คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ ๘
บทที่ ๘
หลังจากที่ได้เตรียมซื้อเสบียงจนเสร็จเรียบร้อย ทั้งสามคน มุ่งหน้าเดินเท้าขึ้นไปตามทางเดินบนไหล่เขา ดูเหมือนคนที่ออกอาการจะเป็นอัปสรคนเดียวเท่านั้น
“เหนื่อยแล้วเหรอจิ๊ด” ทาฬิดาหันไปถามด้วยความเป็นห่วง
“เกือบตายแล้วพี่หายใจไม่ทัน”
“พักก่อนดีไหม”
“ทนอีกนิดได้ไหมคะ ด้านหน้ามีที่พักคนเดินทาง”
มารีชี้ไปข้างหน้า ทั้งสองคนที่เหลือไม่เห็นว่าจะมีที่พักอะไรตรงไหน ในเมื่อเจ้าถิ่นบอกอย่างนั้น พวกเธอคงต้องเชื่อสินะ
อัปสรแข็งใจกัดฟันเดินต่อไปอีกเรื่อยๆ ลับเหลี่ยมเขาเลี้ยวซ้ายไปนิดหนึ่ง พวกเธอเห็นศาลาที่พักอยู่ไม่ไกลนัก บริเวณนั้นมีที่ราบพอให้สร้างที่พักได้ เมื่อเห็นอย่างนั้นอัปสรมีแรงเดินเพิ่มขึ้น เธอหวังว่าจะได้นั่งพัก ให้หายเหนื่อยแล้วจึงค่อนเดินทางต่อ
ที่พักบริเวณนี้เป็นของเผ่าทาคานาคามาทำเอาไว้ให้ผู้ที่เดินทางแวะเข้ามาพัก มีร้านขายของกินอยู่เพียงร้านเดียว ไม่มีอะไรนอกจากเมนูซึ่งทำมาจากมันฝรั่ง หากไม่มีคนสั่ง เจ้าของร้านจะไม่นำมันฝรั่งของเขามาทำ จึงทำให้พวกของทาฬิดาต้องนั่งรออาหารที่พวกเธอเพิ่งจะสั่งไปเมื่อหลายนาทีก่อน
“มันทอดน่าอร่อยเนอะ” อัปสรว่า เมื่อมันทอดถูกนำมาวางตรงหน้าพวกเธอ พร้อมกับน้ำชาคนละแก้ว
“หิวแล้วล่ะสิ” ทาฬิดาถามเด็กน้อยของเธอ
“หิวจนจะเป็นลมเลยพี่ หิวหายใจไม่ออก”
“บนนี้คงสูงน่ะ ก็เลยทำให้หายใจไม่สะดวก ค่อยๆ กินนะ เดี๋ยวจะจุกไปอีก”
จากการเอาใจใส่กันและกันของสองคน ทำให้มารีต้องเอ่ยถาม
“พวกคุณเป็นพี่น้องกันหรือคะ”
“เปล่าค่ะ จิ๊ดเป็นหลานของคุณนาลันทาค่ะ”
ทาฬิดาเป็นฝ่ายตอบ อัปสรคงปากไม่ว่างพอที่จะพูดอะไรได้ ก่อนหน้าคำถามนี้อัปสรหยิบมันทอดเข้าปากไปหลายชิ้น
“ทำไมหรือคะ”
“คุณดูห่วงน้องเหมือนเป็นน้องของคุณ”
“เราคนไทยค่ะ มีน้ำใจให้แก่กันไม่ผิดอะไร”
“ค่ะ ฉันพอจะรู้ ที่หมู่บ้านของฉันมีหมอคนไทยอยู่หนึ่งคน เธอมาอยู่ที่นี่ทุกครั้งที่เธอว่าง”
“เหรอคะ แล้วตอนนี้เธออยู่หรือเปล่าคะ”
“อยู่ค่ะ มากับลูกของเธอ เพิ่งจะมาก่อนหน้าคุณสักสามวัน”
“ดีจัง จะได้เจอคนไทยด้วย ว่าแต่คุณหมอมาทำอะไรที่นี่หรือคะ”
“เธอเป็นหมออาสาค่ะ จะมาช่วยฉีดยา รักษาโรคให้กับพวกเรา”
“ใจดีจัง”
“ค่ะ เธอใจดีมาก ครั้งนี้เธอมากับเพื่อนหมออีกสองคนค่ะ”
“แสดงว่าตอนนี้ที่หมู่บ้านของคุณมีคนไทยอยู่สี่คนหรือคะ”
“คะ สี่คน หมอสามคน เด็กอีกหนึ่ง”
“งี้เราก็มีเพื่อนเล่นแล้วสิจิ๊ด” ทาฬิดาหันไปมองหน้าอัปสร
“จิ๊ดไม่เล่นกับเด็กหรอกน่า จิ๊ดโตแล้ว” อัปสรตอบโดยไม่ต้องคิด
เจ้าของร้านนำอาหารที่สั่งมาวางเอาไว้อีกสองอย่าง ทำให้การสนทนาของทุกคนต้องจบลงไปโดยปริยาย ครั้งแรกคิดว่าไม่หิว ทำไมไม่รู้เมื่อเห็นของกินวางอยู่ตรงหน้า ท้องกลับร้องขึ้นมาเสียงดัง
หมู่บ้านทาคานาคา เห็นอยู่ไม่ไกลนัก ตัวบ้านทำจากหิน ส่วนหลังคานั้นมุงด้วยใบหญ้า น่าจะเป็นหญ้าอะไรสักอย่าง ทาฬิดาไม่สามารถเดาได้ ลักษณะคล้ายๆ กับหญ้าคาของเมืองไทย แต่ไม่ได้มัดเป็นตับเหมือนที่เมืองไทยนิยมทำกัน หลังคาบ้านพวกนั้นเหมือนโดนใบหญ้าเป็นมัดๆ นำมาถมๆ ทับๆ กันฝน
อัปสรดีใจเป็นที่สุดที่พวกเธอเดินทางมาถึงสักที ใกล้จะค่ำแล้ว หากต้องเดินทางมืดๆ พวกเธอคงลำบากเพราะไม่ชินเส้นทาง
มารีพาทั้งสองคนมาถึงบ้านพัก และให้ทั้งสองนั่งพักอยู่ในนั้น อัปสรรีบเข้าไปจองเตียงทันที ยิ่งใกล้เวลากลางคืน อากาศที่นี่ยิ่งเย็นขึ้น ทุกขณะ
“ไม่ต้องเลย เดินมาเหงื่อท่วมไปอาบน้ำก่อน”
ทาฬิดาทำตัวเป็นผู้ปกครองอีกคนของอัปสร
“โอ๊ย อากาศเย็นจะตายไป ขืนให้จิ๊ดไปอาบน้ำมีหวังจิ๊ดแข็งตายดิพี่ทาม”
“ไม่รู้ล่ะ ถ้าเราไม่อาบ พี่ไม่ให้เรานอนเด็ดขาด แล้วอย่ามาทำอย่างตอนที่เราอยู่บ้านพักนะ น้ำมีค่า ห้ามเอาไปสาดฝาผนังเด็ดขาด”
ทาฬิดารู้แกว
“ก็ได้ๆ อาบก็ได้ ห้องน้ำอยู่ไหนล่ะ”
“ลองเดินๆ ดูสิ พี่ไม่รู้เหมือนกันลืมถาม”
ทาฬิดาลืมไปด้วยซ้ำ เธอไม่ได้สอบถามจากมารีเรื่องห้องน้ำห้องท่า มัวแต่ดีใจที่ได้เข้าที่พักสักที ขาทั้งสองข้างของเธอแทบจะหลุดออกไป จากร่าง นานๆ ได้เดินไกลๆ อย่างนี้สักครั้ง เล่นเอาเธอปวดเมื่อยไปทั้งตัว
“คนเรานะ แทนที่จะถามให้น้อง” อัปสรบ่นพร้อมกับหยิบเสื้อผ้าออกมาจากเป้ของเธอ ถึงทาฬิดาไม่บอกให้อาบ เธอจะไปอาบอยู่แล้ว ที่บ่นเธอบ่นไปอย่างนั้นแหละ ขืนนอนทั้งอย่างนี้มีหวังเธอเป็นโรคผิวหนัง
ทาฬิดาเดินตามอัปสรออกไปจากบ้านพัก ในบ้านพักไม่มีห้องน้ำหรือห้องสุขา คงเหมือนกับบ้านพักหลังเก่าในตัวเมืองของพวกเธอ
“จะไปไหนกันหรือคะ” มารีถาม ในมือของเธอมีถาดอาหารที่กำลังจะเอามาให้กับสองสาว
“พวกเราอยากอาบน้ำค่ะ” ทาฬิดาบอก
“ต้องไปอาบที่โรงอาบน้ำค่ะ ทานกันก่อนดีไหมคะแล้วค่อยไป”
“กลัวจะหนาวสิคะ”
“เรามีน้ำพุร้อนค่ะ ไม่ต้องห่วง มาเถอะค่ะ ทานให้เสร็จก่อนจะดีกว่า จะได้เก็บกลับไปที่โรงครัว” มารีนำถาดอาหารเข้าไปวางในบ้าน
“จริงหรือคะพี่ ดีจัง จิ๊ดจะได้ไม่ต้องกลัวหนาว มีอะไรกินบ้างคะ เห็นแล้วหิว” อัปสรรีบเดินตามเข้าไปทันที ไม่ต้องรอคำตอบจากทาฬิดาอีก
อาหารง่ายๆ อร่อยขึ้นมาเพราะความหิว อัปสรไม่ได้สนใจอะไรนอกจากอาหารตรงหน้า ส่วนทาฬิดาไม่ได้รีบเร่งในการกินของเธอมากนัก เธอค่อยๆ กินจนหมด แล้วจึงดื่มน้ำชาตาม
“กินเร็วอย่างนั้นเดี๋ยวก็จุกหรอกจิ๊ด”
“กินช้าพี่ก็แย่งของจิ๊ดสิ”
“พี่เคยทำหรือไงล่ะ”
“ไม่เคยหรอก แต่ไอ้รสเพื่อนจิ๊ดมันทำบ่อยอะพี่”
“พี่ไม่ใช่เพื่อนเรา ฉะนั้นเราค่อยๆ กิน ไม่ต้องรีบ”
“พูดเหมือนอากลางเลย สงสัยจะแก่”
“เราว่าอะไรนะ เดี๋ยวเถอะมาหาว่าพี่แก่”
“หรือไม่จริงล่ะ พี่ทามทำตัวแก่ยิ่งกว่าอามุจอีก อามุจไม่เคยบ่นอะไรจิ๊ดอย่างที่พี่ทามทำเลยนะขอบอก”
“ถ้าไม่อยากให้พี่บ่น เราต้องทำตัวดีๆ หน่อย”
“ก็ได้ๆ ทำตัวดีๆ” แม้ปากจะบอกว่าจะทำตัวดีๆ อัปสรยังคงรีบกินในส่วนของเธอต่อไป
“ห้องอาบน้ำอยู่อีกไกลไหมคะ”
“ไม่ไกลค่ะ ถ้าพวกคุณจะไปฉันจะพาไป”
“เพิ่งกินอิ่มๆ อาบน้ำไม่ได้หรอกนะพี่ทาม” อัปสรว่า
“เราไปเดินเล่นกันก่อน ดึกๆ ค่อยไปอาบดีไหมคะ” มารีเสนอ
“ดีเหมือนกันค่ะ เออใช่ คุณหมอคนไทยพักที่ไหนคะ”
“พักอยู่อีกฝั่งของหมู่บ้านค่ะ อยากพบหรือคะ”
“ค่ะ ทามอยากไปทักทาย เผื่อจะมีเพื่อน”
“ตามมาสิคะ” มารีเดินนำทั้งสองคนออกไปจากบ้านพัก ในมือของเธอถือถาดอาหารเปล่า ติดกลับออกไปด้วย
ระหว่างทางอัปสรเห็นผู้หญิงบางคนนั่งอยู่หน้าบ้าน กำลังถักหมวกลักษณะเดียวกับที่เธอเห็นมารีสวมอยู่ แสงไฟจากหลอดไฟดวงเล็กๆ สว่างไม่มากนัก เธอคิดว่ายังดีกว่าใช้ไฟจากตะเกียง
“ที่นี่มีไฟฟ้าใช้ แต่ทำไมไม่เห็นสายไปล่ะคะ”
“ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ค่ะ”
“อ๋อค่ะ” ทาฬิดาพยักหน้าเข้าใจ
“ที่นี่อยู่สูงค่ะ มีประชากรอยู่ไม่มากนัก ไม่คุ้มที่จะเดินสายส่งไฟฟ้ามาจากในเมือง ประกอบกับสายไฟพวกนั้น จะทำให้พวกสัตว์ป่าไม่กล้าย้ายถิ่น พวกเราจึงตัดสินใจที่จะใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์แทน”
“ความคิดพวกคุณเหมือนนักอนุรักษ์”
“ทาคานาคา อนุรักษ์ทุกอย่างค่ะ ถึงเราจะไม่ใช่ชนเผ่าที่ร่ำรวยอะไรมากนัก เราก็ไม่อยากเบียดเบียนธรรมชาติ”
“คุณเคยบอกว่าเผ่าของคุณเก่าแก่มานับพันปี”
“ค่ะ เผาทาคานาคา เก่าแก่เสียยิ่งกว่าเผ่าใดๆ ในเปรู”
“เก่ากว่าการัลอีกหรือคะ”
“ค่ะ การัลใช้หลักพื้นฐานในการดำรงชีพจากทาคานาคา”
“แล้วพวกนัซกาล่ะคะ”
“นัซกาเกิดหลังชนเผ่าเราค่ะ”
“น่าตลกเหมือนกันนะคะ มีคนเคยบอกกับทามว่านัซกาติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้”
“ไม่แน่นะคะ เราอาจจะติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ตั้งแต่สมัยนั้น ก็ได้ ใครจะรู้ จริงไหมคะ”
“ก็น่าจะจริงค่ะ น่าเสียดายนะคะ ที่คนในดินแดนแถบนี้ไม่นิยมที่จะมีภาษาเขียน จึงไม่มีใครรู้ว่าคนพื้นเมืองโบราณของพวกคุณสอนอะไรให้คนรุ่นหลังได้ยังไง”
“เราใช้เชือกค่ะ”
“เชือก”
“ใช่ค่ะ เราจะใช้เชือกผูกเป็นปม ความห่างของแต่ละปมจะมีความหมายของมัน”
“แล้วถ้าเชือกพวกนั้นหายไปล่ะคะ”
“หายก็คือหายค่ะ แต่ถ้ายังอยู่เราก็จะเอามาสอนลูกหลานของเราต่อไป น่าเสียดายครั้งที่พวกสเปนมาบุกที่นี่ กลับทำลายของจากบรรพบุรุษเราไปจนหมดสิ้น หลอกให้กษัตริย์เราเอาทองมาให้ จนเต็มห้อง จากนั้นก็ปลงพระชนม์ของท่าน แล้วยึดเมืองของเราทั้งหมด”
“คุณจะบอกว่าพวกคุณยังแค้นพวกสเปนอยู่หรือคะ”
“เปล่าหรอกค่ะ ฉันแค่เสียดายวัฒนธรรมของฉันเท่านั้น”
“ทามเคยได้ยินมาว่า ก่อนหน้าที่กษัตริย์องค์สุดท้ายของพวกคุณจะโดนจับ ท่านลบหลู่นักบวช”
“ไม่หรอกค่ะ นักบวชคนนั้นบอกกับท่านว่า ได้รับพระวัจนะจากพระเป็นเจ้า ให้มาบอกกับกษัตริย์ ถึงเรื่องการมาของชาวสเปน นักบวชยื่นไบเบิลให้กับท่าน ท่านเอามันไปแนบไว้กับหู เมื่อไม่ได้ยินเสียงอะไร ท่านจึงโยนไบเบิลนั้นทิ้ง ทำให้ทหารของสเปนที่หลบซ่อนตัวอยู่บุกเข้าไปทำร้ายท่านและจับตัวท่านเป็นตัวประกัน ทั้งๆ ที่คนของอินคามีกำลังมากกว่านักรบสเปนหลายเท่า”
“นั่นเป็นเพราะคนของเราประมาทเกินไป ไม่มีอาวุธใดๆ ติดตัวเลยสักคน จึงทำให้สเปนเข้ามาลอบทำร้ายพวกเราซึ่งไม่มีอาวุธติดตัว โดยหาข้ออ้างว่ากษัตริย์เราดูถูกพระเจ้า ลบหลู่พระเจ้า”
“นั่นคือข้ออ้างที่ฟังไม่เข้าท่าเอาเสียเลยค่ะ จริงๆ แล้วกษัตริย์ของคุณทำถูกนะคะ หนังสืออะไรจะพูดได้ นักบวชคนนั้นก็คงเพี้ยน”
“เพราะความไม่เข้าใจกัน สื่อสารกันไม่รู้เรื่องนี่แหละค่ะ ทำให้ อินคาต้องล่มสลายไปอย่าง่ายดายภายในร้อยปีเท่านั้น”
“น่าเสียดายมาก อินคาคือยุครุ่งเรืองที่สุดของเปรู”
“ค่ะ เรื่องในอดีตพวกเราคงกลับไปเปลี่ยนอะไรไม่ได้อีก ถึงแล้วค่ะ บ้านพักของพวกหมอ” มารีมาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง หลังจากที่ พวกเธอเดินคุยกันมาได้สักพัก เสียงพูดคุยภาษาไทยในบ้านหลังนั้น ส่งเสียงออกมาแผ่วๆ พอให้จับใจความได้ว่าผู้พูดเป็นคนไทย
“แกนะแกไอ้นท ฉันว่าแล้วเชียวว่าแกต้องลืมเอายาทาสิวของฉันติดมาด้วย บอกแล้วใช่ไหมว่าฉันต้องเป็นสิว ทำไมแกไม่เชื่อฉันหาเพื่อน”
“คนมันลืมกันได้นี่นา” เสียงคุ้นๆ หูของทาฬิดาโต้แย้งกลับ
“ลืมอะไรลืมได้ คราวหลังแกห้ามลืมยาทาแก้สิวของฉันอีก เข้าใจไหมไอ้นท”
“ขอโทษค่ะ ขอเข้าไปหน่อยค่ะ” มารีขัดจังหวะการสนทนานั้น
“อ้าวมารี กลับมาจากในเมืองแล้วเหรอ ได้ยาทาแก้สิวที่หมอฝากซื้อไหม” เสียงแจ้วๆ เอ่ยถามมารีด้วยภาษาไทยทันที
“ได้ค่ะ”
มารีล้วงกระเป๋ากางเกงของเธอหยิบสิ่งที่อีกคนต้องการยื่นให้
“ขอบใจนะมารี ถ้าไม่ได้มารีหมอตายแน่ๆ”
“เกินไปนังหมอศร แค่เป็นสิวไม่ถึงกับตายหรอกน่า”
“นั่นสิศร พี่ว่าเราล้างหน้าไม่สะอาดเองมากกว่า ถึงได้เป็นสิว” ผู้หญิงอีกคนสนับสนุนคำพูดของหมอสาว
“พี่ไม่เป็นสิวบ้างให้มันรู้ไป เชอะ ศรไม่คุยด้วยแล้วไปทาสิวของศรต่อดีกว่า ขอบใจนะมารีที่ช่วยเป็นธุระให้”
ว่าจบร่างนั้นเดินเข้าไปในห้องพักหน้าตาเฉย
“มีคนไทยมาแนะนำค่ะ” มารีบอกกับโกกนท
“คนไทยหรือคะ ไหนเอ่ย” โกกนทรีบมองหาทันที ทาฬิดาและอัปสรจึงเดินเข้าไปในบ้าน
“อ้าวทาม มาได้ยังไง” โกกนทร้องทักด้วยความตื่นเต้น”
“พี่หมอเองหรือคะ นึกว่าใคร”
“นั่นสิ อยู่เมืองไทยไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน มาเปรูเจอกันซะงั้น โลกใบนี้กลมดีจังเลยนะ”
“รู้จักกันหรือคะ” มารีถาม
“ค่ะ รู้จักค่ะ พี่หมอเป็นญาติห่างๆ ของคุณแม่ทามค่ะ มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับทาม”
“ลูกพี่ลูกน้อง” มารีทำหน้างง
“หมายถึงเป็นคนในตระกูลเดียวกันกับคุณแม่ของทามค่ะ”
“อ๋อค่ะ” มารีพยักหน้าพอเข้าใจ
“ลืมแนะนำค่ะนี้จิ๊ดหลานของคุณนาลันทาที่คุณปู่ให้พาทามมาที่นี่ค่ะ ส่วนนี่พี่หมอนท พี่สาวของพี่เอง”
ทาฬิดาแนะนำให้อัปสรรู้จักกับโกกนท เด็กน้อยจึงยกมือไหว้ ผู้สูงวัยกว่า
“ดีเลยน้องลูกหนูจะได้มีเพื่อนเล่น คงวัยเดียวกัน จิ๊ดอายุเท่าไหร่แล้วลูก” โกกนทเอ่ยถามเด็กน้อยในสายตาเธอ
“สิบห้าค่ะคุณหมอ”
“อ้าวเท่ากับน้องลูกหนูเลยนะ ลูกหนูลูก ออกมารู้จักกับเพื่อนหน่อย น้ามีเพื่อนจะแนะนำ” สักพักร่างของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องด้านใน
“นี่ลูกหนู ลูกของพี่เอง” โกกนทแนะนำให้เด็กน้อยสองคนรู้จักกัน
“คงเป็นเพื่อนเล่นกันได้นะเราสองคน”
“ทามกลัวจะไม่ใช่เพื่อนเล่นสิคะพี่นท จะกลายเป็นพวกซนมากกว่า”
“เอาเถอะ อย่างน้อยๆ ก็ยังมีเพื่อน ว่าแต่เรามาที่นี่ทำไมกัน ไกลก็ไกล”
“ทามอยากมาเที่ยวดูของเก่าๆ ค่ะพี่นท แล้วนี่พี่นทมากับใครคะ”
“พี่มากับไอ้ศร กับพี่หมอบิว”
“อ้าวเหรอคะ มาทำอะไรคะ ได้ยินมารีบอกว่าพี่หมอเป็นหมออาสา จะมาที่นี่ทุกปี”
“จ๊ะ พี่มาทำงานตรวจสุขภาพคนที่นี่ทุกปี ทำมาได้สี่ปีแล้ว”
“โห มาไกลจัง”
ทาฬิดาไม่อยากจะเชื่อว่าโกกนทจะมาทำงานไกลอย่างนี้ ที่นี่เหมือนไม่มีสถานที่เที่ยวอะไรเลย นอกจากธรรมชาติและความลำบาก
“จริงๆ ก็อยากมาเที่ยวด้วยนั่นแหละ อีกอย่างพี่หมอบิวอยากจะมาศึกษาเรื่องใบไม้ด้วย”
“ใบไม้ ใบอะไรหรือคะ” ทาฬิดาเริ่มงง
“ใบโคคา”
“โคเคน” ทาฬิดาได้ยินแล้วคิดถึงยาเสพติดชนิดหนึ่งที่กำลังแพร่ระบาดในกลุ่มวัยรุ่น
“ไม่ใช่จ๊ะ ใบโคคา ไม่ใช่โคเคน แต่มีคนหัวใสนำใบโคคาไปสกัดเป็นโคเคน จริงๆ แล้วสรรพคุณของใบโคคาสามารถนำมาใช้เป็นยาแก้ปวดระงับประสาทได้ดี คนที่นี่ใช้กับคนป่วยมาตั้งแต่สมัยโบราณ ใช้สำหรับการผ่าตัด ไปจนถึงระงับประสาท”
“เหมือนใบกระท่อมบ้านเราไหมคะพี่หมอ”
“ใบกระท่อมมีฤทธิ์คล้ายๆ กันค่ะ คนที่นี่จะเคี้ยวใบโคคาเวลาทำงานหนักๆ และนำมันไปตากแห้งทำน้ำชา เราเคยชิมไหมล่ะ”
“ไม่แน่ใจค่ะ”
ทาฬิดาหันไปมองหน้ามารีให้ตอบคำถามนั้นแทนเธอ
“เมื่อสักครู่ให้ดื่มไปแล้วค่ะ เห็นว่าเดินทางมาเหนื่อยๆ”
มารีอ้อมแอ้มตอบ
“อ้าว มิน่าล่ะ ทามถึงไม่รู้สึกปวดขาเหมือนตอนที่มาถึง”
“นั่นแหละ ดีไหมล่ะ กินน้อยๆ เป็นยารักษา กินมากๆ ไม่ดีจะเป็นยาเสพติด”
“พรุ่งนี้พวกพี่หมอจะทำอะไรกันหรือคะ”
“ว่าจะให้ศรหยอดวัคซีนให้เด็กๆ ส่วนพี่จะไปที่หมู่บ้านข้างๆ กับพี่หมอบิว ไปทำคลอดเด็ก มีคนมาส่งข่าวว่ามีแม่ท้องแก่ปวดท้องคลอด คิดว่าสักพักพี่กับพี่หมอหมอบิวคงจะกำลังไป”
“แต่ทางอันตรายนะคะคุณหมอ” มารีแย้ง
“ต่อให้อันตรายแค่ไหน หมอคงอยู่เฉยไม่ได้หรอกค่ะ” โกกนทว่า
“จิ๊ดขอไปด้วยได้ไหมคะ”
“ได้ยินอยู่ว่าอันตราย เราจะไปทำไมกัน”
“นะคะพี่หมอ” ทาฬิดาอ้อน
“แล้วเด็กๆ ล่ะจะอยู่กับใคร”
“อยู่กันสองคนได้ไหมจิ๊ด” ทาฬิดาหันไปถาม
“ได้พี่สบายมาก ไม่ต้องห่วงเนอะลูกหนู”
อัปสรรีบตอบทันที เธอไม่อยากเดินไปไหนอีกแล้ว เพิ่งจะมาถึงจะให้เดินอีกเธอไม่เอาด้วยหรอก ขอนอนพักสักคืนจะดีกว่า ที่สำคัญเธอมีเพื่อนอย่างพิมมาดาอยู่ด้วย คงไม่เหงาอย่างที่คิด
ความคิดเห็น