ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์พยาบาท

    ลำดับตอนที่ #1 : 1 อดีตเคยรัก

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ค. 64


     

    1

     

    “อ้ายไผ่ เฮาสิเฮ็ดจั่งได๋ดีอ้าย พ่อเพิ่นฮู้เรื่องของเฮาแล้ว แล้วเพิ่นกะยัง...” ร่างเล็กกล่าวถึงบิดาของตนด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน บ่งบอกถึงความเกรงกลัวอย่างไม่ปิดบัง

    “เพิ่นว่าจั่งได๋”

    “เพิ่นสิให้เขาแต่งงาน” ร่างเล็กร้องไห้หนักขึ้นอีก แต่เพราะกลัวผู้ที่ผ่านไปมาจะได้ยินเข้าเลยต้องซุกซบกับแผ่นอกเปลือยของชายคนรักหวังช่วยบรรเทาเสียงสะอื้น “อ้ายส่อยเขาแหน่ เขาบ่อยากแต่งกับผู้อื่น อ้ายกะฮู้ว่าเขาฮักแต่อ้าย”

    “อย่าไห้” ไผ่กอดยอดหญิงในดวงใจแน่นขึ้นอีก “อ้ายฮู้ อ้ายกะฮักแต่เจ้าผู้เดียว อ้ายสิหาทางออกให้ได้แม้สิยากปานได๋กะตาม เชื่อใจอ้ายเด้อ”

    น้ำเสียงหนักแน่นดุจให้คำมั่นสัญญาทำให้ร่างเล็กคลายสะอื้นลงได้บ้าง ไผ่ลูบแผ่นหลังบอบบางปลอบประโลมแผ่วเบา ฝ่ามือหยาบกร้านไล้ไปตามผ้าแถบสีหม่นที่มีสไบสีเดียวกันพาดทับอยู่ หากเป็นเวลาปกติในยามที่ต้องแอบมาพบกันในคืนเดือนมืดเช่นนี้ เขาคงไม่รีรอที่จะปลอบขวัญร่างน้อยด้วยคำรักหวานหู เฝ้าจุมพิตนวลเนื้อด้วยความหลงใหล จากนั้นค่อยแสดงความรักด้วยภาษากายอย่างลึกซึ้งร้อนแรงอารมณ์ใคร่แต่เต็มไปด้วยการทนุถนอม หากในห้วงเวลาที่มีแต่ความเศร้าลึกบาดใจเช่นนี้เขาทำได้เพียงปลอบหญิงคนรักเพียงเท่านั้น

    ทาสในเรือนเช่นเขาคงไม่สามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้

     “เขาสิเฮ็ดจั่งได๋ดี เขาย่านได้แต่งกับผู้อื่น”

    “ชู่ว... มันบ่มีมื้อนั่นดอก” 

    เป็นที่รู้กันว่าท่านเจ้าคุณรักถนอมบุตรีเพียงใด ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณหนูปรายจะได้รับจึงต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะสรรหามาให้ลูกได้ รวมไปถึงเรื่องคู่ครอง บุตรีสุดที่รักของคุณหลวงสิงหบดีเดชาจะต้องออกเรือนกับเศรษฐีผู้มั่งคั่งมีฐานะร่ำรวยเท่าเทียมกัน

    เขาซึ่งเป็นเพียงทาสในเรือนผู้เป็นเพื่อนเล่นยามเหงาตั้งแต่เล็ก จึงผูกพันและรักใคร่สั่งสมมานานจนยากจะถอนตัว แม้รู้ว่าตนไม่คู่ควรกับดอกฟ้าดอกนี้ แต่ทาสผู้ต่ำต้อยกลับตัดใจไม่ได้เลย

    “ใจอ้ายสิขาดให้ได้ เซาไห้สา”

    ชายหนุ่มกอดกระชับร่างน้อยแน่นขึ้นอีกจนแทบจะจมไปกับอก รักเหลือเกินแม่น้องน้อยของพี่

    “ฮึก! เขาต้องไปแล้ว” หญิงสาวบอกทั้งสะอื้น แม้ไม่อยากจากก็จำต้องจาก อีกไม่กี่เพลาก็จะเช้า พวกบ่าวไพร่ใกล้จะเริ่มตื่นมาหุงหาอาหาร

    ร่างบางกำลังจะลุกขึ้นแต่โดนรั้งไว้

    “แต่งกับอ้ายเด้อหล้า” แหวนสีเงินที่ทำจากเงินแท้เปล่งประกายแวววาวในความมืด 

    “สัญญา มื้อหน้ามันต้องดีกว่านี้ เฮาสิสู้ไปนำกัน” ชายหนุ่มพูดเสียงขืน หากเขาเป็นชายที่เพียบพร้อมไปด้วยสมบัติบริวารคงสรรหามาให้เธอได้มากยิ่งกว่านี้ คิดแล้วช่างน่าน้อยใจวาสนาของตนยิ่งนัก 

    เมื่อเห็นร่างบางนิ่งไป เขายิ่งใจเสีย... 

    คงไม่อยากรับของไม่มีราคาค่างวดกระมัง ชายหนุ่มกำลังจะเก็บเข้าที่เดิม

    มือเรียวเล็กยื่นมาหาเขา พูดน้ำตาคลอ “แต่งแล้ว อยู่นำกันไปตลอดเด้ออ้าย”

    ไผ่กระพริบตาปริบๆ ไม่นานก็ยิ้มออกมา เขาบรรจงสวมแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายอย่างไม่รีรอ จากนั้นจึงยกขึ้นมาแนบกับริมฝีปากของตน “ให้แล้วบ่เอาคืน เก็บไว้ดีๆ”

    “บ่คืนดอก นอกจากอ้ายบ่ฮักกันแล้ว...”

    “บ่มีทาง” เขากอบกุมมือเธอไว้บนอก ให้เธอสัมผัสจังหวะการเต้นของหัวใจที่หนักแน่นมั่นคงประดุจขุนเขา “ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอให้แหวนวงนี้ส่อยเป็นพยานความฮักของเฮาสองคน หากมื้อได๋ที่ข้าน้อยเฮ็ดผิดหรือเฮ็ดให้อีหล้าช้ำใจ ขอให้ข้าน้อยพ้อแต่ความทุกข์แสนสาหัส”

    “พอๆ เชื่อแล้ว” ปรายชักมือกลับด้วยความขวยเขิน

    “อย่าลืมนัดเด้อ อีกห้ามื้อ”

    หญิงสาวยิ้มในความมืด เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเดินลัดเลาะจากไปด้วยความเคยชิน 

    ชายหนุ่มแอบย่องตามมาส่งจนเห็นว่าเธอขึ้นเรือนอย่างปลอดภัยจึงได้กลับไปที่ใต้พุ่มสายหยุดต้นเดิม กลิ่นหอมของเธอยังคงกรุ่นอยู่ในอากาศ ใบหน้าคร้ามแดดยิ้มน้อยๆ เมื่อวาดภาพความฝันในอนาคตอันสวยงาม

     

    “เดี๋ยวนี้อ้ายไผ่มันชักจะโอหังขึ้นทุกวัน” คุณหลวงสิงหบดีเดชาเอ่ยเสียงเครียด นั่งทำหน้าถมึงทึงอยู่บนเรือนโดยมีผู้เป็นภริยานั่งทำหน้าเสียอกเสียใจอยู่ไม่ไกลกัน

    “น้องผิดเองที่สั่งสอนลูกไม่ดี” ทองม้วนให้นึกละอายใจยิ่งนัก “แล้วจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ เรื่องมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้แล้ว”

    “ฆ่าให้มันตายตกไปเสีย”

    “คุณพี่!!” นางร้องเสียงหลง

    “ทำไมรึ” เสียงเข้มย้อนถาม “ไอ้คนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่รู้จักบุญคุณ เลี้ยงไปก็เสียข้าวสุก”

    “แล้วลูก” จากที่ทราบมา บุตรสาวลักลอบพบปะกับนายทาสถิ่นกุลาร้องไห้คนนั้นมานานปี เห็นได้ชัดว่าปรายมีใจให้มันมากแค่ไหน และตอนนี้อาจจะเลยเถิดจนถึงขั้นเสียตัวไปแล้วก็ได้ เป็นอย่างนี้แล้วคนสติดีที่ไหนจะรับของเหลือเดนจากคนอื่น แม้จะมีศักดิ์เป็นถึงบุตรีเพียงคนเดียวของคุณหลวงสิงหบดีเดชาผู้มั่งคั่งที่สุดในแถบนี้ก็เถอะ

    “วางใจเถิด” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นชั่วครู่

    วันต่อมาคุณหลวงเชื้อเชิญหมื่นบริรักษ์ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของสหายสนิทมาเพื่อหวังให้บุตรีหันมองคนอื่นที่มีพร้อมทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ หมื่นบริรักษ์เป็นบุคคลที่เก่งกาจในด้านการรบอย่างหาตัวจับยากผู้หนึ่ง ชายหนุ่มนำกองทัพไปปราบศัตรูได้ชัยชนะกลับมาจนได้พระราชทานยศถาบรรดาศักดิ์ตั้งแต่อายุยังน้อย

    อนิจจา! บุตรีกลับทำให้ท่านกริ้วหนักหนา หญิงสาวออกมาต้อนรับขับสู่ตามหน้าที่ จากนั้นจึงเลี่ยงออกไปทันที ทำตนไม่ได้ดั่งใจผู้เป็นบิดาแม้แต่น้อย 

    “ทำตัวไม่น่ารักเลย กลับไปหาหมื่นรักษ์เดี๋ยวนี้”

    “ลูกไม่อยากไป” ปรายนึกถึงดวงตาเจ้าชู้ของเขาที่ทอดมองมาแล้วพลันขนลุก “เขาล่วงเกินลูก”

    “ถ้าแบบนั้นเรียกว่าล่วงเกิน แล้วกับไอ้ทาสไม่รู้จักบุญคุณผู้นั้นเล่า”

    เธอหันขวับมามองบิดาด้วยความตกใจ

    “ลูก..”  หญิงสาวพูดไม่ออก เธอนึกเป็นห่วงไผ่

    “หึ” เมื่อเห็นว่าตนเป็นต่อแล้ว คุณหลวงเลยจัดอีกชุดใหญ่ “นับแต่นี้ต่อไปห้ามลักลอบไปมาหาสู่กับไอ้คนชั้นต่ำพรรค์นั้นอีก”

    “เจ้าคุณพ่อ” เสียงอ่อนที่เปล่งออกมานั้นช่างโรยแรงเหลือเกิน

    “เลือกเอาแล้วกันถ้ายังอยากให้มันมีลมหายใจก็เลิกยุ่งกับมันซะ” คุณหลวงพูดแล้วเดินตึงๆออกไปจากเรือน ปล่อยให้คนข้างหลังทรุดฮวบลงกับพื้นเรือนด้วยใจแทบแตกสลาย เจ้าคุณพ่อเป็นคนพูดจริงทำจริง เธอกลัวเหลือเกินว่าไผ่จะจากไป หญิงสาวเฝ้าคิดหาทางออกแต่มันก็ช่างริบหรี่ยิ่งนัก เธอคงไม่มีวาสนาได้ครองรักกับเขา.. โชคชะตาช่างเล่นตลกกับความรู้สึกคนเหลือเกิน

    เวลาห้าวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของไผ่ คืนนี้เขาตั้งใจจะพาเธอหนีไปด้วยกันเพราะคงชักช้าไม่ได้แล้ว บ่าวไพร่ลือกันหนาหูว่าคุณหลวงจะยกปรายให้กับหมื่นบริรักษ์ ชายหนุ่มผู้มากรักและเจ้าชู้ประตูดินอย่างที่สุด หากปรายออกเรือนกับมันไปเขาคงอยู่ไม่สุข

    ชายหนุ่มนั่งรออย่างกระวนกระวาย ในมือมีห่อผ้าขนาดใหญ่เพื่อเตรียมหลบหนีซึ่งเขาได้สำรวจเส้นทางไว้แล้ว การรับใช้ในเรือนนี้มานานทำให้เขารู้ทางหนีทีไล่อย่างทะลุปรุโปร่ง

    ไม่นานนัก ร่างที่คุ้นเคยก็เดินเข้ามาหา ไผ่หมายจะเข้าโอบกอดอย่างที่เคยทำแต่ก็โดนเธอผลัก ชายหนุ่มไม่เข้าใจสีหน้าเย็นชาและนัยน์ตาแดงก่ำของเธอเลย

    “อีหล้าเป็นหยัง”

    “ข้า.. ไม่เป็นอะไร”

    สรรพนามแปลกไม่คุ้นหูทำให้ไผ่นิ่วหน้า ยังไม่ทันถามอะไรหญิงสาวก็แทรกขึ้น

    “แต่นี้ไปห้ามเอ็งมาพบข้าอีก” ปรายพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอ “ข้า”

    “อีหล้าของอ้าย” เขาเชื่อว่าเธอต้องโดนบังคับ “หนีไปนำอ้าย เฮาไปอยู่นำกันสองคน”       

    “ไม่” เจ้าคุณพ่อไม่มีทางปล่อยเธอแน่ “เอ็งต่างหากต้องไป ชีวิตข้าอยู่ดีมีสุขแท้ๆ กลับจะชวนไปลำบาก นี่หรือคือรักของเอ็ง รักกินได้หรือ ไปกับเอ็งข้าคงจะอดตาย” 

    ขอโทษเด้ออ้าย หล้าขอโทษ หญิงสาวหันหลังแอบปาดน้ำตา

    “อ้ายบ่เชื่อ อย่าเฮ็ดจั่งซี้กับอ้าย” ไผ่ยังคงยืนกราน เขารู้จักเธอดียิ่งกว่าใคร

    “พอเถอะ”

    “ปราย”

    “ข้าจะออกเรือนกับท่านหมื่น” หมัดเด็ดที่ปล่อยออกไปทำคนฟังเข่าอ่อน ชายหนุ่มทรุดตัวลงกับพื้น 

    อย่าล้อพี่แรงนักเลย แค่นี้ก็เจ็บเจียนตายแล้วคนดี

    “ไสว่าฮักอ้าย”

    “หยุดพูด” หญิงสาวตัดใจสะบัดตัวจากการเกาะกุมและถอดแหวนโยนให้เขา น้ำตาก็ปริ่มๆ จะไหล ถ้าอยู่ต่อคงได้ใจอ่อน เธอรักเขา เธอไม่อยากให้เขาต้องมาเดือดร้อนเพราะตนอีก “อย่าตามข้ามา อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

    “แต่อ้าย”

    “เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้”

    หญิงสาวเดินไปไกลลิบๆ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นกายหอมอ่อนๆ ไว้เบื้องหลัง ไผ่ยังคงทรุดนั่งอยู่ที่เดิม 

    เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นหรือ?

    เขาก็เพิ่งจะประจักษ์แก่ใจตนเอง ความรักจนๆ ของเขามันไม่มีค่าเลย อำนาจต่างหาก ความมั่งมีต่างหากที่ยั่งยืน 

    ฮ่าๆๆๆ

    ชายหนุ่มหัวเราะทั้งน้ำตา จบสิ้นกันแล้ว..

    นับจากวันนั้นใต้ร่มสายหยุดแห่งนี้จึงมีเพียงทาสหนุ่มผู้ช้ำรักนั่งรอนายสาวอยู่ทุกคืนด้วยความหวังแสนริบหรี่ ทุกวันเขาต้องเจอคุณหนูปรายเดินเคียงกับหมื่นบริรักษ์ พวกเขาทั้งคู่ช่างดูเหมาะสมกันยิ่งนัก แม้เขาจะจงใจให้เธอเห็น จงใจเข้าไปใกล้ในระยะสายตา แต่แม่น้องน้อยทำหน้าเชิดไม่เหลือบแลแม้แต่น้อย ยิ่งนานวันภาพบาดตายิ่งบาดลึกลงไปในหัวใจ

    คืนวันนี้ก็เช่นกัน เดือนมืดอันเหน็บหนาวไร้ร่างน้อยให้กกกอดแบ่งปันไออุ่น 

    ผิดที่เขาเองที่หวังสูงเกินเอื้อม ผิดที่เขาเองที่ไม่รู้จักเจียม น้ำตาหยดหนึ่งตกลงบนแหวนเย็นเฉียบ ไผ่กำมันไว้แน่น

    นานเท่าไรไม่รู้ที่เขานั่งอยู่ตรงนั้น ที่ๆ เคยเป็นวิมานรักของทาสผู้ต่ำต้อยกับคุณหนูผู้สูงศักดิ์ 

     

    ในความมืดมิดนั้น ทาสหนุ่มถูกชายฉกรรจ์สี่ห้าคนรุมทำร้ายทุบตี 

    “เอามันให้ตาย”

    เสียงทรงอำนาจสั่งขึ้น ไผ่พยายามเงยใบหน้าขึ้นมองใบหน้าโหดเหี้ยมของผู้เป็นเจ้านาย

    อั๊ก!!

    ความรู้สึกจุกที่ช่องท้องทำให้เขาร้องออกมา เจ็บกายเท่าไรเจ็บใจมากเท่านั้น ชายหนุ่มคิดถึงแต่ดวงหน้าเย็นชาของดอกฟ้าผู้สูงส่งจนเกินจะเอื้อมคว้า

    วินาทีนั้นทาสหนุ่มคิดได้ว่า เงินตราและอำนาจต่างหากที่ยั่งยืนกว่าความรัก 

    ได้โปรดเถิด.. ขออย่าให้เขามีความรักกับใครอีกเลย มันเจ็บปวดเหลือเกิน

    หากชาติหน้ามีจริงขอให้เขาเกิดมาเพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่ต้องมาเป็นขี้ข้ารองมือรองตีนคนอื่นแบบนี้

    ชายหนุ่มมัวแต่คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด ทำไห้ไม่ทันระวังกับคมดาบของคุณหลวงที่เสียบแทงทะลุหัวใจพอดี บางทีการที่เขาตายจากไปจากโลกใบนี้มันคงจะเป็นทางออกที่สุด ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความรักที่ไม่มีค่าของเขาอีกต่อไป พลันนึกไปถึงคนที่ทอดทิ้งเขาไปหาความสุขสบายด้วยความเศร้าบาดลึก เธอคงรอคอยเวลานี้มานานแล้วสินะ รอให้พี่ตายๆไปซะ จักได้ไม่มีใครมาขัดขวางความสุขความเจริญของเธอ

    ไผ่มองขึ้นไปบนฟ้า ใบหน้าคมคร้ามบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ดวงตาคู่นั้นเบิกโพลง ถ่ายทอดความเจ็บปวด ความสิ้นหวัง และความอาฆาตผ่านทางสายตาได้อย่างน่ากลัว

    ชายหนุ่มกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง กลิ่นคาวเลือดขึ้นจมูกจนอยากอาเจียนออกมา ทุกครั้งที่เขาขยับ คมดาบยิ่งสอดลึก ความเย็นของโลหะแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือด 

    เจ็บเหลือเกิน.. เกลียดที่ตัวเองหวังสูงไม่เจียมตัว เกลียดดอกฟ้าที่โน้มลงมาเล่นกับความรู้สึกของเขา

    หากชาติหน้ามีจริง.. พี่จะทำให้เธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดแบบนี้ด้วยตัวพี่เอง

     “ขอให้เธออย่าได้สมหวังกับคนที่เธอ..รัก อึก!!

    ขอให้ความรักของ..เธอเต็มไปด้วยความเจ็บ..ปวด

    ขอให้...อึก! เธอทุกข์ทรมานกับความโดดเดี่ยวไปชั่วกัปชั่วกัลป์ !!!” 

    ชายหนุ่มกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ ก่อนจะนอนแน่นิ่งไป

    ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงบริเวณใกล้ๆ ดุจรับรู้คำขอก่อนตายจากชายผู้น่าสงสารคนหนึ่ง

    ทาสหนุ่มสิ้นลมหายใจทั้งที่ดวงตายังเบิกโพลงอย่างที่เรียกกันว่าไม่ตายดี

    คุณหลวงสิงหบดีเดชาไม่เก็บคำของคนตายมาใส่ใจ เขาสั่งให้ลูกน้องเก็บงานก่อนที่ตนจะเดินจากไปทิ้งไว้เพียงร่างสิ้นลมหายใจของนายทาสผู้ต่ำต้อยกับคำสาปอันน่ากลัวก่อนตาย

     

     

    เวอร์เก่าเป็นคนภาคกลาง

    แต่เวอร์นี้อ้ายไผ่เฮาเป็นคนอีสานไปซะแล้ว 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×