ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มรกตพบรัก

    ลำดับตอนที่ #1 :

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 17
      0
      31 ส.ค. 57

    บทนำ

                เปลือกตาคู่หนึ่งเปิดขึ้นกระทบกับแสง  ทำให้ภาพที่ได้รับขาวจ้าไปครู่หนึ่ง  ดวงตาเรียวโตมองไปบนเพดานสีขาวและกวาดมองไปรอบๆห้องที่ตนอยู่  แต่กับไม่รู้สึกคุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย  อีกทั้งยังรู้สึกหนักศีรษะเป็นอย่างมาก  บานประตูได้เปิดออกพร้อมปรากฏบุคคลสามคนที่กำลังเดินเข้ามาและส่งยิ้มมาเล็กน้อย  เมื่อมองไปศีรษะกับปวดหนักกว่าเดิมจนเหมือนว่าแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

                “ฟื้นแล้วสิ”  ชายที่ดูจะเริ่มเข้าวัยทองพูดกับบุคคลที่นอนอยู่ “ตอนนี้รู้สึกไงบ้างล่ะนัท”

                “ปวดหัว  ที่นี่คือที่ไหน”  เสียงแหบแห้งที่ไม่มีน้ำผ่านอยู่หลายชั่วโมงพูดขึ้น  พร้อมกับรับน้ำที่ถูกรินมาให้โดยผู้หญิงคนหนึ่ง  เมื่อไหลผ่านลำคอที่แห้งผาด  ทำให้เส้นเสียงที่เคยแห้งกับมาชุ่มช่ำอีกครั้ง

                “โรงพยาบาล เธอประสบอุบัติเหตุ  เมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อน” ชายคนเดิมให้คำตอบ

                “พวกคุณ คือ ใคร?

                “เธอจำฉันไม่ได้หรอ ว่าฉันเป็นใคร”  ผู้หญิงที่อยู่คนเดียวในห้องพวกขึ้น ในขณะที่ตอนนี้พวกเขายืนอยู่ข้างเตียง  และได้รับคำตอบจากการสั่นศีรษะปฏิเสธของคู่สนทนา

                “นายชื่ออะไร” ชายหนุ่มอีกคนถามขึ้นราวกับต้องการทดสอบอะไรบางอย่าง

                เขาฟังคำถามที่ถามตัวเขา  แล้วพบว่า จริงๆ แล้วเขาชื่ออะไร  แล้วคนเหล่านี้เป็นใคร  เขาสั่งสมองของตัวเองให้นึก  แต่ทำไมข้อมูลพื้นฐานต่างๆเหล่านี้กับไม่ได้อยู่ในสมองอันน้อยนิดของเขาเลยแม้แต่น้อย  ยิ่งคิดก็รู้สึกเหมือนศีรษะเหมือนถูกบีบรัดอย่างรุนแรง  ตอนนี้เขาปวดศีรษะมากกว่าเมื้อกี้เสียอีก

                ความเงียบที่รับแทนคำตอบ บวกกับมือทั้งสองข้างที่กุมศีรษะของตนที่เห็นอยู่ตรงหน้า  สร้างความกลัวขึ้นในจิตใจของคนทั้งสาม  สิ่งที่พวกเขาคาดคิดตอนนี้คงได้แต่หวังว่ามันจะไม่เป็นจริง

                “โอ้ย!!! มือที่กุมศีรษะทรุดลงบนเตียงและส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดทรมาน  ทำให้..

                “เรียกหมอเร็ว”  ชายที่มีอายุกว่าสั่งชายอีกคน  และหันไปดูคนที่นอนอยู่บนเตียงคนป่วยก็พบว่าเขาสลบไปแล้ว

     

                “หลานชายของผมมีอาการยังไงบ้างครับ”  ก้องภพถามแพทย์เจ้าของไข้

                “จากที่พวกคุณเล่ามา  ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นผลมาจากการกระทบกระเทือนของสมองอย่างรุนแรงจากอุบัติเหตุ  ทำให้คุณนัทธพงศ์ความจำเสื่อม  ไม่สามารถจำเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นได้”  แพทย์กล่าวตามอาการที่พบ

                “คุณหมอวรเมธค่ะ  แล้วเขาจะหายไหมค่ะ” 

                “หมอก็ยังไม่สามารถให้คำตอบกับคุณได้ครับ คุณปณิตา  ขึ้นอยู่กับตัวของคนไข้  ต้องให้เวลากับเขา  บางคนก็ไม่สามารถระลึกได้ตลอดชีวิต  บางคนหลับไปเพียงตื่นเดียวก็สามารถจำเรื่องราวได้ทั้งหมด  ยังไงผมก็ขอพวกคุณให้เวลากับคนไข้  และก็พยายามทำใจถ้าเขาจำเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นไม่ได้  แต่คุณนัทธพงศ์ยังโชคดีที่เขาฟื้น  แล้วยังมีพวกคุณคอยเป็นห่วง และดูแล   เพราะบางรายก็เป็นเจ้าชายนิทราไปตลอดเหมือนกัน”

                “ขอแค่ให้เขาหาย  จะนานเท่าไหร่พวกเราก็จะรอ และเป็นกำลังใจให้เขา”  ก้องภพบอก

                “หมอจะเช็คสมองอีกครั้ง  เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ  ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หมอขอตัวไปตรวจคนไข้คนอื่นต่อนะครับ”  นายแพทย์เดินออกจากห้องไปพร้อมกับพยาบาลผู้ช่วยที่ถือแฟ้มข้อมูลของคนไข้รายอื่นๆ  ทิ้งให้ครอบครัวอยู่ด้วยกัน

                “เป็นความผิดของผม”

                “ไม่ใช่ความผิดของลูกคนเดียวกฤต  แต่เป็นความผิดของพ่อกับแม่ด้วย” ปณิตาปลอบรณกฤตลูกชายคนเดียวของเธอ  ทั้งสามโอบกอดให้กำลังใจต่อกัน

     

                “อ้าว ตื่นแล้วหรอค่ะ”  พยาบาลสาวที่กำลังปรับสายน้ำเกลือเหลือบไปมองเห็นคนไข้ที่กำลังจ้องมองเธออยู่

                “ฮะ”

                “เดี๋ยวรอสักครู่นะคะ  เดี๋ยวคุณหมอจะมาตรวจอาการของคุณ”  เสียงหวานบอกคนไข้หนุ่ม

                “สวัสดีครับคุณนัทธพงศ์  ตอนนี้ยังรู้สึกปวดหัวอยู่ไหมครับ”  วรเมธถาม

                “นิดหน่อยฮะ”

                “ตอนนี้คุณต้องพักผ่อนให้มาก  จะได้หายๆไวๆ”  วรเมธยิ้มให้  “แต่เดี๋ยวเราจะพาคุณไปเช็คสมองอีกรอบ  ไม่ต้องคิดอะไรมาก  ค่อยๆ ใจเย็นๆ นึกว่าตัวเองเป็นใคร ไม่ต้องรีบร้อน  เจอกันอีกทีที่ห้องสแกนนะครับ”

                เขาพยักหน้า และให้บุรุษพยาบาลช่วยเขาลุกเคลื่อนย้าย  เพราะตอนนี้เขาใส่เฝือกทั้งแขนซ้ายและขาขวา  เพื่อเข็นไปยังอีกห้องหนึ่ง  เพื่อทำการสแกนสมอง

     

                เตียงนอนคนไข้ได้เคลื่อนที่ไกลับมาจากห้องสแกนสมอง  นัทธพงศ์เห็นบุคคลสามคนที่เคยเข้ามาเยี่ยมเขานั่งรออยู่ที่ห้องพัก

                “ยังปวดหัวอยู่มั้ย” ปณิตาถาม

                “ไม่ปวดค่อยแล้วฮะ”

                “ยังไม่ต้องรีบนึกอะไร  เดี๋ยวพวกเราจะเล่าให้เธอฟัง  เผื่อจะนึกออก”  ก้องภพพูด  คนป่วยพยักหน้ารับ

                “ฉัน ก้องภพ ภูริสิทธิโชค  ที่ยืนข้างฉันคือภรรยาของฉัน ชื่อ ปณิตา  และนั่นลูกชายคนเดียวของฉัน รณกฤต  ส่วนเธอชื่อ นัทธพงศ์   ภูริสิทธิโชค เป็นลูกชายของน้องสาวภรรยาฉัน  เราเลี้ยงเธอมาตั้งแต่ยังแบเบาะ  เธอเป็นลูกชายบุญธรรมของพวกเรา”

                “แล้วพ่อแม่ล่ะครับ  พ่อแม่ผมอยู่ที่ไหน”

                “ศา ปณิศา แม่ของเธอนัท  หล่อนตายแล้ว   พวกเราไม่รู้ว่าตายยังไง  แต่ก่อนที่เธอจะตาย  ศาพาเธอมา  แล้วขอร้องให้เราช่วยดูแลเธอ  จากนั้นฉันก็ได้ยินข่าวว่าศาตายแล้ว  พร้อมกับศพก็หายสาบสูญไป  เจอแค่ศพพ่อขอเธอ”  ปณิตาพูดพร้อมกับหันหน้าหนีซบไหล่ก้องภพ

                “ในตอนนั้นเราก็ไม่เอะใจอะไร  แต่ข้อสงสัยนิดหน่อย  บอกว่าอย่าบอกใครที่เธออยู่ที่  และบอกให้ช่วยดูแลเธอ แถมยังพูดอะไรแปลกๆ ฉันกับตาไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิด  ตอนนั้นเธอเกือบหนึ่งขวบ ”  ก้องภพเล่าต่อ

                “พอพวกเรารู้ข่าวว่าศาตาย  จึงรับเธอมาเป็นลูกบุญธรรม  และไม่ติดต่อกับฝ่ายพ่อเธออีก  เพราะเราไม่ไว้ใจคนรอบข้างของพ่อเธอ  คนอื่นจึงคิดว่าเธอเป็นลูกชายแท้ๆของเรา  แม้กระทั่งกฤตและเธอเองก็เพิ่งรู้  ทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ขึ้น” ปณิตาเล่าต่อหลังจากเก็บเสียงสะอื้นได้แล้ว 

                “ฉันขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้นายต้องเป็นแบบนี้นัท  ฉันขอโทษ” รณกฤตกล่าว

                “ไม่เป็นไรฮะ คุณรณกฤต”

                “เรียกฉันเหมือนพี่กฤตเดิมก็ได้นัท   แล้ว --ฮะ—เฮอะ อะไรไม่ต้องพูด  ฟังแล้วดูเหมือนเกย์  ต้องครับเข้าใจมั้ย”  รณกฤตพูดแค่นั้นก็เรียกเสียงหัวเราะกับมาหาครอบครัวนี้ดังเดิม

                “ครับพี่กฤต ครับพ่อ แม่”

                “นัท” ปณิตาเรียกนัทธพงศ์ พร้อมกับกอดเขา  ทุกคนต่างโอบกอดคนป่วย  จนคนคนป่วยหัวเราะเพราะรู้สึกจั๊กจี้

     

                เสียงกดเรียกพยาบาลดังขึ้นจากห้องพักฟื้นของนัทธพงศ์ในกลางดึก  ทำให้เหล่าพยาบาลที่อยู่เฝ้าเวรถึงกับสะดุ้งจากการรวมกลุ่มสุมหัวคุยกัน

                “มีอะไรรึเปล่าค่ะ”  พยาบาลนางหนึ่งได้ถามกลับไป

                “คือว่าผมอยากเข้าห้องน้ำครับ”  นัทธพงศ์ตอบกลับ  “ผมไปด้วยตัวเองไม่ได้”

                “รอสักครู่นะค่ะ  ฉันจะเข้าไปช่วย” 

     

                บานประตูได้เปิดออกพร้อมกับบุรุษพยาบาลและพยาบาลอีกหนึ่งคนเดินเข้ามาในห้องของนัทธพงศ์  พยาบาลสาวได้เลื่อนผ้าม่านมาปิดโดยรอบ

                “เอ่อ  ผมเข้าไปในห้องน้ำไม่ได้หรอครับ”

                “ตอนนี้คุณใส่เฝือก และก็ยังไม่มีไม้ค้ำยัน  คงจะไม่สะดวกถ้าคุณจะเข้าไปในห้องน้ำ”  บุรุษพยาบาลกล่าว

                “พรุ่งนี้คุณจะได้ไม้ค้ำค่ะ”  พยาบาลบอกหลังจากเห็นหน้าตาแหยๆของเขา

                “คุณปัสสาวะลงในกระโถนนี่  เดี๋ยวผมจะไปจัดการต่อเอง”

                ใบหน้าของนัทธพงศ์ขึ้นสีแดงระเรื่อทั้งสองข้างแก้มด้วยความอาย  ถึงแม้เขาความจำเสื่อม แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เคยทำแบบนี้เลย  แล้วอย่างนี้เขาจะปัสสาวะออกมั้ยเนี่ย  เขาคิดอย่างหนักใจ 

                ทั้งสองคนมาช่วยจัดแจงให้นัทธพงศ์ได้จัดการกับธุระส่วนตัวด้วยตนเอง  แล้วเดินออกไปรอข้างหลังม่าน 

                ความรู้สึกของการมีคนจ้องมองในตอนที่ต้องจัดการกับธุระส่วนตัวอย่างปัสสาวะ ทำให้เขารู้สึกเกร็งและอายเป็นอย่างมาก กว่าจะปัสสาวะออกก็ใช้เวลาไปสมควร  ถ้าไม่จำเป็นจริงๆเขาจะไม่ใช้วิธีนี้อีกเด็ดขาด  ตอนนี้เขาทั้งเขิน และเกร็งไปหมด  แถมยังเกรงใจอย่างมากด้วย

                “ขอบคุณครับ  เอ่อ..ขอโทษนะครับที่นานไปหน่อย” นัทธพงศ์กล่าวออกไป  ในขณะที่แก้มยังคงขึ้นสีมากว่าเดิมให้เห็นได้ชัดเจน

                “ไม่เป็นไรค่ะ  เป็นเรื่องปกติ”  พยาบาลยิ้มให้  พร้อมกับนำกระโถนปัสสาวะออกไปจัดการต่อ

                เมื่อทั้งสองออกไปจากห้องแล้ว  เขากลับมาคิดทบทวนอีกครั้ง  นัทธพงศ์กลับไม่รู้สึกคุ้นเคยกับพฤติกรรมของผู้ชายของตัวเอง  ชายหนุ่มรู้สึกแปลกไปเหมือนไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง  แล้วทำไมเขาจะไม่ใช่ผู้ชายล่ะ ก็เมื่อกี้.. ที่จริงเขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้  ก็ตอนนี้เขาความจำเสื่อมอยู่  มันเลยทำให้เขาทำอะไรดูขัดๆ ไปก็ได้  นัทธพงศ์บอกกับตัวเอง และ หลับตาลงเพื่อนอนต่อ

     

                “รู้สึกดีขึ้นมั้ยนัท”  รณกฤตเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับข้าวของเต็มมือ  เขาทักทายนัทธพงศ์ที่เห็นว่าตื่นอยู่  แต่คิ้วทั้งสองกับขมวดกันแทบจะผูกเป็นริบบิ้นห่อของขวัญได้อยู่แล้ว

                “ทำไมนัททำหน้าตาอย่างงั้นล่ะ” รณกฤตถามด้วยรอยยิ้มขบขัน   เขาเดินมาวางขนมที่นำมาฝากคนป่วยที่โต๊ะข้างๆ เตียง

                “คือว่านัทรู้สึกแปลกไปเหมือนไม่ใช่ตัวเองครับพี่กฤต” นัทธพงศ์ตอบ

                “อะไรที่ทำให้นัทคิดแบบนั้นล่ะ” 

                “เอ่อ..เมื่อคืนผมปวดปัสสาวะ  แต่ไปห้องน้ำเองไม่ได้ดูจากสภาพที่เห็น  ผมเลยเรียกพยาบาลมา  เพื่อช่วยพาผมไปห้องน้ำ  แต่พวกเขากับให้ผมปัสสาวะ..”

                “ใส่กระโถน”

                “พี่กฤตรู้ได้ไง”

                “โถ่ไอ้น้องรัก  สภาพนายแบบนี้จะให้พวกเขาแบกนายไปที่ห้องน้ำคงไม่ไหวจะเคลียร์หรอกนะ  ที่นายบอกว่าตัวเองแปลกไปก็เรื่องนี้หรอฮะ”  รณกฤตถามพร้อมกับที่กำลังกลั้นหัวเราะจนน้ำตาเล็ดออกมา

                “ใช่” นัทธพงศ์ตอบเสียงเบา และ หันหน้าหนีไปอีกทาง

                “โอ๋ะ โอ๋ อย่างงอนพี่เลยนะนัท  พี่แค่ล้อแกเล่นน่ะ งอนเป็นผู้หญิงไปได้” รณกฤตเอามือไปบีบจมูกที่กำลังเชิดใส่เขา

                “ชิ”

                “ดูทำท่าเข้า  มีมาชิเชอะอีก  เอ้ามากินนี่เร็วของโปรดแกทั้งนั้น  แม่ฝากมาให้น่ะ”

                นัทธพงศ์หันหน้าไปหาของฝากจากพี่ชาย  มีทั้งบัวลอยไข่หวาน  ลุกชุบ  ข้าวเกรียบ  แอบเปิ้ล ลูกพลับ และอีกเยอะแยะ  เขาดูอย่างน้ำลายสอ

                “แหมพอเจอของโปรดเข้าให้ก็จำได้เลยนะ  ทีพี่กับลืม  กะซิกะซิ เค้าเสียใจรู้มั้นตัวเอง”  รณกฤตแซวเขา

                “พี่กฤตอย่าเล่นซิ  ผมอยากกินบัวลอยไข่หวานน่ะ”

                “พี่กะแล้วว่านายต้องเลืกไอ้เมนูนี้ก่อน  เจอทีไรลิ้นแทบจะกวาดชามจนแทบไม่ต้องล้าง”

                “พี่กฤต” นัทธพงศ์ร้องเสียงดัง

                “ฮ่าฮ่าฮ่า  โอเคไม่แกล้งแล้ว”  รณกฤตเดินไปเตรียมของว่างให้กับนัทธพงศ์

                นัทธพงศ์บอกได้เลยว่า เขาชอบบัวลอยไข่หวานทั้งๆที่เขาจะจำอะไรไม่ได้ก็ตาม  มันคงมาจากความรู้สึก หรือ สัญชาติญาณอะไรประมาณนั้นมั้ง  ชายหนุ่มรู้สึกอุ่นใจขึ้นเมื่อได้คุยกับรณกฤต  ถึงแม้ในส่วนลึกเขาไม่รู้สึกคุ้นเคยกับผู้ชายตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย  แต่ใจของชายหนุ่มก็บอกว่าเขาสามารถเชื่อใจคนๆ นี้ได้  แต่ไม่รู้เพราะว่าอะไรก็ตาม

                “อ่ะ ของโปรดมาแล้ว บัวลอยไข่หวานฝีมือแม่”  รณกฤตเดินมาวางชามบัวลอย และ ช่วยพยุงนัทธพงศ์ขึ้น  เพื่อให้ทานได้สะดวก

                นัทธพงศ์ตักขนมหวานเข้าไปในปาก  ความรู้สึกแรกที่สัมผัสถูกลิ้น  คือความคุ้นเคย  แต่ไม่ได้สัมผัสโดยตรงกับผ่านสิ่งๆหนึ่งที่ตนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าคืออะไร  ในตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเรียนรู้ใหม่  สิ่งที่คุ้นเคยกลายเป็นปริศนาสำหรับเขา

                “เป็นไงบ้าง พี่ว่านัทน่าจะจำรสชาติได้นะ” รณกฤตกล่าว “อีกเดือนกว่าๆ จะต้องไปมหาวิทยาลัยแล้วนัทจะไปไหวมั้ย”

                “อะไรนะครับ” นัทธพงศ์ถามซ้ำ

                “นัทจะไปเรียนที่มหาลัยไหวมั้ย” รณกฤตบอกอีกครั้ง

                “ผมไม่รู้ว่าผมเรียนอะไร เรียนที่ไหน” นัทธพงศ์บอกเศร้าๆ

                “นัทใช้ใจของตัวเองดูสิ ว่านัทอยากเป็นอะไร  อยากเรียนอะไร  ขณะบัวลอยนัทยังจำความรู้สึกชอบได้เลย” รณกฤตพยายามจะค่อยๆให้นัทธพงศ์จำสิ่งต่างๆได้

                ชายหนุ่มหลับตาลงปล่อยใจให้ว่างเปล่า  นึกสิ่งที่เขาอยากเป็น  นึกถึงสิ่งที่เขาอยากทำ  ถ้าให้เขาเป็นหมอ  นี่คงไม่ใช่ตัวตนของเขาแน่นอน  เขาไม่ชอบกลิ่นของโรงพยาบาลเลยถ้าต้องให้ใช้ชีวิตที่เหลือทำงานในสถานที่แห่งนี้  แค่คิดก็รู้สึกสยดสยองนิดๆ  ราวกับว่าเขาเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ยังไงก็ยังงั้น  อีกอย่างเขายังพอจำได้รางๆว่าตัวเขาเองเรียนสายวิทย์-คณิต  ใช่แล้วเขานึกออกแล้วเขาอยากเป็นวิศวกร  แต่เขาเรียนสาขาอะไรล่ะ  เขาใช้ความคิดมากขึ้นกว่าเดิมจนคิ้วทั้งคู่ขมวดแทบจะชนกันอยู่มะลอมมะล่อมแล้ว

                “ผมอยากเรียนวิศวะ” นัทธพงศ์ตอบกับไปเรียกรอยยิ้มบนหน้าของรณกฤตจนมุมปากแทบจะถึงใบหู เขากระโดดกอดคนป่วยอย่างลืมตัว “โอ้ย” เรียกเสียงร้องจากคนที่อยู่บนเตียงคนเจ็บได้อย่างดี

                “พี่ขอโทษนัท  เจ็บตรงไหนบ้าง” รณกฤตผลักตัวเองออกมาถามอย่างร้องรน

                “ไม่เป็นไรพี่  แต่ผมนึกไม่ออกว่าเรียนสาขาอะไร  แต่ไม่ใช่วิศวะไฟฟ้าแน่นอน  ผมจำได้ว่าแค่คำนวณหาตัวต้านทานก็รู้สึกฝันร้ายแล้ว”

                “ฮ่าฮ่าฮ่า  เออจริง  ไม่ต้องทำหน้าอยากจะอ้วกออกมาเป็นกระแสไฟฟ้าอย่างนั้น  นายไม่ชอบมันจริงๆนั่นแหละ”  คนเยี่ยมหัวเราะปล่อยก๊ากออกมาอย่างไม่เกรงใจ

                “แล้วผมเรียนสาขาอะไร  ที่ไหน”  คนป่วยถามกลับด้วยสีหน้าแหยงๆ

                “อ่ะ ดูเองล่ะกัน”  ชายหนุ่มยื่นสมาร์ทโฟนให้นัทธพงศ์ดูผลลัพธ์ที่ออกมา  หลังการประกาศที่เจ้าตัวเองก็จำไม่ได้ว่าไปสมัครและสอบไว้ตอนไหน

                บนหน้าจอมือถือสมาร์ทโฟนที่ทันสมัยเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ทไร้สาย  แสดงให้เห็นประกาศผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง  ในคณะวิศวกรรมศาสตร์  สาขาวิศวกรรมเคมี  มีชื่อ นัทธพงศ์   ภูริสิทธิโชค อยู่ในรายชื่อที่ยาวเหยียดของคนอื่นๆที่จะกลายเป็นเพื่อของชายหนุ่มในอนาคต  แต่สาขานี้ก็คงจะเหมาะกับเขามากที่สุดแล้วก็ได้  นัทธพงศ์รู้สึกดีใจมากที่อย่างน้อยเขาก็ยังมีความฝันในอนาคตที่ตรงกับความรู้สึกในตอนนี้

                “เป็นไงล่ะ  ทีนี้ก็หายเร็วนะ ไอ้น้องชาย  พี่จะเตรียมศึกหนักไว้รอ”

                “พี่กฤตก็เรียนวิศวะเคมีหรอครับ”

                “ใช่ นัทเรียนเคมเอ็นเหมือนพี่ แล้วก็เรียนที่เดียวกันด้วย  ตอนที่พี่รู้นี่ดีใจสุดๆ อย่างกับสอบติดเอง”

                “เคมเอ็น คืออะไรครับ”

                “เคมิคอล เอ็นจิเนียริ่ง หรือวิศวกรรมเคมีไงล่ะ คราวนี้หายงงรึยัง นัทไม่รู้พี่นี่อายเพื่อนตายแน่เลย” รณกฤตว่า “เอ่อ หมอบอกพี่ว่านัทจะใกล้กลับบ้านได้แล้วนะ  วันศุกร์นี้พี่กับแม่จะมารับ โอเคมั้ย”

                “ผมจะได้กลับแล้วหรอครับ  แต่ต้องอยู่อีกต้องสองวัน  เซ็งเลย”

                ประตูห้องได้เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับพยาบาลคนเมื่อคืนที่ช่วยเขาจัดการกับธุระส่วนตัวและรถเข็น  เมื่อนึกขึ้นได้นัทธพงศ์ก็หน้าขึ้นสีให้เห็นอีกครั้ง

                “คนนี้ใช่มั้ยที่ช่วยนัทเมื่อคืน  สวยด้วยนะเนี่ย”  รณกฤตกระซิบ

                “ฉันจะพาคุณไปทำกายภาพบำบัด และ ฝึกเดินกับไม้ค้ำยัน  คุณจะไปเลยมั้ยค่ะ” เธอบอก

                “ไปเลยครับ” รณกฤตตอบ และหันไปยักคิ้วให้น้องชายที่เชิดงอนเขาไปแล้ว

     

               

                รถเข็นได้เคลื่อนนำผู้ป่วยที่มีสีหน้างอนไม่เลิกใส่คนเข็นอย่างรณกฤต  เรียกรอยยิ้มอยู่บนสีหน้าพยาบาลคนสวยอย่างเห็นได้ชัด  พาหนะถูกเข็นมาจนถึงห้องที่จะทำกายภาพบำบัด  นัทธพงศ์จึงนั่งรออยู่บนรถเข็นเพื่อที่จะทำกายภาพ

                “นี่งอนพี่สุดหล่อหรอครับ  ไอ้น้องชาย”

                “ใช่”

                “นี่ๆ” รณกฤตใช้นิ้วชี้จิ้มไปบนไหล่นัทธพงศ์หลายๆที  “อย่างอนเลย ดีกันนะ”

                “ชิ พี่กฤตห้ามแซวเรื่องนี้อีกนะครับ  ไม่งั้นผมจะไม่คุยด้วยจริงๆด้วย  พี่ลองมาเป็นผมนั่งมั้ยล่ะ” เขายังเครืองรณกฤตอยู่ไม่น้อย

                “โอเค พี่จะไม่แซวเรื่องเมื่อคืนอีก  แต่จะแซวเรื่องอื่นแทน” รณกฤตว่า แต่ยังไม่ทันที่นัทธพงศ์จะพูดต่อ พร้อมกับใช้เฝือกของตนให้มีประโยชน์ในการจะปะทุซะร้ายพี่ชายปากดี

                “นี่ค่ะไม้ค้ำยันของคุณ  ลองดูว่าพอดีมั้ยจะได้ปรับให้พอเหมาะ  ลองซ้อมเดินดูนะค่ะ”  พยาบาลคนสวยคนเดิมเดินมาพร้อมกับยื่นไม้ให้เขารับไว้ “คุณช่วยเขาด้วยได้นะค่ะ” เธอหันไปพูดกับรณกฤต

                “ขอบคุณครับ” นัทธพงศ์รับไม้ค้ำยันไว้ในมือ  พร้อมกับค่อยๆลุกขึ้นโดยข้างขวามีรณกฤตคอยพยุง และ ข้างซ้ายที่ใส่เฝือกที่แขนก็มีพยาบาลคอยช่วย

                นัทธพงศ์ฝึกเดินในบริเวณที่จัดไว้ให้จนชิน  ทั้งทางเดินธรรมดาและการขึ้นลงบันไดจนคล่องแคล่ว  เขาจึงกับมาพักผ่อนที่ห้องพักตามเดิม

                “พรุ่งนี้พ่อกับแม่จะมาเยี่ยมนะ  แต่พี่มีธุระที่มหาลัยแต่เช้า  เจอกันวันศุกร์  หายเร็วนะไอ้น้องชาย”  รณกฤตบอกพร้อมทั้งส่งยิ้มและโบกมือลาจากไป

                ตอนนี้นัทธพงศ์อยู่ในห้องเพียงลำพังในยามบ่ายของวัน  เขาทบทวนเรื่องราวของวันนี้ที่ได้พูดคุยกับรณกฤตถึงแม้ว่าจะไม่รู้สึกคุ้นเคย  แต่อีกไม่ช้าเขาก็คุ้นเคยและสนิทกับพี่ชายต่างสายเลือดเอง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×