำไมล่ะเจ้าคะ”
“ไม่อยากไปเปิดหูเปิดตาบ้างเหรอ หืม..”
“มีอะไรหรือเจ้าคะ ลูกควรจะรู้ไหม” อรุโณทัยจ้องเดชาตาไม่กะพริบ ชายสูงวัยถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อคิดใคร่ครวญดีแล้วว่าการพูดความจริงเพื่อเตือนให้อรุโณทัยรู้ตัวก่อนจะสายเกินไปคงจะดีกว่าการปกปิด
“ที่จริงแล้ว.. เจ้ากัลป์คือลูกของพ่อเอง”
อรุโณทัยหน้าตื่นไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเท่าใดนัก อดถามย้ำไม่ได้ “จริงเหรอเจ้าคะ”
เดชาพยักหน้ารับ “พ่อผิดต่อลูกเหลือเกิน”
อรุโณทัยขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจที่เดชาพูดเลยสักนิด ไผ่หรือคุณกัลป์คือบุตรชายเพียงคนเดียวของพ่อในชาตินี้ แล้วทำไมคนตรงหน้าถึงบอกว่าทำผิดต่อเธอเล่า เธอเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าการเกิดแก่เจ็บตายไม่เป็นเรื่องธรรมดา การที่เจ้าคุณพ่อสิ้นใจจากเธอไปนับว่าไม่ใช่เรื่องผิด หรือจะมีเรื่องอื่นที่เธอยังไม่รู้
“จำได้หรือไม่ คราวที่พ่อบอกว่าส่งไผ่ไปขุดลอกคลองอยู่หัวเมือง” เดชาเล่าเนิบๆ ถึงเรื่องราวในอดีต
หลังจากฆ่าไผ่จนมันสิ้นใจตายแล้ว พายุก็โหมกระหน่ำอย่างไม่มีที่มาที่ไป บ่าวไพร่วิ่งกันอลม่านขึ้นไปหลบฝนหลบฟ้าบนเรือนใหญ่ ฝนห่าใหญ่เทลงมาไหลท่วมเจิ่งนองพื้นดินในหน้าแล้งมากมายอย่างผิดปกติ คุณหลวงสิงหบดีเดชาสั่งการให้นำร่างไร้ชีวิตของไผ่ไปฝังอย่างมิดชิดส่วนตนเองรีบขึ้นเรือนในสภาพเปียกปอน บนเรือนนั้นเต็มไปด้วยข้ารับใช้นั่งเกาะกลุ่มตัวสั่นงันงกเพราะกลัวฟ้าฝน เสียงลมพัดดังวีดหวิวผสานกับเสียงฟ้าคำรามอย่างน่ากลัว
เปรี้ยง!
สายฟ้าสีแสบตาฟาดผ่าลงต้นมะพร้าวข้างเรือน ไฟลุกพรึบไหม้ยอดมะพร้าวต้นนั้นทันที เหล่าผู้หญิงและพวกลูกเล็กเด็กแดงร้องกันระงม พากันเอามือปิดหูหลับตากันแน่น ท่ามกลางบ่าวไพร่ ทองม้วนและชดช้อยนั่งตัวสั่นเทิมกุมมือกันแน่น ทองม้วนนั้นเป็นภริยาเอกของคุณหลวง อีกทั้งยังเป็นมารดาของอรุโณทัย ส่วนชดช้อยนั้นเป็นน้องสาวต่างมารดาของทองม้วน และครองตำแหน่งเป็นภริยารองของคุณหลวง ชดช้อยนั้นไม่มีบุตร นางจึงรักอรุโณทัยดุจลูกในไส้ นับว่าโชคดีนักที่ภริยาทั้งสองของคุณหลวงสามารถอยู่ร่วมกันได้ดี จึงไม่มีปัญหาเมียหลวงเมียน้อยเหมือนบ้านอื่น
“คุณพี่” ทองม้วนร้องเรียกสามีเสียงดังเมื่อเห็นคุณหลวงก้าวขึ้นเรือนมา แม้จะมีอายุล่วงเลยเข้าสู่เลขสามแต่ทว่าความงามนั้นไม่ได้ลดลงเลย นางหยิบผ้าแพรข้างกายวิ่งไปรับคุณหลวงสิงหบดีเดชา “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“พี่ไม่เป็นไรดอก” มือใหญ่รับผ้ามาซับหน้าเบาๆ “แล้วนี่ลูกไปไหน”
“ไม่ได้อยู่กับคุณพี่หรือเจ้าคะ” ทองม้วนถามหน้าตื่น ลมพัดหอบไอฝนกระทบใบหน้าจนชื้น กลายเป็นหยดน้ำเกาะพราว
“เมื่อตอนฟ้าคำรามหนแรกน้องเห็นลูกวิ่งลงจากเรือนไปนะเจ้าคะ นึกว่าไปตามคุณพี่เสียอีก” ชดช้อยพูดขึ้นมาบ้าง สายตาสามคู่ประสานกันนิ่ง ข้างนอกน่ากลัวนัก ฟ้าแลบแต่ละคราเปลี่ยนคืนเดือนมืดสว่างดุจเที่ยงวัน
“ตามหากันทั่วหรือยัง”
“น้องสั่งบ่าวตามหาทั้งนอกเรือนในเรือนแล้วเจ้าค่ะ ไม่เจอลูกเลย”
“อ้ายแดง อ้ายมิ่ง อ้ายทิด ออกตามหาลูกข้าให้ไว”
สิ้นคำบ่าวคนสนิททั้งสามก็วิ่งลงเรือนทันที คุณหลวงสั่งความให้ภริยาทั้งสองเข้าไปในห้อง ส่วนตัวท่านเองนั้นลงจากเรือนเพื่อตามหาบุตรีให้พบโดยเร็วที่สุด
ฝ่ายอรุโณทัยนั้น หลังจากพูดตัดเยื่อใยจากไผ่ยังนึกเสียใจและรู้สึกผิดอยู่มาก แม้ว่าเธอพยายามจะอยู่ให้ห่างเพื่อปิดกั้นตัวเองและเลิกให้ความหวังกับไผ่ แต่ด้วยความที่รักและผูกพันกับนายทาสหนุ่มมานานแม้พยายามตัดใจอย่างไรก็ตัดไม่ขาด ชาตินี้เธอไม่อาจมีใครได้อีกแล้วนอกจากเขาผู้นั้น
ร่างเล็กเดินลัดเลาะไปตามทางที่คุ้นเคย ฝนเริ่มลงเม็ดหนักขึ้นเรื่อยๆ ทางเดินจึงลื่นกว่าเก่ากอบกับไร้แสงสว่างจึงทำให้อรุโณทัยล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายหน กว่าจะมาถึงพุ่มสายหยุดเก่าแก่ก็กินเวลาไปนานโข
“ไผ่ อ้ายไผ่ เขามาหาอ้ายแล้ว” อรุโณทัยร้องแข่งเสียงฝน เธอเดินตามหาเขารอบพุ่มไม้นั้นรวมถึงบริเวณใกล้ๆ เมื่อคิดใคร่ครวญดูแล้วช่างน่าตลกนัก ไผ่คงไม่โง่งมถึงขนาดนั่งตากฝนอยู่แถวนี้หรอก หญิงสาวหลบเม็ดฝนมานั่งใต้ร่มสายหยุด ลมพัดมาแต่ละที หยาดฝนที่ค้างบนใบสายหยุดร่วงกราวลงพื้นห่าใหญ่ อรุโณทัยนั่งหนาวสั่นอยู่อย่างนั้นเพราะไม่กล้าเดินออกสู้ที่แจ้ง ฟ้าแลบสว่างเป็นพักๆ เห็นบริเวณโดยรอบชัดแจ้งยิ่งกว่าตอนกลางวัน สีแดงจางๆ บนพื้นดินชื้นแฉะดึงดูดความสนใจอรุโณทัยไม่น้อย เท้าเล็กก้าวเข้าไปใกล้ๆ เธอเอื้อมมือไปสัมผัสมันมาดมกลิ่น ใบหน้างามเบ้ด้วยความหวาดกลัวปนขยะแขยง
กลิ่นคาวเลือด...
ใครมาทำอะไรแถวนี้ เลือดไม่ใช่น้อยๆ เลย สีแดงฉานเป็นทางยาวออกไป มีบางส่วนถูกน้ำฝนชะล้างไหลไปตามทางน้ำแต่ยังมีพอให้เห็น
สาวน้อยรู้สึกใจเสียโดยไม่รู้สาเหตุ ใครคนนั้นจะเป็นอะไรมากไหมหนอ อรุโณทัยนั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้น มองผ่านม่านฝนออกไป ท่ามกลางแสงฟ้าแลบ เสียงอสุนีบาตแสบแก้วหู เธอมองเห็นแหวนคุ้นตาวางอยู่บนพื้น หญิงสาวลนลานวิ่งออกไปหยิบมาพินิจ แหวนที่เธอเคยโยนทิ้งไป หัวใจดวงน้อยเต้นราวกับจะทะลุออกมาจากอก
“อ้ายไผ่” อรุโณทัยลูบหยาดน้ำฝนบนใบหน้าออก เธอรีบใส่แหวนไว้ที่เดิมที่มันเคยอยู่ ก่อนจะร้องเรียกทาสหนุ่มอีกครั้ง “อยู่ไสอ้าย”
เปรี้ยง!!! สายฟ้าฟาดใส่ต้นปีบที่อยู่ไม่ไกล
อรุโณทัยเบิกตากว้าง ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นปราดไปทั่วกาย ร่างน้อยทิ้งตัวลงพื้น ดวงตาหรี่ปรือและปิดสนิท ท่ามกลางหยาดพิรุณโปรยปราย อรุโณทัยนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น คุณหลวงสิงหบดีเดชาที่เพิ่งวิ่งมาถึงใจหายวาบ จุดที่เขาแทงทาสคนนั้นตายพอดิบพอดี
หลังจากเหตุการณ์นั้นอรุโณทัยนอนนิ่งไม่ฟื้นคืนสติบนเตียงอยู่หนึ่งอาทิตย์ แต่นับว่ายังดีที่รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ เพราะฟ้าผ่าต้นปีบห่างจากจุดที่เธอยืนอยู่เพียงไม่กี่เมตร แรงมหาศาลพุ่งผ่ากลางแบ่งไม้ต้นนั้นเป็นสองซีกไหม้เกรียม ส่วนอรุโณทัยได้รับแรงปะทะมาไม่น้อยจึงทำให้บาดเจ็บและช้ำในอย่างหนัก ที่โชคร้ายกว่านั้น หญิงสาวแท้งบุตรที่มีอายุครรภ์ถึงสามเดือน
คุณหลวงและภริยาทั้งสองตกตะลึงไปตามๆ กัน ไม่นึกว่าเรื่องจะร้ายแรงถึงเพียงนี้ เมื่ออรุโณทัยฟื้นคืนสติ เธอเฝ้าแต่ถามหาไผ่แต่กลับได้คำตอบที่น่าเศร้าใจยิ่งนัก ไผ่ถูกเกณฑ์ไปขุดคลองอยู่หัวเมืองอีกนานกว่าจะกลับ เธอจึงตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอเขาเรื่อยมา..
“พ่อฆ่ามันตั้งแต่คืนนั้นแล้ว” เดชาย้ำอีกครั้งหลังจากเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างจบ สบสายตาว่างเปล่าของอรุโณทัยอย่างใจหาย “ขอโทษนะลูก”
ที่เธออยู่มานานขนาดนี้ก็เพราะคำสาปของเขาสินะ อรุโณทัยน้ำตาตก ก้มมองแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายของตนด้วยความปวดร้าว
หญิงสาวเดินจากไปโดยไม่ต่อว่าอะไรสักนิด ปล่อยให้เดชานั่งน้ำตาไหลสำนึกผิดในการกระทำของตน
“คุณท่านคะ” กัลยาเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งนิ่งเงียบมานาน “อิฉันว่า.. เราไปทำบุญกันดีไหมคะ” แม้รู้ว่าความดีจะไม่สามารถลบล้างความชั่วได้ แต่อย่างน้อยมันอาจจะผ่อนหนักเป็นเบา
“ฉันเป็นพ่อที่แย่มากใช่ไหมกัลยา” เดชาหันมาพูดกับหญิงชราทั้งน้ำตา กัลยาเงียบไม่กล้าเอ่ยความเห็น คุณหลวงเพียงแต่รักลูกมาก อยากให้ลูกได้ดีจึงต้องทำแบบนั้น หากเป็นนางเองก็ไม่แน่ว่าอาจจะขัดขวางเช่นกัน พ่อแม่ที่ไหนจะรับได้เล่าหากลูกต้องอยู่กินกับทาสในเรือนทั้งที่ตัวเองเป็นถึงบุตรีคุณหลวงผู้มั่งคั่ง
“อย่ามัวโทษตัวเองเลยค่ะ อิฉันว่าเราหาทางแก้ปัญหากันดีกว่า”
“ฉันคิดอะไรไม่ออกแล้วกัลยา ฉันกลัวว่าฉันจะทำร้ายลูกอีก ฉัน..”
“คุณท่านคะ ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
“ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ฝากเธอช่วยดูแลลูกปรายให้ด้วย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เธอรีบโทรบอกฉันนะ” ว่าแล้วก็ยื่นนามบัตรสีทองให้
“ได้ค่ะ”
“อีกอย่าง อย่าปล่อยให้ต้นตระกูลเข้ามาที่นี่ได้เป็นอันขาด” เดชาฝากฝังเพราะอยากแน่ใจว่าอรุโณทัยจะปลอดภัยจากมัจจุราชร้ายอย่างต้นตระกูลจริงๆ “เดี๋ยวฉันจะส่งคนงานมาทำรั้วใหม่ให้”
“ดีเลยค่ะคุณท่าน คุณปรายก็เคยบอกจะซ่อมรั้วอยู่เหมือนกัน”
“อยู่ทางนี้ดูแลกันดีๆ วันนี้ฉันต้องไปแล้วล่ะ”
กัลยาไม่ได้เดินไปส่งแขกอย่างเคย หญิงชราเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องอรุโณทัย ยืนรีๆ รอๆ ตัดสินใจว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ ในท้ายที่สุดนางจึงถอยห่าง ปล่อยให้นายสาวอยู่คนเดียวไปสักพักน่าจะดีกว่า
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมา คนงานจากบริษัทก่อสร้างที่เดชาสั่งการให้มาทำรั้วใหม่ก็มาถึง ช่างรวดเร็วทันใจคนแก่อย่างกัลยานัก พวกเขาทำงานกันหามรุ่งหามค่ำเพื่อสร้างรั้วสูงท่วมหัว เหล็กเนื้อดีเป็นลำกลมๆ สีเงินขนาดเท่านิ้วโป้งถูกวางติดๆ กันเป็นแนวตั้ง แต่ยังพอมีช่องว่างเล็กๆ พอให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ด้านบนเป็นปลายแหลมน่าหวาดเสียวยิ่งนัก ดูๆ ไปคล้ายซี่กรงขังผู้ต้องหาในเรือนจำ ผิดแต่ว่ามันดูหรูเลิศและไฮโซกว่ามาก นากจากนี้แล้ว ก่อนจากไปคนงานหนึ่งในนั้นได้น้ำโซ่ขนาดใหญ่และแม่กุญแจมาให้เพื่อล็อกรั้วบ้าน กัลยากล่าวขอบคุณนับไม่ถ้วน รีบเดินไปล็อกรั้วทันทีที่คนงานออกไปหมดก่อนจะโทรรายงานผลให้เดชาทราบอีกที
“เสียงอะไรดังหนวกหูจริง” อรุโณทัยเดินออกมานอกชานเป็นครั้งแรกนับแต่เข้าไปอุดอู้อยู่ในห้องอยู่หลายชั่วโมง กัลยายิ้มร่าออกมาต้อนรับ
“คุณท่านสั่งคนให้มาทำรั้วบ้านให้ใหม่ค่ะคุณปราย” นางผายมือเหี่ยวย่นไปข้างๆ อรุโณทัยมองตามไป ดวงตากลมโตเบิกค้าง “ต่อให้อีกเป็นร้อยปีก็คงไม่ผุไม่พัง ฮ่าๆ”
“เจ้าคุณพ่อไม่น่าทำอะไรสิ้นเปลืองเลย”
“สิ้นเปลืองที่ไหนคะ มันเป็นความปลอดภัยของคุณปรายต่างหาก”
“แล้วนี่เจ้าคุณพ่อกลับแล้วหรือ” อรุโณทัยมองรอบบ้าน
“กลับไปนานแล้วค่ะ อาทิตย์หน้าถึงจะกลับมาอีก คุณท่านบอกว่าจะเดินทางไปดูงานที่ไหนสักแห่งนี่แหละค่ะ ท่านเลยสั่งคนให้มาทำรั้วบ้านให้ เพราะเป็นห่วงคุณปราย”
“อืมจ๊ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ เดินลงจากเรือนไป
เฮ้อ.. เมื่อไรจะมีความสุขอย่างคนอื่นเขาบ้างนะคุณปราย
ต้นตระกูลปรากฏกายหน้าเรือนโบราณที่เขาไม่ชอบนักหนาหลังจากหายหน้าหายตาไปหลายวัน นั่นเป็นเพราะว่าหนึ่งล่ะคือได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว และสองคือยุ่งอยู่กับโครงการประมูลผู้รับเหมาก่อสร้างอาณาจักรอัศวเมฆินทร์ เมื่อเห็นแนวรั้วเหล็กสูงท่วมหัวชายหนุ่มไม่ได้แปลกใจนัก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นธีรกฤษรายงานความเคลื่อนไหวของบ้านหลังนี้ตลอด
ชายหนุ่มเงยขึ้นมองยอดแหลม แววตาครุ่นคิด
“เจ้านายคงไม่ปีนขึ้นไปใช่ไหมครับ” ธีรกฤษยิ้มน้อยๆ ไม่สะทกสะท้านเมื่อผู้เป็นนายหันมาตวัดสายตาพิฆาตใส่
“ฉันไม่ปีนหรอก แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็นนายแทนก็ไม่แน่”
เลขาหนุ่มหัวเราะแห้งๆ นานๆ ทีเขาจะกล้าแซวเจ้านาย กลับโดนสวนคืนชนิดไปต่อไม่ถูก “ประตูอัลลอยควบคุมด้วยรีโมท” น้ำเสียงทุ้มกลับมาเป็นการเป็นงานอีกครั้ง “ท่านประธานใหญ่ทำถึงขนาดนี้ เจ้านายจะเอายังไงต่อครับ”
“ในเมื่อฉันเป็นเจ้าของที่แล้ว นายคิดว่าฉันจะทำยังไงล่ะ” ต้นตระกูลหัวเราะในลำคอ ในขณะที่ธีรกฤษทำหน้างงอยู่นั้นรถกระบะอีกคันก็วิ่งเข้ามาจอดใกล้ๆ คนในรถวิ่งมาทำความเคารพเจ้านายของเขาและยืนนิ่งรอฟังคำสั่ง ในมือของพวกเขามีเลื่อยตัดเหล็กไฟฟ้าคนละเครื่อง
“เอาจริงเหรอครับ” เลขาหนุ่มนึกหวาดกลัวเจ้านายขึ้นอีก ต้นตระกูลโหดขึ้นทุกวัน
“หึ!” ต้นตระกูลไม่ตอบ เขาเดินไปกดกริ่งหน้าบ้าน รออย่างใจเย็น ไม่นานยายแก่ปากมากก็โผล่มาให้เห็น
“ไอ้พวกคนชั่ว ไอ้คนเลว พวกแกยังมีหน้ามาอีกเหรอ ออกไปให้พ้นหน้าบ้านเดี๋ยวนี้นะ”
นั่นปะไร.. เสียงแหลมเล็กโหวกเหวกหนวกหูดังมาก่อนตัวเสียอีก
“ไปเรียกอรุโณทัยมาพบผม” ต้นตระกูลไม่นำพาต่อเสียงด่าทอ เขายืนอยู่นิ่งๆ ไม่ว่าหญิงชราจะพร่ำบ่นอะไรก็แล้วแต่ เขาพูดสวนกลับอยู่แค่คำคำเดียว “ไปเรียกอรุโณทัยมานี่”
“ไม่มีทาง” ในใจนั้นนึกหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย แต่นางจะแสดงให้พวกมันเห็นไม่ได้เด็ดขาด ทุกวันนี้อรุโณทัยยิ่งมีจิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางคงไม่อาจให้ผู้ชายใจร้ายคนนี้ไปย่ำยีนายสาวของนางได้อีก
“จะเรียกหรือไม่เรียก”
“ม..ไม่!!”
“ดี.. งั้นผมจะเข้าไปหาเอง”
“พวกคุณเข้ามาไม่ได้หรอก รีโมทอยู่กับฉัน”
“อย่างนั้นเหรอ ถ้าคิดว่าแน่ก็ลองดู” ต้นตระกูลหันไปพยักหน้ากับกลุ่มคนที่ยืนจังก้ารอรับคำสั่งอยู่ด้านหลัง พวกเขาเปิดสวิตช์เลื่อยตัดเหล็กเสียงดังเสียดหู กัลยายกมือทาบอก ใบหน้าซีดเผือด
“อย่านะ ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ”
“คิดว่าผมจะกลัว?” ต้นตระกูลเหยียดยิ้ม “พังประตูเข้าไป” ประโยคหลังปรายหางตาสั่งลูกน้องเสียงเข้ม เวลานี้เหมาะกับการยึดพื้นที่ที่สุด เดชาไปต่างประเทศเสียคน ทางนี้ยิ่งสะดวกต่อการดำเนินงาน
ยังไม่ทันจรดฟันเลื่อยเข้ากับประตูเหล็ก อรุโณทัยก็เดินหน้าตื่นเข้ามาห้าม ต้นตระกูลสังเกตหญิงสาวตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ร่างเล็กซูบผอมกว่าครั้งล่าสุดที่เจออย่างเห็นได้ชัด หรือเธอไม่ยอมกินข้าวกินปลา ร่างกายถึงดูผอมบางอย่างกับคนขาดสารอาหาร คิ้วหนาขมวดมุ่นด้วยความไม่พอใจ เขาเดินเข้าไปชิดประตูอัลลอยอีกนิดเพื่อมองดูเธอชัดๆ
เห็นทีคงต้องขุนให้อ้วนกว่านี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ทนมือทนเท้าเขาแน่
“อรุโณทัย มาเปิดประตูให้ฉัน” น้ำเสียงทะนงตนของเขาช่างบาดใจคนฟังนัก อรุโณทัยสูดหายใจลึกๆ ครั้งก่อนเขาเพิ่งบอกคำรักหวานหู มาวันนี้กลับไร้เยื่อใยจนน่าใจหาย
“น้องยังไม่พร้อมจะคุยกับพี่ในตอนนี้ กลับไปก่อนได้ไหมคะ”
“ฉันไม่เคยมีน้อง”
อึก! หญิงสาวอึ้งงัน หาเสียงตัวเองไม่เจอ
“ท..ทำไม วันก่อนพี่ยัง..”
“หยุดเรียกแบบนั้นเสียที น่ารำคาญ ฉันทนเธอมามากพอแล้วนะอรุโณทัย”
ทนอะไรหรือ น้ำเสียงแข็งกระด้าง แววตาว่างเปล่า ความห่างเหินของเขาทิ่มแทงใจอรุโณทัยจนพรุน ที่ผ่านมาเขาใช้คำว่าทนกับเธออย่างนั้นหรือ
“อิฉันคิดแล้ว พวกนั้นตีสนิทคุณปรายเพราะอยากได้ที่ผืนนี้” กัลยาชี้หน้ากระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความโมโห
“แล้วยังไงล่ะ ฉันก็ทำสำเร็จแล้วนี่”
“หมายความว่ายังไง” เสียงสั่นๆ เอ่ยถามออกไปก่อนจะใช้หลังมือปาดน้ำตาเร็วๆ ทีหนึ่ง
ไผ่คนเดิมของเธอตายไปจากไปแล้วทั้งกายทั้งใจ
ไหนว่าจะรักตลอดไปไม่ว่าชาติไหนๆ ก็จะรักแต่น้องอย่างไรเล่า
“จำไม่ได้เหรอว่าเธอเป็นคนเซ็นโอนกรรมสิทธิ์ให้ฉันเองกับมือ นี่ไงดูซิ” ต้นตระกูลสอดเอกสารแผ่นหนึ่งผ่านช่องว่างแนวเหล็กเข้ามา อรุโณทัยคว้ามาดูด้วยความสงสัย เธอไล่สายตาอ่านตั้งแต่ข้อความแรกจนถึงลายเซ็นของเธอพร้อมกับลงวันที่กำกับเอาไว้เรียบร้อยในบรรทัดสุดท้าย ใบหน้างามซีดเผือด
“ไม่!! ไม่จริง” เธอส่ายศีรษะไม่ยอมรับ
กระดาษแผ่นนั้นเป็นเอกสารการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวนสามไร่สามงานให้กับต้นตระกูล อัศวเมฆินทร์ ลงลายมือชื่อของเธอเป็นผู้โอน พร้อมรอยประทับนิ้วมือเด่นชัด มือบางฉีกกระดาษเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยความเจ็บใจ เขาอาจจะปลอมลายมือชื่อขึ้นมา เธอแน่ใจว่าไม่เคยลงชื่อในเอกสารอะไรแบบนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เธอทำไปโดยไม่รู้ตัว หรือว่าวันก่อนเขา...
“ฉีกๆ ไปเถอะฉันไม่เสียดายหรอก ฉันเก็บเอกสารฉบับจริงไว้อย่างดีเลยล่ะ” เขายิ้มเยาะ
“สารเลว”
“ขอบคุณที่ให้เกียรติสรรเสริญ ภายในอาทิตย์นี้รีบขนข้าวของออกไปให้หมดล่ะ ฉันจะได้สร้างโรงแรมสักที”
“ไม่มีทาง” อรุโณทัยตะโกนเสียงแข็ง
“คุณมันไม่ใช่คน” กัลยานั้นเคียดแค้นไม่แพ้กัน
“ผมไม่ใช่คนอย่างว่านั่นแหละ ใครๆ ก็ว่าผมเป็นปีศาจ” ปีศาจที่กำลังเชือดใจคนที่รักเขาอย่างเหี้ยมโหด “รีบๆ ไปล่ะ ผมจะได้ให้คนมารื้อบ้านสับปะรังเคนี่เสียที เสียเวลามานานแล้ว”
“ไม่นะ อย่าทำอะไรบ้านหลังนี้ คุณกัลป์ ฉันขอละนะ” อรุโณทัยละทิ้งศักดิ์ศรีทรุดตัวลงแทบเท้าซาตานในคราบเทพบุตร ตลอดชีวิตการเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของเจ้าคุณหลวงสิงหบดีเดชาที่มีแต่คนก้มกราบ มาบัดนี้เธอต้องเป็นฝ่ายก้มหน้าอ้อนวอนคนอื่นเขาบ้าง เจ็บใจจนไม่อาจมองหน้าใครๆ ได้เต็มตา
“เธอไม่มีสิทธิ์มาร้องขอ”
“คุณใจร้ายกับฉันเกินไปแล้ว”
“มันยังน้อยไป” ต้นตระกูลหัวเราะสะใจที่ตนเองปราบพยศหญิงสาวได้ “ความจริง.. ฉันก็พอจะเก็บบ้านหลังนี้ไว้ได้นะ”
อรุโณทัยเงยหน้าพรึบ จ้องตาเขาอย่างมีความหวัง
“ถ้าเธอทำตามข้อแม้ของฉันได้”
“ได้ ฉันยินดี จะให้ฉันทำอะไรก็ได้” ให้เธอตายก็ยอม อรุโณทัยพูดต่อในใจ ชีวิตของเธอหากไม่มีเขาก็เหมือนอยู่อย่างไร้ค่า ในเมื่อตอนนี้เขาไม่มีเยื่อใยกับเธอ เธอก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร สิ่งเดียวที่หวังคือรักษาบ้านหลังนี้ไว้ให้นานที่สุดเพื่อรอให้เจ้าคุณพ่อมาจัดการต่อ
“ข้อแรกให้คนของฉันควบคุมประตูนี้” ต้นตระกูลชี้มือใส่ประตูอัลลอยตรงหน้า จึงไม่ต่างกับการชี้หน้าเธอนัก “พวกเขาจะเป็นเหมือนยามเฝ้าประตูไม่ทำอะไรเกินกว่านี้ ข้อสอง เธอต้องตามใจฉัน ทุกอย่าง” ชายหนุ่มเน้นคำว่าทุกอย่างจนคนฟังลอบกลืนน้ำลาย
“ว่ายังไงล่ะ”
“ไม่นะคะคุณปราย”
“หุบปาก!! ใครขอความเห็นจากเธอ”
หญิงต่างวัยสะดุ้งตัวตกใจเสียงตวาดของเขา โดยเฉพาะกัลยานั้นกลัวจนตัวสั่นงันงก
“ได้” แม้จะกลัวแต่เสียงตอบกลับเข้มแข็งนัก อรุโณทัยลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นและเศษดินออกจากกระโปรงตัวสวยที่สวมอยู่ ยืนจ้องหน้าเขาอย่างท้าทาย น้ำตาของเธอมีค่าเกินกว่าจะให้เขาเห็น
“เปิดประตู” ต้นตระกูลสั่งเสียงเครียด
“ไม่นะคะคุณปราย” กัลยากำรีโมทแน่น แววตาอ้อนวอนส่งให้นายสาว
อรุโณทัยไม่พูดอะไร เธอดึงรีโมทจากกัลยากดเปิดประตู เสียงประตูเลื่อนออกแบบอัตโนมัติดังครืดๆ จนในที่สุดก็ไม่เหลือแนวกั้นระหว่างสองหญิงชายที่ยืนเผชิญหน้ากันอีกต่อไป
ต้นตระกูลยิ้มมุมปากด้วยความเคยชิน เขายืนมือไปรับรีโมทจากเธอ หลังจากนั้นเขาจึงส่งมันให้กับเลขาที่ยืนเยื้องออกไปด้านหลัง “เธอสองคนมันก็แค่ผู้อาศัย จำใส่หัวเอาไว้ให้ดี” เขาว่าแล้วเดินชนไหล่บางเข้าไปด้านใน อรุโณทัยเซถลาเพราะไม่ทันระวังตัว หากว่าไม่มีกัลยามารับหญิงสาวคงไม่แคล้วล้มลงพื้นเจ็บตัวตามเคย
ต้นตระกูลมองใบหน้านิ่งๆ ของอรุโณทัยยิ่งรู้สึกว่าเธอหยิ่งเหลือเกิน เขาอยากเห็นเธอหวาดกลัว อยากเห็นเธอตัวสั่น อยากเห็นเธอร้องไห้อ้อนวอนมากกว่าจะทำจองหองแบบนี้ มันยิ่งกระตุ้นต่อมความอยากเอาชนะ
“มานี่สิ” ชายหนุ่มยืนกอดอกสั่งเสียงเย็น อยากรู้นักว่าจะหยิ่งได้สักกี่น้ำ มือหนาบีบไหล่เธอหนักๆ ไม่มีถนอมแม้แต่น้อย
“ถ้ายังอยากอยู่บ้านนี้ต่อไป อย่าริอ่านอวดดีกับฉัน”
อรุโณทัยเม้มปากจนห้อเลือด ฝืนกลั้นเสียงร้อง อดทนต่อความเจ็บ หางตาเหลือบมองฝ่ามือของเขาบนไหล่ ชายหนุ่มเปลี่ยนจากบีบเป็นลูบไล้อย่างจาบจ้วง
“ผอมไปนะ” เสียงเขารำพึงกับตัวเองเบาๆ ตาคมดุจพญาเหยี่ยวจ้องตาเธออีกครั้ง หญิงสาวไม่หลบตามเคย “แต่ตรงนี้.. ก็ถือว่าไม่เลว”
หญิงสาวยืนตัวสั่น ฝืนทำหน้าเชิดไม่สะทกสะท้านเมื่อเขากอบกุมเนินเนื้อทั้งสองข้างประกอบคำอธิบาย เป็นกัลยาที่ทนไม่ได้ หญิงชราวิ่งเข้ามาหมายจะกระชากมือของต้นตระกูลออกไปแต่โดนเลขามือดีของเขาขัดขวางไว้ก่อน ธีรกฤษส่งสายตาปรามกัลยา หญิงชราน้ำตาไหลพรากโดยไร้เสียงสะอื้น นางถูกพาตัวกลับลงเรือนทันทีที่ธีรกฤษพยักหน้าสั่งลูกน้อง ส่วนตัวธีรกฤษเอง เขาหันกลับไปมองเจ้านายของตนแล้วเดินลงเรือนแผ่วเบา ใบหน้าที่เย็นชาเป็นนิจมัวหมองจนน่าใจหาย สิ่งที่เจ้านายทำมันเลวร้ายกับผู้หญิงน่าสงสารคนหนึ่งเกินจะรับจริงๆ
“แต่ก็อย่างว่าละนะ ถ้าไม่มีดีสักอย่างคงเป็นเมียน้อยคนอื่นไม่ได้จริงไหม”
“ฉันไม่ได้เป็นเมียน้อยใคร”
“จะแก้ตัวยังไงมันก็เรื่องของเธอ” ต้นตระกูลตัดบท เขารวบมือทั้งสองข้างของเธอแน่น “แต่ตอนนี้ฉันคิดถึงลีลาเด็ดๆ ของเมียน้อยแล้วสิ เสียดายที่ตอนนั้นเธอหลับเป็นตายมันเลยไม่ค่อยได้อารมณ์เท่าไร มาเถอะ คราวนี้ฉันอยากจะลองตอนเธอยังมีสติ ไม่แน่นะ ถ้าเธอถึงใจพอเธออาจจะเปลี่ยนสถานะจากเมียน้อยคนอื่นเป็น.. นางบำเรอของฉัน”
“เลว” อรุโณทัยยื้อมือกลับมา ในเวลานี้เธอแน่ใจแล้วว่าเขาไม่มีทางเป็นไผ่ได้แน่นอน บนโลกนี้คนที่หน้าเหมือนกันมีถมไป เธอเคยเห็นมาก็มาก ต้นตระกูลคนนี้ก็เป็นแค่ผู้ชายอีกคนที่หน้าเหมือนไผ่มากจนชวนให้เข้าใจผิดเท่านั้น
“ถือว่าเป็นคำชม” ชายหนุ่มยิ้ม แววตาเขาไม่ได้ยิ้มด้วย อรุโณทัยหนาวไปทั้งไขสันหลัง “เดินตามมาดีๆ อย่าดื้อ เลือกเอาแล้วกันว่าอยากโชว์ลูกน้องผมตรงนี้หรือเข้าไปในห้อง”
อรุโณทัยไม่มีทางเลือก หญิงสาวถ่วงเวลาด้วยการก้าวช้าๆ เขาไม่ทันใจเดินกลับมาลากเธอเสียเอง ชายหนุ่มเปิดประตูห้องนอนของเธอออก และใช้เท้ายันประตูปิดดังโครมเมื่อเธอก้าวเข้ามา อรุโณทัยทำหน้าตื่นเพราะทั้งชีวิตไม่เคยถูกกิริยากักขฬะคุกคามจากต่างเพศเช่นนี้
“อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันยอมแล้ว” สุดท้ายก็ต้องอ้อนวอนเขา ไม่เหลือแล้วศักดิ์ศรีลูกผู้หญิง
“ทำไม! เอากับผมนี่มันเป็นยังไงหา ทีกับคนอื่นสะดิ้งนักนะ หรือชอบคนแก่ๆ วัยใกล้แย้มฝาโลง” ไม่รู้ทำไมนึกภาพเธอกับคนอื่นแล้วอารมณ์ถึงคุกรุ่นนัก ต้นตระกูลไม่สนใจหาเหตุผล เขากระชากเธอโครมหนึ่งกดลงเตียงและขึ้นคร่อมอย่างรวดเร็ว
อรุโณทัยหัวหมุนอื้ออึงไปชั่วขณะ รู้ตัวอีกทีตอนที่เขาปล้ำจูบ อารามตกใจเธอจึงถีบหน้าท้องเขาสุดแรง ต้นตระกูลจุกไม่น้อย เขากระชากปลายเท้าเธอเข้าหาตัวเอง ใบหน้าดำๆ แดงๆ เพราะความโกรธนั้นทำอรุโณทัยผวา ต้นตระกูลกำลังของขึ้นเข้าแล้ว
หึๆๆ ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ ดวงตาวาววับจับจ้องเหยื่อไม่วาง “ทีแรกก็ว่าจะเมตตาสักหน่อย แต่เห็นคุณชอบความรุนแรงแบบนี้แล้ว ผมเลยต้องสนองให้”
“ไม่นะคุณกัลป์”
“ไม่เอางั้นเหรอ” เขายิ้มอย่างใจดี แต่ให้ความรู้สึกเย็นไปทั้งหัวใจ
“ไม่เอา ไม่ให้คุณทำอะไรแบบนี้นะคะ” หางเสียงถูกต่อทันทีเมื่อเขาตวัดสายตาข่ม อรุโณทัยกลัวจนตัวสั่น เธอผลักอกเขาออกห่างจากตัว
“ไม่เอาแบบนี้แล้วจะเอาแบบไหน” คนพูดยิ้มระรื่นเมื่อคิดอะไรดีๆ ออก
“...”
“อืม.. ถ้าอย่างนั้นคุณจะช่วยผมเหรอ ลงมานั่งตรงนี้สิ”
ทันทีที่เขาสั่ง หญิงสาวลนลานลงไปทันที ดีใจนักอย่างน้อยเขาก็ไม่ใจร้ายข่มเหงเธอทั้งที่ไม่เต็มใจ แต่ทว่าคำพูดต่อมาของเขานั้น อรุโณทัยแทบอยากลงไปชักกับพื้นให้รู้แล้วรู้รอด
“ทำรักด้วยปากให้ฉัน” เกิดมานานขนาดนี้ใช่ว่าอรุโณทัยจะไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่ปัญหาคือเธอไม่ทำ และไม่คิดจะทำด้วย
“ทำไม่เป็น”
“ก็หัดสิ” เขาช่างพูดได้อย่างไม่อาย อรุโณทัยนั่งนิ่ง
“ฉันทำไม่ได้”
“ทำไม กับคนอื่นเธอยังทำได้แล้วกับฉันทำไมทำไม่ได้” ต้นตระกูลเริ่มควันออกหูอีกครั้ง ทำไมเธอชอบพยศเสียจริง เขาไม่ชอบคนพูดยากปากมากและไม่รู้ความ
ให้พูดมากๆ เข้าเดี๋ยวกระเด็นแปะข้างฝาไม่รู้ตัว
“ฉันไม่เคยทำ”
“ก็ทำเสียสิ” พูดราวกับเป็นเรื่องง่ายเหลือเกิน
“จะว่าไปบ้านหลังนี้ก็เก่าสมควรรื้อ”
“ยอมแล้ว”
ต้นตระกูลยิ้มกริ่ม มือเริ่มปลดกระดุมกางเกงออก รูดซิบลงไปดังแควก อรุโณทัยหลับตาปี๋ ถึงเธอจะไม่บริสุทธิ์และเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชายเช่นสามีภรรยากันมาแล้ว แต่แบบนี้มันก็ไม่ไหวจริงๆ
“หลับตาทำบ้าอะไร เข้ามานี่”
เฮือก!!!
ความคิดเห็น