ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์พยาบาท

    ลำดับตอนที่ #13 : 13 ความเข้าใจ

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.ย. 64


    13

    ชั้นเจ็ดตึกอัศวเมฆินทร์ทาวเวอร์ อาคารสำนักงานใหญ่อัศวเมฆินทร์กรุ๊ปในยามนี้เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดจากการตรวจสอบบัญชีกองคลังย้อนหลังถึงห้าปีตามคำสั่งจากเบื้องบน พนักงานกินเงินเดือนหลายชีวิตทำงานแบบไม่ได้หยุดพักเนื่องจากต้องรายงานผลการตรวจสอบก่อนเที่ยงคืน ถึงกระนั้นพวกเขาก็สู้ไม่ถอยเนื่องจากค่าทำงานล่วงเวลานั้นก็จ่ายหนักไม่แพ้กัน สมศรีเดินตรวจสอบอยู่ทุกระยะเพราะหล่อนก็ร้อนใจไม่แพ้กัน หากรายงานผลไม่ทันตามกำหนด คงเป็นเรื่องยากที่หล่อนจะดำรงอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าแผนกบัญชีอีกต่อไป

    ไม่รู้ว่าท่านประธานอารมณ์เสียจากที่ไหนมาหรือเปล่า เมื่อเย็นท่านเดินดุ่มๆ เข้ามาในแผนกพร้อมกับสั่งให้ตรวจสอบบัญชีของบริษัทและกำหนดเส้นตายภายในวันนี้แล้วเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงความโกลาหลขนาดย่อมอยู่เบื้องหลัง ไม่บ่อยนักที่ท่านจะเดินลงมาสั่งงานด้วยตนเอง นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้รู้ว่าหากไม่ได้ดั่งใจท่าน พนักงานในที่นี้คงถูกย้ายยกแผง

    คราก...

    เสียงท้องร้องของใครสักคนดังขึ้นอย่างไม่มีเกรงอกเกรงใจ ไม่มีใครขำออกเพราะทุกคนต่างก็หิวเหมือนๆ กัน สมศรีเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาบนผนังห้อง

    สองทุ่มตรง...

    ปัง! หญิงสูงวัยตบโต๊ะแรงๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของหล่อนเมื่อต้องการพูดกับพนักงาน ทุกคนหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ พร้อมใจกันเงยหน้าขึ้นและตั้งใจฟังหัวหน้า

    “ให้เวลายี่สิบนาทีในการทำธุระส่วนตัว พักได้”

    สิ้นเสียงหัวหน้า ลูกน้องทำหน้าตาตื่นหันมองกัน

    “ยังไม่ไปอีก” สมศรีขึ้นเสียง พนักงานรุ่นลูกรุ่นหลานยิ้มกว้างรีบสลายตัวออกไปอย่างรวดเร็วไม่เว้นแม้แต่ธารธารา หล่อนเดินซอยเท้าเร็วๆ จนเกือบจะกลายเป็นวิ่งเพราะปวดท้องเข้าห้องน้ำมานับชั่วโมง ไม่ใช่ว่าถูกห้ามไม่ให้เข้า เพียงแต่เธอต้องรีบเคลียร์งานในส่วนของตนให้เสร็จโดยเร็วที่สุด

    “ธารธารา เข้ามาพบฉันที่ห้องด้วยนะ”

    หญิงสาวเบรกเอียดหันมาก้มศีรษะให้คนพูดที่อยู่ทางด้านหลัง “รับทราบค่ะหัวหน้า” แล้ววิ่งเผ่นพลิ้วหายลับไป สมศรีมองแล้วยิ้มบางๆ

    “พบความผิดปกติอะไรหรือเปล่า” ทันทีที่เข้ามาในห้อง ผู้เป็นหัวหน้าก็เปิดปากถามในทันทีเช่นกัน หญิงสูงวัยนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้นวมสีดำตัวใหญ่ ใบหน้าไร้รอยยิ้มเสริมความน่าเกรงขามขึ้นอีกระดับ ธารธาราเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน สองมือประสานกันไว้ข้างหน้าอย่างนอบน้อม

    “ยอดเงินไม่สอดคล้องตามตัวเลขในบัญชีค่ะหัวหน้า”

    “อืม” สมศรีทำหน้าครุ่นคิด “รายงานมาให้ละเอียดนะ มันอาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่มากกว่านี้” หล่อนเองก็ได้ยินข่าววงในมาเหมือนกันว่ามีการฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์ในหลายๆ โครงการ

    “ค่ะ”

    ธารธาราก็ยังคงเป็นธารธารา เธอช่างสงบปากสงบคำจนน่าโมโห แต่นี่อาจเป็นสิ่งหนึ่งที่สมศรีชื่นชมในตัวลูกน้องคนนี้ เธอตั้งใจทำงานและไม่ค่อยประจบเหมือนคนอื่นๆ

    “เป็นยังไงบ้าง”

    “หนาวสบายมากค่ะหัวหน้า”

    “พี่หมายถึงแฟนของเธอ” สรรพนามแทนตัวเองที่เปลี่ยนไปเมื่อพูดถึงเรื่องส่วนตัว

    ดวงตากลมโตหม่นแสงลงชั่วครู่ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสดใสเหมือนเคย “ก็เรื่อยๆ ค่ะ ไม่มีอะไรคืบหน้า”

    “แสดงว่ายังไม่ทันทำตามที่พี่บอก” สมศรีถอนหายใจโล่งอก หล่อนเผยยิ้มแรกของวันออกมา “ดีนะที่ไม่ทำตาม ไม่อย่างนั้นพี่คงรู้สึกผิดแย่ ผู้ชายบางคนน่ะ ได้เราแล้วทิ้งก็มีนะน้ำหนาว เขาไม่ได้มีความเป็นสุภาพบุรุษเสมอไปหรอก ยิ่งหนุ่มๆ สมัยนี้ยิ่งแล้วใหญ่เลย เก็บความสาวของเธอไว้ให้คนที่เขารักเธอจริงๆ ในคืนวันแต่งงานดีกว่า”

    ธารธารายืนก้มหน้านิ่ง เธอจะกล้าบอกหัวหน้าได้อย่างไรว่าเธอเสียตัวแล้ว และเขาก็ทำท่าจะทิ้งเธอเสียด้วย เพราะตั้งแต่วันนั้นมาเขาก็ยังคงห่างเหินกับเธอไม่เปลี่ยน การมีเซ็กส์ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นจริงๆ แต่ธารธาราไม่นึกเสียใจที่ได้มอบความสาวให้เขาไป อย่างน้อยเขาก็เป็นผู้ชายที่เธอรัก

    “หนาว!” สมศรีขึ้นเสียงเมื่อเรียกลูกน้องเป็นหนที่สามแต่เธอก็ยังทำเหมือนได้ยิน

    “คะ” คนถูกเรียกทำหน้าเหลอหลา

    “เป็นเอามากนะเราเนี่ย”

    “คือ..”

    “ไปพักเถอะ ขอบใจมาก”

    “ค่ะ”

    สมศรีถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังผู้ใต้บังคับบัญชาปิดประตูลง หล่อนคงจะต้องหาทางช่วยน้ำหนาวให้พ้นจากสภาวะที่เป็นอยู่เสียที อย่างให้รู้นะว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แม่จะตบกะโหลกสั่งสอนให้หลาบจำ ผู้หญิงก็มีความรู้สึกทำอะไรไม่คิดถึงใจกันบ้างเลย

    กริ่ง!

    “ค่ะ กำลังเร่งตรวจสอบค่ะ ทันเวลาแน่นอนค่ะ”

    วางโทรศัพท์ลงด้วยความหนักใจ ธีรกฤษ เลขาของประธานโทรมาสอบถามความคืบหน้า น้ำเสียงนิ่งเย็นนั้นทำให้คิดถึงใบหน้าคนหนุ่มหล่อเหลาแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความเข้มดุเหมือนกันกับเจ้านายของเขา ผู้ชายพวกนี้น่ากลัวเกินกว่าจะนำมาทำพันธุ์ วันดีคืนดีอาจโดนฆ่าหมกส้วมก็เป็นได้หากทำอะไรขัดหูขัดตา สมัยเมื่อตอนยังสาวหล่อนก็เคยคลั่งไคล้คนประเภทนี้ยิ่งนัก ความเงียบขรึมของพวกเขาช่างน่าค้นหา อีกทั้งหน้าตาก็เข้าขั้นเป็นพระเอกละครได้อย่างสบาย สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้พนักงานสาวๆ เพ้อฝันว่าจะได้เดินเคียงข้าง แต่ยกเว้นธารธาราคนหนึ่งกระมัง เพราะวันๆ แม่สาวคนนั้นทำแต่งาน พอเลิกงานก็เล่นเกม และง่วนอยู่กับโปรแกรมแชท สมศรีถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะรีบลงมือตรวจสอบบัญชีในส่วนของตน

    เกือบเที่ยงคืน เมลก็ถูกส่งมาให้ธีรกฤษ ชายหนุ่มรีบตรวจสอบแล้วส่งไปให้ผู้เป็นนาย ไม่นานเขาก็ถูกเรียกเข้าไปในห้องเพื่อปรึกษาเรื่องสำคัญ

    “เป็นอย่างที่เราคิด” ต้นตระกูลนั่งนิ่งหันหลังให้เขา คนตรงหน้ากำลังมองผ่านกระจกใสชั้นสิบไปยังเบื้องล่างอย่างที่เขาชอบทำ

    “เราจะดำเนินการเลยไหมครับ หลักฐานและทนายความของเราพร้อมแล้ว”

    “ฉันไว้ใจนายได้ใช่ไหมกฤษ”

    “เจ้านาย!” ผู้เป็นลูกน้องอุทานเสียงหลง

    “นายจะไม่ทำแบบคนพวกนั้นใช่ไหม” เสียงเย็นของเจ้านายยังคงคาดคั้นต่อไป

    “ครับ” ธีรกฤษรับคำอย่างหนักแน่น

    “ดึกมากแล้ว นายกลับไปเถอะ”

    “แล้วเจ้านาย..”

    “ฉันก็จะกลับเหมือนกัน”

    “ครับ” ธีรกฤษรับคำและเดินออกไป

    เสียงประตูถูกเปิดและปิดลง ผู้ที่นั่งอยู่หมุนเก้าอี้กลับมา มือทั้งสองยกค้ำโต๊ะและซบหน้าลงไปอย่างคนเมื่อยล้า ในหัวเต็มไปด้วยภาพเมื่อตอนกลางวันที่พยายามสลัดให้ออกไปแต่มันก็ยังคอยเข้ามารบกวนจิตใจเขาอยู่ดี

    หลายครั้งที่เขารู้สึกผิด แต่เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าเพราะอะไร ทำไมเห็นหน้าอรุโณทัยแล้วเขาถึงไม่ถูกชะตากับเธอนัก พยายามทำร้ายให้เธอเจ็บปวดต่างๆ นานา แต่ลับหลังเธอแล้วเขากลับต้องมานั่งสำนึกผิด รู้สึกเหมือนตัวเองทำเกินกว่าเหตุ และเจ็บแปลบๆ ข้างในหัวใจ

    “โว๊ย”

    ชายหนุ่มเสยผมยุ่งๆ แล้วพยายามใส่ใจกับเอกสารตรงหน้าแทน

     

    “ยัยหนาว แกจะกลับบ้านยังไงล่ะทีนี้ รถประจำทางยังมีอยู่ไหม”

    พรรพิสุทธิ์หรือเจ้อ๋อมร้องทักขณะกำลังจะซ้อนมอเตอร์ไซ วันนี้แฟนหนุ่มของเธอมารับเหมือนอย่างเคย พรรพิสุทธิ์เป็นหญิงสาวร่างท้วมอายุมากกว่าธารธาราสองปี เข้าทำงานในบริษัทแห่งนี้พร้อมๆ กับธารธารา ทำให้ทั้งสองสนิทกันกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ

    “รอแท็กซี่ค่ะเจ้ อีกหน่อยก็คงมา”

    “ให้เจ้อยู่เป็นเพื่อนไหมล่ะ มืดค่ำแบบนี้ ยืนตัวคนเดียวมันอันตราย”

    “ไม่เป็นไรค่ะเจ้ ทำงานเหนื่อยๆ รีบกลับไปพักเถอะค่ะ” ธารธารารีบปฏิเสธด้วยความเกรงใจ แม้ลึกๆ จะแอบหวั่นอยู่บ้างเพราะผู้คนทยอยกลับและเริ่มบางตาลงทุกที

    “แน่ใจนะ”

    “ค่ะ ขอบคุณค่ะเจ้”

    พรรพิสุทธิ์โบกมือลาและนั่งรถมอเตอร์ไซหายลับไปกับความมืด ธารธารามองซ้ายขวาแล้วถอยเข้าไปใกล้ๆ ป้อมยามอีกนิด อย่างน้อยก็ยังมีลุงยามนั่งอยู่ตรงนั้น

    รถคันแล้วคันเล่าวิ่งผ่านเลยไป แต่น่าแปลกที่ยังไม่เจอแท็กซี่สักคัน ธารธาราหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาดูนาฬิกาและพบว่ามันย่างเข้าตีหนึ่งเสียแล้ว หญิงสาวเอนศีรษะพิงกำแพงรั้วอย่างเหนื่อยล้า เธอคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูโปรแกรมแชทอีกครั้ง ข้อความของเธอที่ส่งอรุณสวัสดิ์ไปตั้งแต่เมื่อเช้าเขายังไม่ทันเปิดอ่านเลย

    หรือธีรกฤษจะทิ้งเธอจริงๆ

    ธารธาราหลับตาลง ทั้งท้อ ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว

    ‘เขาทำแบบนี้กับเธอได้ยังไงหนาว แล้วแกทนได้ยังไง’ เสียงบ่นของพราวพิชชาดังก้องไปก้องมาในความคิด ‘ไปเรียกมาเคลียร์เดี๋ยวนี้เลยนะ แกจะให้เขาเอาเปรียบแบบนี้ได้ยังไง’

    ‘ฉันผิดเองแหละ ฉันเสนอตัวเอง จะไปโทษเขาก็คงไม่ได้’

    ‘แต่อย่างน้อยเขาก็น่าจะแสดงความรับผิดชอบใช่ไหมล่ะ มีอย่างที่ไหนได้เราแล้วยิ่งเฉยชากว่าเก่า คนรักกันเขาทำกันแบบนี้เหรอ แล้วแกก็อย่าทำตัวเป็นของตายได้ไหม’

    ‘ฉัน..’

    ‘ถ้าฉันเป็นแกฉันคงไม่ทน’

    แล้วเธอทนเพื่ออะไร? มองไม่เห็นอนาคตร่วมกันเอาเสียเลย บางทีเขาคงจะอายที่ต้องคบกับน้ำหนาวคนนี้ หน้าตาธรรมดาอย่างเธอหรือจะสู้ดารานางแบบไฮโซที่เขาเคยควง คนจนๆ อย่างเธอหรือเขาจะมาสนใจ

    หรือเธอต้องถอยออกมาจริงๆ

    “มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้”

    ธารธาราสะดุ้งสุดตัว หญิงสาวลืมตาขึ้นพรึบ ภาพเบื้องหน้าที่เห็นทำเธอนิ่งอึ้ง ทำตัวไม่ถูก

    “ดูทำหน้า” ธีรกฤษหัวเราะเบาๆ มือหนาเอื้อมมือไปแตะไหล่คนร่างเล็ก

    “พี่ๆ พี่กฤษ” ทันทีที่เห็นหน้าเขา อารมณ์น้อยใจก็สลายไปสิ้น เธอคงรักเขามากสินะน้ำหนาว “มาได้ยังไงคะ”

    “พี่ถามหนาวก่อน”

    “หนาวกำลังรอรถกลับห้อง”

    “ไม่รู้เหรอว่ามันอันตรายหืม” ชายหนุ่มเริ่มทำหน้าไม่สบอารมณ์ “ทีหลังโทรหาพี่”

    “หนาวคิดว่าพี่น่าจะนอนแล้ว”

    “นอนแล้วก็โทรมาไม่ได้หรือไง”

    “หนาวเกรงใจ”

    “หนาว” ธีรกฤษหลับตาข่มอารมณ์ไม่พอใจที่เธอช่างต่อปากต่อคำได้ขนาดนี้ เขาก้มลงไปชิดใบหูขาวสะอาด “ผัวไม่ได้มีไว้แค่ให้เอาเฉยๆ นะครับคุณผู้หญิง”

    ธารธาราขนลุกซู่ รู้สึกถึงความเปียกชิ้นปัดผ่านใบหูเธอแผ่วๆ ใบหน้าสาวแดงระเรื่อในความสลัว หญิงสาวผลักอกเขาเสียแรงแต่ตัวเองกลับเป็นฝ่ายเซ

    “พี่กฤษบ้า” ใครล่ะที่ชอบทำตัวห่างเหิน

    “ไปขึ้นรถ” ว่าแล้วเขาก็จูงมือเธอไปขึ้นรถคันโปรดที่ไม่เคยพาสาวไหนขึ้นมาก่อนเลยนอกจากธารธารา นั่นเป็นเพราะเขาหวงรถคันนี้ยิ่งกว่าอะไร

    ธารธาราก็เพิ่งรู้ว่าเขาขับรถมาจอดใกล้ๆ เธอนี่เอง เธอโล่งใจไม่น้อยที่เป็นเขาหาใช่ของโจรผู้ร้าย ไม่อย่างนั้นเธอคงโดนอุ้มไปแล้ว

    “อยากกินอะไรไหม” เขาหันมาถามเสียงนุ่มอย่างเอาใจ รถคันงามออกตัวแล่นไปตามถนนโล่ง

    “มีปัญญาเลี้ยงเหรอ”

    “ไม่รู้ตัวเหรอว่ามีผัวรวย”

    “บ้า พี่กฤษอ่ะ ใครเป็นผัวใครก็ไม่รู้” ประโยคหลังธารธาราบ่นกับตัวเองอย่างเขินๆ เพราะอย่างนี้ไงเธอถึงตัดใจจากเขาไม่ลง บทเขาจะหวานเธอก็แทบจะละลาย

    “ผัวเตงไงจ๊ะ ผัวของหนาว”

    “พูดไม่อายปาก”

    “มีอะไรต้องอาย”

    “ไม่พูดด้วยแล้ว” ธารธาราหันข้างดูวิวข้างทาง ภูมิต้านทานของเธอที่มีต่อเขาต่ำจนเกือบติดลบอย่างน่าใจหาย

    “เอ.. หรือว่าครั้งเดียวยังไม่พอ ต้องเอาหลายๆ ครั้งถึงจะเป็นผัวได้”

    “อร้าย..” ธารธาราแอบกรี๊ดอยู่คนเดียว เธอพลิกตัวกลับมาหาคนขับรถสุดหล่ออีกครั้ง “ลามก”

    “จะว่าไป วันนั้นใครเป็นฝ่ายชวนใครก่อนน๊า...” ธีรกฤษพูดไปยิ้มไป ความเครียดจากงานที่สะสมมาหลายวันพลันจางหายเมื่อได้หยอกล้อกับ ‘เมีย’

    “พอเลยพี่กฤษ ไม่เอาแล้ว”

    ธีรกฤษหัวเราะลั่นรถ “ไปกินหมี่เกี๊ยวกันนะ”

    ธารธาราครางตอบเบาๆ หากไม่ได้สัมผัสกับตัวเธอคงคิดว่าเขาเป็นมนุษย์น้ำแข็งขั้วโลกอย่างที่เคยเพื่อนๆ ในที่ทำงานบอกมา แม้จะทำงานที่เดียวกันแต่เป็นเรื่องยากนักที่จะพบหน้าเพราะทำงานกันคนละอย่างและที่ทำงานยังห่างกันอีกด้วย ธารธารากำลังเคลิ้มๆ จะหลับก็ถูกเขย่าตัวปลุกเพราะตอนนี้ถึงร้านบะหมี่เกี๊ยวแล้ว

    “เตง ถึงแล้วจ้ะ”

    “ง่วงจัง กลับไปนอนเลยไม่ได้อ่อ”

    “ไม่ได้ ได้ข่าวว่ายังไม่ทันได้กินอะไรเลยนี่”

    “ไปได้ยินมาจากไหนคะ” ธารธาราเหยียดแขนบิดตัวไปมา

    “เออน่า..” เขาลงจากรถแล้วมาเปิดประตูรถฝั่งเธอ ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วกึ่งจูงกึ่งลากคนที่ยังงัวเงียให้เดินตาม “กินก่อนแล้วค่อยนอน น้องๆ หมี่เกี๊ยวปูหมูแดงสอง” ประโยคหลังหันไปสั่งเด็กหนุ่ม ลูกชายของลุงเจ้าของร้าน ธารธาราชื่นชมที่เขาไม่ทำตัวติดหรู ถึงเขาจะรวยอย่างที่ชอบอวดใส่เธออยู่บ่อยๆ แต่เขาก็สามารถกินอาหารร้านข้างทางได้

    “เหนื่อยมากเหรอ”

    “ทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงเที่ยงคืน” ธารธาราบ่น “คนนะไม่ใช่เครื่องจักร มันก็ต้องมีน๊อคบ้างล่ะ”

    ธีรกฤษหัวเราะเบาๆ

    “คอยดูนะฉันจะฟ้องกรมแรงงานให้เอาผิดเจ้านาย โรงงานนรกชัดๆ”

    “อยากให้ผัวติดคุกเหรอจ๊ะ ระวังผัวจะไปมีผัวแล้วเตงจะกลายเป็นม่ายนะ”

    “โอ๊ยพี่กฤษ” ธารธาราตื่นตาใสขึ้นมาทันที หล่อนเอื้อมมือไปตีต้นแขนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเบาๆ “คิดได้ยังไง”

    “ฮ่าๆ” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังกว่าเดิมจนคนที่นั่งโต๊ะข้างๆ หันมา “สนใจอยากเป็นอีหนูของป๋าไหมจ๊ะ วันๆ ไม่ต้องทำอะไรนอกจากนอนรอบนเตียง”

    “บ้า!!” ธารธาราเขินจัดกับแววตาและวาจากรุ้มกริ่มของเขา ยิ่งคิดไปถึงคืนนั้นยิ่งหน้าแดงขึ้นไปอีก “นั่น มาพอดีเลย กินเข้าไปไม่ต้องพูดมาก”

    เด็กหนุ่มร่างผอมเสิร์ฟชามหมี่เกี๊ยวแล้วเดินจากไป ธารธาราเลยพูดขึ้นอีก

    “หลังจากวันนั้นทำไมพี่หายหน้าไปเลยคะ”

    “วันไหน” ธีรกฤษเคี้ยวไปถามไป สาบานเลยว่ามันไม่ได้สักครึ่งของมาดคุณชายอย่างที่ธารธาราเคยได้ยินมาสักนิดเดียว

    “ก็วันนั้นน่ะ”

    “วันไหน” ธารธาราคงไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากของเขา ชายหนุ่มตั้งหน้าตั้งตากินจนหมดแล้วหันไปสั่งอีกชามโดยที่เธอยังใส่เครื่องปรุงไม่ทันเสร็จด้วยซ้ำ

    “ก็วันที่เรา..” ธารธาราทำนิ้วชี้ชนกันจึ้กๆ อย่างเขินอายเพราะกระดากปากที่จะพูดออกไป

    “ยัยทะลึ่ง”

    “พี่กฤษอ่ะ”

    “เอากันก็บอกว่าเอากัน” คนรอบข้างหันมองกันพรึบ แต่คนพูดไม่ได้สนแต่อย่างใดผิดกับธารธาราที่แทบอยากจะจุ่มหน้าลงไปในชามหมี่เกี๊ยว “อย่ามาทำอะไรให้ชวนคิดลึก”

    คนไม่ทะลึ่งพูดอย่างไม่อายปาก หญิงสาวซบหน้าลงกับฝ่ามืออย่างอับอาย เสียงเป่าปากแซวดังมาจากโต๊ะวัยรุ่นที่อยู่ถัดออกไปราวห้าเมตร

    เธอจะไม่มาเหยียบร้านหมี่เกี๊ยวร้านนี้อีกตลอดชีวิต

    “ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้อยู่ดูแล” น้ำเสียงจริงจังของเขาทำให้ธารธาราเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง แววตาแสดงความห่วงใยของเขาสะกดเธอได้อยู่หมัด

    “ไม่ค่ะ หนาวไม่เป็นอะไรแล้ว”

    “ถ้าอย่างนั้นดีเลย วันนี้จะพาทำอีก รีบกินจะได้มีแรง”

    ธารธารากะพริบตาปริบๆ ธีรกฤษเกือบจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว เธอทำหน้าตาเหลอหลาได้น่ารักไปอีกแบบ ชายหนุ่มคีบผักในชามของตัวเองให้เธอจนหมด ปากก็พร่ำพูดไปเรื่อย “กินผักเยอะๆ นะ ร่างกายจะได้แข็งแรง ในผักมีวิตามินเอ บี ซี ดี อี เอฟ จี คนเก่งต้องทานผักเยอะๆ นะครับ”

    ธารธารายิ้มจนแก้มปริให้กับความเอาใจใส่ของเขา

    เอ้ะ ว่าแต่มันมีด้วยเหรอวิตามินเอฟ วิตามินจี

    “ส่วนเนื้อหมูติดมันนี่ห้ามกินเด็ดขาดเลยรู้ไหม เพราะมันมีไขมันเดี๋ยวจะไปสะสมในเส้นเลือด เกี้ยวนี่ก็เหมือนกัน มาๆ พี่ยินดีตายแทนน้อง”

    ตะเกียบคู่เดียวกันนั้นคีบชิ้นเนื้อและเกี๊ยวที่เธอกะเอาไว้กินหลังจากกินเส้นหมดออกไปต่อหน้าต่อตา ธารธารานั่งอ้าปากค้าง ตาโต

    “นั่งทำอะไรอยู่ กินสิ เกี๊ยวร้านนี้อร่อยจริงๆ นะเนี่ย เนื้อหมูก็นุ้มนุ่ม”

    หญิงสาวกระแทกตะเกียบใส่ถ้วย คีบผักลวกใส่ปากอย่างคับแค้นใจ เธออยากจะสั่งใหม่ก็เสียดายถ้วยนี้เลยต้องจำใจกิน

    “น้องๆ พิเศษถ้วยหนึ่ง” ธีรกฤษนั่งตัวสั่นเทิ้มอยากหัวเราะออกมาดังๆ แต่ทำไม่ได้ มองคนหน้าบึ้งกินผักอย่างชอบใจ ไม่นานเด็กหนุ่มคนเดิมก็เดินกลับมาพร้อมชามหมี่เกี๊ยวในมือ ธีรกฤษยัดเงินจำนวนหนึ่งให้กับเด็กคนนั้นโดยไม่ถามราคา แต่มันก็มากพอจนเด็กหนุ่มตาเบิกโต ไหว้ปรกๆ อย่างขอบคุณ

    “อ่ะ” ชายหนุ่มเลื่อนชามที่เพิ่งสั่งมาใหม่ให้คนที่นั่งตรงข้าม เธอเอียงคอประกอบสีหน้าที่เป็นคำถาม “กินๆ ไปเถอะ สั่งมาให้”

    “ไม่กิน อยากสั่งมาเองก็กินไปเองคนเดียวสิ”

    “กินเถอะ ชามนี้พี่ใส่ใจมาด้วยเห็นไหม”

    “ไม่เห็นจะมี” ธารธาราทำเสียงแง่งอน ความจริงเธอใจอ่อนตั้งแต่เขาเลื่อนชามมาให้ตั้งแต่ทีแรก

    “ลองใช้ใจมองสิ เดี๋ยวก็เห็น”

    โดนใจไปอีกดอก หญิงสาวโอดครวญในใจ สองแก้มแดงปลั่งจนธีรกฤษนึกเอ็นดู “รีบกินเดี๋ยวพากลับ มีเรื่องอะไรค่อยไปเคลียร์กันเข้าใจไหม”

    ธารธาราเหรอจะกล้าหือ?

    เมื่อประตูห้องถูกปิดลง ธีรกฤษคนขี้เล่นก็หายไป กลายเป็นธีรกฤษคนหื่นไปในบัดดล ธีรกฤษมาดเข้มยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ไม่รู้ว่าตอนนี้หายไปไหนแล้ว

    “หยุดเลยนะพี่กฤษ จะมากอดมาหอมอะไรนักหนาเนี่ย ยังไม่ได้อาบน้ำเลย”

    “ก็คนมันคิดถึง ไม่ได้เจอตั้งหลายวัน” สองแขนไม่ยอมคลายจากร่างเล็ก เขาซูดดมไปทั่วใบหน้างามอย่างหลงใหล

    “คิดถึงแล้วทำไมหายไป” ธารธาราเสียงเข้มขึ้นทันที เขาปล่อยให้เธอพร่ำเพ้ออยู่ฝ่ายเดียวมาตลอดไม่ใช่เหรอ โทรไปก็ไม่ค่อยรับ ส่งข้อความไปก็ไม่ค่อยเปิดอ่าน

    “ผมมีงานต้องทำนะครับ”

    “ยุ่งถึงขนาดตอบข้อความไม่ได้เลยเหรอ”

    ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาคลายอ้อมแขนออก สองมือประสานกอดอกจ้องเธอนิ่งจนธารธาราชักจะร้อนๆ หนาวๆ

    “เคยบอกไปแล้วไม่ใช่ไม่บอก พี่ไม่ได้มีเวลาส่องไลน์ทั้งวันหรอกรู้ไหม แล้วที่โทรเนี่ย ถามหน่อยโทรทางไหน”

    “โทรเฟส โทรไลน์” หญิงสาวพูดเสียงอ่อย เริ่มรับรู้เค้าความพ่ายแพ้อยู่ลางๆ

    “เบอร์มือถือมีทำไมไม่รู้จักโทร โทรให้มันชื่นใจว่าตั้งใจโทรหากันหน่อยไม่ได้หรือไง”

    ‘ก็มันเปลืองเงินโทรนี่นา โทรเฟสโทรไลน์ก็ได้ยินเสียงกันเหมือนเดิม จะเอาอะไรนักหนาก็ไม่รู้’ ธารธาราบ่นอุบอยู่คนเดียว เธอไม่กล้าเถียงเขาเพราะกลัวจะเป็นเรื่อง ในใจก็แอบยอมรับว่าตัวเองผิดที่คิดมากเกินไปอยู่คนเดียว

    “ทีหลังก็รู้จักโทรมาหน่อย”

    “เอาอย่างนั้นก็ได้” ธารธาราเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออก ไม่นานโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสแล็กสีดำของธีรกฤษก็สั่น เขาหยิบขึ้นมารับ

    “พอใจหรือยัง” ธารธาราเอ่ยถามผ่านโทรศัพท์

    “ใครบอกให้โทรตอนนี้” เขาก็พูดผ่านมันส่งมาถึงเธอเหมือนกัน ดวงตาสองคู่สบกันอย่างไม่หวั่นเกรง

    “ก็อยากจะโทร”

    “ไม่โทรแล้วใครจะว่าอะไร”

    แล้วเมื่อกี้ใครบ่น ธารธาราถอนหายใจเฮือกๆ หันหลังให้เขา เธอกำลังจะกดวางก็ได้ยินเสียงเขาพูดขึ้น

    “วันนี้ทำงานเหนื่อยมากเลย ปวดสมองไปหมด มีแต่เรื่องเครียดๆ”

    “เหรอคะ” ทีแบบนี้ล่ะพาออกนอกเรื่องเฉย แต่หญิงสาวก็รู้สึกดีที่เขาไม่ชวนทะเลาะ

    “อืม อยากได้คนมานวดให้จังเล้ย”

    “นวดไม่เป็น”

    “ใจร้าย” เสียงเขาโอดครวญไม่ได้ทำให้เธอใจอ่อน ธารธาราสะดุ้งเมื่อเขาเกยคางเข้าที่ไหล่ของเธอ มืออีกข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์รวบกอดเอวเธอไว้

    “นานๆ ทีจะได้เจอ เอาใจกันหน่อยสิคร๊าบ”

    ธารธาราย่นคอเพราะลมหายใจของเขาทำให้เธอจั๊กจี้ หญิงสาวหันกลับมาหาเขา แววตาขี้อ้อนของคนตัวโตที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนเกือบทำให้คิดว่าตัวเองตาฝาดไป

    “แค่นวดนะ ไม่มีอย่างอื่นนะ”

    แววตาลิงโลดของเขาสะดุดลงเมื่อได้ฟังประโยคหลัง เขากดตัดสายทิ้งแล้ววางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะใกล้ๆ “มาเถอะ” ว่าพร้อมกับจูงมือเธอไปที่เตียง ธารธาราคล้ายจะได้ยินเสียงหัวเราะอยู่หึๆ ขนท้ายทอยหญิงสาวลุกชันอย่างห้ามไม่อยู่ ลางสังหรณ์ของเธอมันไม่ได้วางใจว่าจะมีแค่นวดอย่างที่พูด

     

     

     

    ตัด NC นิดหน่อยค่ะ

    คู่รองใสๆ

    ตอนหน้าจบแล้ว ห้ามพลาดนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×