คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ ๗
บทที่ ๗
ล่ามที่นาลันทาติดต่อเอาไว้ มาขอพบทาฬิดาในเวลาบ่าย ทาฬิดาจึงลงมาพบกับเขา เพราะคิดว่าคงเสียมารยาทหากไม่ลงมา เขาคงเสียเวลาหากเธอผิดนัด ตามความเข้าใจของเธอ ล่ามและไกด์สองคนในร่างเดียว ผู้ที่จะพาเธอไปไหนต่อไหนจะต้องเป็นผู้ชาย เธอไม่ค่อยจะเห็นผู้หญิงของที่นี่เป็นไกด์นำเที่ยวมากนัก น่าแปลกเหมือนกัน ทาฬิดาจึงมองหาแต่ผู้ชายเท่านั้น
“ไปไหนของเขาน้อ หรือว่าเราลงมาช้าไป” ทาฬิดามองซ้าย มองขวา ในห้องนั้นไม่มีใครเลยสักคน แล้วจะไปตามเธอลงมาทำไมกัน
เธอเดินออกไปด้านหน้าที่พัก เห็นผู้ชายกลุ่มหนึ่งโยนเหรียญเข้าปากตุ๊กตากบซึ่งวางอยู่บนเก้าอี้เล่นกันอยู่ จึงเดินเข้าไปหวังจะถาม
“แล้วจะถามว่าอะไรดีล่ะ”
ทาฬิดาเริ่มงงตัวเอง เธอพูดภาษาอะไรไม่ได้เลย
“เอาวะ โฮลา” เธอทักพร้อมกับยกมือขึ้น
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคนไหนเป็นล่ามคะ”
ทาฬิดาพยายามเรียบเรียงภาษาอังกฤษของเธอ ให้พอฟังออก ทุกคนเหมือนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด นอกจากผู้หญิงคนหนึ่ง
การแต่งกายของผู้หญิงคนนี้ไม่ได้แตกต่างอะไรกับหญิง ชาวพื้นเมืองทั่วไป ลักษณะคล้ายอินเดียแดงแถวๆ อเมริกา สวมหมวกสาน ใบใหญ่เอาไว้บนศีรษะ จนแทบจะมองไม่เห็นใบหน้า
“ฉันเองค่ะ” เธอพูดเป็นภาษาอังกฤษชัดเจนตอบกลับทาฬิดามา
“อ้าว สวัสดีค่ะ ฉันทาม”
“ค่ะสวัสดี ฉันมารีค่ะมาเป็นล่ามของคุณ”
“คุณเป็นผู้หญิงหรอกหรือคะ”
“ค่ะ คุณนักโบราณคดีบอกกับเจ้านายของฉันว่า เธอต้องการผู้หญิงมาเป็นล่ามให้คุณ”
“อืม” ทาฬิดาพอเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที นาลันทาคงกลัวเธอจะเป็นอันตรายหากต้องไปไหนสองต่อสองกับล่ามและไกด์นำทางของเธอ จึงเลือกผู้หญิงให้มาทำงานนี้
“จะไปกันเลยไหมคะ”
“ไปไหนคะ” ทาฬิดาหน้าตื่น
“ไปหาช่างซ่อมนาฬิกาไงคะ”
ไกด์และล่ามสาวออกอาการงงไม่แพ้กัน
“ตอนนี้หรือคะ”
“ค่ะ นาฬิกาคุณเสียไม่ใช่หรือคะ”
“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้จะซ่อมนาฬิกา ฉันจะหาคนทำนาฬิกา”
“ไม่มีหรอกค่ะ ที่นี่มีแต่ช่างซ่อมไม่มีคนทำ”
“ว่าแล้วเชียว” ทาฬิดาหน้าเสีย
“คุณอยากให้ช่างทำนาฬิกาอะไรให้หรือคะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ อย่าเข้าใจผิด ฉันอยากรู้ว่า สมัยก่อน ที่นี่มีช่างทำนาฬิกาหรือเปล่า เท่านั้นแหละค่ะ”
“ในเปรูมีช่างทำนาฬิกาเหมือนกันค่ะ”
“เหรอคะ” ความรู้สึกของทาฬิดาเหมือนกองไฟที่กำลังจะใกล้ดับ บังเอิญได้เชื้อเพลิงใหม่จึงลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
“ค่ะ แต่เป็นตัวเรือนนะคะ ไม่ใช่เครื่องด้านใน”
“อ้าวแล้วกัน” เมื่อเชื้อเพลิงที่ถูกสาดเข้าไปในกองไฟหมดลง ทุกสิ่งทุกอย่างจึงดับมอดลงอย่างสิ้นเชิง
“จะมีอีกที่ก็โรงงานผลิตนาฬิกาค่ะ”
“คงไม่ใช่แล้วล่ะคะ ไม่เป็นไรค่ะ คุณพอจะพาฉันกับน้องไปหาอะไรทานจะได้ไหมคะ”
“ได้สิคะ”
“รอสักครู่นะคะ ฉันจะไปตามน้องลงมา” ทาฬิดาว่าจบจึงเดินกลับไปที่ห้องพักของเธอ เพื่อตามอัปสรให้ไปหาอะไรกินพร้อมกัน
ตลาดในเมืองทาฬิดาเห็นผู้หญิงหลายๆ คนนำพืชผักและผลไม้ที่พวกเธอปลูกมาวางขาย โชคดีที่ตลาดยังไม่วาย พวกเธอจึงได้เห็นของพื้นเมืองวางขายเต็มไปหมด แม่ค้าแต่ละคนใส่หมวกมาแทบทั้งนั้น หมวกที่สวมใส่รูปทรงแตกต่างกันบ้างเหมือนกันบ้าง เธอจึงอยากจะซื้อหมวกมาใส่บ้าง จึงบอกกับมารีไกด์และล่ามของเธอ
“ขอโทษคะ ทามอยากได้หมวกสักใบ”
“หมวก” คนถูกวานถึงกับงง ไหนตอนแรกว่าจะหาคนทำนาฬิกา
“ค่ะหมวก แดดร้อนๆ ใส่หมวกปีกกว้างน่าจะดี”
“ค่ะ” มารีเดินไปยังร้านขายหมวกใกล้ๆ กันนั้น ให้ทาฬิดาเลือกตามความต้องการ
“หมวกพวกนี้สานด้วยมือค่ะ ราคาค่อนข้างแพงสักนิด”
มารีหยิบหมวกใบหนึ่งขึ้นมาให้ทาฬิดาดู
“อ้าวเหรอคะ”
“ค่ะ ปกติแล้ว แต่ละหมู่บ้านจะมีหมวกลักษณะเฉพาะของตัวเอง”
“ถึงขนาดนั้นเลยหรือคะ” อัปสรตาโต
“ที่พี่สวมอยู่ของหมู่บ้านอะไรคะ”
“ของทาคานาคาค่ะ” มารีตอบด้วยรอยยิ้ม
“ทาคานาคา ชื่อแปลกจัง”
“เผ่าทาคานาคา มีประวัติยาวนานมากค่ะ สืบเนื่องได้นับพันปี”
“โห” อัปสรตาโตอีกรอบ
“น่าไปเที่ยวจังค่ะ” ทาฬิดาว่า
“น่าจะบอกอากลางให้ไปเที่ยวด้วยนะพี่ทาม”
อัปสรหันไปชวนทาฬิดา หากนาลันทารู้ว่ามีชนเผ่าอายุตั้งเกือบ พันปีอยู่ที่นี่ คงตื่นเต้นยิ่งกว่าพวกเธอหลายร้อยเท่า
“เอาใบไหน” ทาฬิดาหันไปถามอัปสร
“นี่ก็ได้พี่ ไปกันเถอะจิ๊ดหิวข้าว” อัปสรเร่ง ตั้งแต่เช้าพวกเธอยังไม่ได้กินอะไรหนักๆ เลยสักนิด นอกจากขนมปังแข็งๆ รสจืดๆ ไม่กี่ชิ้น
“ตรงนั้นมีร้านอาหารค่ะ” มารีชี้ไปฝั่งตรงข้ามถนน ร้านอาหาร ดูไม่เหมือนร้านขายของกิน อยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่พวกเธอยืนอยู่จริงๆ
“แนะนำอาหารให้พวกเราหน่อยสิคะ”
“ได้ค่ะ ที่นี่เรามีไก่ย่าง ข้าวน้ำมันมะกอก แซนวิส พิซซ่า มันฝรั่ง”
“ขอพิซซ่า” อัปสรว่า
“ขอข้าวกับไก่ย่างดีกว่าค่ะ”
ทาฬิดาคิดว่าหากสั่งพิซซ่าเหมือนอัปสร เธอคงไม่อยู่ท้อง
“ไม่ลองชิมมันฝรั่งหน่อยหรือคะ เปรูของเรามีมันฝรั่งหลากหลายชนิดให้เลือก”
“เหรอคะ ก็ได้ค่ะ” ทาฬิดาตกลงทันที เธอยากรู้เหมือนกันว่าอาหารพื้นเมืองจะอร่อยถูกปากเธอบ้างหรือเปล่า
หลังอาหารมื้อนั้น อัปสรอิ่มจนถึงกับจุก พิซซ่าทั้งถาดเป็นของเธอคนเดียว ส่วนทาฬิดานั้นแค่ข้าวกับไก่ย่างเกือบครึ่งตัว บวกกับมันฝรั่งราดซอสอโวคาโด พื้นที่ในท้องของเธอไม่เหลือที่ว่างให้กับอย่างอื่นอีกเลย
สองสาวจึงออกอาการพะอืดพะอม เมื่อมารีสั่งของหวานมาวางไว้ตรงหน้าพวกเธอ
“ทานสิคะ อร่อยนะ”
มารีว่า เธอตักของหวานในถ้วยของเธอ เข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“พี่ทามกินดิ จิ๊ดยกให้”
อัปสรเลื่อนถ้วยของเธอไปไว้ตรงหน้าทาฬิดา
“ไม่ไหวแล้ว พี่อิ่ม”
“อ้าว แล้วสั่งไปทำไม” อัปสรคาดคั้นทั้งๆ ที่เธอเองมีส่วนร่วมสั่งอาหารตรงหน้าด้วยเช่นกัน
“ตอนสั่งมันหิว ตอนนี้อิ่มแล้วไง” ทาฬิดาทำหน้าบอกบุญไม่รับ
“เอาไงดีพี่ ห่อกลับบ้านได้หรือเปล่า ลองถามดิพี่ จิ๊ดเสียดาย ถ้าต้องทิ้ง เผื่อดึกๆ จิ๊ดจะได้มีของกิน”
“พอจะใส่กล่องกลับบ้านได้ไหมคะ” ทาฬิดาหันไปถามมารี
“ได้สิคะ” มารีจึงหยิบจานอาหารและขนมนำไปให้กับเจ้าของร้าน
หลังจากที่มารีกลับมานั่งที่โต๊ะไม่นานนัก เจ้าของร้านนำถุงหูหิ้วมาวางเอาไว้บนโต๊ะ พูดคุยกับมารีได้สักพัก ทาฬิดาจึงจ่ายเงินค่าอาหารให้กับเขา แล้วจึงเดินออกมาจากร้าน เพื่อกลับไปยังที่พักของพวกเธอ
นาลันทากลับมาถึงที่พักค่อนข้างดึกกว่าทุกวัน อัปสรรอส่งข่าวเรื่องเธออยากไปเที่ยวหมู่บ้านของมารี เธอจึงต้องนั่งรอ เพื่อขออนุญาต อาของเธอก่อน
“อากลาง” อัปสรส่งเสียงเรียกมาแต่ไกล
“มีอะไรเรา”
นาลันทาหันไปถามหลานสาวตัวแสบ เธอกลับมายังไม่ทันได้นั่งพัก ต้องมาหยุดสนทนากับหลานสาวก่อน เธอเดาไม่ออกว่าอัปสรจะก่อเรื่องอะไรอีก มาแบบนี้คงต้องสร้างวีรกรรมอะไรสักอย่างให้เธอปวดหัวอีกแน่ๆ
“พรุ่งนี้จิ๊ดกับพี่ทามจะไปเที่ยวหมู่บ้านของมารีค่ะอากลาง”
“ก็ไปสิ อาจะไปว่าอะไร” นาลันทาโล่งใจ นึกว่าอัปสรไปเดินเหยียบอ่างกะปิของใครพัง
“เย้ๆ ดีใจจัง อากลางไม่ไปด้วยกันหรือคะ” อัปสรกระโดดตัวลอยเข้ากอดอาของเธอ ไม่คิดว่านาลันทาจะใจดีปล่อยให้เธอไปเที่ยวได้ง่ายๆ
“พวกเราไปกันเถอะ อายังทำงานไม่เสร็จเลย” นาลันทาปฏิเสธ
“มารีบอกจิ๊ดว่า หมู่บ้านของเธอ มีอายุตั้งพันกว่าปีนะคะอากลาง อาน่าจะไปกับพวกจิ๊ดด้วย”
“ขออาทำอะไรให้เสร็จก่อนดีกว่า ว่าแต่หมู่บ้านที่ว่านั่นอยู่ที่ไหน”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ จิ๊ดไม่ได้ถาม” อัปสรส่ายหน้าปฏิเสธ
เธอลืมถามมารีว่าหมู่บ้านอะไรนั่นอยู่ตรงไหนบนแผนที่ แต่ก็ ช่างเถอะ อยู่ตรงไหนไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญที่นาลันทาอนุญาตให้เธอไปกับทาฬิดา เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
“อ้าว แล้วกัน”
“คงไม่ไกลมังคะ มารีไม่ได้บอกอะไร บอกว่าหมู่บ้านเธออายุยาวแค่นั้น พี่ทามก็เลยสนใจอยากจะไปเที่ยว แล้วก็ไปถ่ายรูป”
อัปสรเดามั่ว กลัวนาลันทาจะไม่ให้เธอไปเที่ยว ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอคงต้องนั่งจับเจ่าอยู่แต่ในที่พัก ซึ่งนั่นไม่ใช่นิสัยของเธอ
“งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ อย่าซนจนหลงทางก็แล้วกัน”
“ได้เลยค่ะอากลาง ถ้ามีสัญญาณโทรศัพท์ จิ๊ดจะโทรมาบอก อากลางนะคะ จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ไม่ต้องโทรมาบ่อยนักหรอก เปลืองเงิน”
“แล้วกัน แค่นี้ต้องงกด้วย” อัปสรหน้ามุ่ย
“นี่ๆ แม่คุณรู้อะไรไหม ใช้มือถือข้ามประเทศมันแพงแค่ไหน ไม่รู้ล่ะ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ต้องโทรมา อีกอย่างในถ้ำคงไม่มีสัญญาณ โทรมาก็ต้องฝากข้อความ เสียเงินสองต่อ”
“ก็ได้ๆ จิ๊ดไปนอนก่อนนะ จะได้ตื่นแต่เช้า พรุ่งนี้มารีจะมารับ” อัปสรรีบเดินกลับเข้าห้องพักของเธอ
“เป็นเอามากหลานฉัน” นาลันทาส่ายหน้า ก่อนที่จะเปิดประตูห้องพักของเธอ เพื่อกลับเข้าไปพักผ่อน วันนี้เธอเพลียเหลือเกิน
มารีมาตามที่ได้นัดกับทาฬิดาและอัปสรเอาไว้ เธอรีบมาตั้งแต่เช้า กว่าพวกเธอจะเดินทางไปถึงหมู่บ้านคงใช้เวลาจนเกือบจะค่ำ
หากไม่รีบเดินทางตั้งแต่ตอนนี้ อาจจะมืดบนทางระหว่างหุบเขาได้
นาลันทามารอส่งหลานสาวตัวแสบ เมื่อเห็นหน้ามารีจึงเอ่ยถาม
“จะไปหมู่บ้านอะไรกันคะ”
“ทาคานาคาค่ะ”
“ไกลไหมคะ”
“อยู่อีกฝั่งของเขาค่ะ”
“คุณเพิ่งมาจากหมู่บ้านหรือคะ”
“เปล่าค่ะ ฉันพักอยู่แถวๆ นี้”
“อ๋อ ค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ เที่ยวให้สนุกนะเด็กๆ”
นาลันทาไม่อยากซักอะไรมากนัก เธอต้องไปเตรียมตัวเดินทางไปทำงานเช่นกัน การทักทายจึงจบลงเพียงเท่านั้น
“ไปก่อนนะคะอากลาง” อัปสรกอดอาสาวของเธอ ส่วนทาฬิดายกมือไหว้เพื่อลานาลันทาอีกคน
ทาฬิดากระชับเป้สะพายหลังของเธออีกครั้ง นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่เธอได้ท่องเที่ยวในดินแดนแปลกตาแห่งนี้ โดยที่ไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เธอต้องดูแลอัปสรอีกคน เท่ากับว่าเธอจะ ทำตัวไม่ได้เรื่องอย่างเมื่อก่อนไม่ได้อีกต่อไป
การเดินทางไม่ได้ง่ายอย่างที่เคยคิดเอาไว้ ทาฬิดาลงจากรถตู้เพื่อต่อรถมอเตอร์ไซด์เข้าไปในหมู่บ้านหุบเขา ลงจากรถเธอคิดว่าหมู่บ้านนี้แหละคือที่หมายของเธอ อาการปวดเอวกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง
“เราจะพักกันที่ไหนคะ” ทาฬิดาเอ่ยถามไกด์ของเธอ
“ยังค่ะ เราต้องเดินขึ้นเขาลูกนี้ไป หมู่บ้านจะอยู่ด้านหลังเขาค่ะ”
“หาอะไรนะ” อัปสรถึงกับต้องร้องออกมาดังๆ
ภูเขาที่เธอเห็นตรงหน้าไม่ใช่ภูเขาลูกเล็กๆ มันมหึมาจนเธอตกใจ บนยอดเขานั้นยังมีหิมะปกคลุมอีกด้วย จะให้เธอเดินไปหลังเขาคงต้องขอเวลาทำใจอีกสักหน่อย
“อีกประมาณกี่ไมล์คะ” ทาฬิดาถามขึ้น
“ราวๆ สักสิบไมล์ค่ะ”
“แม่เจ้าสิบไมล์ หนึ่งไมล์เท่ากับหนึ่งจุดหกกิโล สิบไมล์ก็ราวๆ สิบหกกิโล เดินพื้นราบพอว่า เดินขึ้นเขาเนี่ยนะ เป็นลมดีก่า”
อัปสรออกอาการถอดใจขึ้นมาทันที
“เราไม่มีม้าหรือลา หรืออะไรพอที่จะพาเราไปได้หรือคะ”
“ทางเดินเลาะไปตามไหล่เขาค่ะ ถ้าใช้สัตว์น่าจะอันตราย อีกอย่างคือทางแคบมาก เดินเท้ายังอันตรายเลยค่ะ”
“หา” คราวนี้เป็นทาฬิดาที่ออกอาการถอดใจขึ้นมาอีกคน
“ตกลงจะไปไหมคะ” มารีเอ่ยถามทันทีที่เห็นใบหน้าของอีกสองสาวแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่าไม่อยากจะไป
“ไปค่ะ มาแล้วก็ต้องไป” ทาฬิดารีบสวนตอบทันควัน
“จิ๊ดอยากเปลี่ยนใจเลยพี่ทาม” อัปสรหันไปบอกกับผู้สูงวัยกว่า
“เราจะอยู่ที่นี่คนเดียวได้เหรอจิ๊ด”
“นั่นแหละพี่ ประเด็นหลักเลย”
“เอาน่าไอ้น้อง ไหนๆ ก็ไหนๆ เรามาด้วยกัน ต้องร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกันสิ”
“แต่มันต้องเดินตั้งสิบหกกิโลนะพี่” อัปสรยังชั่งใจกึ่งๆ อยู่
“ปอดหรือไงเรา ยังเด็กอยู่แท้ๆ” ทาฬิดาเยาะเย้ยขึ้นมาทันที
“ใครว่าล่ะ คนอย่างจิ๊ดไม่ปอดอยู่แล้ว ไปก็ไป เธอเดินหน้าฉันเดินหลัง” อัปสรผายมือให้กับผู้สูงวัยกว่าอีกสองคน
“พวกคุณเดินนำไปก่อนเลยค่ะ ฉันปิดท้ายเอง” มารีบอกยิ้มๆ
“งั้นขอไปหาเสบียงก่อนดีกว่าค่ะ ขืนเดินไปไม่มีอะไรกิน จะแย่เอานะคะคุณ” ทาฬิดายังต้องการทำใจอีกสักพัก แม้อากาศที่นี่จะเย็นสบาย แต่เวลานี้เธอเหงื่อท่วมทั้งตัว อาการหนาวๆ ร้อนๆ ที่ได้เห็นเส้นทางซึ่งต้องเดินไป ทำให้เธอคิดหนัก อย่างน้อยๆ ต้องมีน้ำพกติดตัวไปคนละขวดหรือสองขวด
ทางเดินที่เธอเห็นนั้นค่อยๆ ไต่ไปตามลาดเขา ขึ้นไปข้างบนเรื่อยๆ ไม่มีทางที่ต้องเดินราบไปกับพื้นเลยสักนิด ทั้งคดเคี้ยว ทั้งลาดชัน จริงของมารี คนเดินยังยาก หากนั่งบนหลังม้าคงลำบากกว่าเป็นหลายเท่า
จากตรงนี้เธอยังมองไม่เห็นหมู่บ้านของมารี หวังว่าเดินไปเรื่อยๆ คงมีจุดหมายปลายทางที่คุ้มค่ากับการเดินทางของพวกเธอ หากไม่เป็นเช่นนั้น พวกเธอคงเสียดายแรง เสียดายเวลา
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน สู้โว้ยไอ้ทาม” อยู่ๆ ทาฬิดาพูดออกมา ทำให้อีกสองคนมองหน้ากัน เป็นอะไรมากหรือเปล่านะ ทาฬิดา
ความคิดเห็น