คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 3 คือเขาใช่ไหม
3
บรรยากาศภายในโต๊ะอาหารเช้ายังคงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดอย่างที่เคยเป็นมา เดชานั่งอยู่หัวโต๊ะ ถัดไปทางซ้ายมือของเขาคือกรองแก้วผู้เป็นภรรยา ส่วนต้นตระกูลนั่งถัดไปจากผู้เป็นมารดาอีกที
กรองแก้วเหล่มองบุตรชายทีสามีทีด้วยความกลุ้มใจ ต้นตระกูลทานอาหารเรื่อยๆ อย่างไม่แยแสต่อสิ่งใด ไม่แม้แต่จะมองผู้ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ มีบางคราวที่ตักอาหารให้มารดา ส่วนเดชานั้นนั่งครุ่นคิดเสียเป็นส่วนใหญ่
“เอ่อ..”
เพียงแค่ได้ยินเสียง ชายทั้งสองก็เลิกคิ้วเอียงหูฟังอย่างตั้งใจ ไม่มีใครชอบความอึดอัดจนหายใจไม่ออกแบบนี้ แต่ด้วยทิฐิทำให้พวกเขาพยศใส่กันมากกว่าจะคุยดีๆ แม้จะรู้ว่าตนเองช่างเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย แต่ต้นตระกูลก็เลือกมองข้ามจุดนี้ไป เขาไม่ชอบผู้ชายคนนั้น ไม่ชอบหน้า ไม่ชอบเสียง ไม่ชอบทุกๆ อย่าง ไม่เคยเรียกพ่อมาแต่ไหนแต่ไร ส่วนเดชา ด้วยคิดว่าตัวเองเป็นพ่อ เขาจึงไม่คิดจะยอมลงก่อน ไม่ใช่ว่าไม่เคย แต่เพราะเคยลงแล้วโดนไอ้ลูกไม่รักดีตอกกลับมาจนหน้าหงายนี่สิ ช่างน่าเจ็บใจ
“อะไรแก้ว”
“แก้วว่า” นั่นสิ ว่าอะไรดี นายหญิงแห่งอัศวเมฆินทร์คิดไม่ตก
“มีอะไรงั้นเหรอ” เดชาแสดงความห่วงใยในน้ำเสียง
ต้นตระกูลแอบเบ้ปากใส่ผู้เป็นบิดา
“อ้อ!! โครงการใหญ่ไปถึงไหนแล้วคะ” เรื่องที่ดีที่สุดที่ทำให้พ่อลูกคู่นี้คุยกันได้ยาวคือเรื่องงาน เพราะฉะนั้นนางจึงยกเรื่องโครงการการก่อสร้างอาณาจักรอัศวเมฆินทร์ขึ้นมาเสียเลย โปรเจ็กใหญ่ที่กำลังเริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างล้วนเป็นที่สนใจจากกลุ่มคนทุกระดับ แต่เดิมอาณาจักรอัศวเมฆินทร์นั้นยิ่งใหญ่เป็นที่รู้ดีในกลุ่มคนมีฐานะทางสังคม เพราะเป็นธุรกิจการโรงแรมครบวงจรที่มีสาขาย่อยกระจายเกือบทั่วประเทศ มีห้องอาหารชั้นนำระดับโลก พร้อมบริการรถรับส่งถึงสนามบิน บริการดีเป็นที่หนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงราคาที่ทั้งแพงแสนแพง จนคนระดับรากหญ้าไม่คิดอาจเอื้อม แต่อาณาจักรใหม่ใจกลางกรุงที่กำลังเนรมิตขึ้นนี้แตกต่างจากแต่ก่อน เพราะต้องการมุ่งให้บริการกับกลุ่มคนทุกระดับด้วยคุณภาพที่แตกต่างตามเงินตรา
เป็นที่รู้กันดีว่า ต้นตระกูลเขี้ยวลากดินยิ่งกว่าเดชาผู้เป็นพ่อหลายเท่า เขาชื่นชอบการสร้างเม็ดเงินและก็ชอบการใช้จ่ายเงินที่หามาได้พอๆ กัน
“กำลังรับประมูลผู้ก่อสร้างอยู่” เดชาตอบเอื่อยๆ ทำเป็นไม่สนใจสิ่งใดทั้งที่ความเป็นจริงเขานั้นจับกิริยาบุตรชายไม่ห่าง
“ผมก็กำลังกว้านซื้อที่จากชาวบ้านแถบนั้นอยู่ครับ” ต้นตระกูลแทรกขึ้น ใบหน้าหยิ่งทะนงตลอดกาลปรากฏริ้วรอยความลำบากใจครู่หนึ่ง แต่ผู้ที่จับสังเกตอยู่ตลอดแอบเห็น
“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”
“มีเจ้าหนึ่งไม่ยอมขายที่ เธอคงคิดจะแก่ตายคาบ้านหลังนั้นจริงๆ”
“ไปแช่งเขาทำไม” กรองแก้วตีแขนบุตรชายไม่ออมแรง ต้นตระกูลหน้ามุ่ย ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักและเทิดทูนคือแม่แก้วคนนี้คนเดียวเท่านั้น
“เดี๋ยวพ่อจะไปดูเอง”
“แต่..”
“ให้พ่อเขาช่วยเถอะกัลป์” กรองแก้วรีบแทรกขึ้น ไม่อยากให้สามีลำบากใจไปยิ่งกว่านี้
“ครับ” ต้นตระกูลรับคำไปอย่างนั้นเอง ทั้งที่ในหัวมีแผนเรียบร้อยแล้ว
รถสปอร์ตยี่ห้อดังรุ่นพิเศษที่สั่งทำขึ้นเพียงคันเดียวในโลกตามความต้องการของผู้ขับขี่แล่นเข้ามาจอดหน้ารั้วไม้เก่าคร่ำครึ ไม่นานร่างสูงก็ผลักประตูรถออกมายืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ทันทีที่เห็นรูปทรงของบ้าน ต้นตระกูลกลับรู้สึกเหมือนเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
อ่า..ใช่ เขาคงดูหนังมากไป บ้านหลังนี้เป็นเพียงบ้านไม้ทรงไทยโบราณที่เห็นกันดาษดื่นในหนังย้อนยุค
หลังจากกดกริ่งหน้าบ้านไม่นาน หญิงชราผมขาวโพลนทั้งศีรษะก็เดินจ้ำอ้าวออกมาจากใต้ถุนบ้านอย่างกระฉับกระเฉงขัดกับบุคลิกภายนอกยิ่งนัก
“มาทำไม”
กำลังจะอ้าปากเอ่ยทักทายอย่างมีมารยาทเพื่อผูกสัมพันธ์ก็โดนยัยแก่ปากร้าย ฉายาที่เลขาคู่ใจของเขาตั้งให้ ถามอย่างไม่รักษาน้ำใจ ต้นตระกูลสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์
“ถ้าจะมาซื้อที่ ขอบอกว่าที่นี่ไม่ขาย” กัลยายืนเท้าสะเอวด่าฉอดๆ อีกยื่นยาวหลายประโยค “มาทางไหนเชิญกลับไปทางนั้น” ว่าแล้วก็หันหลังเดินฉับๆ ออกไปไม่วายหันกลับมาด่าซ้ำสอง
ต้นตระกูลกัดฟันกรอดๆ ตั้งแต่เกิดมาจนปีนี้อายุย่างเข้าสามสิบ นับรวมคำด่าทั้งชีวิตยังไม่มากเท่าโดนยัยแก่ปากมหาประลัยด่าสาดเสียเทเสียในเวลาไม่ถึงสิบนาที
“มองอะไร” ชายหนุ่มหันไปพาลเลขาที่ยืนทำหน้าตื่นอยู่ข้างๆ ฝ่ายนั้นหลบหน้าไวปานกัน
ฝ่ายกัลยาเดินบ่นกระปอดกระแปดขึ้นเรือนด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เมื่อเห็นนายหญิงของตนนั่งถักไหมพรมบนเรือนนางก็รีบเข้าไประบายความจุกอกอย่างเคย อรุโณทัยชอบที่จะเป็นฝ่ายฟังส่วนกัลยานั้นค่อนข้างจะเป็นคนพูดมากอยู่สักหน่อย ยิ่งมีกันแค่สองคนแค่นี้นางจึงผูกขาดการสนทนาไปโดยปริยาย
“ไม่รู้ว่าเราจะโดนคุกคามไปถึงเมื่อไร เราแจ้งตำรวจเลยไหมคะคุณปราย”
“อย่าเลย เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่ ฉันอยากอยู่แบบสงบๆ”
“ทุกวันนี้มันก็ไม่ได้สงบเลยนะคะ”
อรุโณทัยหลุบตาต่ำลง ร่างบางลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับพวกเขาเอง”
“คุณปราย” หญิงชรากำลังจะทัดทานแต่ผู้เป็นนายก็เดินจากไปเสียแล้ว นางจึงรีบเดินตามหลัง
เมื่อใกล้ถึงรั้ว หญิงต่างวัยทั้งสองก็พบกับชายในชุดสูทสีดำยืนทำหน้านิ่งอยู่ด้านนอก อรุโณทัยปลดล็อคกุญแจและเดินออกไปพบทั้งสองโดยไม่ฟังเสียงค้านของกัลยา
“ถ้าพวกคุณมาซื้อที่ ฉัน...”
หญิงสาวชะงัก ความรู้สึกคุ้นเคยสายหนึ่งแล่นปราดไปทั่วร่างทันทีที่ได้สำรวจใบหน้าคมคาย พอเลื่อนสายตาสบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้น ภาพคนรักก็ซ้อนทับขึ้นมา วินาทีนั้นใจดวงน้อยที่เฉื่อยชามาแสนนานกลับเต้นรัวราวลั่นกลอง
เช่นเดียวกันกับต้นตระกูล ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ไม่อาจละสายตาจากดวงหน้าเนียนกระจ่างนั้นได้เลย
“เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า เธอชื่ออะไร”
“ป.. ปรายค่ะ” อรุโณทัยตอบตะกุกตะกัก คล้ายไผ่เหลือเกิน... กลับมาหากันแล้วใช่ไหม
หญิงสาวไม่สามารถละสายตาไปจากใบหน้าหล่อเหลาของเขาได้เลย ไผ่ในวันนี้ดูแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก ผมทรงมหาดไทยถูกเปลี่ยนเป็นรองทรงแบบที่กำลังฮิตช่วยขับใบหน้าคมให้ดูดีขึ้นไปอีกระดับ เธอไล่สายตาสำรวจคนตรงหน้าอย่างโหยหา แต่เมื่อเห็นแววตาว่างเปล่าของเขา ความหวังทั้งหมดก็ดับวูบลง คลื่นความหม่นหมองสาดซัดเข้ามาจนร่างน้อยยืนแทบไม่ไหว
อาจเป็นเพราะ นี่คือชาติภพใหม่ของเขา ในโลกนี้คงไม่มีใครมีชีวิตอยู่เพื่อใช้กรรมได้นานเท่าเธออีกแล้ว
ปราย...
ต้นตระกูลทวนชื่อคุ้นใจนี้อยู่ซ้ำๆ ใบหน้าที่บึ้งตึงหน้ากลัวอยู่แล้วยิ่งเพิ่มระดับความน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก
“ฉัน..”
“เท่าไร”
“คะ?”
“บ้านหลังนี้”
“...” เจ้าของบ้านเม้มปาก รู้สึกถึงความผิดหวังขึ้นมารางๆ
“หึ” ต้นตระกูลแค่นยิ้ม สายตาคมมองสำรวจบ้านไม้เก่าแก่อย่างประเมิน
แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งมอง ยิ่งรู้สึกคุ้นเคย
ชายหนุ่มก้าวเดินหน้าโดยไม่รู้ตัว อรุโณทัยขยับถอยหน้าตื่น หนึ่งเดินหน้าหนึ่งถอยหลังจนชิดขอบรั้วในที่สุด
กัลยากำลังจะขยับไปช่วยนายสาวแต่ก็ถูกข่มขู่ด้วยปืนพกสีดำมะเมื่อมของชายรุ่นหลานอีกคน หญิงชรากลัวจนไม่กล้าหายใจเสียงดัง ได้แต่นึกสาปแช่งอยู่ในใจ
"จะทำอะไร" อรุโณทัยถามเสียงสั่นเมื่อโดนคุกคามด้วยร่างหนา
ต้นตระกูลหลับตา เหงื่อผุดซึม ความรู้สึกทั้งรักทั้งแค้นตีตื้นขึ้นมาในใจ เขาลืมตามองร่างบางตรงหน้า มองแบบไม่ยอมกะพริบตาแม้แต่น้อย
ต้นตระกูลกุมศีรษะ ร่างผงะเซ
“คุณ!”
“ตาเถร!”
“เจ้านาย!!”
จู่ๆ ผู้เป็นนายกลับทิ้งตัวดิ่งลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกเสียอย่างนั้น ธีรกฤษแม้จะตกใจแต่ก็ถลันไปประคองร่างไร้สตินั้นได้ทัน
อรุโนทัยนั่งอยู่ข้างร่างที่นอนไร้สติของเขา ใช้ผ้าผืนเล็กชุบน้ำซับไปตามใบหน้าและลำคอหนาอย่างเบามือ ไม่นานชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้น เขาพยุงตัวนั่งและจ้องร่างบางตาไม่กะพริบ ความเย็นเยือกชนิดหนึ่งวูบผ่านสายตาโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
“ขอบคุณมากครับ”
เสียงทุ้มแสนสุภาพดังออกมาจากปากเจ้านาย ธีรกฤษยืนเหวอ เขาคงจะฟังยัยแก่ปากร้ายบ่นจนหูเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ นอกจากนายหญิงแล้ว เจ้านายไม่เคยพูดเสียงอ่อนเสียงหวานกับใครสักคน
อรุโณทัยแอบกลืนน้ำลาย ประหม่าไม่น้อยเมื่อได้พูดคุยกับชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดทางเพศอีกทั้งหน้าตาของเขายังคล้ายกับคนที่เธอรักและปักใจเชื่อไปแล้วว่าใช่แน่
“ค่ะ”
“ผมต้นตระกูลครับ แต่เรียกกัลป์คงสะดวกกว่า”
“อ่อ ค่ะ” มีคำมากมายที่อยากเล่าอยากถาม แต่อรุโณทัยกลับเอื้อนเอ่ยไม่ออก ได้แต่รับคำแล้วนิ่งเงียบจากความไม่กล้าของตนเอง หากเขาจำเรื่องในอดีตไม่ได้แล้วเธอจะกล้าพูดได้อย่างไรกันว่าเขาเป็นคนรักที่เธอเฝ้ารอมานับร้อยๆ ปี แต่เอาเถิด... ในเมื่อวันนี้ได้พบเจอได้พบว่าเขาสุขสบายดีก็เหมือนกับได้ปลดบ่วงทุกข์ในใจไปขั้นหนึ่ง
ขณะที่คนหนึ่งคิดขอบคุณโชคชะตาอยู่นั้น อีกคนกลับลอบประเมินกันอย่างเงียบๆ เห็นได้ชัดว่าอรุโณทัยเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง หน้าตาก็สวยพอตัว ทำไมเธอถึงไม่ยอมทิ้งบ้านโบราณๆ ไปซื้อคอนโดหรูๆ อยู่ ต้นตระกูลแอบหงุดหงิดในใจ
“ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นผมก็รู้สึกผูกพันกับบ้านหลังนี้อย่างไรไม่รู้ครับ เหมือนกับว่าตัวเองเคยอยู่มาก่อน อาจจะเป็นชาติที่แล้ว” เขาพูดติดตลกทั้งที่ใจจริงอยากสั่งรื้อมันเสียเดี๋ยวนี้ พลันนั้นก็นึกถึงความฝันอันขมขื่นขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ “อาจเคยรักผู้หญิงคนหนึ่ง...”
“กลับมาหากันแล้วบ้ออ้าย” อรุโณทัยน้ำตาคลอ ลองเอ่ยไปอย่างมีความหวัง หรือเขาจำได้แต่ตอนนี้ยังลองใจกันอยู่นะ
ต้นตระกูลหันขวับไปหาเลขาของเขา ฝ่ายนั้นทำหน้างงไม่แพ้กัน ชายหนุ่มหันกลับมาหาใบหน้าเปื้อนน้ำตาอีกครั้ง เธอยิ้มกว้าง มองเขาด้วยแววตาคาดหวังอยู่ในที
“เอ่อ” ชายหนุ่มอึกอัก ยอมรับว่าต่อบทไม่ถูกจริงๆ
“สบายดีไหมคะ” หญิงสาวรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ยังจำได้ดีที่เขาบอกว่าไม่อยากให้เธอร้องไห้ เขาเจ็บปวดที่เห็นน้ำตาของเธอ
“ครับ” ต้นตระกูลตอบ เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความโหยหาของอีกฝ่าย เขาแน่ใจนะว่าไม่เคยไปหว่านเสน่ห์ใส่ผู้หญิงหน้าตาแบบนี้ “แล้ว.. คุณปรายละครับ”
“คือ” อรุโณทัยก้มหน้า
“อยู่ที่นี่ไม่สบายใช่ไหม อยากลองย้ายออกไปอยู่ที่อื่นหรือเปล่า”
“นั่นไงคะคุณปราย คนพวกนี้ไว้ใจไม่ได้ คุณปรายอย่าหลงกลนะคะ”
ยัยแก่! ต้นตระกูลกัดฟันข่มความโมโห
“ปรายชอบอยู่ที่นี่มากกว่า” เธอตอบเสียงอ่อย
“อืม.. ผมก็แค่เสนอดูเผื่อคุณชอบอยู่กับความแก่ โทษที...ผมหมายถึงความเก่าแก่ กับธรรมชาติสวยๆ น่ะครับ พอดีผมมีที่หนึ่งอยากแนะนำ แต่ผมก็ชอบที่นี่นะครับเพราะดูมีเอกลักษณ์แบบเรือนไทยยุคเก่าดี” ใบหน้าหล่อเหลาเหยียดยิ้มเล็กน้อยเมื่อแผนการกำลังไปได้สวย
หญิงชราวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะอย่างกระแทกกระทั้น น้ำในแก้วกระฉอกออกมาใส่สูทเนื้อดีของแขกหนุ่ม ต้นตระกูลกำหมัดแน่น เริ่มจะหมดความอดทน
“กัลยา” อรุโณทัยปรามเสียงเข้ม หญิงชรากล่าวขอโทษเบาๆ ตามมารยาทก่อนจะเดินออกไปคุมเชิงอยู่ด้านหลังนายสาว
“ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มเอ่ยลอดไรฟัน ฝืนยิ้มให้เธอนิดๆ
งานคือเงิน เงินคือความสุข คิดได้ดังนั้นใบหน้าหล่อจึงเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง “บ้านสวยดีนะครับ”
“ดีใจที่คุณชอบ” เจ้าของบ้านยิ้มกว้าง “บ้านหลังนี้สร้างมานานแล้วค่ะมันเลยดูเก่าแก่ไปหน่อย แต่ปรายก็พยายามรักษาสภาพเดิมไว้ให้มากที่สุดแม้จะซ่อมแซมรีโนเวทมาหลายที” เป็นความจริงอย่างที่เธอบอก ทุกสิ่งทุกอย่างในเรือนหลังนี้ยังคงเดิม โดยเฉพาะบริเวณต้นสายหยุดต้นที่ถึงแม้ต้นเก่าจะตายไปเธอก็ปลูกต้นใหม่ทดแทนตลอดเพื่อระลึกถึงความรักของเขาและเธอ นอกจากนั้นรอบๆ ไทยหลังนี้เต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับนานาชนิด ทั้งไม้เลื้อย ไม้ยืนต้น หรือไม้ล้มลุก พวกมันถูกปลูกอย่างเป็นระเบียบและกำลังออกดอกอวดสีสันแลดูงามตา มะลิบนกระถางน้อยริมระเบียงกำลังชูช่ออวดความสวยส่งกลิ่นหอมชื่นใจ ยามลมพัดมาเอื่อยๆ ส่งผ่านกลิ่นหอมฟุ้งของดอกไม้นานาพันธุ์อบอวลทั่วทุกหนแห่ง
ถึงต้นตระกูลไม่เคยนึกพิศวาสอะไรเทือกนี้มาก่อน แต่ตอนนี้ยอมรับว่ามันมีเสน่ห์จริงๆ ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ “ผมหลงเสน่ห์บ้านนี้เข้าแล้วล่ะ”
ใบหน้างามแดงระเรื่อ “คุณเป็นนายหน้าซื้อที่เหรอคะ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” ต้นตระกูลแสร้งถอนหายใจเหนื่อยๆ “ทีแรกว่าจะขอซื้อ แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วล่ะ เห็นบ้านนี้แล้วคิดถึงเรื่องเก่าๆ” ตอนเป็นเด็ก ต้นตระกูลอาศัยอยู่บ้านหลังเก่า ที่นั่นดูร่มรื่นและเงียบสงบเหมือนที่นี่ แต่หลังจากสร้างบ้านหลังใหม่เสร็จ เขาก็ไม่ได้ไปเหยียบบ้านหลังเดิมอีกเลย รู้แต่เพียงว่าเป็นสถานที่พักผ่อนของนายเดชากับแม่เท่านั้น
“ถ้าคุณชอบ ก็แวะมาเยี่ยมได้นะคะ”
มาแน่.. ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ จากนั้นสองหนุ่มสาวคุยสัพเพเหระเรื่องต่างๆ จวบจนเวลาล่วงเข้าสู่หกโมงเย็น ต้นตระกูลจึงขอตัวกลับ ลับหลังชายแปลกหน้าสองคนนั้น กัลยาจึงได้โอกาสตักเตือนนายสาว
“คุณปราย เจอกันครั้งแรก ไม่น่าทำตัวสนิทชิดเชื้อกับคนพวกนั้นมากเกินไป”
“ถ้าหากว่าฉันเคยเจอเขามาก่อนล่ะ” หญิงสาวหลบสายตาค้นหาของอีกฝ่ายอย่างเอียงอาย
“อิฉันไม่เคยเห็นคุณออกไปไหน วันๆ ก็ถักไหมพรมส่งลูกค้าอยู่ในบ้าน”
“กัลยา” อรุโณทัยจับมือเหี่ยวย่นของหญิงชราขึ้นมากุมด้วยความดีใจ “คุณกัลป์คือพี่ไผ่ พี่ไผ่ที่ฉันเฝ้ารอมาตลอดไงล่ะ เขากลับมาแล้ว มาหาฉัน”
“แน่ใจเหรอคะ” น้ำเสียงกังวลใจเอ่ยออกมา “คุณปรายอาจจะสับสน”
“ฉันจำไม่ผิด”
“เขาอาจมาหลอก”
“ฉันรู้จักไผ่ดี เขาไม่ใช่คนแบบนั้น” ความดื้อดึงของคนที่มีอายุมากกว่าทำให้กัลยาเก็บปากเงียบไป อรุโณทัยเป็นคนใจเด็ด หากเธอเชื่อมั่นในสิ่งใดแล้ว ไม่มีอะไรจะมาสั่นคลอนความคิดของเธอได้
“เอ.. วันนี้กินอะไรดีนะ นึกออกแล้ว ฉันจะทำข้าวผัดปูดีกว่า” ว่าแล้วร่างบางก็วิ่งไปห้องครัวอย่างร่าเริง ทิ้งให้คนข้างหลังมองตามด้วยความเป็นห่วง
ตั้งแต่เข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ สิ่งเดียวที่ทำให้นางนึกสงสารคือการที่อรุโณทัยเฝ้าพร่ำเพ้อถึงแต่ผู้ชายคนนั้น คนที่กัลยาคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้เจอ แต่วันนี้นายสาวได้เจอคนที่รอคอยแล้ว กัลยากลับสังหรณ์ใจแปลกๆ ผู้ชายคนนั้นอาจไม่ใช่คนดีอย่างที่เห็น นางได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ ขอให้ทุกอย่างผ่านไปได้ดี นายสาวของนางจะได้มีความสุขอย่างชาวบ้านเขาเสียบ้าง
“นายครับ”
“อะไร” ผู้ถูกเรียกหันมาชักสีหน้าใส่เล็กน้อย
“นายคงไม่ได้จะ..”
“แล้วจะทำไม” ลูกน้องยังพูดไม่จบ เจ้านายก็พาลใส่เสียงห้วน ต้นตระกูลพยายามระงับอารมณ์อย่างยากลำบาก เขาไม่ชอบให้ใครขัดใจ แค่พูดไม่ถูกหูก็ชักจะหงุดหงิด
เลขาหนุ่มรู้ดี เขาจึงนิ่งเงียบ
“พรุ่งนี้เตรียมดอกไม้ให้ด้วย”
“ครับ”
เมื่อสั่งเสร็จร่างหนาก็ก้าวอาดๆ จากไปทันที ธีรกฤษถอนหายใจ เฮ้อ.. อารมณ์ร้ายไม่มีใครเกินจริงๆ รถสปอร์ตคันงามแล่นฉิวออกไป ตามติดๆ ด้วยรถเบนซ์ของผู้เป็นลูกน้อง
คืนนี้ก็เหมือนกับคืนที่ผ่านมา ต้นตระกูลแวะเข้าโรงแรมในเครืออัศวเมฆินทร์เพื่อหาความสนุกตามประสาหนุ่มโสด เจ้านายผู้แสนดียังมีน้ำใจหาคู่นอนให้ลูกน้องอีกด้วย ทั้งที่ก็รู้ดีว่าธีรกฤษมีคนที่กำลังดูๆ ใจกันอยู่ทั้งคน
“เจ้านายครับ ผมรับไม่ได้จริงๆ” ธีรกฤษค้านเสียงอ่อย เขาพยายามเดินให้ทันเจ้านายหนุ่มเพื่อหยุดยั้งการยัดเยียดสาวๆ ให้เขาเสียที คราวที่แล้วโดนธารธาราจับได้ก็ยังง้อไม่ทันสำเร็จด้วยซ้ำ
“โง่ไปป่ะ” ต้นตระกูลหันมากระชากเสียงใส่ลูกน้อง ฝ่ายนั้นยืนนิ่ง ทำตาปริบๆ
เขาไม่เรียกว่าโง่หรอก แต่เรียกว่าซื่อสัตย์ต่อคนรักต่างหาก เลขาหนุ่มไม่อาจต่อปากต่อคำอย่างที่ใจคิด เจ้านายก็คือเจ้านายหาใช่เพื่อนเล่น แม้ว่าจะทำงานร่วมกันมาเกือบสามปีก็เถอะ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงยินดีรับของขวัญจากเจ้านายด้วยความเต็มใจ แต่ตอนนี้เขามีคนที่คบอยู่แล้วและก็รักผู้หญิงคนนั้นมากด้วย เขาจึงไม่อาจประพฤติตัวเหลวไหลได้อีก
“กลัวแฟนเหรอนายน่ะ” คนไม่เคยมีแฟนหัวเราะเสียงดัง ต้นตระกูลยื่นมือไปตบไหล่ลูกน้องปึกๆ “นายกฤษ น้ำหนาวเป็นแค่แฟนไม่ใช่เมียสักหน่อย ทำไมต้องไปแคร์อะไรมากมายด้วยเนี่ยฮะ ถามจริงเถอะ ได้กันหรือยัง”
“ย..ยังครับ” ผิวแก้มคนตอบร้อนผ่าว อาการหน้าแดงหูแดงเกิดขึ้นกะทันหัน ต้นตระกูลเห็นแล้วหัวเราะดังกว่าเก่า เขาคว้าร่างเลขาหนุ่มมากอดแรงๆ แล้วเดินจากไป
“ตราบใดที่ยังไม่มีเมียเป็นตัวเป็นตนมันก็ไม่ถือว่าผิดอะไรหรอกกฤษ ลองหันมองคนอื่นดูบ้างสิ การมีตัวเลือกมันก็ไม่ได้แย่หรอก แม่ของลูกนายทั้งคนนะ” น้ำเสียงหลอกหลอนของเจ้านายยังคงลอยมาตามลมพอให้ธีรกฤษกลอกตาด้วยความเบื่อหน่าย มันก็จริงอย่างที่เจ้านายว่า แม่ของลูกทั้งคนเราก็ต้องเลือกหาสิ่งที่ดีที่สุด แต่วิธีของเจ้านายนั้นเขาไม่เห็นด้วยเอาเสียเลย ต้นตระกูลทำตัวล่องลอยไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าหาแม่ของลูก ในความคิดของเจ้านายหนุ่ม ตราบใดที่ยังไม่แต่งงานมีเมียเป็นตัวเป็นตน เขาก็มีสิทธิ์จะจีบสาวคนไหนก็ได้ที่เขาพึงใจ มันเป็นสิทธิ์ของเขาที่จะเลือกคนที่ดีที่สุดมาเป็นแม่ของลูก ผู้หญิงทุกคนที่คบกับต้นตระกูลต้องยอมรับในข้อตกลงนี้ พวกเธอต้องไม่ทำตัวก้าวก่าย ไม่เจ้ากี้เจ้าการ ไม่ขี้บ่น ไม่หึงหวง หากพวกเธอไม่สามารถยอมรับได้ ต้นตระกูลก็พร้อมจะเขี่ยพวกหล่อนออกจากชีวิต แต่สำหรับลูกน้องอย่างธีรกฤษ เขาเน้นคบทีละคน และดูเป็นรายๆ ไป หากมีนิสัยที่เข้ากันไม่ได้ เขาจึงจะเลิกและมองหาคนใหม่
นิสัยของเจ้านายกับลูกน้องคนสนิทดูจะไปกันคนละทาง
เจ้านายขี้โมโหกับลูกน้องผู้ใจเย็น
คงจะมีแค่ความหยิ่งทะนงที่สองคนนี้มีมากเหมือนๆ กันอย่างที่ทุกคนที่เคยสัมผัสปฏิเสธไม่ได้
“วันนี้นายไปกล่อมลูกแกะน้อยเถอะ ได้กินเมื่อไรอย่าลืมจัดงานฉลอง” ก่อนจะเข้าลิฟต์ ต้นตระกูลยังไม่วายหันมากระเซ้า เลขาหนุ่มยิ้มรับ ร่างสูงเดินกึ่งวิ่งออกจากโรงแรมไปหาลูกแกะน้อยในดวงใจทันที
เช้าวันต่อมาเรือนไทยหลังใหญ่ได้มีโอกาสต้อนรับแขกอีกครั้ง คราวนี้เป็นชายสูงวัยหน้าตาคมคายท่าทางสุภาพไม่คุกคามเท่าไร กัลยาจึงต้องสุภาพตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“มีธุระอะไรเหรอคะ” หญิงชราเอ่ยถาม น้ำเสียงไว้ตัวบวกกับหน้าเชิดๆ นั้นไม่ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกกริ่งเกรงแต่อย่างใด ผู้บริหารอย่างเขาเจอคนมากมายทุกระดับ และรับมือกับทุกสภาวะอารมณ์ของทุกๆ คนได้เป็นอย่างดี
เดชายิ้มผูกมิตร “ผมเดชาครับ มาขอพบเจ้าของบ้านหลังนี้”
“นัดไว้หรือเปล่าคะ” ปกติลูกค้าที่สั่งจองงานแฮนด์เมดของนายสาวมักจะมีการนัดพบกันล่วงหน้า เมื่อลูกค้ามาถึง กัลยาจะไปเรียนเจ้าของบ้าน เมื่อทราบว่าใครมาทำอะไรแน่นอนแล้ว เธอจึงเปิดประตูต้อนรับ แต่หากมารับสินค้า กัลยาจะเป็นฝ่ายนำมาส่งถึงรั้ว ผู้มารับไม่มีโอกาสแม้แต่จะเหยียบพื้นดินหน้าบ้าน ทุกคนต่างคิดว่าอรุโณทัยเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงจึงไม่มีใครติดใจอะไร คงจะมีเพียงกัลยาที่รู้ดีว่านายสาวนั้นเป็นโรคแพ้แสงแดดอย่างรุนแรง อีกทั้งการมีชีวิตอยู่มานานจึงมีความจำเป็นต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ด้วยเกรงว่าจะเกิดคำครหาต่างๆ นานา
“ไม่ครับ” เดชาตอบกลับเสียงสุภาพ หน้าจั่วเรือนไทยที่มองเห็นนั้นสร้างความคุ้นเคยแก่เขาอย่างประหลาด ชายสูงวัยเพ่งมองอีกครั้ง เบิกตาโตด้วยความตกใจและคิดไม่ถึง
บ้านในความฝัน.. จำไม่ผิดแน่นอน
กัลยาไล่สายตาสำรวจผู้มาเยือนตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง “รอสักครู่”
เดชาพยักหน้าและให้ความสนใจกับลักษณะของเรือนไทยหลังนั้นอีกครั้ง ผิดกันตรงที่บ้านในความฝันนั้นใหม่และสภาพดีกว่าบ้านหลังนี้มากนัก ชายสูงวัยแอบตั้งความหวังไว้ลึกๆ บางทีสิ่งที่เขาตามหามานานอาจจะซ่อนอยู่ในบ้านหลังนี้
หากแก้ปัญหาได้แล้ว ความฝันซ้ำซากที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดจะได้หายไปเสียที
ไม่นานนัก หญิงชราคนเดิมก็กลับมาอีกด้วยแววตาระวังภัยยิ่งกว่าเก่า ข้างหลังนั้นเป็นผู้หญิงสาวอายุราวยี่สิบต้นๆ เดินตามมาด้วย คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของบ้าน
ทันทีที่ได้เห็นหน้า เข่าชายสูงวัยแทบทรุด และเมื่อได้สบตากับดวงตาตื่นๆ ของเธอ ภาพต่างๆ ที่บังเอิญผุดขึ้นในหัวก็พร้อมใจกันถาโถมใส่เขาไม่ขาดสาย
นี่มัน.. อะไรกัน
“เจ้าคุณพ่อ!!!”
นี่เป็นเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก่อนเดชาจะหมดสติ
“คุณพระ! อีกแล้วเหรอ” กัลยาอุทานออกมาเสียงดังเมื่อแขกล้มลงต่อหน้าต่อตา พักนี้มนุษย์เรามีภูมิต้านทานลดน้อยลงหรือเปล่าทำไมถึงชอบเป็นลมกันจัง หญิงชรารีบปลดล็อกกลอนประตู เพื่อมาดูอาการคนเป็นลมแต่ก็ยังช้ากว่านายสาว “จู่ๆ จะมาเป็นลมอะไรเอาตอนนี้ จะตายรึเปล่านี่”
“กัลยาช่วยพยุงเข้าบ้านหน่อย”
“ค่ะๆ”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ร่างไม่ได้สติก็ฟื้นคืน อรุโณทัยดีใจจนน้ำตาไหล ช่วงนี้มีแต่เรื่องดีๆ เข้ามา เมื่อวานนี้เจอไผ่ วันนี้เจอบิดา ชีวิตของเธอคงถึงคราวหมดเคราะห์หมดโศกกระมัง
“เป็นยังไงบ้างคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง แววตาคาดหวังปนหวาดหวั่นคู่นั้นทำให้คนมองตื้นตันในอก เดชาสูดหายใจลึก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเป็นความจริง
เขาระลึกชาติได้!!!
มือทั้งคู่ยื่นโอบประคองดวงหน้าหวานละมุนแผ่วเบาราวกับกลัวว่าตนจะทำสิ่งล้ำค่าสูญสลาย เกลี่ยน้ำตาบนร่องแก้มบุตรสาวในชาติที่แล้วด้วยมืออันสั่นเทา
“ปราย”
“เจ้าค่ะ” สิ้นคำขาน ร่างน้อยโผเข้ากอดชายสูงวัยเต็มรัก เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร เดชาหรือคุณหลวงสิงหบดีเดชาก็ร่ำไห้ตามบุตรสาว ส่วนกัลยานั้นยืนน้ำตาคลออยู่ด้านหลัง
หมดทุกข์หมดโศกเสียทีคุณปรายของอิฉัน
“พ่อขอโทษนะลูก พ่อขอโทษ” เดชาพูดพร่ำแต่คำเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา ความผิดแต่หนหลังประเดประดังเข้ามาจนไม่อาจสู้สายตาซื่อบริสุทธิ์ของบุตรีได้เลย
“ลูกรอมานานเหลือเกิน” อรุโณทัยคลายอ้อมกอดออกมาปาดน้ำตาแบบลวกๆ “นึกว่าจะไม่ได้เจอกันเสียแล้ว”
“พ่อขอโทษ”
“เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นเรื่องธรรมดาเจ้าค่ะ ลูกขอบคุณเจ้าคุณพ่อที่กลับมาหาลูกอีกครั้ง”
“พ่อ” เดชากำลังจะพูดอะไรสักอย่างกลับเงียบไป เขาไม่กล้าจะสารภาพความจริงบางอย่างที่หลอกลูกสาวของตนมาตลอด “สบายดีไหมลูก”
“สบายดีค่ะ” อรุโณทัยโผกอดบิดาอีกครั้ง “ดีใจจัง”
“ว่าแต่ ทำไมหนูยังอยู่” พลันเห็นแววตาหม่นหมองของอรุโณทัย เดชาก็หัวเราะกลบเกลื่อน “เอ่อ พ่อหมายถึง ลูกยังสาวยังสวยไม่ผิดจากเมื่อก่อนเลย”
“ลูกก็ไม่รู้” หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเริ่มต้นเล่าเรื่องต่างๆ นับแต่ต้น “ลูกก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้”
เดชาหน้าซีดเผือด เหงื่อเม็ดใหญ่ซึมทั่วใบหน้า คำสาปแช่งของนายทาสผู้นั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวเหมือนกับโดนพูดกรอกหูอยู่ใกล้ๆ
ขอให้เธออย่าได้สมหวังกับคนที่เธอรัก
ขอให้ความรักของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ขอให้เธอทุกข์ทรมานกับความโดดเดี่ยวไปชั่วกัปชั่วกัลป์!!!
นี่เขาทำอะไรลงไป..
ความละอายใจทำให้เดชาเลือกที่จะเก็บเรื่องเลวร้ายไว้กับตัว เขาไม่อยากให้ลูกเกลียด ในสายตาของลูก พ่อคนนี้คือคนดียิ่งกว่าใคร ทุกอย่างเป็นเพราะเขาจงใจแสดงด้านดีๆ ให้ลูกเห็น ตัวตนอีกด้านถูกเก็บไว้อย่างมิดชิดยามอยู่ต่อหน้าลูก ความเห็นแก่ตัวของเขาสร้างความทุกข์ใจแก่ลูกมากเพียงใดเขารู้ดี แต่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรก็ไม่ได้อีกแล้ว
“เรื่องที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไรช่างมัน แต่ต่อไปนี้พ่อจะดูแลลูกให้ดีที่สุด” เดชาหมายความตามนั้นจริงๆ
ส่วนเรื่องของไผ่หรือเจ้ากัลป์ลูกคนปัจจุบันนั้น สาเหตุความไม่ลงรอยกันเพิ่งได้รับความกระจ่าง เอาเถอะ ในเมื่อเขาเป็นคนผิด พ่อคนนี้ขอไถ่ความผิดทุกอย่างเอง
“เจ้าคุณพ่อ เมื่อวานนี้ลูกเจอไผ่ด้วยนะ เขามาหาลูก”
“อะไรนะ!” เดชาตกใจจนหน้าซีด
“จำไผ่ได้ไหมเจ้าคะ”
จำได้ซิ จำได้ไม่มีวันลืมเลยล่ะ
“ในที่สุดไผ่ก็มาเสียที เจ้าคุณพ่ออยากเจอไผ่ไหม”
“ไม่ๆ ไม่เป็นไรลูก” คนตอบหายใจไม่ทั่วท้อง เริ่มรู้สึกถึงเค้าลางความยุ่งยากอยู่ไกลๆ ให้ตายเถอะ! ทำไมเรื่องถึงเป็นแบบนี้ไปได้
ความคิดเห็น