ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์พยาบาท

    ลำดับตอนที่ #5 : 5 เลวร้าย

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ค. 64


     

    5

    หลังจากค้นทุกซอกทุกมุมในห้องจนได้โฉนดที่ดินมาแล้ว ต้นตระกูลก็วิ่งออกไป ไม่นานนักเขาก็กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมกระดาษร่างสัญญายินยอมยกที่ดินผืนนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาอย่างสมบูรณ์

    โฉนดที่ดินสีซีดวางคู่กับสัญญามอบกรรมสิทธิ์สีขาวสะอาดอยู่ข้างร่างบางที่นอนสลบไสลอยู่บนเตียง

    ผ้าชุบน้ำเย็นๆ ถูกนำมาซับตามใบหน้าและลำคอแผ่วเบา พร้อมกันนั้นมืออีกข้างที่ว่างก็ลูบไล้ผิวกายอ่อนผ่านเนื้อผ้าบางเบาอย่างจาบจ้วง

    “ปราย ตื่นขึ้นมาสิครับ ขี้เซาจังนะ” 

    อรุโณทัยรู้สึกราวกับตกอยู่ในห้วงความฝัน เธอฝืนปรือตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก มันหนักอึ้งจนอยากจะหลับลงไปอีกครั้ง 

    “ดูสิ ผมเอาอะไรมาให้เซ็น” ชายหนุ่มยื่นกระดาษไปหาพร้อมเข้าไปประคองให้เธอนั่ง หญิงสาวนั่งโงนเงนราวกับเด็กหัดนั่ง หากไม่มีร่างแกร่งพยุงไว้เธอได้ฟุบลงไปกับเตียงเป็นแน่

    ปากกาด้ามหนึ่งยัดเข้าไปในมือน้อย “เซ็นชื่อตรงนี้นะครับ” เขาชี้ให้เธอเซ็นตรงช่องว่างล่างสุดของแผ่นกระดาษ

    “อื้อ..” หญิงสาวปัดกระดาษออกจากตัว

    “ถ้าไม่เซ็นพี่ไม่รักนะ เซ็นนะครับคนดี พี่มีรางวัลให้”

    “เซ็น..”

    “ครับๆ เซ็นชื่อตรงนี้นะ” ต้นตระกูลแตะมือเธอข้างที่จับปากกาให้เซ็นลงไป อรุโณทัยคอพับคออ่อนด้วยความง่วงงุน รู้แต่เพียงว่าถ้าไม่ทำตามเธอคงไม่ได้นอน หญิงสาวเลยจรดปลายปากกาลงบนแผ่นกระดาษ แต่เพราะสมาธิไม่นิ่ง เธอจึงขีดกระดาษเป็นรอยลากยาวอยู่หลายแห่ง จนในที่สุดความพยายามของคนโฉดก็ประสบผลสำเร็จ อรุโณทัยเซ็นชื่อลงไปตามที่เขาต้องการก่อนจะฟุบหน้าลงกับอกแกร่งอีกครั้ง ต้นตระกูลตาวาวรีบจัดแจงให้ร่างบางนอนอย่างเดิมก่อนจะรีบนำโฉนดและสัญญามอบกรรมสิทธิ์ที่สมบูรณ์แล้วไปเก็บที่รถอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มวิ่งกลับเข้ามาอีกครั้งด้วยสภาพเหงื่อโทรมกาย

    รองเท้าหนังเงาวับก้าวหนักๆ ไปยังเตียงน้อย ใจของต้นตระกูลเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาคิดว่าอาจเป็นเพราะไม่เคยลักหลับผู้หญิงมาก่อน ไม่คิดว่ามันจะตื่นเต้นได้ขนาดนี้

    “ฉันไม่ขอโทษเธอหรอกนะ” เขายิ้มมุมปาก ชะโงกหน้าจูบหน้าผากเกลี้ยงเกลาอย่างสนิทเสน่หา “สำหรับผู้หญิงร่าน ประสบการณ์โชกโชนอย่างเธอ แค่นี้มันยังน้อยไป”

     

    ตัดฉาก NC (เลวๆ) สามารถอ่านได้ที่ readawrite 

    ไม่กระทบกับเนื้อเรื่อง

     

    เธอคงไม่เสียใจอะไรหรอก ไม่ได้บริสุทธิ์สักหน่อย

    อีกไม่นานหญิงแก่นั่นคงกลับมา หรืออาจจะกลับมาแล้ว สิ่งนี้ทำให้ต้นตระกูลผุดลุกนั่งจ้องมองร่างบางที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและน้ำรักสีขาวขุ่นด้วยแววตายุ่งยากใจ หากยัยแก่นั่นรู้เรื่องนี้ มันคงสาปส่งเขาแบบไม่ได้ผุดได้เกิดแน่

    อืม...

    คิดได้ดังนั้นเขาจึงรีบลุกขึ้นแต่งตัว เสร็จแล้วก็เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ร่างที่นอนหลับอยู่พร้อมกับสวมเสื้อผ้าพอลวกๆ ให้ จากนั้นเดินผิวปากอารมณ์ดีออกจากห้องแบบไม่คิดจะสนใจคนข้างหลังอีก โชคยังดีที่กัลยายังไม่กลับมา ต้นตระกูลเลยเดินเฉิดฉายออกจากเรือนด้วยใบหน้าสาแก่ใจอย่างที่สุด

    ก่อนขึ้นรถชายหนุ่มยังไม่วายมองขึ้นไปบนบ้านอีกครั้ง รอยยิ้มอำมหิตผุดขึ้นตรงมุมปาก อยู่เสวยสุขกันให้เต็มที่ไปก่อนเลยนะ หึ! 

    รถคันงามแล่นออกจากบ้านทิ้งฝุ่นคลุกตลบ สวนกับกัลยาที่เดินเข้ามาพอดี หญิงชราร้องตะโกนด่าปาวๆ อยู่ข้างหลังด้วยความโมโห คนนิสัยแบบนี้ไม่รู้ว่าคุณปรายไปหลงรักได้อย่างไร 

    “คุณปรายคะ ไหมพรมที่สั่งไว้ได้แล้วค่ะ” กัลยาวางถุงของที่เพิ่งซื้อมาไว้บนพื้นเรือนเพื่อรอนายสาวมานำไปเก็บอีกที เมื่อเรียกหลายรอบแล้วยังไม่เห็นจึงบังเกิดอารมณ์ร้อนใจกลัวว่าอรุโณทัยจะตกอยู่ในอันตราย

    “คุณปรายได้ยินไหมคะ” ร่างผอมบางเดินหาทั้งชั้นบนชั้นล่างจนทั่วบ้านยังไม่มีวี่แววจะเห็นเงาของนายสาวแม้แต่น้อย เหลือเพียงห้องต้องห้ามที่กัลยาไม่เคยได้รับสิทธิ์ให้เข้าไป หญิงชราเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องอย่างหวาดวิตก นางเคาะประตูหลายครั้งแล้วแต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ นายสาวก็เคยบอกไว้อย่างเด็ดขาดว่าห้ามเข้า แต่ในตอนนี้ความเป็นห่วงมันมีมากกว่า

    เอาไงก็เอา

    เสียงบานประตูลั่นเอียดอาดดังบาดแก้วหูอย่างน่าสะพรึง เปิดประตูออกแล้วแต่หญิงชรายังไม่กล้าก้าวเข้าไปในห้อง อรุโณทัยอาจจะหวงแหนความเป็นส่วนตัว หรือมันอาจจะมีสิ่งลึกลับอะไรซ่อนอยู่ข้างใน ความคิดอันหลังทำให้ขนในกายลุกชัน

    “คุณปรายคะ อยู่ในนี้ไหมคะ”

    เงียบ..

    มีเพียงกลิ่นน้ำอบหอมกรุ่นถูกลมพัดลอยมาแตะจมูกเป็นครั้งคราว

    สองมือเหี่ยวเกาะประตูไว้แน่นขณะชะโงกหน้าเข้าไปเมียงมองในห้อง

    “คุณปราย”

    กัลยาตัดสินใจก้าวเข้าไปในห้อง ส่วนหนึ่งเพราะความอยากรู้ว่าห้องนี้เป็นอย่างไร อีกส่วนก็เพราะเป็นห่วงนายสาว เท้าเล็กเดินย่องเข้ามาเบาๆ เตียงสี่เสาที่มีมุ้งล้มรอบดึงดูดความสนใจของหญิงชราได้เป็นอย่างดี ทันทีที่เดินเข้ามาหน้าเตียงก็ต้องถอนใจเพราะความโล่งในอก ร่างบางนอนนิ่งบนนั้น มีผ้าห่มผืนบางคลุมจนถึงอก

    “นึกว่าจะเกิดเรื่องเสียแล้ว”

    หญิงชราเดินนวยนาดออกไปยังไม่ถึงหน้าประตูดีก็ต้องหันควับไปยังร่างที่นอนนิ่งบนเตียงอีกครั้ง ปกติแล้วอรุโณทัยไม่เคยนอนตอนหัวค่ำ ที่สำคัญนายสาวยังมีประสาทสัมผัสที่ดีเยี่ยม ขนาดที่ว่ากิ่งไม้เล็กๆ ตกใส่เรือนยังตื่นขึ้นมาดู แล้วเมื่อครู่นางเรียกจนเสียงแหบแห้งทำไมร่างน้อยยังไม่ตื่น

    “คุณปราย!!”

    กัลยาเดินแกมวิ่งมาที่เตียงอีกครั้งพลางออกแรงขยับโยกอรุโณทัยอยู่หลายครั้ง เรียกก็แล้ว เขย่าก็แล้ว

    มันเกิดอะไรขึ้น..

    นางตกใจจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ข้างเตียง เพื่อนบ้านในละแวกนี้พากันขายที่อพยพไปอยู่ที่อื่นกันหมดแล้วจะเรียกหาใครให้ช่วยก็ไม่มี

    นานเท่าไรไม่รู้ เสียงกดกริ่งหน้าประตูบ้านทำให้หญิงชราคืนสติ ดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำใสๆ หันมองร่างเจ้านายสาวด้วยแรงฮึดมากขึ้น นางรีบวิ่งออกจากห้อง ลงบันไดจนแทบหัวคะมำ วิ่งแบบลืมใส่รองเท้ามายังหน้าบ้าน พอรู้ว่าเป็นใครนางถึงกับร้องไห้โฮ

    “กัลยา เกิดอะไรขึ้น”

    “คุณปราย ฮึก! ฮือๆ”

    “ปราย? ลูกปรายเป็นอะไร”

    “หลับไม่ตื่นเลยค่ะ”

    เดชาชาวาบตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ชายสูงวัยวิ่งนำกัลยาขึ้นไปบนเรือนทันทีที่รู้ว่าอรุโณทัยอยู่ที่ไหน เมื่อปลุกอย่างไรก็ไม่มีแววว่าอรุโณทัยจะลืมตาตื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย เขาจึงคิดจะพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลแต่ก็ฉุกคิดได้ว่าจำเป็นต้องมีเอกสารต่างๆ อีก ชายสูงวัยจึงโทรตามหมอประจำตัวมาแทน

    กว่าหมอจะมาถึงก็กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง นายแพทย์วัยกลางคนตรวจอาการข้างต้นและทำการวินิจฉัยให้ญาติของคนไข้ทราบในเวลาต่อมา

    “สภาพร่างกายของคนไข้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ ชีพจรและความดันเป็นปกติ คาดว่าเธอน่าจะทานยานอนหลับเข้าไปเลยทำให้หลับลึกครับ หมอขอเจาะเลือดไปตรวจแล้วจะแจ้งให้ทราบอีกทีนะครับ”

    “แต่ที่นี่ไม่มียานอนหลับเลยนะคะหมอ” กัลยาแย้ง

    “แต่เป็นที่น่าสงสัยว่าทำไมตามเนื้อตัวของคนไข้จึงมีรอยช้ำจากนิ้วมือ อีกทั้ง..” คุณหมอชี้ให้ทุกคนดูตรงลำคอระหง ทั้งสองตาของเดชาเบิกกว้างเมื่อรู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นรอยอะไร

    สีแดงช้ำเป็นปื้นกระจายไปอยู่ทั่วไปมีบางส่วนผลุบหายเข้าไปในสาบเสื้อ

    เดชาทรุดลงข้างเตียงทันที ไม่อยากให้สิ่งที่คิดเป็นความจริง

    “วันนี้คุณกัลป์เธอมาหาคุณปรายที่นี่ค่ะ” กัลยาเช็ดน้ำตา ฝืนความขมปร่าพูดปนสียงสะอื้น “อิฉันเห็นว่าอาหารที่ซื้อตุนไว้หมดแล้วเลยออกไปซื้อข้างนอก กลับมาถึงบ้านก็สวนกับพ่อหนุ่มนั่นพอดี แล้วมาเจอคุณปรายในสภาพแบบนี้ล่ะค่ะ โถ.. คุณปรายของอิฉัน”

    หมอจ่ายยาเสร็จแล้วจึงให้คำแนะนำตามสมควรแล้วกลับไป เดชานั่งมองคนที่นอนบนเตียงด้วยความรู้สึกผิดที่ไหลบ่าอาบทั่วทั้งใจ อรุโณทัยเจอเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเป็นต้นเหตุ ต้นตระกูลมีนิสัยเลวร้ายแบบนั้นก็เพราะเขาเป็นต้นเหตุอีกเช่นกัน 

    ทำอย่างไรหนอถึงจะลบล้างความผิดนี้ได้

    อรุโณทัยลืมตาตื่นในช่วงสายของวันต่อมา ร่างบางลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างงุนงง ความขบเมื่อยแปลกๆ จู่โจมเธอจนอ่อนล้า โดยเฉพาะจุดกลางกายที่เจ็บแปลบๆ อย่างผิดปกติ 

    “คุณปราย ตื่นเสียที” กัลยาเดินเร็วๆ มาที่เตียงอย่างดีใจ เมื่อคืนนางแทบไม่ได้นอนเพราะเป็นห่วงนายสาวมากเกินกว่าจะข่มตาหลับ “เป็นยังไงบ้างคะ เจ็บตรงไหนไหม”

    “ฉันเป็นอะไรเหรอ” ดวงตาสุกใสฉายแววฉงน 

    “คุณปรายสลบไปคืนหนึ่งเลยค่ะ”

    ความทรงจำสุดท้ายคือนั่งฟังต้นตระกูลพูดเรื่องอะไรสักอย่าง ซึ่งเธอก็จับใจความไม่ได้

    “แล้วฉันมานอนที่นี่ได้ยังไงล่ะ”

    “คุณปรายโดนข่มขืนรู้ตัวไหมคะ”

    หืม.. อรุโณทัยกะพริบตาปริบๆ งุนงงมากกว่าตกใจ เธอรีบสำรวจร่างกายตัวเองก็พบว่ามีร่องรอยการบีบจับอย่างหนักจนเกิดเป็นรอยช้ำกระจายอยู่ทั่วร่าง ใบหน้าอ่อนใสขึ้นสีชมพูระเรื่อ แสดงว่ามันไม่ใช่ความฝันสินะ

    เธอกับไผ่.. อรุโณทัยไม่คิดเสียดายเลย ในเมื่อทั้งร่างกายและหัวใจของเธอเป็นของเขาแค่คนเดียว

    “แล้วคุณกัลป์ไปไหนจ๊ะ”

    “ลงนรกไปแล้วมั้งคะ” กัลยาอยากจะร้องไห้ คุณปรายของเธอหลงไอ้หนุ่มนั่น ทั้งที่ถูกมันย่ำยีศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้ยังไม่คิดโกรธเคืองอีก

    “กัลยา” เสียงเล็กตวาดอย่างไม่พอใจ

    “มันทำร้ายคุณปราย อิฉันเกลียดมัน”

    “อย่าพูดแบบนี้นะ เขาไม่ได้ทำร้ายฉัน” อรุโณทัยเถียงอย่างเอาแต่ใจ “เธอจะไปรู้อะไร เขาเป็นคนที่ฉันรัก ฉันรักฉันรอของฉันมานานแค่ไหนเธอรู้บ้างไหม”

    “คุณปรายอาจจำผิด” กัลยายกมือปาดน้ำตาด้วยความเสียใจ “เขาแค่หน้าเหมือน”

    “ฉันไม่มีวันจำผิด” 

    จริงหรือที่ว่าต้นตระกูลคือไผ่ จากที่เคยฟัง ไผ่เป็นคนดีมากๆ จนไม่น่าเชื่อว่าคือคนเดียวกันกับต้นตระกูล ทุกการกระทำของเขานางมองว่ามันเสแสร้งมากกว่า คงมีแต่นายสาวที่ถูกความรักบังตาไปเสียหมด นางกลัวเหลือเกินว่าเจ้านายจะเจ็บหนักเพราะโดนไอ้หนุ่มนั่นมันหักอกเอา

     

    ธีรกฤษนั่งพิมพ์เอกสารงานตามปกติเงยหน้าหันหาเสียงโครมครามที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เพื่อนพนักงานตามรายทางทำหน้าตาตื่น บางกลุ่มที่กำลังซุบซิบนินทาชาวบ้านพลันสลายตัวเร็วยิ่งกว่าลมพัด บางคนชนโครมกับกระถางต้นไม้ บางคนรีบนั่งประจำเก้าอี้ ทำหนังสือเอกสารหล่นดังตุบๆ เหตุการณ์เช่นนี้มันผิดปกติ ยังไม่ทันจะเอ่ยถามก็เห็นใบหน้าถมึงทึงของประธานบริษัทลอยเด่นมาแต่ไกล

    “ต้นตระกูลอยู่ไหน”

    เลขาหนุ่มทำตัวลีบๆ น้ำเสียงบีบคั้นของเดชาสร้างความประหวั่นให้เขาไม่น้อย ไม่บ่อยนักที่ท่านประธานใหญ่จะโผล่มาที่นี่ ใบหน้าบูดเบี้ยวเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดเขายิ่งไม่เคยเห็น

    “ท่านกำลังคุยงานกับคุณทรงชัยอยู่ครับ ดะ..เดี๋ยวครับ” จะห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างน่าเกรงขามผลักประตูห้องก้าวอาดๆ เข้าไปอย่างรวดเร็ว ธีรกฤษปาดเหงื่อรีบวิ่งตามเข้าไป

    เห็นทีคงจะเป็นเรื่องใหญ่.. คุณกัลป์ไปก่อเรื่องอะไรไว้หนอ ชายหนุ่มนึกถึงอัลปราโซแลมที่เจ้านายให้หามาให้ก็ชักตงิดๆ ในใจ เกี่ยวอะไรกับยานั่นหรือเปล่า

    ตายล่ะ.. เห็นทีคงได้ระเห็จออกจากงานก็คราวนี้

    เดชาเข้าไปก็ไม่ได้พูดพร่ำทำเพลงใดๆ ทั้งสิ้น ท่านประธานซัดหมัดหนักๆ ใส่ใบหน้าคมเข้มของบุตรชายของท่านดังพลั้ว!! คุณทรงชัยผุดลุกขึ้นยืนหน้าตื่น ส่วนคนที่ถูกชกจนหน้าหันเพียงแค่หันกลับมาด้วยแววตาเรียบเฉย เลือดสีแดงสดไหลออกจากมุมปากเป็นทางยาว หยดซึมลงเปื้อนสูทตัวเก่งเป็นวงกว้าง

    เรื่องใหญ่จริงๆ!!

    ธีรกฤษรีบดึงทรงชัยออกจากวงวิวาทพร้อมกับขอโทษขอโพยยกใหญ่ เสี่ยใหญ่ไม่นึกถือสาหาความใดๆ อีกทั้งยังมีสีหน้าอยากรู้อยากเห็น หลังจากเสี่ยออกไปโดยไม่มีงานอะไรคืบหน้า เลขาหนุ่มก็ไม่มีกะจิตกะใจจะพิมพ์งานต่อ เขายื่นหูแนบเข้ากับประตูเพื่อฟังเหตุการณ์ข้างใน สาบานว่าไม่ได้อยากสอดรู้สอดเห็นนะ แต่เพราะเป็นห่วงเจ้านายทั้งสอง ห่วงมากที่สุดคือเดชา กลัวต้นตระกูลระงับอารมณ์ไม่ไหวเผลอสวนกลับ อยู่ร่วมกันมานานเขาก็พอรู้ว่าเจ้านายทั้งสองเข้าหน้ากันไม่ติดทั้งๆ ที่เป็นพ่อลูกอาศัยอยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ

    “ชกผมอีกซิ หยุดทำไม” ต้นตระกูลเช็ดปากกับแขนเสื้อ สีหน้าเย้ยหยันที่มองมานั้นทำเอาผู้เป็นพ่อสั่นไปทั้งร่าง เดชาชูหมัดจะชกใบหน้าอวดดีนั่นอีกครั้งแต่ก็หยุดยั้งตัวเองไว้ก่อน หมัดหนักทิ้งลงข้างตัว กำมือแน่น

    “รู้ตัวบ้างไหมว่าทำบ้าอะไรลงไป”

    “ผมทำอะไรอย่างนั้นเหรอ” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับบิดาอย่างไม่เกรงกลัว

    “นี่แก..” เดชาชี้หน้าบุตรชายด้วยมืออันสั่นเทา “ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าห้ามไปยุ่งกับบ้านหลังนั้น แล้วนี่ยังไปทำเรื่องงามหน้าไว้อีก รู้สึกอะไรบ้างไหม”

    “รู้สึกดี”

    “ไอ้กัลป์!!” สิ้นคำตวาด ร่างหนาของต้นตระกูลก็กระเด็นไปนอนบนโซฟาด้วยปลายเท้าหนักๆ ของเดชา

    ต้นตระกูลเด้งตัวขึ้นยืนเร็วไม่แพ้กัน ใบหน้าเรียบเฉยเริ่มฉายแววอารมณ์โกรธเคือง “ผมเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ายังไงคุณก็ไม่มีทางหยุดผมได้หรอก ไม่มีวัน!”

    “ถือว่าฉันขอ” ชายสูงวัยพยายามข่มอารมณ์ให้เย็นลง กับคนหัวดื้อการใช้ไม้อ่อนอาจจะดีกว่าไม้แข็ง

    “ไม่!!” แต่สำหรับต้นตระกูลไม้ไหนก็คงไม่ได้ผล

    “ตกลงแกจะเอายังไง”

    “ผมจะเอาที่ผืนนั้นให้ได้”

    “ที่ก็อยู่ส่วนที่ แล้วทำไมต้องไปทำร้ายผู้หญิงดีๆ อย่างหนูปรายด้วย ยังมีความเป็นคนอยู่ไหมหา!!”

    “หวงเมียน้อยก็ไม่บอก” ต้นตระกูลผลักอกเดชาออกห่าง อีกฝ่ายเซถอยไปหลายก้าว “ผู้หญิงคนเดียวแบ่งกันกินแบ่งกันใช้บ้างเถอะน่า.. ดีแค่ไหนแล้วที่ผมไม่บอกแม่เรื่องที่คุณไปมาหาสู่กับผู้หญิงคนนั้น คุณควรจะ..ขอบคุณผม” ชายหนุ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง สะใจเหลือคณาเมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดของอีกฝ่าย

    “มันไม่ใช่อย่างที่แกคิด ฉันกับหนูปรายไม่ได้เป็นอะไรกัน”

    “คิดว่าผมจะเชื่อคุณเหรอ” ชายหนุ่มแสร้งถอนหายใจ เอื้อมมือไปตบไหล่บิดา กิริยาไม่ให้ความเคารพอย่างที่ควรจะเป็น “สันดานคนมันไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆ หรอก ผมไม่ถือสา คุณอยากจะคั่วเด็กสักกี่คนก็ตามใจคุณเถอะ แต่ถ้าคุณทำให้แม่ผมเสียใจอีกล่ะก็.. ผมไม่รับรองว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

    “ฉันไม่ได้ทำอย่างที่แกคิด ที่ฉันมาวันนี้ก็เพื่อจะบอกแกว่าอย่ายุ่งกับหนูปรายอีก เธอเจ็บมามากพอแล้ว”

    ฮ่าๆ ต้นตระกูลหัวเราะราวกับเป็นเรื่องชวนขันนักหนา 

    “ไม่มีทาง” ยิ่งเดชาแสดงออกว่าห่วงหวงอรุโณทัยเท่าไรยิ่งกระตุ้นความอยากเอาชนะของเขาเท่านั้น “ผู้หญิงที่เอาตัวเข้าแลกแบบนั้นยังมีดีพอให้ถนอมอยู่อีกเหรอ”

    “แก..” ชายสูงวัยพูดไม่ออก รู้ดีว่าต้นตระกูลไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจิตใจจะโหดเหี้ยมขนาดนี้

    “มาพร่ำบ่นอะไรตอนนี้มันไม่สายไปหน่อยเหรอ” ผู้เป็นลูกเดินลงส้นเท้าหนักๆ ไปนั่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งของตน เขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก ยื่นให้เดชาดูอย่างเป็นต่อ เดชาดึงไปกวาดสายตาอ่านผ่านไอย่างรวดเร็ว ทันทีที่อ่านจบก็แทบไม่มีแรงยืน

    “ผมได้ที่ผืนนั้นมาเรียบร้อยแล้ว”

    “แกบังคับเขาใช่ไหม” สภาพของอรุโณทัยเมื่อวานนี้ดูไม่จืดเลยสักนิด

    “เปล่า” ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงสูง

    “แกทำแบบนี้ได้ยังไง” มอมยา ลักหลับ ใช้เล่ห์กลยึดที่ผืนนั้นมาอย่างหน้าด้านๆ

    “ใครจะทำไม ในเมื่อตอนนี้ผมได้ที่ผืนนั้นมาอยู่ในมือแล้ว ผมจะทำอะไรกับมันก็ได้”

    “ใครสั่งใครสอนให้เห็นแก่ตัวแบบนี้” น้ำเสียงเดชาสั่นสะท้าน กลัวเหลือเกิน กลัวว่าความแค้นของต้นตระกูลจะทำร้ายอรุโณทัย ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย

    “แกรู้ไหมว่าทำแบบนี้หนูปรายจะเสียใจแค่ไหน”

    “ผมไม่เห็นต้องสนใจ เขาจะดีใจ จะเสียใจ จะระหกระเหินไปอยู่กับหมูหมากาไก่ที่ไหน จะเป็นจะตายยังไง ก็ไม่ใช่เรื่องของผม”

    “ฉันผิดหวังในตัวแกจริงๆ” เดชาส่ายศีรษะไปมาอย่างอ่อนล้าทั้งกายทั้งใจ เหนือสิ่งอื่นใดเขาผิดหวังในตัวเองที่ไม่สามารถดูแลอรุโณทัยให้ดีได้ เสียใจที่ในอดีตตนได้ทำสิ่งผิดมหันต์จนส่งผลมาถึงชาตินี้ แต่กลับไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย

    “คนแบบนั้นไม่มีค่าพอให้ผมไปสนใจแม้แต่นิดเดียว” ต้นตระกูลลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สองมือค้ำโต๊ะโน้มตัวไปข้างหน้า สายตาแข็งกร้าวสบประสานกับดวงตาที่ระรื่นไปด้วยหยาดน้ำตาของบิดา

    “พ่อขอร้อง พอทีเถอะกัลป์ ขอได้ไหม”

    “คงจะไม่ได้”

    มือหนาของชายหนุ่มเอื้อมไปเกลี่ยน้ำตาบนร่องแก้มของผู้เป็นบิดาก่อนจะยิ้มเยาะ วางมือทั้งสองบนไหล่ของเดชาออกแรงขยุ้ม

    “เขาแย่งคุณไปจากแม่ของผม”

    “ไม่ใช่”

    “คุณคงหลงยัยเด็กนั่นจนหัวปักหัวปำ ไงล่ะ คงไปคั่วกันบ่อยล่ะสิ ถึงว่า.. คอยปกป้องกันขนาดนั้น”

    “พอได้แล้วต้นตระกูล” 

    “คุณจะทำไม?”

    “เลิกเข้าใจผิดสักที” หากจะถามหาคนผิดที่แท้จริงก็คงเป็นเขานั่นแหละ ถ้าคราวนั้นไม่พยายามจับสองคนนี้แยกจากด้วยการโกหกไปวันๆ ให้ทั้งสองฝ่ายต่างเข้าใจผิดเวรกรรมก็คงจะไม่ผูกกันข้ามภพชาติขนานี้ ฝ่ายชายหลงเชื่อว่าผู้หญิงมีใหม่จากสถานการณ์ต่างๆ ที่เขาสร้างขึ้น ส่วนฝ่ายหญิงกลับยึดมั่นในคนรักอย่างไม่ยอมปล่อยวาง

    เดชากะพริบกลั้นน้ำตา “ข้าผิดเอง ข้าขอโทษ หนูปรายเขารักเขารอเอ็งได้ยินไหม”

    “คุณว่าอะไรนะ” ต้นตระกูลสะดุดหูกับคำพูดของเดชาไม่น้อย สายตาคมกริบจับจ้องผู้เป็นพ่อนิ่ง คาดคั้นอยู่ในที ดูเหมือนเดชาก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าพูดสิ่งที่ไม่ควรออกไป ต้นตระกูลไม่ใช่คนดีที่รักบุตรสาวของเขาอีกแล้ว

     “ยัยเด็กนั้นรักผม” ต้นตระกูลพูดทวนประโยคซ้ำอย่างไม่แน่ใจก่อนจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดูจากท่าทางที่เดชาพยายามปกปิดอะไรสักอย่าง เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นความจริง อรุโณทัยรักเขานั่นล่ะเรื่องจริง เพียงแต่ไม่รู้ว่ามากหรือน้อยเท่านั้น

    “ดีๆ” ชายหนุ่มหัวเราะอีกครั้งอย่างพอใจ แววตาวาบวับอย่างน่ากลัว

    “แล้วแกจะเสียใจ” เดชาปัดมือบุตรชายออกจากไหล่ เดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

    “ไม่มีวัน!!” คนอย่างต้นตระกูลไม่มีวันเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป เขาทำถูกแล้ว ผู้หญิงหิวเงินคนนั้นไม่ควรได้รับการปราณีจากเขาแม้แต่น้อย คอยดูเถอะ.. อย่าหาว่าเขาใจร้ายก็แล้วกัน

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×