ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์พยาบาท

    ลำดับตอนที่ #4 : 4 เล่ห์ลวง

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ค. 64


     

    4

     

    ช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ สภาพอากาศร้อนอบอ้าวของเมืองกรุงทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกราวกับอยู่ในนรกก็ไม่ปาน ไม่มีใครอยากเยื้องกรายออกนอกอาคารแม้แต่น้อย ผิดก็แต่เจ้านายกับลูกน้องสองหนุ่มหล่อที่หุนหันออกจากห้องแอร์เย็นฉ่ำ ไม่นำพาความร้อนใดๆ

    “สายสืบแจ้งมาว่าท่านประธานเข้าไปในเรือนหลังนั้นตั้งแต่เช้าแล้วครับ” เลขาหนุ่มเดินไปรายงานเจ้านายไป ปฏิบัติตามหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง สองเท้าเดินแกมวิ่งให้ทันเจ้านาย

    “อืม” ใบหน้าไร้รอยยิ้มนั้นบึ้งตึงขึ้นไปอีก

    รถประจำตำแหน่งเข้ามาจอดเทียบท่า ต้นตระกูลก้าวขึ้นไปทันที ธีรกฤษเกือบจะวิ่งขึ้นรถตามเจ้านายไม่ทัน บรรยากาศภายในรถเยือกเย็นแต่ลูกน้องในรถกลับมีเหงื่อผุดพรายจนมือเปียกชื้น เลขาหนุ่มนั่งคู่พนักงานขับรถที่นั่งตัวตรงหน้าตื่น ส่วนตัวเขาเองบีบมือไปมาอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปมากกว่านี้

    ทันทีที่ได้รับรายงานว่าท่านประธานเดชาเข้าไปในบ้านหลังนั้น ต้นตระกูลก็เกิดอาการควันออกหูโกรธจนหน้าดำหน้าแดง จู่ๆ เขาก็ทุบโต๊ะดังปัง! ก่อนจะเดินตัวปลิวออกจากห้องมา จนถึงตอนนี้พายุอารมณ์ของเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงแต่อย่างใด ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำ ดวงตานั้นยิ่งน่ากลัวจนคนมองแทบลืมหายใจ

    “ขับได้เร็วแค่นี้เองเหรอ”

    เสียงต่ำที่ดังขึ้นทำลายความเงียบทำให้คนที่เหลือสะดุ้ง สารถีหวาดกลัวจนลนลาน “ครับท่าน ถ้าเร็วกว่านี้จะเกินที่กฎหมายกำหนดแล้วครับ”

    ต้นตระกูลไม่พูดอะไรอีก เขาเงียบ ลูกน้องต้องทำตัวให้เงียบยิ่งกว่า จะหายใจแรงก็ยังไม่กล้า ธีรกฤษนั่งนิ่งแอบเหลือบมองเจ้านายผ่านกระจกส่องหลังเป็นระยะ เจ้านายเผลอกินรังแตนที่ไหนมาหนอ

    “จะมองอีกนานไหม” ต้นตระกูลเหน็บเสียงเย็นทั้งๆ ที่ไม่หันมามองด้วยซ้ำ เลขาหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ อดยิ้มไม่ได้ เขาหันมาสนใจสภาพบ้านเรือนตามรายทางแทน

    ไม่นานรถเบนซ์คันหรูก็ถึงที่หมาย พนักงานขับรถรีบปลดเข็มขัดนิรภัยของตนอย่างเร็วจนมือไม้สั่นเพราะต้องไปเปิดประตูรถให้เจ้านาย เขากำลังจะเปิดประตูรถออกไปก็โดนห้ามเสียก่อน

    “ไม่ต้อง”

    “ค..ครับ”

    สองคนข้างหน้าหันมาสบตากันด้วยความไม่เข้าใจ แต่ไม่มีใครกล้าถาม พวกเขาจึงทำได้เพียงนั่งนิ่งหลังตรงรอฟังคำสั่งเจ้านาย มีเจ้านายอารมณ์ร้ายแบบนี้ก็ต้องทนและทนเท่านั้น

    ต้นตระกูลมองผ่านรั้วไม้เข้าไปในตัวบ้านอย่างรอคอย ไม่นานสองร่างที่เขาจำแม่นติดตาก็เดินเข้ามาให้เห็นในครรลองสายตา บนเรือนนั้น หญิงสาวร่างเพรียวกำลังเกาะแขนออดอ้อนออเซาะชายสูงวัยอยู่ไม่ห่าง ชายหนุ่มกำหมัดแน่นเมื่อภาพความฝันที่โหดร้ายประเดประดังเข้ามา

    ผู้หญิงร่านร้าย ผู้ชายก็เลวทราม สมกันดีนี่..

    ‘คุณเดช คุณทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง’ เสียงสะอึกสะอื้นร่ำไห้ปานใจจะขาดของมารดาดังแว่วเข้ามาในความคิด ในตอนนั้นเขายังเด็กนัก แต่ก็พอจะรู้ว่าสิ่งที่เดชาทำมันเลวร้ายเกินผู้หญิงคนหนึ่งจะรับได้

    ‘ผมขอโทษแก้ว ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ’ เดชาในวัยหนุ่มขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้อย่างหาตัวจับยาก ก่อนแต่งกับกรองแก้วเขาทำตัวเป็นเสือร้ายขย้ำหญิงสาวสวยเป็นว่าเล่น แต่สันดานไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆ หลังแต่งงานเขาก็ยังคงแอบวาดลวดลายเสืออยู่ลับหลังภรรยาสาวอยู่ตลอด ทุกครั้งที่กรองแก้วจับได้ เขามักจะทำทีเป็นสำนึกผิดพร้อมจะปรับปรุงตัวแต่ไม่นานนักเขาก็กลับไปเป็นอย่างเดิมอีก แม่ของเขาต้องอยู่อย่างขื่นขม เธอแอบร้องไห้คนเดียวอยู่บ่อยๆ แต่ทุกอย่างไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาเด็กน้อยไปได้ นับวันเดชายิ่งทำตัวไม่น่านับถือ สำหรับต้นตระกูล ชายคนนั้นเป็นเพียงแค่คนที่ทำให้เขาเกิดมาแค่นั้น

    ที่เขาทำตัวเหลวแหลกทุกวันนี้ก็เพราะผู้ชายคนนั้นนั่นแหละ

    ‘คุณก็พูดแบบนี้ทุกที’ กรองแก้วปิดหูไม่ยอมฟังคำอธิบายใดๆ

    ‘แก้ว.. มันก็แค่ความสนุกชั่วคราวเท่านั้นเอง’

    ‘ฉันไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ถ้าคุณยังไม่เลิกทำตัวแบบนี้ละก็ เราเลิกกัน’

    หึๆ สวรรค์ช่วยหาทางเขี่ยผู้ชายคนนั้นออกไปจากชีวิตได้แล้วสินะ

    ต้นตระกูลเหยียดยิ้มชั่วร้าย ดวงตาคมวาววับไม่ยอมละไปจากภาพอุจาดตาข้างหน้าแม้แต่น้อย คุณทำตัวเองนะเดชา ทำตัวเองทั้งนั้น...

    ผู้ที่ถูกจ้องอย่างอาฆาตมาดร้ายทั้งสองไม่รู้ตัวเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ทั้งสองใกล้ชิดกันไม่ห่าง ด้วยความที่จากกันนาน อรุโณทัยเลยมีเรื่องเล่าให้เดชาฟังมากมาย

    “หลังจากที่เจ้าคุณพ่อเสีย ลูกก็ต้องอยู่เป็นหลักให้บ่าวไพร่ เมื่อมีการยกเลิกทาส ลูกก็ปล่อยให้พวกเขามีอิสระตามแต่ใจต้องการ แต่ก็มีพวกคนเก่าๆ แก่ๆ ที่รับใช้เรามานานขออยู่ต่อเจ้าค่ะ ลูกก็ไม่ว่าอะไรให้พวกเขาได้เลือกตามใจชอบ พวกเขาก็อยู่จนสิ้นใจไปทีละคนๆ ส่วนลูกๆ หลานๆ ก็แยกจากไปมีครอบครัวใหม่ ย้ายกันออกไปเรื่อยๆ จนสุดท้าย” หญิงสาวทำหน้าครุ่นคิด “คนสุดท้ายที่สิ้นใจจากไปก็ประมาณร้อยปีมาแล้วเจ้าค่ะ”

    หนึ่งร้อยปี!!

    “แล้วลูกก็อยู่คนเดียวนี่นะ” เดชามีสีหน้าตกตะลึง

    “เจ้าค่ะ แต่ยังดีที่มีกัลยามาอยู่ด้วย เลยหายเหงา”

    เดชาหันไปยิ้มกันหญิงชราที่นั่งอยู่ไกลๆ “ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยดูแลลูกปราย”

    “อิฉันถูกคุณปรายดูแลมากกว่าค่ะ” ว่าแล้วกัลยาก็หัวเราะชอบใจ

    “ดูบอนสีกระถางนั้นสิเจ้าคะ เจ้าคุณพ่อชอบไหม” หญิงสาวชี้มือไปยังกอบอนสีในกระถางเล็ก “สีมันสวยมากเจ้าค่ะ เดี๋ยวลูกเอามาให้ดูใกล้ๆ ดีกว่า”

    ว่าแล้วร่างเล็กก็ก้าวขาจะวิ่งไป แต่ก็ต้องล้มลงเพราะสะดุดขาของเดชาที่บังเอิญขวางไว้อยู่ อรุโณทัยร้องว้ายหน้าคว่ำลงไป เดชาก็ตกใจไม่แพ้กัน เขารีบฉุดร่างน้อยขึ้นมากอดไว้ได้ทันท่วงที

    “ซุ่มซ่ามเหมือนเดิม”

    “เจ้าคุณพ่ออ่ะ” อรุโณทัยทำหน้ามุ่ย แววตาผู้เป็นพ่อที่ทอดมองมาอย่างล้อเลียนผิดแผกจากคุณหลวงสิงหบดีเดชาผู้เคร่งขรึมเป็นนิตย์ทำให้หญิงสาวหลุดยิ้ม ร่างบางโถมเข้ากอดเดชาแรงจนคนถูกกอดเซไปหลายก้าว

    “อย่าจากลูกไปอีกนะเจ้าคะ”

    “แน่นอน พ่อไม่ไปไหนอยู่แล้ว”

    สิ่งที่เธอกลัวมากที่สุดคือความสูญเสีย คนที่เธอรัก คนที่เธอรู้จัก ต่างล้มหายตายจากเธอไปคนแล้วคนเล่า และทุกครั้ง มันสร้างความเจ็บปวดใจให้เธอเหลือคณานับ เธอจึงไม่อยากสร้างความผูกพันกับใคร

     

    ปึก!!

    เฮือก!!!

    เสียงของหนักกระแทกอะไรอยู่ข้างหลังทำให้สองหนุ่มข้างหน้านั่งตัวเกร็งเข้าไปอีก เลขากับสารถีแอบเหล่หากันก่อนจะหันไปหาเจ้านายจอมโหด ธีรกฤษกระแอมนิดๆ น้ำกำลังเชี่ยวอยู่แม้ไม่อยากเอาเรือเข้าไปขวางแต่คำว่าหน้าที่มันค้ำคอ

    “อีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลานัดคุยงานกับคุณสมศักดิ์ครับ”

    ต้นตระกูลยังคงนิ่ง เขาจ้องสิ่งมีชีวิตที่โชคร้ายที่สุดในความคิดของลูกน้องทั้งสองตาไม่กระพริบ

    “เจ้านายครับ เราไปกันเลยไหมครับ” คนพูดเริ่มปาดเหงื่อ “จ..เจ้านายครับ”

    “พูดอะไรมากมาย น่ารำคาญ”

    อ้าว ซะงั้น

    “ไปเถอะ ไปไหนก็ไป” ประโยคต่อมาเสียงอ่อนลงกว่าเดิมนัก ต้นตระกูลหลับตาสูดหายใจยาว มันไม่ถูกต้องนักที่เอาอารมณ์มาลงลูกน้อง เขาพยายามไม่พาลคนอื่นจนสุดความสามารถแล้วจริงๆ

    เย็นวันนี้ต้นตระกูลกลับบ้านเร็วกว่าปกติจนเป็นที่น่าตกใจ กรองแก้วเห็นบุตรชายเดินเข้าห้องโถงมาถึงกับขมวดคิ้ว ปกติบุตรชายจะกลับบ้านหลังเที่ยงคืนเป็นอย่างน้อย

    “ลืมอะไรไว้เหรอจ๊ะ ความจริงลูกน่าจะโทรบอกแม่ก็ได้ แม่จะฝากไปให้”

    “ฝากอะไรล่ะครับแม่” ต้นตระกูลอมยิ้ม “วันนี้อยากอยู่ทานข้าวเย็นกับแม่บ้าง ไม่ได้เหรอครับ”

    “สงสัยจะหูฝาดไป”

    ต้นตระกูลหัวเราะน้อยๆ “วันนี้มีอะไรกินเอ่ย” ชายหนุ่มประคองร่างมารดามานั่งบนโซฟาตัวยาว

    “แกงจืดตำลึง” กรองแก้วบอกอาหารโปรดของบุตรชาย “แม่ว่าวันนี้มันแปลกๆ นะกัลป์ มีอะไรหรือเปล่า”

    ต้นตระกูลยิ้มนิดๆ วันนี้เขาตั้งใจมาจับผิดคนต่างหาก ชายหนุ่มบิดกายไล่ความขบเมื่อยแล้วขอตัวขึ้นห้องเพื่อรออาหารเย็น ร่างแกร่งเดินขึ้นบันได กำลังจะก้าวขั้นที่สามก็หันมาถามมารดาเสียงขรึม “เขายังไม่มาอีกเหรอครับ”

    “ยังเลยลูก ช่วงนี้เห็นบ่นๆ ว่างานยุ่งจ๊ะ”

    “อ่อครับ” ต้นตระกูลพยักหน้าหงึกๆ ลับหลังแอบแสยะยิ้มสมเพช ยุ่งกับเมียน้อยล่ะซิไม่ว่า หึ!! ระเริงรักกันไปก่อนเถอะ อีกไม่นานหรอก

    บนโต๊ะอาหารมื้อเย็นวันนั้นมีเพียงสองแม่ลูกนั่งทานอยู่ด้วยกัน ส่วนพ่อนั้นอ้างว่าติดธุระด่วนมาไม่ทันข้าวเย็น กรองแก้วนั้นไม่ติดใจอะไร ส่วนต้นตระกูลนั้นรู้ดีว่าผู้ชายคนนั้นทำอะไรอยู่

    คงต้องรอลุ้นว่าจะกลับดึกแค่ไหนเท่านั้นเอง

    เสียงรถแล่นเข้าบ้านเร็วผิดจากที่คาดไว้ทำให้ต้นตระกูลผิดหวังเล็กน้อย เขาแย้มม่านกระจกหน้าต่างออกเล็กน้อย ข้างล่างเดชาเดินเข้าไปในห้องโถง ปล่อยให้คนขับรถนำรถไปเก็บ ใบหน้าคมครุ่นคิดคาดเดาต่างๆ นานา ทำไมเดชากลับบ้านเร็ว หรือพวกเขาอาจไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่า รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นประดับมุมปากอย่างไม่รู้ตัว

    “กัลป์ พ่อว่าเลิกตามซื้อบ้านหลังนั้นเถอะ เจ้าของเขาไม่ขายหรอก” เดชาเอ่ยเสียงอ่อนเป็นเชิงขอร้องแกมอ้อนวอนอยู่ในที ต้นตระกูลที่กำลังตักข้าวเข้าปากวางช้อนกระแทกจานดังเคร้ง

    “ทำไมล่ะครับ ถ้าเราตื้อสักหน่อย ‘อ่อย’ เงินมากๆ เข้า ขี้คร้านจะประเคนให้เราแทบไม่ทัน” ชายหนุ่มจงใจเน้นคำว่าอ่อยเป็นพิเศษ

    “พอเถอะกัลป์ พ่อไม่เห็นด้วยที่เราจะไปคุกคามเขา” อรุโณทัยผูกพันกับบ้านหลังนั้นมาก และคงจะเสียใจมากอีกเช่นกันที่จะต้องจากมันไป เขาไม่อยากทำร้ายลูกอีกแล้ว

    “เหรอครับ” ผู้เป็นลูกเหยียดยิ้ม “คุกคามหรือคุกเข่าทำท่า....” แม้พูดไม่จบประโยคแต่คนฟังกลับตีความออก

    “ไอ้กัลป์!!” เดชาโกรธจนเนื้อเต้น ชายสูงวัยลุกขึ้นชี้หน้าบุตรชายด้วยความโมโห ฝ่ายนั้นลุกพรวดขึ้นอย่างเอาเรื่องเช่นกัน กรองแก้วรีบลุกขึ้นกางแขนกั้นคนทั้งสองออกจากกัน

    “พอเถอะค่ะ ทั้งสองคน”

    “ยังไงผมก็ต้องได้ที่ผืนนั้น”

    “แกไม่ฟังฉันเลยใช่ไหม”

    “ผมต้องได้!!” ต้นตระกูลขึ้นเสียง “ผมไม่ยอมปล่อยที่ดินกับบ้านสัปปะรังเคผุๆ พังๆ นั่นให้รกหูรกตาอาณาจักรอัศวเมฆินทร์แน่”

    “แต่ฉันเป็นเจ้าของบริษัท ฉันจะทำโครงการแบบไหนมันก็เรื่องของฉัน แกเลิกไปยุ่งย่ามกับเขาได้แล้วเข้าใจไหม”

    “คุณบอกผมไม่ได้หรอก” ต้นตระกูลหุนหันออกไปด้วยแรงอารมณ์ ยิ่งเดชาปกป้องเธอมากเท่าไร เขายิ่งอยากทำลายเธอมากเท่านั้น

    “คุณคะ” กรองแก้วรีบรุดมาแตะมือสามีหวังระงับอารมณ์เขาให้ลดลง “คุณก็รู้ ยิ่งคุณห้ามก็เหมือนยิ่งยุ แก้วว่าคอยดูเขาห่างๆ ดีกว่านะคะ”

    “แต่ผม..”

    “เชื่อแก้ว” ผู้เป็นภรรยายิ้มให้กำลังใจ “มีอะไรงั้นหรือคะ”

    “เปล่า กินข้าวต่อเถอะ” เดชาฝืนกินข้าวทั้งที่ลิ้นไม่รับรู้รสชาติใด

    หลังเลิกงาน ต้นตระกูลมักโผล่มายังเรือนไทยหลังน้อยเป็นประจำทุกวัน สิ่งของที่นำติดไม้ติดมือมาทุกครั้งคือกุหลาบแดงช่อโตเพื่อหวังเอาใจสาว อีกทั้งยังไม่ลืมซื้ออะไรเล็กๆ น้อยๆ อย่างขนมผลไม้มาฝากกัลยา แรกๆ หญิงชรามีอคติอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นนายสาวมีความสุขนางก็พลอยยินดีไปด้วย

    “น้องบอกว่าไม่ต้องเอามาแล้วยังไงคะ” ถึงปากจะบอกแบบนั้นแต่ใจกลับพองโตจนจะลอยได้อยู่แล้ว ต้นตระกูลยิ้มหวานพลางยื่นช่อกุหลาบให้

    สรรพนามที่ใช้ระหว่างกันก็ดูเหมือนจะสนิทชิดเชื้อขึ้นอีกระดับ

    “ไม่อยากได้ของที่พี่ให้เหรอ ได้ ทีหลังจะไม่ซื้อมาให้แล้ว” ต้นตระกูลยืนหันหลังให้อย่างงอนๆ

    อรุโณทัยยืนนิ่งอึ้ง ต้นตระกูลช่างเป็นคนขี้น้อยใจอย่างที่สุด เพียงแค่เธอทำอะไรให้เขาไม่พอใจ ชายหนุ่มก็พร้อมจะเหวี่ยงและวีนได้ทุกเมื่อ ครั้งนี้ก็เช่นกัน

    “งอนเหรอ” หญิงสาวจิ้มไหล่หนา ต้นตระกูลเบี่ยงไหล่หลบ ทำหน้าเชิดรั้นอย่างเอาแต่ใจ

    “โอ๋ๆ อย่างอนนะ”

    “ไม่ได้งอน”

    “จริงเหรอ” อรุโณทัยปิดปากหัวเราะคิกๆ

    “ตลกนักหรือไง” เขาหันกลับมา ใบหน้าบึ้งตึง “เออ ขำได้ก็ขำไป ไม่มีอะไรแล้ว ไปล่ะ” ชายหนุ่มย่ำเท้าตึงๆ ลงบันไดไม้ ในใจก็นึกกลัวว่ามันจะหัก แต่ด้วยอารมณ์เหมือนโดนหักหน้าเขาเลยกระทืบๆ ลงไปอีก เอาให้พังไปเลยทั้งหลังยิ่งดี ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยแม้แต่จะซื้อดอกไม้สักดอกให้ใคร เพราะผืนดินบ้าๆ นี่ เขาจึงจำต้องฝืนใจทำ

    “อ้าว” อรุโณทัยวิ่งลงบันไดมาขวางคนขี้งอนไว้ได้ทัน “โอ๋ๆ หายงอนนะ”

    “ไม่ใช่เด็ก ไม่ต้องมาโอ๋” เขาเบี่ยงกายเดินไปอีกทาง

    เอาแต่ใจจังพ่อคุณเอ๊ย “เอ้อ วันนี้น้องทำข้าวต้มมัดด้วยนะ น่าอร่อยทั้งนั้นเลย ถ้าพี่หายงอนเดี๋ยวน้องให้กินด้วย”

    “ไม่ต้องเอาของกินมาล่อ”

    เห็นใบหน้าจืดสนิทของเธอเขากลับอารมณ์ดีขึ้นอย่างประหลาด ชายหนุ่มหันกลับมาหาอรุโณทัยอีกครั้ง “จะว่าไปแล้วก็หิวอยู่เหมือนกัน ไหนเอามากินสิ”

    “ได้ค่ะ” ว่าแล้วเธอก็เผ่นขึ้นเรือน พับความเป็นกุลสตรีใส่หีบล็อกกุญแจไว้เรียบร้อย

    ต้นตระกูลยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่เบื้องหลัง

    รอไม่นานนักอรุโณทัยก็ประคองถาดข้าวต้มมัดลงจากเรือนมาอย่างระมัดระวัง ใบหน้ารูปไข่ยิ้มแป้นมาแต่ไกล หลงเสน่ห์เขาแล้วล่ะซี รักเขาเข้าแล้วล่ะซี ต้นตระกูลอยากหัวเราะดังๆ

    คนหลงตัวเองไม่ได้รู้เลยว่าตนเองสำคัญขนาดไหนกับอรุโณทัย ไม่ใช่เพราะเพิ่งรักในตอนนี้ แต่เพราะรักมานานมาก รอมานานเหลือเกิน เมื่อได้เจอเขาอีกครั้งเธอจึงพยายามเอาใจใส่ให้มากที่สุด แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าตนเองคือไผ่คนรักเก่าของเธอก็ตาม

    “ลองชิมดูสิ อ่ะ” มือเรียวแกะข้าวต้มมัดอย่างคล่องแคล่ว เธอยื่นให้ชายหนุ่มอย่างคาดหวัง ต้นตระกูลรับไปพิจารณาอย่างสนอกสนใจ มันเป็นแท่งข้าวมีเมือกนิดๆ ถูกสอดไส้ด้วยกล้วยน้ำว้าสุกสีแดงหน่อยๆ แลดู.. เอ่อ แปลกๆ ถึงเขาจะเป็นคนไทยแต่ต้องยอมรับว่าไม่เคยกินข้าวต้มมัดมาก่อน ชีวิตของเขาเติบโตมาบนกองเงินกองทอง ถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอมด้วยข้าวของเครื่องกินเครื่องใช้ที่ดีที่สุด แม้แต่ของกินเล่นจุบจิบยังต้องนำออกจากร้านค้าชื่อดัง มีอย.รับรองคุณภาพทุกชิ้น เมื่อมาเจอกับขนมหน้าตาแปลกๆ แบบนี้ชายหนุ่มจึงอดระแวดระวังไม่ได้ เขายกขึ้นดม ทำจมูกฟุดฟิด

    “กินได้จริงเหรอ”

    “ได้ซิ อร่อยนะ”

    “ไม่ท้องเสียแน่นะ”

    “เออน่า”

    มันก็หอมน่ากินดี ดูเหมือนเพิ่งเอาออกจากเตาใหม่ๆ เพราะยังอุ่นอยู่ หากมีเชื้อโรคจริงมันก็น่าจะตายไปแล้วล่ะ ความหิวทำให้ต้นตระกูลไม่คิดมากอีกต่อไป ชายหนุ่มงับส่วนบนไปเคี้ยว ต้องยอมรับว่ามันอร่อยเต็มไปด้วยเสน่ห์ความเป็นไทย

    “เป็นไงบ้าง”

    “ก็พอกินได้” ที่จริงมันอร่อยเลยล่ะ แต่ใครจะไปยอมรับกัน

    อรุโณทัยอมยิ้ม คนกลัวเสียเชิงชายกินไปติไปจนกระทั่ง.. “อ้าว หมดแล้วเหรอ” บนถาดที่เธอถืออยู่นั้นเต็มไปด้วยเศษใบตองห่อข้าวต้มมัด เขาหน้าเก้อนิดๆ “ฉันหิวมากไปหน่อย ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน”

    “ฮ่าๆ”

    “ขำอะไร”

    “เปล่าๆ ไปล้างมือกันไหมคะ”

    “นำไปสิ” ต้นตระกูลเดินตามร่างบางไปทางหลังบ้าน หญิงสาวเดินไปถึงโอ่งดินเผาขนาดเล็กแล้วหยุดนิ่งอยู่ชั่วครู่ อรุโณทัยกำลังมองหาขันตักน้ำ ไม่รู้ว่ากัลยาเอาไปไว้ที่ไหน พักนี้หญิงชรามักขี้หลงขี้ลืมอยู่บ่อยๆ เมื่อไม่เห็นขันเธอจึงหันมาหาเขาด้วยใบหน้าจืดเจือน กลัวว่าเขาจะหงุดหงิด “เราไปล้างมือตรงก๊อกน้ำตรงโน้นดีกว่าค่ะ”

    คนเดินตามหลังก้าวเท้าแซงหน้าเธอไปเปิดก๊อกน้ำล้างมือเองอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอจึงเดินนำเขาขึ้นเรือนเพื่อพูดคุยสัพเพเหระ ซึ่งมันน่าเบื่อมากสำหรับต้นตระกูล แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงทนฟังได้นานขนาดนั้น

    แต่เอาเถอะ ทุกอย่างมันใกล้สิ้นสุดแล้ว

    “ปราย”

    “คะ” อรุโณทัยกระตือรือร้นขานตอบแบบนี้เป็นประจำ

    “พี่ลืมไปว่าซื้อของมาฝาก รอครู่หนึ่งนะครับ” ร่างสูงขยับตัวลุกขึ้นยืนและก้าวลงจากเรือนอย่างรวดเร็ว อรุโณทัยมองตามจนศีรษะที่ปกคลุมด้วยกลุ่มผมหนาหายลับไปจากเรือน ใบหน้าหวานเผยยิ้มไม่ยอมหุบ เธอดีใจที่เขาให้ความสำคัญกับเธอกว่าที่คิด อรุโณทัยเฝ้ารอเขาด้วยใจจดจ่อ อยากรู้นักว่าเขาจะเอาอะไรมาให้ เธอไม่มีสมาธิถักไหมพรมอีกต่อไป รอไม่นานร่างหนาก็เดินขึ้นเรือนมาพร้อมกับน้ำผลไม้หลายรสยี่ห้อดังที่เธอเคยเห็นในโทรทัศน์อยู่บ่อยๆ เขาเลือกหนึ่งในนั้นขึ้นมาเปิดให้เธอชิม

    “อ่ะ” ชายหนุ่มยื่นให้เธอหนึ่งขวด ให้ตัวเองอีกขวด

    “ขอบคุณค่ะ” อรุโณทัยรับมันมาด้วยความซาบซึ้งใจ สิ่งของที่เขาให้มาไม่ว่ามันจะมีค่าหรือไม่เธอก็ยินดีเสมอ

    “พี่เปิดให้ครับ ฝามันค่อนข้างหมุนยากสักหน่อย” ต้นตระกูลรีบอธิบายปกปิดความมีพิรุจไว้อย่างดีเยี่ยม เห็นแววตาสดใสและรอยยิ้มพิมพ์ใจของเธอให้มาจึงแอบโล่งใจ “ชิมดูสิ”

    อา.. อย่างนั้นแหละ

    “พี่ไม่ดื่มเหรอคะ” อรุโณทัยถามกลับเมื่อเห็นเขามองเธอดื่มอย่างเดียว

    “ดื่มสิครับ วันนี้พี่มีความสุขมากเลยรู้ไหม” ชายหนุ่มกระดกน้ำผลไม้เข้าปากรวดเดียวหมดขวด สายตาวาววับจับจ้องเธอดื่มน้ำผลไม้ที่เขาให้อย่างคาดหวัง

    หวังว่าอัลปราโซแลมจะออกฤทธิ์ได้ดีสมราคาคุยของเลขามือหนึ่ง อีกยี่สิบนาทีคงรู้กัน

    อัลปราโซแลมเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ใช้เพื่อบรรเทาหรือรักษาอาการวิตกกังวลและอาการตื่นตระหนก หรือใช้เป็นยานอนหลับในกรณีที่จำเป็น ยาที่มีประสิทธิภาพดีเช่นนี้เสมือนเป็นดาบสองคมต่อผู้ใช้ ผู้ที่ใช้ยาอาจมีอาการหลงลืม โดยจะจำเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ได้หลังจากที่รับประทานยาไป ทำให้เป็นที่มาในการใช้ยานี้เพื่อล่วงละเมิดทางเพศ เพราะเหยื่อจะจำเหตุการณ์ไม่ได้ แต่ฤทธิ์ของยาจะคงอยู่ไม่เกิน 1 วัน และถ้าดื่มน้ำมากๆ ยาก็จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะจนหมด

    “เหลืออีกนิดเดียว ดื่มให้หมดซิครับ”

    อรุโณทัยยิ้มให้เขา เธอดื่มน้ำที่เหลืออยู่ก้นขวดไม่เหลือสักหยดเพื่อหวังเอาใจ ไม่รู้เลยว่าเขามีแผนร้ายซุกซ่อนอยู่ ยี่สิบนาทีผ่านไปหญิงสาวเริ่มง่วงงุนแบบฉุดไม่อยู่ ต้นตระกูลก็เฝ้าหยอดคำรักหวานหูชื่นชมเธอไม่ขาด สิ่งที่เขาพูดไปไม่ได้ใกล้เคียงสิ่งที่เขารู้สึกแม้แต่น้อย

    “ปรายรู้ไหมว่าพี่รักปรายแค่ไหนคนดี หากวันไหนไม่เห็นหน้าพี่นอนไม่หลับเลย มัวแต่คิดถึง มัวแต่เป็นห่วง วันนี้จะทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง คิดถึงพี่บ้างหรือเปล่า”

    “คิดถึงซิคะ” เสียงที่ลอยเข้าหูดูแผ่วลงๆ คล้ายอยู่ไกลแสนไกล ภาพที่เห็นเริ่มจะรางเลือนขึ้นทุกขณะ “ง่วงจัง” หญิงสาวเปรยออกมาเบาๆ เมื่อคืนเธอคงนอนดึกเกินไป

    ฟุบ!! ทันทีที่ร่างบางเอนล้มลง ต้นตระกูลก็หยุดพร่ำพรรณนาเช่นกัน

    ตาคมหรี่มองร่างที่นอนบนพื้น ริมฝีปากผุดรอยโค้งชั่วร้าย “ปราย ปราย” เขาร้องเรียกเบาๆ ยื่นเท้าเข้าไปแตะๆ สะโพกเธอจนร่างน้อยไหวตามแรงส่ง

    ชายหนุ่มมองหน้ามองหลังก่อนจะเข้าไปอุ้มร่างอรุโณทัยเข้าไปในห้องของเธอที่อยู่ไม่ไกล เขาจำได้เพราะเธอเคยชี้ให้ดูเมื่อตอนตะล่อมถามคราวที่แล้ว ส่วนกัลยานั้นออกไปซื้อของที่ตลาดสด อีกนานกว่าจะมาถึง ต้นตระกูลวางร่างบางลงบนเตียงสี่เสาแบบโบราณอย่างไม่เบานัก

    เหมือนกับหลุดเข้ามาในอีกมิติไม่มีผิด ความคิดแรกบอกแบบนั้นเมื่อเขาหันมาสังเกตรอบห้อง ชายหนุ่มหันมามองร่างที่นอนบนเตียงอีกครั้ง ดูๆ ไป เธอก็หน้าตาดีพอใช้ได้ แม้อาจจะไม่สวยเท่านางแบบหรือนักแสดงสาวที่เขาเคยควงแต่ในเรื่องใต้สะดือ ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงก็คงจะแก้ขัดได้เหมือนๆ กัน มือหนาไล้กรอบหน้าเนียนเรื่อยมายังลำคอระหง จากเดิมที่วางแผนใส่ยาแล้วค้นหาโฉนดที่ดินแล้วกล่อมให้เธอเซ็นสัญญาที่เขาร่างมาให้เฉยๆ แต่ตอนนี้เขาต้องเปลี่ยนใจเมื่อความรู้สึกบางอย่างมันโหมกระหน่ำทันทีที่ได้สัมผัสร่างเย้ายวน

    ช่วยไม่ได้นะอรุโณทัย เธอแส่หาเรื่องเอง!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×