ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์พยาบาท

    ลำดับตอนที่ #14 : 14 อย่าได้พบเจอกันอีก (END)

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ย. 64


    14

    แสงสลัวจากหลอดไฟเพียงดวงเดียวที่ถูกเปิดทิ้งไว้ทอดเป็นเงาร่างสามชีวิตนั่งนิ่งอยู่บนพื้นเรือน หนึ่งร่างนั่งก้มหน้า หากว่าสังเกตให้ดีคงจะเห็นหยาดน้ำตาใสๆ ไหลอาบแก้ม หนึ่งร่างนั่งพิงเสาเรือนด้วยสีหน้าและแววตาเหม่อลอยดุจว่าหลุดลอยออกในห้วงความคิด อีกหนึ่งร่างนั่งขัดสมาธิ ทั้งสามนั่งเรียงเป็นแนวเดียวกัน

    ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากคนทั้งสาม มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงมอยู่ด้านนอก ชายผู้นั่งขัดสมาธิขยับกายลุกขึ้น หญิงชราผู้ก้มหน้าแอบร้องไห้แบบไร้เสียงเงยขึ้นมองอย่างแปลกใจ

    “ผมจะกลับไปปรับความเข้าใจกับแก้ว”

    “แล้วจะกลับมาตอนไหนคะ” กัลยาถามปนสะอื้น ยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ

    “พรุ่งนี้เช้า” เดชาหันไปหาคนที่ยังเหม่อลอย กำลังจะพูดอะไรสักอย่างก็หยุดไป ชายสูงวัยหันมาสบตากัลยาอีกครั้ง “ฝากด้วยนะครับ”

    ศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยผมสีดอกเลาขยับขึ้นลงจากการพยักหน้า เดชาหันกลับไปหาอรุโณทัยอีกครั้งก่อนเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

    อรุโณทัยรับรู้ทุกการกระทำของคนทั้งสอง แต่เธอเหนื่อยเกินกว่าจะคิดหรือทำอะไรอีก หญิงสาวมองทอดขึ้นบนฟ้า บนนั้นไม่มีดาวเหมือนแต่ก่อน มันมืดมิดและหม่นหมองเหมือนใจของเธอ

    “กัลยา”

    “คะ”

    หญิงชราตั้งใจฟังสิ่งที่นายสาวจะพูดออกมา แต่จนแล้วจนเล่าคนที่เงยหน้ามองฟ้าก็ยังเงียบ

    “คุณปราย”

    “เธอกำลังคิดว่าฉันโง่มากใช่ไหม”

    “ไม่เลยค่ะ อิฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลย”

    “แต่ทำไมฉันคิด” หญิงสาวหลับตาลง ด่ำดิ่งไปในความทรงจำเก่าๆ ความเย็นจากแหวนแทรกซึมเข้ามาในเนื้อ ระยะยี่สิบกว่าปีมานี้เธอมักฝันแปลกๆ ฝันถึงผู้คนกลุ่มหนึ่งที่เธอไม่เคยรู้จัก ในฝันนั้นเธอเป็นผู้หญิงอีกคนที่ไม่ใช่อรุโณทัยคนนี้ ในความฝันเธอมีความสุขจนไม่อยากตื่น ถ้าตื่นแล้วเธอต้องพบกับความเจ็บปวดและความอ้างว้างแบบนี้ เธออยากจะนอนไปจนชั่วชีวิต

    “รักแท้มันเป็นอย่างไรเหรอ”

    “อิฉันไม่ทราบค่ะ” กัลยาตอบเสียงเบา เธอเป็นเพียงหญิงแก่ๆ ที่ไร้ซึ่งญาติพี่น้องหรือคนให้รัก ทั้งชีวิตมีเพียงอรุโณทัยคนนี้เท่านั้น กัลยาแน่ใจว่าหากตนเองสามารถตายแทนหญิงสาวคนนี้ได้ เธอจะไม่ลังเลเลย

    “มันก็ไม่แปลกหรอก ฉันอยู่มานานขนาดนี้แล้วยังไม่รู้เลยว่ารักแท้มันเป็นยังไง” หญิงสาวหันไปยิ้มบางๆ ให้กัลยาก่อนลุกขึ้นเดินไปยังห้องนอนของตนอย่างเงียบๆ

    กัลยาปล่อยเสียงโฮออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ได้แต่นึกโชคชะตาฟ้าดิน เหตุใดจึงกลั่นแกล้งคุณปรายของเธอนัก

     

    เดชาโทรมาหากัลยาในตอนเช้าเพื่อบอกว่าเขาปรับความเข้าใจกับภรรยาของตนได้แล้ว แต่วันนี้ทางบริษัทกำลังดำเนินการฟ้องร้องเอาผิดกรรมการบริหารในหลายคดีความจึงต้องเข้าไปจัดการด้วยตนเอง และเขาจะพากรองแก้วมาหาอรุโณทัยในช่วงเย็นๆ กัลยารับปากว่าจะดูแลอรุโณทัยไม่ให้คลาดสายตา ชายสูงวัยจึงคลายใจและวางสาย

    กัลยาถอนหายใจเบาๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยหมองคล้ำจากการนอนไม่หลับ หญิงชราเดินลงเรือนแผ่วเบาเพราะเกรงนายสาวผู้กำลังนั่งเหม่อบนเรือนรำคาญใจ

    “เธอจะไปไหนก็ไปเถอะ” อรุโณทัยว่า เธอเห็นหญิงชรานั่งเฝ้าตนไม่ยอมห่าง

    กัลยาอึกอัก “ให้อิฉันอยู่เป็นเพื่อนเถอะค่ะ”

    “เธอกลัวว่าฉันจะคิดสั้นเหรอ”

    “คือ..”

    “ถ้าหากฉันคิดจะฆ่าตัวตายฉันทำไปนานแล้วล่ะ” รอยยิ้มแรกของวันปรากฏขึ้นเพียงชั่วครู่ นึกอิ่มใจเมื่อเธอยังมีคนที่อยู่เคียงข้างในยามทุกข์ “ฉันแค่กำลังคิดว่าเราจะจัดการยังไงกับแผ่นไม้พวกนี้ดี”

    กัลยาหันไปมองกองแผ่นไม้ที่ถูกงัดออกมาตั้งแต่เมื่อวาน “เดี๋ยวอิฉันจะซ่อมให้เองค่ะ”

    “ไหวเหรอ” อรุโณทัยหัวเราะแกนๆ “แล้วเธอคิดยังไงถ้าเราจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”

    “หมายความว่ายังไงคะ”

    “ในเมื่อเขาอยากได้ ฉันก็จะให้เขาไป” เหมือนหญิงสาวจะพูดกับตัวเองมากกว่า “ฉันไม่ได้ยอมแพ้เขาหรอกนะ แต่ฉันอยากเห็นแก่ตัว บ้านหลังนี้เจ้าคุณพ่อรักมันมากแค่ไหนฉันรู้ดี ฉันถึงต้องพยายามปกป้องรักษามันให้ดีที่สุด แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันไม่ไหวแล้วล่ะ” พูดถึงตรงนี้อรุโณทัยก็หยุดเพราะก้อนสะอื้นไปจุกอยู่ในคอ แค่สิ่งเดียวที่ลูกไม่รักดีอย่างเธอจะสามารถทำให้บิดา ก็ยังทำไม่ได้

    “โถ คุณปราย”

    “เธอไปเก็บของเถอะ”

    “เราจะไปอยู่ที่ไหนกันคะ”

    “ฉันยังมีที่อีกผืนหนึ่ง อยู่นอกเมือง เราจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่นด้วยกัน”

    “แล้ว..”

    “ไผ่ของฉันเขายังอยู่ในใจฉันเสมอ” อรุโณทัยเว้นวรรค “ส่วนต้นตระกูลเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่จะต้องตายไปจากใจของฉัน เขาไม่มีค่าพอให้ฉันจดจำ”

    ผู้มาใหม่ยืนนิ่งค้างอยู่ชั้นบนสุดของบันได เขาขบกรามแน่นด้วยใจที่ปวดร้าว

    ‘ท่านประธานใหญ่จะเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดเองครับ ท่านสั่งห้ามคุณกัลป์เข้าไปในศาลโดยเด็ดขาด’

    ‘กัลป์ ใครสั่งใครสอนลูกให้ทำเรื่องเลวๆ แบบนี้ แม่ผิดหวังในตัวลูกมากแค่ไหนรู้ไหม’

    “กัลป์คะ รอมัดด้วย” ต้นตระกูลยืนนิ่งอยู่แบบนั้นจนมัตติกาคู่ควงคนล่าสุดขึ้นบันไดมาทัน เธอตามตื้อต้นตระกูลมาตั้งแต่เช้า เพราะตั้งใจจะชวนเขาไปอวดเพื่อนในกลุ่มให้อิจฉาเล่น

    อรุโณทัยหันไปหาคนทั้งสอง ใบหน้างามเชิดรั้นอย่างถือดีแม้ในใจจะเจ็บแปลบ

    “ไม่คิดจะทักทายกันหน่อยเหรอ” ต้นตระกูลถามเสียงเย้ยหยันใส่คนที่นั่งอยู่บนเรือน จากที่คิดว่าจะมาพูดดีๆ ด้วยกลับกลายเป็นอยากเอาชนะ ในเมื่อเขาไม่มีค่าในสายตาเธอขนาดนั้น แล้วเหตุใดเขาจะต้องแคร์เธอด้วยเล่า ชายหนุ่มคว้ามือมัตติกาเดินเข้าไปหาอรุโณทัย หูได้ยินเสียงด่าทอของกัลยาแต่เขาไม่คิดจะใส่ใจ เพียงแค่ทำสัญญาณนิดหน่อย คนของเขาก็เป็นอันรู้กันว่าควรทำอย่างไร ไม่นานเรือนทั้งหลังก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งจนกระทั่งมัตติกาพูดแทรกขึ้น

    “กัลป์ขา ยังไงคุณก็เป็นเจ้าของที่ ถึงพวกเขาไม่ทักทายไม่ต้อนรับ มันก็ไม่ผิดนี่คะ” มัตติกาหัวเราะอย่างมีจริต หล่อนรู้มาบ้างว่าบ้านเรือนแถบนี้ต้นตระกูลกว้านซื้อไว้หมดแล้ว เรือนหลังนี้ก็เช่นกัน

    อรุโณทัยนั่งเงียบ เบนสายตาไปทางอื่นด้วยม่านน้ำตาคลอเต็มหน่วย ตำแหน่งที่เธอเคยอยู่เคียงข้างบัดนี้กลับมีผู้หญิงอีกคนมาแทน ใจมันเจ็บแปลบจนทนดูแทบไม่ไหว

    “ตรงนั้นวิวดีนะมัด” ต้นตระกูลควงแขนนางแบบสาวไปยืนพิงระเบียงตรงจุดที่อรุโณทัยหันไปอยู่ก่อนแล้ว เขาสะใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นความเสียใจในแววตาของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนพื้น

    มัตติกายิ้มในหน้า แม้จะแปลกใจที่ต้นตระกูลมีท่าทีสนอกสนใจเธอผิดปกติแต่ก็ทำเป็นเฉยเสีย ฝ่ามือร้อนที่ลูบไล้บนต้นแขนเปล่าเปลือยทำกายสาวร้อนวูบวาบอย่างไม่เคยเป็น

    “มัดจ๋า” ต้นตระกูลเรียกหญิงข้างกายเสียงหวาน “วันนี้คุณสวยมากเลยรู้ตัวไหม”

    “จริงเหรอคะ”

    “จริงสิ สวยกว่าใครบางคนแถวนี้จนเทียบไม่ติดเลย”

    อรุโณทัยกัดฟันแน่น ทั้งโกรธทั้งเสียใจจนแยกไม่ออกว่าสิ่งไหนมีมากกว่ากัน ภาพสองหญิงชายตรงหน้าสร้างความรวดร้าวจนฝืนทนดูไม่ไหว หญิงสาวลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินหนีก็ถูกน้ำเสียงเย้ยหยันของเขาตรึงอยู่กับที่

    “ก็เหมือนกับเธอแหละอรุโณทัย เจียมตัวเสียบ้างนะว่าเธอไม่คู่ควรกับฉันเลย ถึงฉันจะรู้ว่าเธอรักฉันแต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ฉันรู้สึกดีกับเธอขึ้นมาหรอกนะ ไหนๆ เราก็จะไม่ได้เจอกันแล้ว ฉันก็เลยอยากบอก... ที่ฉันเข้ามาตีสนิทกับเธอก็เพราะที่ดินผืนนี้เท่านั้นแหละ ฉันไม่เคยรู้สึกอะไรกับเธอเลยสักนิด ไม่มีหรอกความรักบ้าบออะไรนั่น ไม่เคยมีเลย คนอย่างเธอมันไม่มีค่าพอจะได้รับความรักจากฉันแม้แต่นิดเดียว”

    “ฉันจะจำไว้” ความเข้มแข็งที่เป็นเกราะคุ้มกันความเปราะบางของจิตใจมานานพังทลายไปเพราะคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของเขา เจ็บ... เธอเจ็บเหลือเกิน

    “ส่วนเรื่องนายไผ่อะไรนั่น”

    “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” อรุโณทัยตวาดใส่เขาทั้งน้ำตา เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาคนนี้คือไผ่ผู้แสนดีคนนั้น

    ไผ่ของเธอตายจากไปนานแล้ว จะไม่มีไผ่อีกแล้ว ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน

    “ผมไม่หยุด”

    “ก็แล้วแต่คุณ เชิญพูดพล่ามไปคนเดียวเถอะ รู้เอาไว้ด้วยนะว่าคุณก็ไม่มีค่าพอให้ฉันใส่ใจเหมือนกัน”

    “เธอ!!”

    “พอที” อรุโณทัยหันหลังเดินกระแทกเท้าตึงๆ ออกไปด้วยความไม่พอใจ

    “ผัวเก่าเธอคงจนกรอบเลยสินะ ดูสิ แค่แหวนยังไม่มีปัญญาหาวงดีๆ มาให้ใส่”

    เป็นอีกครั้งที่อรุโณทัยต้องหยุด เรี่ยวแรงที่มีเหมือนมันหายไปจนแทบไม่มีเหลือ หญิงสาวสูดหายใจลึกๆ มือบางไขว่คว้าต้นเสาเพื่อยึดเป็นหลักพิง ในขณะที่น้ำเสียงเย้ยหยันของเขายังลอยมากระทบหูอยู่เนืองๆ

    “สงสัยมันจะไม่รักเธอจริง ไม่อย่างนั้นมันคงไม่หนีหายไปไหนแล้วต้องปล่อยให้เธอรอหรอก แต่ถ้าฉันจะมีเมียสักคน แหวนแต่งงานของฉันจะต้องเป็นแหวนเพชรสักร้อยกะรัตให้ใครบางคนอิจฉาเล่น”

    มัตติกาปิดปากเงียบ แม้ในตอนแรกจะไม่ชอบอรุโณทัย แต่เมื่อได้ยินฝีปากร้ายกาจของต้นตระกูลเธอก็อดสงสารคนหน้าซีดเผือดไม่ได้ หญิงสาวยืนนิ่งแทบไม่รับรู้สึกถึงการถูกลูบไล้จากคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

    อรุโณทัยมองแหวนที่ถูกสวมไว้บนนิ้วนางข้างซ้ายของตนมานานโดยไม่เคยถอดออกแม้แต่ครั้งเดียวด้วยความเสียใจและผิดหวัง เขาไม่เคยมีจิตผูกพันกับเธอแม้แต่นิดเดียว ความรักข้ามภพข้ามชาติที่เธอเคยวาดหวังก็ไม่เคยมีจริงเหมือนกัน หญิงสาวฝืนเดินไปหาเขาอีกครั้ง

    “ไม่ว่ามันจะไร้ค่าในสายตาคุณแค่ไหน แต่สำหรับฉัน มันมีค่ามากกว่าชีวิต”

    ต้นตระกูลเหลือบมองแหวนบนนิ้วเรียวสวย แม้จะเป็นแหวนเงินเก่าสุดแสนธรรมดา แต่มันช่างเข้ากันได้ดีกับนิ้วเรียวของเธอเหลือเกิน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองอรุโณทัยอีกครั้ง อดยอมรับไม่ได้ว่าเขาอยากได้แหวนวงนั้น ของสิ่งใดที่เธอรักนักหนา เขาจะแย่งมาให้หมด

    “ขอได้หรือเปล่า เดี๋ยวฉันจะเอาวงที่ดีๆ กว่านี้มาให้”

    อรุโณทัยเจ็บแปลบตรงอกซ้ายจนต้องหลับตาลงระงับใจ เจ้าของขอมันคืนแล้วสินะ คนที่เป็นเพียงคนรับฝากอย่างเธอจะมีสิทธิ์อะไรมายื้อไว้

    “ถ้าคุณอยากได้ ฉันก็จะให้”

    เห็นแววตาแห้งแล้งของเธอเขาก็เริ่มใจหาย ต้นตระกูลผละจากมัตติกาที่ยืนนิ่งดูท่าทีของคนทั้งสองดุจเป็นผู้ชมที่ดีออกมา มือหนาเอื้อมจับมือเธอไว้ ความเย็นชืดทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เขากำลังคิดว่าเธออาจจะไม่สบาย

    อรุโณทัยมองแหวนวงน้อยบนนิ้วอย่างใจหาย เธออยู่กับมันมาตลอดเป็นร้อยปีบัดนี้มันจะไม่อยู่กับเธออีกต่อไปแล้ว ต้นตระกูลหมุนแหวนขยับไปมาบนนิ้ว มันค่อยๆ ขยับได้คล่องขึ้นเรื่อยจนมาอยู่ที่ข้อนิ้ว ง่ามนิ้วที่สวมแหวนมานานปรากฏเป็นรอยแหวนสีขาวซีด จนกระทั่งแหวนเกือบจะหลุดออกจากปลายนิ้ว อรุโณทัยเกร็งมือแน่น น้ำตาปริ่มจะไหลด้วยความอาวรณ์ ต้นตระกูลก็พอจะรู้ว่าเธอคงเสียดายอยู่บ้าง

    อรุโณทัยมองหน้าเขา จดจำภาพใบหน้าของเขา ชั่วขณะหนึ่งเธอเห็นเป็นภาพใบหน้าไผ่ หญิงสาวน้ำตาไหลพราก บางหยดกระเด็นใส่มือ ความเย็นยะเยือกแทรกซึมเข้าสู่ผิว มีหยาดน้ำบางส่วนพรมไปบนตัวแหวน ล่อกับแสงแดดสว่างขึ้นวาบหนึ่ง เกิดขึ้นเร็วจนไม่ทันสังเกตเห็น

    “ฝากบอกเจ้าของแหวนด้วยนะคะ ขอให้เราจบกันเสียที”

    “ได้สิ เดี๋ยวฉันจะจุดธูปบอกให้”

    ต้นตระกูลกำแหวนไว้ในมือด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เขาบอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร ชายหนุ่มถอยหลังห่างจากอรุโณทัย มองใบหน้านองน้ำตาของเธอด้วยความรู้สึกผิดที่กัดกินหัวใจ ฟังเสียงสะอื้นของเธอด้วยใจที่เหมือนจะขาดรอนๆ เขา... ไม่อยากเห็นเธอร้องไห้ เขาสบตาเธอนิ่งก่อนถอดแหวนที่สวมอยู่ยัดใส่มือเธอ

    “เปลี่ยนเอาวงนี้ไปแทนแล้วกัน ฉันไม่ชอบของฟรี”

    อรุโณทัยมองแหวนทองคำสีเหลืองทองสุกปลั่งที่ลวดลายสวยงามนั้นด้วยความรวดร้าว

    “ร้องไห้ทำไม มีใครตายอย่างนั้นเหรอ”

    “กัลป์คะ” มัตติกาแตะมือกับต้นแขนเขาเพื่อเรียกสติ

    “ไม่มีอะไรหรอกมัด” ชายหนุ่มสวมแหวนไว้บนนิ้วก้อยของตน น่าประหลาดที่มันสวมได้พอดิบพอดี “กลับกันเถอะ ผมเบื่อคนที่นี่แล้ว”

    “ไปเลย จะไปไหนก็ไป” อรุโณทัยขว้างแหวนใส่แผ่นหลังเขาสุดแรงจนตัวแหวนตกกระเด็นลงบนพื้นไม้เสียงดัง

    ชายหนุ่มหันกลับมาเห็นเธอก้มหน้าร้องไห้มองมือที่ไม่มีแหวนอยู่แล้วดุจจะอาลัยอาวรณ์นักหนา เขาเค้นเสียงหึแล้วเดินต่ออย่างไม่นำพา

     

    สองหนุ่มสาวเดินจากไปไม่นานนักกัลยาก็รีบขึ้นมา หญิงชราถูกลูกน้องของต้นตระกูลคุมตัวอยู่ด้านล่าง ตอนนี้กลุ่มคนพวกนั้นกลับไปแล้ว นางจึงรีบขึ้นมาหานายสาวของตนบ้าง

    ภาพหญิงร่างบางนอนขดตัวบนพื้นทำให้กัลยาทำอะไรไม่ถูก หญิงชราเข้ามานั่งข้างร่างนายสาว ร่างน้อยสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้น กัลยาตกใจเธอไม่เคยเห็นอรุโณทัยเป็นแบบนี้มาก่อน มือเหี่ยวจับต้นแขนนายสาวเขย่าไปร้องไห้ไปด้วยความหวาดกลัว

    “คุณปรายขาอย่าร้อง ไม่เป็นไรนะคะคนดีของอิฉัน อย่าร้อง”

    “ฮือๆ”

    “คุณปราย”

    “กัลยา” ใบหน้าที่เงยขึ้นมามองตนนั้นทำเอาหญิงชราผงะ

    ผู้ถูกเรียกกระเถิบตัวหนีไปไกล “แกเป็นใคร คุณปรายอยู่ไหน คุณปราย”

    “กัลยา..” เสียงสั่นเครือเรียกอีกครั้ง “ฉันเอง”

    หญิงชราใจเต้นแรง เมื่อคนที่อ้างว่าเป็นอรุโณทัยนั้นบัดนี้ไม่ใช่หญิงสาวอีกต่อไป หญิงที่นอนขดตัวอยู่นั้นมีใบหน้าเหี่ยวย่นเหมือนนางหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ผิวหนังที่ผ่องใสอ่อนนุ่มคล้ายผิวเด็กอ่อนเริ่มเกิดฝ้ากระดำกระด่างและเหี่ยวลงต่อหน้าต่อตา ผมยาวดำสลวยก็เช่นกัน ไม่นานมันก็ขาวโพลนทั่วทั้งศีรษะ

    มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจนกัลยาต้องขยี้ตาตัวเองแรงๆ หรือแม้กระทั่งหยิกแขนตัวเองก็แล้ว เมื่อพบว่ามันไม่ใช่ความฝัน หญิงชราก็กรีดร้องอย่างโหยหวนแข่งกับเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดของคนที่นอนบนพื้น

    “เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น”

    กัลยาถามย้ำอยู่แบบนั้นซ้ำๆ โดยไม่ได้รับคำตอบจากนายหญิงของนาง ฝนที่ไม่ส่อเค้าว่าจะตกก็เทสาดลงมาดุจฟ้ารั่ว ละอองฝนบางส่วนกระเซ็นใส่สองร่าง หนึ่งร่างนอนคู้ อีกหนึ่งนั่งกอดเข่าอย่างขวัญเสียอยู่ไม่ห่างกัน

    “ฉันเจ็บ.. ฉันหนาว”

    “คุณปราย” ปฏิเสธได้ว่านางกลัวความเปลี่ยนแปลงของอรุโณทัย แต่ด้วยความรักความผูกพันที่อยู่ด้วยกันมานานทำให้กัลยากล้าขยับเข้าใกล้อรุโณทัยอีกครั้ง

    “เจ็บ” เธอเจ็บเหมือนร่างกายกำลังถูกมือที่มองไม่เห็นบีบคั้นไปทั้งตัว

    “ไปหาหมอกันนะคะ ไปหาหมอกันนะ” กัลยาพูดพลางเช็ดน้ำตา สองมือเล็กพยายามพยุงร่างที่นอนอยู่ให้ลุกขึ้นมา แต่ด้วยขนาดตัวที่เกือบเท่ากัน ทำให้เป็นไปด้วยความยากลำบาก

    “ไม่” อรุโณทัยข่มความเจ็บ เธอลุกขึ้นยืนด้วยสองขาที่อ่อนแรงโดยมีกัลยาช่วยประคอง “ฉันอยากเข้าห้อง”

    “ค่ะๆ” สองร่างพยุงกันเข้าไป กว่าจะถึงเตียงก็เกือบจะพากันล้มหลายที

    กัลยาดึงผ้าห่มมาห่มให้นายสาวจนเกือบถึงคอ ข้างนอกฝนกำลังตกแรง เสียงฟ้าร้องดังมาเป็นคราวๆ กัลยาก็ร้องเหมือนกัน อรุโณทัยนอนนิ่ง พยายามควบคมลมหายใจให้เป็นปกติ เธอพบว่าตัวเองเหนื่อยเหลือเกิน แม้แต่หายใจก็ยังเหนื่อย

    “ให้อิฉันโทรตามหมอนะคะ”

    “อย่าเลย” ไม่ว่าหมอจากที่ไหนก็รักษามันไม่ได้

    “ถ้าอย่างนั้นอิฉันจะโทรบอกคุณท่าน”

    “อย่า..”

    “ทำไมละคะ คุณปรายกำลังแย่ อิฉัน...”

    “ฟังนะกัลยา” เสียงแหบเครือนั้นช่างบีบคั้นจิตใจของคนฟังเหลือเกิน “บางทีมันอาจจะถึงเวลาของฉันแล้วล่ะ”

    “ไม่นะคุณปราย” กัลยากุมมือนายหญิงไว้แน่น “คุณจะต้องไม่เป็นอะไร”

    อรุโณทัยสูดลมหายใจเฮือกใหญ่แต่ก็ดูเหมือนยังไม่พอ ใบหน้าชราวัยนั้นเผยรอยยิ้มบางเบา “ที่ผืนนั้นของฉัน ฉันให้เธอนะ ไปถูกทางไหม เธอคงยังไม่เคยไป แต่ถ้าเธอบอกเจ้าคุณพ่อ ท่านคงพาไปถูก”

    “เราจะไปด้วยกัน”

    “ฉันเหนื่อยเหลือเกิน”

    “ถ้าคุณปรายอยู่ที่ไหนอิฉันก็จะอยู่ที่นั่น เราจะอยู่ด้วยกัน”

    อรุโณทัยเข้าใจความรู้สึกของกัลยาดี เธอบีบกระชับมือของคนที่เพื่อนที่ดีที่สุดของเธอไว้ “ฉันกำลังจะตายแน่เลย” คำพูดราวกับเป็นเรื่องตลกนั้นไม่ทำให้กัลยายิ้มออก หญิงชราวาดมือข้างหนึ่งโอบกอดคนบนเตียงอย่างใจหาย ทั้งชีวิตนางมีแค่นายหญิงคนนี้ แค่คิดว่าจะไม่มีกันและกันแล้ว นางก็เจ็บร้าวในหัวใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อเหมือนกัน

    “ไม่นะคะ คุณปรายจะต้องอยู่ไปอีกนานเลยล่ะ วันนั้นเรายังพูดกันอยู่เลยว่าถ้าอิฉันตายคุณปรายจะเผาผีให้ เพราะอิฉันไม่มีญาติที่ไหน จำไม่ได้เหรอ คุณปรายสัญญากับอิฉันไว้แล้ว”

    “เธอไม่ดีใจกับฉันเหรอ ที่จะได้หลุดพ้นจากชีวิตแบบนี้สักที”

    กัลยาพูดไม่ออก ได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ข้างเตียง อรุโณทัยมองเพดานห้อง เธอเหนื่อยแต่เธอไม่อยากหลับ เพราะกลัวว่าตนเองจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก

    หากฉันตายไป เขาก็คงไม่เสียใจ

    หากฉันหายไป ไม่นานเขาก็คงจะลืม

     

    ต้นตระกูลนอนจ้องดูแหวนบนนิ้วของตนอยู่อย่างนั้นมานานนับชั่วโมง นับตั้งแต่ได้สวมมันไว้ เขารู้สึกผูกพันกับมันอย่างบอกไม่ถูก ภาพความฝันซ้ำๆ เดิมๆ ในแต่ละค่ำคืนผุดขึ้นมาในความคิดอยู่เนืองๆ เกิดเป็นการรบกวนจนเขาไม่เป็นอันทำงานที่คั่งค้างได้อย่างที่ตั้งใจ ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาบนหัวเตียงอีกครั้ง

    สองทุ่มครึ่ง...

    เขาไม่ได้คิดถึงงานในบริษัทที่กำลังเป็นเรื่องราวใหญ่โตถึงขนาดออกข่าวในโทรทัศน์และเป็นพาดหัวข่าวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ แต่สิ่งเดียวที่กำลังคิดถึงคืออรุโณทัย เจ้าของแหวนวงนี้นั่นเอง

    ตอนนี้เขากำลังฝันใช่ไหม ฝันแบบเดิมอีกแล้วใช่ไหม ฝันที่ทำให้เขาไม่ชอบหน้าอรุโณทัยเพียงเพราะเขารู้สึกว่าเรือนร่างและลักษณะของเธอคล้ายกับผู้หญิงในความฝัน ต้นตระกูลคิดขณะหันไปรอบกาย หมอกสีขาวปกคลุมจนมองไม่เห็นอะไรเลย เหมือนเขากำลังยืนอยู่ในกลุ่มควันสีหมอก

    แต่คราวนี้น่าแปลกที่เนื้อหาในความฝันมีความแปลกใหม่ หมอกเริ่มจางออกไป ภาพเบื้องหน้าของเขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาเหมือนเขาทุกอย่างกำลังกราบพระสงฆ์ชรารูปหนึ่งอยู่บนกุฏิ ต้นตระกูลมองอยู่ไกลๆ เลยไม่รู้ว่าชายคนนั้นกับภิกษุคุยอะไรกัน เขาเลยเดินเข้าไปใกล้ ไม่มีใครรับรู้ถึงการมาของเขา เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นอากาศที่ลอยวนอยู่ในวงสนทนา ฟังทั้งสองคุยกันด้วยความอยากรู้

    “แน่ใจแล้วเหรอโยมไผ่ที่จะเอาแหวนมาลงอาคมกับอาตมา”

    “ขอรับหลวงตา” ชายคนที่ชื่อไผ่ ยื่นแหวนวงให้กับพระภิกษุ เขาหวังให้มันช่วยคุ้มครองคนรักจากภัยอันตราย

    ต้นตระกูลมองแหวนอย่างฉงนใจ มันมีลักษณะเหมือนแหวนของอรุโณทัยไม่มีผิด เขายกมือตัวเองขึ้นมาดู กลับไม่พบว่ามีแหวนอยู่เลย แหวนหายไปไหน หรือเขาไม่เอาแหวนเข้ามาในความฝันด้วย

    “หมั่นทำความดีให้มาก บุญกุศลจะคุ้มครอง แหวนวงนี้จะผูกกับโยมด้วยเลือดที่ใช้ทำพิธี” เสียงของพระผู้เฒ่าทำให้ต้นตระกูลหลุดจากภวังค์ เขามองเห็นรอยแผลสดบนแขนของไผ่ เลือดยังคงไหลแต่ชายคนนั้นไม่แสดงความเจ็บปวดแม้แต่น้อย “จำไว้นะ แหวนวงนี้ก็เหมือนสมุนที่ไม่มีชีวิตของเอ็ง มันจะเป็นตัวแทนของเอ็งตลอดไป หากเอ็งคิดร้ายหรือคิดดีกับคนใส่แหวนนี้ มันจะส่งผลให้เขาเป็นอย่างที่เอ็งอยากให้เป็น”

    “กราบขอบพระคุณมากขอรับ” ไผ่ยิ้มอย่างดีใจ เขารับแหวนมาไว้ในมือ เขาแน่ใจว่าตนเองไม่มีทางคิดร้ายกับปรายอย่างแน่นอน ทุกลมหายใจของเขาปรารถนาให้ปรายมีแต่ความสุข

    ภาพตัดมาอีกครั้งในตอนที่ไผ่สวมแหวนให้ผู้หญิงคนหนึ่ง หลายครั้งที่เขาพยายามมองใบหน้าของเธอแต่กลับไม่เคยเห็นแม้จะอยู่ใกล้ขนาดไหน แต่ในวันนี้เขากลับสามารถมองเห็นเธอได้อย่างง่ายดาย เธอมีใบหน้าจิ้มลิ้มงดงาม ช่างเหมือนอรุโณทัยราวกับฝาแฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกัน หลังจากนั้นฉากในความฝันของเขาก็เป็นแบบเดิมๆ คือชายคนนั้นนั่งอย่างโดดเดี่ยวใต้ต้นสายหยุด เพราะผู้หญิงคนนั้นตัดขาดไม่รักไผ่อีกต่อไป แหวนที่ไผ่มอบให้เธอย้อนกลับมาคืนผู้เป็นเจ้าของอีกครั้ง มาพร้อมกับความโหยหาอาลัยอย่างน่าสมเพชอย่างที่ต้นตระกูลไม่ชอบเอาเสียเลย ทุกคืนเขาจะฝันถึงแค่ตอนนี้ เหมือนตอกย้ำให้เขาคิดถึงผู้หญิงชั่วๆ คนนั้น แต่มันไม่ได้ผล.. เขากลับรู้สึกเกลียดผู้หญิง เกลียดคนเห็นแก่เงิน เกลียดความจน เกลียดผู้คนในความฝันยกเว้นผู้ชายที่น่าสงสารคนนั้นที่เขาเพิ่งรู้ว่าคือเขาเอง

    ภาพรอบตัวเขายังคงดำเนินต่อไป ไผ่ตายลงด้วยคมดาบของผู้ชายสูงวัยที่หน้าตาเหมือนเดชา เขาตายจากพร้อมกับเสียงสาปแช่งและความแค้น แหวนวงนั้นถูกอรุโณทัยเก็บมาสวมอีกครั้ง หญิงสาวคร่ำครวญหาไผ่ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำเทลงมาอย่างหนักก่อนจะสลบไปด้วยแรงปะทะจากการอยู่ในวงรัศมีฟ้าผ่า

    ต้นตระกูลมองภาพที่กำลังฉายอย่างอึ้งงัน อรุโณทัยถูกหามขึ้นเรือนและไม่นานหมอพื้นบ้านก็มาทำการรักษา หญิงสาวบอบช้ำภายในอย่างหนัก คุณหลวงเดินกลับไปกลับมาภายในห้องด้วยใบหน้าเคร่งเครียดโดยมีภรรยาทั้งสองนั่งร้องไห้ไม่ไกล ไม่นานหมอก็แบบว่าอรุโณทัยสูญเสียลูกในครรภ์ และเธออาจจะเสียชีวิตไปอีกคนเพราะอาการเกินเยียวยา คุณหลวงสั่งให้ทาสในเรือนไปตามพระภิกษุมาต่อดวงชะตา ต้นตระกูลเดินเข้าไปใกล้ร่างอรุโณทัย น่าแปลกที่เขารับรู้ถึงความเจ็บปวดของเธอ มันเจ็บจนร่างเขาต้องทรุดตัวลงข้างเตียงนั้น นานทีเดียวกว่าพระจะมา พระผู้เฒ่ารูปนั้นบอกว่าอรุโณทัยชะตาขาดแล้ว ดวงจิตของเธอจากร่างไปเมื่อครู่นี้เอง แต่ในท้ายที่สุดจึงได้ทำพิธีกรรมเพื่อทำให้อรุโณทัยฟื้นคืนชีวิต พิธีจัดขึ้นหนึ่งวันหนึ่งคืนจนผู้ป่วยมีสัญญาณชีวิต ก่อนจากไป ภิกษุรูปนั้นบอกว่า ดวงจิตของอรุโณทัยกลับมาคืนร่างเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจำต้องไปชดใช้กรรมในภพภูมิใหม่

    นั่นหมายความว่า อรุโณทัยตายวันเดียวกับไผ่ แต่เธอยังอยู่ได้ด้วยดวงจิตที่เหลือเพียงครึ่งดวง หลังจากวันนั้นอาการของอรุโณทัยก็ดีวันดีคืน เธอถามถึงไผ่จากทาสทุกคน แต่กลับไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ ในท้ายที่สุดเลยตัดสินใจถามกับคุณหลวง

    “อ้ายไผ่มันไปขุดคลองอยู่หัวเมืองโน่น ก่อนไปมันยังฝากบอกว่ารอมันอยู่ที่นี่ เดี๋ยวมันก็กลับมา” คุณหลวงจำเป็นต้องปดธิดาของตน เขาเห็นแก่ตัวเกินกว่าจะบอกว่าได้ฆ่าไผ่ไปแล้ว เขากลัวคนที่กำลังฟื้นจากเคราะห์ล้มป่วยลงไปอีก

    ภาพหญิงสาวที่ปฏิเสธการสู่ขอเป็นเมียเอกของหมื่นบริรักษ์ปรากฏขึ้น เธอยืนยันว่าเธอจะรอไผ่ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้คุณหลวงไม่พอใจมาก ชายสูงวัยโกหกบุตรีของตนอีกครั้งว่าไผ่เจอผู้หญิงคนใหม่ เป็นถึงลูกนายช่างประจำอยู่กรมวัง แต่เธอกลับเลือกจะรอไผ่คนเดียว ขอเพียงให้เขากลับมาเท่านั้นเอง

    ไม่นานนักคุณหลวงก็เสียจากพิษไข้ขณะเดินทางไปเยี่ยมสหายอยู่อีกหัวเมืองหนึ่ง มีเพียงเถ้ากระดูกเท่านั้นที่กลับมาถึงบ้าน สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้แก่ภริยาและบุตรยิ่งนัก ต่อมาเมื่อทองม้วนกับชดช้อยนั่งเรือไปวัด เรือกลับล่มระหว่างทาง ผู้คนงมหาร่างอยู่ครึ่งวันกว่าจะพบร่างซึ่งไร้ลมหายใจไปแล้ว การเสียบิดาและมารดาไปในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นสร้างความเสียใจแก่อรุโณทัยอย่างสุดซึ้ง เธออยู่ในภาวะซึมเศร้า ร่างกายอ่อนแอ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอมีแรงสู้ต่อได้นั่นคือการรอไผ่กลับมา

    ภาพหญิงสาวนั่งกอดเข่าน้ำตาไหลใต้ต้นสายหยุดต้นนั้นติดตาต้นตระกูลจนสลัดไม่ออก

    “อ้ายไผ่ กลับมาเถอะอ้าย น้องยังถ่าอยู่นี่” เธอโยกตัวเองไปมา “อ้ายฮู้บ่ว่าเฮามีลูกนำกันแล้ว” พูดแล้วเธอก็ร้องไห้โฮก่อนเสียงคร่ำครวญนั้นจะเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะ “เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนะจ๊ะ”

    “คุณหนูเสียสติไปแล้วเอ็งเอ๊ย” เสียงแว่วมาจากไหนสักแห่งดังแทรกเข้ามา

    “เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ”

    เมื่อยุคแห่งการเลิกทาสมาถึง บริวารหนุ่มสาวในบ้านต่างออกไปมีอิสระของตน เหลือเพียงบรรดาคนเก่าแก่ที่มีจิตผูกพันกับเรือนหลังนี้คอยอยู่ดูแลนายสาว คนใกล้ชิดคนแล้วคนเล่าล้มหายตายจาก อรุโณทัยร่ำไห้เจ็บปวดกับการสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับความสับสนการมีชีวิตยืนยาวเป็นร้อยๆ ปีผิดมนุษย์

    “เขาจะให้ฉันรอไปถึงไหน ทำไมเขาไม่มาสักที”

    “เดี๋ยวเขาก็กลับมาค่ะคุณปราย สักวันความรักของเขาที่มีต่อคุณจะพาเขากลับมา”

    น้ำตาลูกผู้ชายกลั่นออกมาเป็นสาย สองขาที่เคยก้าวอย่างทระนง บัดนี้ประคองร่างไม่ไหวอีกต่อไป ต้นตระกูลทรุดลงอยู่ต่อหน้าอรุโณทัยกับกัลยา

    “พอเถอะ พอแล้ว ผมไม่อยากฝันแล้ว ช่วยให้ผมตื่นที”

    ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครได้ยิน

    เนิ่นนานกับภาพความเจ็บปวดและการเฝ้ารอที่สิ้นหวังของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง

    “ผมขอโทษ ปราย พี่ขอโทษ”

    เสียงร้องตะโกนของคนที่อยู่ในห้วงความฝันดังพอที่จะทำให้อีกสองคนที่นอนอยู่ห้องข้างกันตื่นขึ้นมากลางดึก เดชากับกรองแก้วมองตากัน

    “คุณคะ” กรองแก้วลงจากเตียงไปหาสามีที่นอนคุดคู้อยู่บนโซฟาไม่ไกล เธอจับแขนเขาเขย่า ลืมความขุ่นข้องหมองใจไปเสียสิ้น

    “...” เดชาไม่พูดอะไร เขาวิ่งออกจากห้องไปหาต้นเสียงโดยมีกรองแก้ววิ่งตามไปติดๆ

    “ขอโทษ!!”

    มือหนาหมุนลูกบิดประตูก่อนจะพุ่งตัวเข้าไป พบว่ามีคนใช้เกือบทั้งบ้านรวมตัวกันอยู่ภายในห้องของบุตรชาย ผู้ชายทั้งหนุ่มทั้งแก่จับแขนขาต้นตระกูลไว้คนละข้าง เพราะคนที่นอนอยู่นั้นทั้งร้องทั้งดิ้น ตีอกชกหัวตัวเองไม่ยอมหยุด

    “เกิดอะไรขึ้น”

    ไม่มีใครให้คำตอบได้ ทุกคนหน้าซีด ออกแรงตรึงร่างต้นตระกูลไว้กับที่จนเหงื่อตกไปตามๆ กัน

    “กัลป์ ตื่น” เดชาตบข้างแก้มของบุตรชายเบาๆ แต่ไม่คิดว่าทันทีที่สัมผัสต้นตระกูลกลับสะดุ้งตื่นขึ้นมา กรองแก้วที่ยืนมองดูอยู่เป็นลมล้มพับไปอย่างขวัญเสีย คนใช้ผู้หญิงต่างอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กันเพราะเห็นแสงสว่างวาบดุจฟ้าแลบพุ่งออกมาจากแหวนบนนิ้วของผู้เป็นนายอย่างไม่มีใครสามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้

    ต้นตระกูลผุดลุกขึ้นนั่งหายใจหอบ เขากลืนน้ำลายทั้งที่คอแห้งเป็นผง ชายหนุ่มหันมองรอบกาย คนใช้ทยอยเดินออกจากห้อง เหลือเพียงเดชาที่ยังคงปักหลักอยู่กับที่ไม่ไปไหน

    “เป็นอะไร”

    “ผม..” ต้นตระกูลพูดไม่ออก นัยน์ตาคมแดงก่ำเหมือนคนจะร้องไห้

    “กัลป์”

    “ปราย” ต้นตระกูลสลัดผ้าห่มออกจากลำตัว เขาตะลีตะลานลงจากเตียง และวิ่งออกจากห้อง

    รอพี่ต่ออีกนิดนะ พี่กำลังจะไปหาแล้วคนดี

     

    ต้นตระกูลยืนนิ่งหน้าบานประตู เขายังคิดไม่ตกว่าจะเอ่ยคำพูดคำแรกกับเธอว่าอย่างไร ทุกอย่างมันดูสับสน ตื่นเต้น และพลอยทำตัวไม่ถูก

    ครืด!!

    บานประตูถูกผลักออก ต้นตระกูลผงะเซถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เบื้องหน้านั้นเป็นหญิงชราที่เขารู้จักดีในสภาพน่าเวทนา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยนั้นอาบไปด้วยน้ำตา

    “คุณมาทำไม จะมาไล่กันเหมือนหมูเหมือนหมาอีกเหรอ”

    หญิงชราพยายามกดเสียงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังให้เบาลงเพราะกลัวคนด้านในได้ยิน

    “ผมมาหาปราย”

    “ไม่ให้เข้า”

    กัลยาพูดเสียงแข็งพร้อมกับกางแขนกั้นประตู หญิงชราจ้องตาผู้อ่อนวัยกว่าอย่างแข็งกร้าว ผู้ชายคนนี้ที่ทำให้คุณปรายของเธอต้องนอนรอความตายอยู่แบบนั้น

    “ผมแค่อยากมาขอโทษ”

    “ขอโทษ” หญิงชราทวนเสียงสูง “มันสายไปแล้ว เข้าใจไหมว่ามันสายไปแล้ว”

    นางพูดแล้วซบหน้าร้องไห้ ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะทรุดตัวลงพิงกรอบประตู กอดเข่าโยกตัวไปมาปลอบใจตัวเอง น้ำตาที่ไหลมาทั้งคืนก็ยังคงไหลได้อีกไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ

    เมื่อเห็นท่าทางฟูมฟายของกัลยา ต้นตระกูลคิดว่าคงจะต้องเกิดเรื่องร้ายแรงกับคนข้างในแน่นอน ชายหนุ่มรีบก้าวยาวๆ ผ่านประตูเข้ามาในห้อง ทันใดนั้นเขาก็ชะงักงันอยู่กับที่เมื่อเห็นร่างคนที่นอนบนเตียงไม้เก่าอย่างชัดตา ชายหนุ่มก้าวเข้าไปใกล้ร่างนั้น แต่ละย่างก้าวมันช่างหนักหนา น้ำตาหลดหนึ่งไหลอาบแก้ม มืออันสั่นเทาของเขาเอื้อมไปเขี่ยปอยผมที่ปรกหน้าเหี่ยวย่นออกเบาๆ

    คนตัวเล็กลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วยิ้มบาง

    “อ้ายไผ่แม่นบ่”

    ต้นตระกูลพยักหน้าให้ ไร้คำเอื้อนเอ่ยเพราะมันจุกอกไปหมดแล้ว เขายิ้มทั้งน้ำตาให้เธอ

    มือเล็กเอื้อมมาจับใบหน้าของเขาแล้วลูบไล้แผ่วเบาอย่างที่เธอชอบทำ

    “ในที่สุด อ้ายกะมา” แม้แต่ในวินาทีสุดท้ายเธอก็รอเขา

    ชายหนุ่มฝืนยิ้มทั้งที่ปากสั่น ดวงตาของเธอค่อยๆ ปิดลง มือที่จับแก้มเขาอยู่ตกลงข้างกาย

    “อีหล้า!!” เขาตะโกนอย่างคนเสียสติ

    “อ้ายขอโทษ” เขากอดเธอไว้แน่น เธอจากเขาไปแล้ว จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

    ร่างของอรุโณทัยเลือนหายไปจากอ้อมกอดของเขา เหลือเพียงอากาศธาตุที่ว่างเปล่า เธอหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้

    ต้นตระกูลนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น เขาเจ็บหน่วงในหัวใจจนหายใจแทบไม่ไหว ความรู้สึกนี้ใช่ไหมที่เธอทนอยู่กับมันมานาน เธอทนได้อย่างไรกัน ทั้งที่เขาเพิ่งได้สัมผัสถึงมัน เขาก็แทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่

    น้ำตาหยดหนึ่งตกลงบนแหวน เกิดแสงสว่างวาบกระทบเข้าตาก่อนที่มันจะเปล่งประกายไปทั่วห้องนั้น ชายหนุ่มยิ้มทั้งที่นัยน์ตาเลื่อนลอยไร้สติ เขาล้มฟุบลงบนเตียงไม้เก่าๆ นั้น

    “เรื่องของเฮาให้มันจบซ่ำนี่เนาะ ชาติหน้าบ่ต้องมาพบพ้อกันอีก”

    เสียงแว่วมาจากที่ไหนสักแห่งฟังดูเหมือนกำลังอยู่ในความฝัน เขาส่ายศีรษะไม่ยอมรับ

    “ขอโอกาสให้อ้ายอีกเด้อหล้า ชาติหน้าอ้ายสิหาเจ้าให้พ้อเร็วกว่านี้ สิฮักเจ้าหลายๆ สิบ่เฮ็ดให้เสียใจอีก อย่าซังอ้าย... อีหล้าอย่าซังอ้าย”

    ไร้เสียงตอบกลับมาราวกับว่าอีกคนจากไปแล้วจริงๆ ในที่ไกลแสนไกล กลไกทุกอย่างหวนเข้าสู่จุดที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก เมื่อความผูกพยาบาททั้งหมดได้รับการแก้ไขเรื่องทุกอย่างก็ถูกรีเซตใหม่ ไม่เคยมีผู้หญิงที่ชื่ออรุโณทัยในบ้านหลังนี้ตลอดร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ตามตำนานเล่าว่าเธอตกเลือดตายไปตั้งแต่ยังสาวและถูกฝังไว้ใต้ต้นสายหยุดเคียงข้างกับร่างคนรักของเธอนั่นเอง

     

    จบ


     

     

     

    คุยก่อนจาก: เราเดินทางผ่านความดราม่ามามาก คนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดคือเดชาที่รักและฐานะของตนเอง ส่วนพระเอกรักมากแค้นมากพยาบาทข้ามชาติด้วยความเข้าใจผิดมาตลอด และสุดท้ายนางเอกคือคนที่เป็นเหยื่อรับกรรม

    ตอนพิเศษยังไม่มีนะคะเนื่องจากพระเอกทำไว้แสบมากจึงไม่มั่นใจว่าจะเป็นแนวทางไหนดี ลบหลายรอบแล้ว 55+ 
     

    สุดท้ายนี้ครองสิริขอขอบคุณทุกคนที่คลิกเข้ามาอ่านนะคะ และขอบคุณมากหากผู้อ่านร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาในตอนพิเศษค่ะ

     

    ครองสิริ

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×