ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์พยาบาท

    ลำดับตอนที่ #2 : 2 ปัจจุบันที่ขื่นขม

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ค. 64


    2

    ปัจจุบัน

    ฤดูฝนทำให้อากาศชื้นกว่าที่เคย โดยเฉพาะพื้นดินโล่งเตียนเท่าสนามฟุตบอลขนาดหย่อมบริเวณหน้าเรือนไทยโบราณเก่าๆ นั้นมีสภาพไม่ต่างจากโคลนเลนแม้แต่น้อย เศษซากใบไม้ใบหญ้าที่แห้งตายเมื่อคราวฤดูแล้งมาเยือนยังพอมีให้เห็นอยู่ประปราย พืชพันธ์ต้นกล้าแห่งชีวิตรุ่นใหม่กำลังแตกใบอ่อนได้สองสามใบ อีกไม่นานคงแปรสภาพพื้นดินชื้นแชะนี้ให้กลายเป็นสนามหญ้าเขียวชอุ่ม

    เบื้องหน้าพื้นดินชื้นแชะนั้น หญิงชราผมสีขาวโพลนทั้งศีรษะกำลังด่าทอแช่งชักหักกระดูกนายหน้าซื้อที่ดินตามประสายายแก่ขี้บ่น ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นไม่ได้สนใจหญิงแก่แม้แต่น้อย ชายในชุดดำเหลือบดูนาฬิกาบนข้อมือ ใบหน้าคมเข้มเริ่มปรากฏริ้วรอยความกังวล ใกล้ถึงเวลานัดหมายแล้วสิ

    “เจ้าของบ้านเขาบอกว่าไม่ขายๆ พวกเอ็งนี่มันยังไงนะ ออกไปให้พ้นหน้าบ้านซะ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” คนพูดยืนหอบหายใจคำโต 

    “ผมทำตามหน้าที่ครับ หากว่าคุณปรายยังไม่ขาย พวกผมก็คงต้องมาอีกเรื่อยๆ” น้ำเสียงสงบกล่าวเรียบๆ แต่แฝงไปด้วยความข่มขู่ “สามไร่เศษแลกกับเงินหนึ่งร้อยล้าน นับว่าคุ้มค่าทีเดียว แต่ถ้าหากยังยืนยันคำเดิมๆ ผมคงไม่รับประกันว่าพวกคุณจะปลอดภัย” 

    ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มข่มขู่ ใบหน้าบึ้งตึงไร้แววอารมณ์ฉายแววน่ากลัวเข้าไปอีกหนึ่งระดับ หญิงชราแทบผงะ ความเย็นเหยียบของน้ำเสียงแทรกซึมเข้าสู่หัวใจ ชายชุดดำขึ้นรถแล่นฉิวออกไปไกลลิบๆ ทิ้งไว้เพียงถ้อยคำข่มขู่ที่ยังลอยวนอยู่ในอากาศ

    น่าสงสารก็แต่คุณปราย...

    กัลยาเดินกลับมาที่เรือน ฝนที่เพิ่งหยุดตกไปเมื่อฟ้าสางเริ่มจะลงเม็ดอีกแล้ว เสียงลมพัดหวีดหวิวดังเสียดหูอย่างน่ากลัว หยาดฝนบนยอดไม้ร่วงพรูลงมาห่าใหญ่เมื่อลมพัดมาทีหนึ่ง พายุกำลังเข้าสินะ

    หญิงชราก้าวเหยียบบันไดไม้ผุๆ อย่างระมัดระวัง ความเปียกชื้นอาจทำให้ลื่นไถลได้ง่ายโดยเฉพาะคนแก่ๆ อย่างนาง พลาดหนเดียวแข้งขาอาจจะหัก หรือแย่ที่สุดอาจจะตายได้ แต่นางจะไม่ยอมตายเด็ดขาดตราบใดที่ผู้มีพระคุณยังโดนรังแกอยู่แบบนี้ นางก็จะอยู่ปกป้องอย่างสุดชีวิต

    “พวกเขามาซื้อที่อีกแล้วหรือจ๊ะ” เสียงหวานเอ่ยขึ้น แข่งกับเสียงลมเสียงฝน

    “ใช่ค่ะคุณปราย” กัลยาเดินเข้ามานั่งบนพื้นเรือนใกล้ๆ กับนายหญิงของตน ลมพัดแรงขึ้นๆ ใบไม้ปลิวว่อนเข้ามาในชานเรือน หญิงชราลุกขึ้นไปเกาะขอบระเบียงสังเกตสภาพอากาศด้านนอกอีกครั้ง “เข้าห้องกันไหมคะ ข้างนอกน่ากลัวจริง” 

    อรุโณทัยยิ้มให้หญิงชรา หญิงสาววางมือจากไหมพรมที่กำลังถัก “เข้าไปก่อนเถอะจ้ะ ฉันไม่เป็นอะไร” ใบหน้างามปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันตนเองชั่วครู่ “ลมแรงขนาดนี้เดี๋ยวก็ถูกลมพัดหรอก ฉันไม่ตามเก็บนะ” 

    หญิงชราค้อนนายสาวเบาๆ นางเดินเข้ามานั่งข้างอรุโณทัย ใบหน้าเริ่มเครียดขรึมอีกครั้ง “จะเอายังไงดีคะคุณปราย ช่วงนี้พวกนายหน้าซื้อที่มันรุกเราถี่เหลือเกิน” แทบจะเข้ามาข่มขู่กันวันเว้นวันก็ว่าได้ เธอได้ยินมาว่าที่ดินในแถบนี้โดยกว้านซื้อไปหมดแล้ว อาณาจักรของนายทุนหน้าเลือดคนนั้นแผ่อิทธิพลไพศาลไปอย่างรวดเร็ว เวลานี้มีเพียงที่ดินสามไร่เศษของคุณปรายเท่านั้นที่ยังคงอยู่ เป็นส่วนเล็กๆ ตั้งอยู่ใจกลางมหานครแห่งแสงสีที่กำลังจะถูกเนรมิตขึ้น!

    “ถ้าพวกเขามาอีกก็บอกไปว่าไม่ขาย” อรุโณทัยยืนยันเสียงหนักแน่น บ้านหลังนี้มีมูลค่ามากกว่าจะตีเป็นเงิน เธออาศัยอยู่กินหลับนอนที่นี่มานาน ทุกความทรงจำยังคงจารึกไว้ทั่วทุกหนแห่ง ไม่มีวันที่จะขายมันได้ 

    สิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอไม่กล้าจากไปคือกลัวว่าคนที่เธอเฝ้ารอมาตลอดด้วยใจรักจะหาเธอไม่เจอ

    บ้านหลังนี้เธอจึงพร้อมจะปกป้องเท่าชีวิต

    “พวกมันข่มขู่น่ากลัวขึ้นทุกวัน”

    “ช่างเขาเถอะ จำไว้ว่าห้ามเปิดประตูรับพวกนั้นก็พอ วันหลังช่วยเรียกช่างมาซ่อมรั้วด้วยนะ” นับวันรั้วไม้ที่มีมาแต่เดิมยิ่งทรุดโทรมตามกาลเวลา หากรั้วบ้านไม่แข็งแรงพอ เธอเกรงว่าพวกนายหน้าอาจจะบุกพังเข้ามา เธอกับกัลยาซึ่งเป็นเพียงหญิงแก่ๆ คงไม่มีปัญญารับมือ

    “ค่ะ”

    “อืม” อรุโณทัยลุกขึ้นยืน เธอเดินเข้าห้องของตน ปล่อยให้กัลยามองตามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีอยู่ด้านหลัง หญิงชราถอนหายใจ นับวันนางก็ยิ่งแก่ตัวลง ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่ง ถ้าหากวันหนึ่งไม่มีนางแล้ว ห่วงก็แต่อรุโณทัย ไม่รู้ว่าจะต้องทนอยู่อย่างโดดเดี่ยวดายไปอีกนานแค่ไหน

    เมื่อยี่สิบปีก่อน กัลยาเป็นเพียงหญิงขอทานที่ถูกลูกหลานทอดทิ้ง ต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ ไร้บ้านไร้ญาติ หากไม่ได้หญิงสาวผู้นี้ช่วยไว้ ก็ไม่รู้จะระหกระเหินอยู่ที่ไหน ความโดดเดี่ยวมันทุกข์ทรมานแค่ไหนนางรู้ดี แต่สิ่งที่นางเคยประสบมันคงเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่อรุโณทัยเป็นอยู่ 

    สามร้อยกว่าปีที่ผ่านมา หญิงสาวผู้นี้ทนมีชีวิตอยู่มาได้อย่างไร!!

    อรุโณทัยทิ้งร่างลงนั่งบนเตียงไม้ขนาดใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้ยังคงมีลักษณะคงเดิม กลิ่นอายความเก่าแก่ยังคงลอยกรุ่นในอากาศ หญิงสาวซบหน้าลงบนหมอนหนุน ความอ่อนแอทั้งหลายถูกปลดปล่อยออกมา

    น้ำตาหยดแล้วหยดเล่ายังคงรินหลั่ง ไร้เสียงสะอื้น ไร้การคร่ำครวญ 

    เธอมันคนบาป.. อรุโณทัยรู้ตัวดี

    เหตุใดหนอชีวิตถึงไม่เป็นไปตามวัฏจักรเหมือนคนอื่นๆ เหตุใดหนอร่างกายเธอยังคงความสาวไว้ไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนา เธอเคยไปปรึกษาหลวงพ่อ ท่านบอกว่าทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม

    แม้จะหมั่นเข้าวัดทำบุญกรวดน้ำอยู่ทุกวัน ทุกอย่างมันก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย

    หัวใจที่ทีแต่ความเจ็บปวดจนด้านชายังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป อรุโณทัยก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกจนถึงเมื่อไร อาจจะอีกหนึ่งร้อยปี สองร้อยปี หรือสามร้อยปีก็ได้

    ‘พ่อบอกไอ้ไผ่แล้วเรื่องที่มันกำลังจะได้เป็นพ่อคน มันดีใจมากเชียวล่ะ แต่ตอนนี้ทางหัวเมืองกำลังเร่งขุดลอกคลองให้เดินเรือคล่องขึ้น พ่อจะเกณฑ์มันกับพวกไป พ่อก็คงต้องไปช่วยทางนั้นด้วย ลูกอยู่ทางนี้ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ ’

    ‘เจ้าคุณพ่อ ลูกอยากเจอไผ่ พบกันครั้งสุดท้ายลูกทำร้ายจิตใจเขาเหลือเกิน’

    ‘พ่อบอกมันแล้ว มันไม่ถือสาหรอก มันสัญญาว่ามันจะกลับมา’

    เขาสัญญาว่าจะกลับมา..

    นับจากวันนั้น เธอเฝ้านับวันรอ คอยวันที่เขาจะกลับมา 

    สองเดือนต่อมาเจ้าคุณหลวงสิงหบดีเดชากลับจากหัวเมือง แต่น่าเศร้าที่ไผ่ไม่ได้กลับมาด้วย เจ้าคุณพ่อบอกว่าไผ่ต้องอยู่ขุดลอกคูคลองอีกนาน

    เธอรอเขาวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่าก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา 

     

    “เล่นตัว”

    น้ำเสียงของผู้เป็นเจ้านายเย็นเหยียบจนคนฟังสั่นสะท้าน เลขาฯ หนุ่มทำได้เพียงก้มหน้ามองรองเท้าหนังเงาวับที่กำลังหมุนปลายเท้ากลับมา ไม่ต้องมองดูหน้าก็รู้ว่ายามนี้ชายตรงหน้าแทบฆ่าคนได้

    ต้นตระกูล อัศวเมฆินทร์ เป็นคนอารมณ์รุนแรงจนน่ากลัว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการมีหรือจะไม่ได้ บ้านโกโรโกโสกับที่ดินสามไร่เศษนั่นก็เหมือนกัน

    “เพิ่มเงินเป็นสองร้อยล้าน”

    “แต่เจ้านาย...” เลขาฯ กำลังจะค้านด้วยมูลค่าเงินสูงเกินไป

    “รีบทำตามที่บอก ฉันต้องได้ที่ผืนนั้นโดยเร็วที่สุด”

    ต้นตระกูลไม่ฟังความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น ชายหนุ่มโบกมือไล่ลูกน้องออกไปก่อนจะพาร่างสูงเกือบ 180 ซม. กลับมานั่งยังเก้าอี้ประจำตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร ผู้ซึ่งมีหน้าที่กำหนดนโยบาย การบริหารและดำเนินงานของอัศวเมฆินทร์พร็อพเพอร์ตี้ และมีอำนาจรองจากเดชา อัศวเมฆินทร์ผู้เป็นบิดาซึ่งเป็นประธานบริษัทเพียงเท่านั้น

    ตามมูลค่าที่เสนอไป เขาเชื่อว่าฝ่ายนั้นคงจะประเคนที่ดินพร้อมบ้านผุๆ ให้แทบไม่ทัน ในโลกนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าอำนาจเงินอีกแล้ว มีเงินเสียอย่าง ทำอะไรก็คงไม่ผิด

    มุมปากหยักเหยียดยิ้มเย้ยหยัน เงินและอำนาจเท่านั้นที่ทำให้คนอยู่รอด มนุษย์ก็แค่สิ่งมีชีวิตที่มีแต่ความโลภและเห็นแก่ตัว ผู้ที่อ่อนแอก็ต้องแพ้ผู้ที่แกร่งกว่าเป็นธรรมดา

    มือหนาหยิบสมาร์ทโฟนขนาดพอดีมือบนโต๊ะไม้เนื้อดีขึ้นมาเมื่อมันสั่นเตือนระยะหนึ่ง “ว่าไง” เป็นธีรกฤษเลขามือหนึ่งของเขานั่นเอง

    ‘คุณอริษานะครับวันนี้’

    “อืม รู้แล้ว รีบไปทำหน้าที่ของนายต่อเถอะ”

    ผู้หญิงก็เช่นเดียวกัน พวกเธอเป็นเพศที่เห็นแก่ได้ เพียงแค่ยื่นเศษเงินให้นิดหน่อยก็พร้อมจะนอนถ่างขาบำเรอความใคร่ให้กับมนุษย์เพศชายได้อย่างไม่ละอายใจ

     

    -ตัด NC พระเอกกับคู่ขา  ไม่กระทบกับเนื้อเรื่องจ้า สามารถตามได้ที่ readawrite-

     

    ตีสามกว่าแล้ว

    ร่างหนาเดินโซซัดโซเซเข้าคฤหาสน์หลังงามโดยมีการ์ดส่วนตัวคอยประคองอยู่ไม่ห่าง หลังจากออกจากโรงแรม ต้นตระกูลก็ตรงไปยังผับชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่ที่เขาคุ้ยเคยดียิ่งกว่าบ้านตัวเองเสียอีก 

    “ปล่อยซิวะ” น้ำเสียงอ้อแอ้เปล่งออกมา มือไม้ปัดไปทั่ว

    “พวกผมจะไปส่งที่ห้องครับ”

    “ไม่ต้อง” ชายหนุ่มสะบัดตัวออกจนหลุดการจับกุม “ไปนอนได้แล้วพวกแก ไปเซ่” ต้นตระกูลออกปากไล่อีกครั้งจนการ์ดทั้งสองล่าถอยออกไป ชายหนุ่มสะบัดศีรษะขับไล่ความมึนงง เขารีบคว้าราวบันไดไว้ก่อนจะล้มลงอีกครั้ง ภาพที่เห็นหมุนกลับหน้ากลับหลังจนน่าเวียนหัว

    “เมื่อไรจะเลิกทำตัวสำมะเลเทเมาสักที”

    น้ำเสียงนี้ช่างศักดิ์สิทธิ์นัก ทันทีที่ได้ยินต้นตระกูลแทบจะสร่างเมา ชายหนุ่มมองร่างของชายที่อยู่ชั้นบนสุดของบันไดด้วยแววตาที่เข้มขึ้น 

     “ใช้ชีวิตเปลืองขนาดนี้ แกคงจะได้ตายก่อนแก่” 

    “ทำไม คุณไม่ดีใจเหรอ” ต้นตระกูลเอ่ยเสียงหยัน เขาก้าวขึ้นบันไดทีละขั้นอย่างช้าๆ ฤทธิ์สุราที่ดื่มมาไม่น้อยทำให้เขาหนักศีรษะกว่าที่เคย “หากไม่มีผม คุณก็น่าจะดีใจ”

    “พูดอะไรแบบนั้น”

    “หรือไม่จริง”

    “ไม่จริง”

    เหอะ! ต้นตระกูลเค้นเสียงอยู่ในลำคอ ผู้ชายคนนี้ตอแหลได้โล่จริงๆ 

    “อย่ามาแตะตัวผม” ต้นตระกูลปัดมือที่กำลังจะประคองตนออก เขาเซถอยหน้าถอยหลังอยู่หลายก้าว 

    “แกคงลืมไปว่าฉันคนนี้เป็น ‘พ่อ’ ของแก” เดชาจงใจเน้นคำว่าพ่อหนักๆ หวังให้ลูกชายจอมเสเพลได้ระลึก แต่มันไม่ได้ผลเลย ร่างที่เต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย

    “โว๊ย! ไอ้พวกคนใช้หายหัวไปไหนกันหมดวะ มาเตรียมน้ำให้ฉันอาบเดี๋ยวนี้” ผู้เป็นลูกเดินโซเซจากไป ทิ้งไว้เพียงแววตาเศร้าหม่นของคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

     ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ต้นตระกูลไม่เคยพูดดีกับพ่อคนนี้เลยสักครั้ง

    เดชาเฝ้าถามตัวเองมาตลอดว่าเขาทำอะไรผิด หรือเพราะเขาตามใจลูกมากเกินไป มันถึงไม่เห็นหัวเห็นหางคนแก่สักนิด ในท้ายที่สุดความคิดก็วนไปเวียนมาหาคำตอบไม่ได้เช่นเคย

    “เสียงเอะอะอะไรกันหรือคะคุณ” กรองแก้วเดินเข้ามาถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “แล้วนี่ตากัลป์กลับมาหรือยัง ลูกคนนี้นี่ ชอบทำให้เป็นห่วงจริงๆ”

    “เพิ่งมาเมื่อกี้” เดชาลูบไหล่ภรรยาไปมาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ชายสูงวัยผู้กุมบังเหียนอัศวเมฆินทร์พร็อพเพอร์ตี้ สามารถคุมชีวิตลูกน้องเป็นร้อยเป็นพันกลับไม่เคยคุมลูกชายเพียงคนเดียวได้เลย

    “หนักใจเรื่องอะไรเหรอคะ”

    “เรื่องเดิมๆ นั่นแหละ” เรื่องเดิมๆ ที่นับวันยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ

    “...”

    กรองแก้วนิ่งเงียบ ทั้งใจหายทั้งเสียใจ กับนางเองต้นตระกูลก็เป็นลูกที่ดีเท่าที่ลูกคนหนึ่งจะเป็น แต่กับผู้เป็นพ่อเขากลับประพฤติแตกต่างออกไป ไม่ใช่เพิ่งเป็นแต่เขาเป็นตั้งแต่ออกมาลืมตาดูโลก!! นับจากวันคลอดต้นตระกูลไม่ยอมตกอยู่ในอ้อมกอดพ่อสักครั้ง ทุกทีที่เดชาจะโอบกอดตามประสาพ่อที่อยากดูแลลูกบ้าง ต้นตระกูลกลับไม่ยอมให้แตะ เขาร้องไห้จ้า ทำราวกับกลัวผู้เป็นพ่อนักหนา พอโตขึ้นความเป็นปฏิปักษ์ยิ่งเด่นชัด จากความกลัวแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังและความเฉยชาในที่สุด

    “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิแก้ว ผมชินแล้ว”

    “แก้วขอโทษนะคะ” กรองแก้วโอบกอดร่างสามี อยากให้เขาถ่ายทอดความเจ็บปวดนั้นมาให้เธอ 

    เดชาหัวเราะขืนๆ ประคองร่างเล็กไปยังห้องนอนที่อยู่ไม่ไกล 

    มันคงเป็นกรรมอย่างที่พระท่านว่า.. ชาติก่อนเขาคงทำกรรมไว้หนักหนา

    เดชาหลับตาลง ผู้เป็นภรรยาหลับไปแล้ว แต่เขาไม่อยากหลับ ช่วงนี้เขามักจะฝันแปลกๆ อยู่บ่อยครั้ง บ้านทรงไทยโบราณหลังนั้นและผู้คนมากมาย เขาพบกระทั่งกรองแก้วกับต้นตระกูลอยู่ในฝันด้วย ใบหน้าของบุตรชาย ดวงตาเคียดแค้นชิงชังของเขาคอยรบกวนเดชาทั้งยามหลับและยามตื่น จะมีสักคืนไหมหนอที่จะนอนหลับฝันดี คิดได้ดังนั้น ชายสูงวัยจึงลุกขึ้นนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรภาวนาเพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรตามคำที่พระภิกษุท่านหนึ่งเคยแนะนำเมื่อนานมาแล้ว

     

    “อ้ายไผ่” เสียงหวานซึมลึกเข้าไปในโสตประสาทของคนฟัง ร่างแน่งน้อยในชุดไทยโบราณสีใบตองอ่อนคลอเคลียนายทาสหนุ่มไม่ห่างกาย นิ้วเรียวสวยลูบไล้แผงอกแกร่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างหลงใหล 

    “ดื้อ” ไผ่รีบตะครุบมือน้อยที่เริ่มจะซุกซนเกินเหตุ “นายหญิงน้อยจอมเอียงอายของพี่ไผ่ผู้นั้นหลบอยู่ที่ไหนหนอ”

    “ถูกขังไว้แล้วเจ้าค่ะ”

    เสียงหัวเราะพลิ้วไหวมาตามสายลม อาจจะเป็นเพราะคืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ต้นตระกูลจึงมองเห็นชายหญิงคู่นั้นไม่ชัดนัก ชายหนุ่มหันมองรอบกาย

    มืดสนิท

    มีเพียงสองหญิงชายตรงหน้าที่พอจะบอกเขาได้ว่าที่แห่งนี้คือที่ไหน เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ต้นตระกูลเริ่มหายใจติดขัดเมื่อฝ่ามือหยาบกร้านของชายผู้นั้นลูบไล้ไปทั่วผิวกายขาวผ่องอย่างเสน่หา จิตสำนึกในตอนนั้นร้องบอกว่าสองคนนั้นกำลังทำผิด เขาพยายามจะเข้าไปห้ามแต่เหมือนกับมีบางสิ่งที่มองไม่เห็นกำลังตรึงร่างไว้ ผู้หญิงหน้าไม่อายคนนั้นลักลอบสนิทเสน่หากับทาสในเรือนของเธอเอง 

    “เธอมันร่านไร้ที่ติจริงๆ ยัยคุณหนู กับทาสในเรือนก็ไม่เว้น” เสียงของเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ สองคนนั้นไม่สะทกสะท้าน พวกเขากำลังโรมรันพันตูกันอย่างน่ารังเกียจ 

    ร่างหนาพยายามวิ่งเข้าไปหาสองคนนั้น เขาไม่ถูกตรึงไว้แล้ว สองขาวิ่งไปราวติดปีก เข้าไปใกล้แล้ว อีกนิด

    “นี่เธอ” มือหนายื่นเข้าไปแตะที่ไหล่เปลือย ผู้หญิงคนนั้นหันมาสบตาเขาด้วยแววตาห่างเหิน

    ต้นตระกูลผงะถอย

    “ข้าเลือกความสุขสบายมากกว่า อยู่กับเอ็งข้าคงจะอดตาย” น้ำเสียงเย็นชาแทรกซึมลึกราวกับน้ำกรดชั้นดีสาดซัดเข้าหาร่างแกร่งจนแทบไม่มีแรงยืน

    สุดที่รัก...

    “เรื่องของเรามันคงเป็นไปไม่ได้”

    นายทาสผู้นั้นกำลังอ้อนวอนให้เธอกลับมา ต้นตระกูลเจ็บลึก ชายหนุ่มพบตัวเองกำลังกู่ร้องราวสัตว์บาดเจ็บ อย่าจากพี่ไปคนดี พี่จะมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไร

    “อ้ากกกกกกกกกกกกกก” ร่างแกร่งดีดตัวลุกจากเตียงกว้าง ใบหน้าคมเต็มไปด้วยเหงื่อไหลโชก หน้าอกเปลือยแน่นหนั่นไปด้วยกล้ามเนื้อสะท้อนขึ้นลงด้วยแรงหายใจหอบหนัก ต้นตระกูลมองรอบห้องที่คุ้นเคยแล้วระบายลมหายใจอย่างโล่งอก 

    ตีห้าแล้ว นาฬิกาบนหัวเตียงชี้เข็มบอกแบบนั้น

    ชายหนุ่มหลับตาลง นึกถึงความฝันอันโหดร้ายที่ตามหลอกหลอนเขามาตั้งแต่จำความได้ นับวันมันยิ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนน่ากลัว ทุกครั้งที่ฝัน เขามักพบตัวเองเป็นเพียงนายทาสผู้จงรักภักดีต่อความรักผู้นั้น ช่างน่าขำเสียจริงที่ความรักทำให้ผู้ชายคนหนึ่งต้องตาย ด้วยเหตุนี้กระมังเขาถึงไม่อยากมอบความรักให้ใคร ความเจ็บปวดจากการผิดหวังของชายผู้นั้นตอกย้ำหัวใจเขาเป็นอย่างดี แกจะไม่มีวันตกอยู่ในสภาพแบบนั้นเด็ดขาด

    ผู้หญิงเลว..

    ในโลกนี้ไม่มีอะไรจริงใจเท่าเงินอีกแล้ว

    ความรู้สึกบีบคั้นหัวใจแปลกๆ เกิดขึ้นเสมอยามที่ความฝันเส็งเคร็งนั่นคอยหลอกหลอนจิตใจ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนบิดกายขับไล่ความเมื่อยล้าก่อนจะเข้าห้องน้ำในเวลาต่อมา

     

     

     

    อย่าเลวได้ไหม ;(

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×