คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ ๖
บทที่ ๖
ทาฬิดากลับมารวมกลุ่มกับทุติอีกครั้ง ขณะนี้เธอรู้สึกถึงภาพซ้อนทับกันระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ผู้ที่นั่งอยู่ด้านข้างของเธอในปัจจุบันคืออัปสร แต่สิ่งที่เธอเห็นกลับมีใบหน้าของชายในฝันที่ชื่อปาซกูคนนั้น
เขากำลังนำอาหารมาให้กับเธอ ในถาดทองนั้นมีอาหารที่มาจากมันฝรั่ง ข้าวโพด เนื้อสัตว์ แค่มองดูก็รู้ว่าเป็นอาหารสำหรับชนชั้นสูงหรือขุนนางเท่านั้น ทาฬิดาสะบัดหน้าแรงๆ จ้องมองอาหารนั้นอีกครั้ง มันกลับกลายเป็นกล่องอาหารง่ายๆ แฮมเบอร์เกอร์ชิ้นไม่ใหญ่มากนักวางอยู่ในนั้น
“เป็นอะไรไปพี่ทาม เห็นสะบัดหน้าตั้งหลายที ปวดหัวเหรอพี่”
“เปล่าๆ แมลงอะไรไม่รู้ตอมหน้าพี่” ทาฬิดารีบแก้ตัว กลัวว่าอัปสรจะคิดมากในสิ่งที่เธอเห็น เธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู เวลาล่วงเลยไปเกือบครึ่งชั่วโมงหลังจากที่เธอยกมันขึ้นมาดูครั้งล่าสุด
อัปสรอยากรู้อยากเห็นไปหมดทุกเรื่อง เธอจึงตั้งชื่อให้กับอัปสรใหม่ ว่า เด็กเผือกหากเผลอเรียกจะได้ไม่โดนต่อว่า
“รีบไปไหนเหรอพี่” เด็กเผือกเอ่ยถามอีกรอบ
“ไม่ได้รีบ แค่อยากรู้เวลา ทำไมเหรอ”
“เห็นพี่ชอบดูนาฬิกา ขอดูหน่อยได้ไหม สวยปะ”
ทาฬิดายื่นข้อมือของเธอให้อัปสรดู
“สวยแฮะ อากลางๆ นาฬิกาพี่ทามสวยมากเลย จิ๊ดอยากได้แบบนี้สักเรือนได้ปะอากลาง”
“ของเก่าอย่างนั้นอยากได้ไปทำอะไร เจ้าของเขาไม่มาทวงคืน หรือไง” นาลันทาเคยเห็นนาฬิกาเรือนนั้นมาแล้ว ครั้งที่ทุติเอามาให้เธอช่วยดู พร้อมกับบอกความแปลกประหลาดของนาฬิกาเรือนนั้นให้เธอรับรู้
“เอาของใหม่สิอากลาง นะๆ ถ้าจิ๊ดสอบติดมหาวิทยาลับอากลางซื้อให้จิ๊ดแบบนี้สักเรือนนะ”
“เออๆ ก็ได้ สอบให้ติดก่อนแล้วกันค่อยมาทวง”
นาลันทารับปากส่งๆ ไปอย่างนั้น อีกหลายปีกว่าอัปสรจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถึงเวลานั้นเด็กน้อยคงลืมไปแล้วว่าขออะไรเอาไว้กับเธอ
“กินเสร็จแล้ว คนของที่นี่จะพาเราไปที่สุสาน” ทุติบอก
“จิ๊ดไม่ไปได้ไหมคะ จิ๊ดกลัวผี”
“เราจะอยู่ที่นี่คนเดียวได้เหรอ” มุจลินทร์ถามคนเรื่องมาก
“พี่ทามไง” อัปสรบุ้ย
“พี่จะไปดูด้วย” ทาฬิดาปฏิเสธทันที
“อ้าว งี้จิ๊ดก็ต้องอยู่คนเดียวดิ”
หลังจากที่ได้ยินคำตอบของทาฬิดาอัปสรหน้าเหลือเพียงสองนิ้ว
“เห็นปะ ไม่มีใครอยู่กับเรา เราต้องไปกับพวกอา”
นาลันทาสรุป อัปสรถึงกับออกอาการเซ็ง
“ถ้ารู้งี้นะไม่มาด้วยหรอก” อัปสรแอบบ่น
“ได้ยินนะจิ๊ด พูดอะไรน่ะ อาบอกแล้วไม่เชื่อ ว่ามาแล้วต้องลำบาก
ร้องจะตามมาให้ได้ มาแล้วยังจะสร้างเรื่องอีก อย่าให้อาได้ยินอีกนะว่า เราบ่น อาจะจับส่งกลับไปเลย ให้นั่งเครื่องกลับคนเดียวด้วย”
“โอ๊ยๆ ไม่เอาๆ จิ๊ดไม่กลับคนเดียว หลงไปทำไงล่ะ ตายพอดี ต่อเครื่องตั้งหลายต่อ ยังไม่คุ้มค่าเสียเวลานั่งเครื่องเลยด้วยซ้ำ”
“งั้นก็หุบปากเราซะ” นาลันทาหันไปสั่งเสียงเฉียบขาด
ทุกคนยกเว้นอัปสรหัวเราะร่วน ส่วนอัปสรนั่งหน้างุด ไม่กล้า พูดอะไรออกมาอีกเลย
ทางเดินลงไปยังสุสานค่อนข้างชัน ซ้ำยังเป็นทางลัดเลาะ ไปตามหน้าผา ทำให้การเดินของทีมทุติลำบากพอสมควร
ทุกคนจึงต้องเดินด้วยความระมัดระวังมากขึ้นเป็นสองเท่า ทีมงานท้องถิ่นชี้ปากทางเข้าให้ทุติดู เขาเตรียมไฟฉายมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ภายในนั้นทั้งอับทั้งชื้น เด็กอย่างอัปสรและทาฬิดาจึงไม่สามารถเข้าไป ข้างในนั้นได้
“แล้วจะให้ตามมาทำไมน้อ มาแล้วไม่ให้เข้า” อัปสรบ่น
“ระวังเถอะอากลางได้ยินขึ้นมาเราจะโดนส่งกลับ”
ทาฬิดาแกล้งเด็กเผือกของเธอ
“อย่าเอ็ดไปสิพี่ทาม จิ๊ดไม่ได้บ่นสักหน่อยพูดขึ้นมาลอยๆ”
“หึๆ” อัปสรหัวเราะในลำคอ เธอมองไปยังหุบเหวเบื้องล่าง
เธอไม่แปลกใจเลย ที่คนโบราณจะเลือกสถานที่แห่งนี้ให้เป็นสุสานของคนตาย ที่แห่งนี้ปลอดผู้คน ในสมัยก่อนคงไม่ค่อยมีคนเดินมาทางนี้ มากนัก หรือหากจะมีคงใช้เป็นทางลัดเสียมากกว่า อีกทั้งสุสานนั้น ไม่ใช่จะ
เข้าไปได้ง่ายๆ ต้องปีนขึ้นไปอีกหลายเมตรกว่าจะถึงปากทางเข้า
“พี่ว่าสุสานนี้เป็นของใคร กษัตริย์ หรือคนธรรมดา”
อัปสรยังคงเจื้อยแจ้วไปตามประสาเด็กอยากรู้อยากเห็น
“ไม่รู้สิ แต่ถ้าเป็นกษัตริย์คงไม่เอามาฝังในที่แบบนี้หรอกมั๊ง ต้องทำสุสานสวยๆ แล้วก็มีข้าวของเครื่องใช้ฝังตามไปด้วย”
“นั่นสิเนอะ แต่ไม่แน่นะ อาจจะโดนขโมยไปแล้วก็ได้ ใครจะรู้”
“ต้องรอถามอากลางของเรา ถามพี่ไปพี่ไม่รู้หรอก”
“ว่าแต่พี่มาที่นี่ทำไมเหรอ ไม่เห็นพี่จะทำอะไรเลย”
“คุณปู่พี่ให้มาทำธุระ”
“อ้าว แล้วมาตามขบวนอย่างนี้จะได้ทำธุระเหรอพี่”
“ไม่รู้เหมือนกัน คุณปู่บอกว่า มาถึงพี่จะรู้เองว่าต้องทำอะไร”
“ทำอย่างกับหนังสืบสวนเลยเนอะพี่ เดี๋ยวก็จะรู้เอง เพราะจะมีพระเอกมาช่วย ว่าแต่พี่มาสืบเรื่องอะไรล่ะ จิ๊ดจะได้ช่วย”
เด็กเผือกของเธอเสนอตัวช่วยเหลือทันที
“มาสืบหาเจ้าของนาฬิกาเรือนนี้”
ทาฬิดายื่นข้อมือของเธอให้อัปสรดู
“อ้าวไม่ได้เป็นของพี่หรือคะ”
“ของพี่นั่นแหละ คุณปู่ท่านให้มา แต่ท่านอยากรู้ว่าใครเป็น คนสร้างนาฬิกาเรือนนี้ ท่านอยากหาคนทำ”
“ตามหาคนทำนาฬิกา ทำไมไม่ไปสวิสล่ะคะ มาที่เปรูทำไมกัน”
“ท่านให้มาพี่ก็มา ไม่อยากเถียง”
“พี่ดูเป็นคนดีจังเลยเนอะ ถ้าเป็นจิ๊ดนะพี่ จิ๊ดต้องเถียงเอาไว้ก่อน
ถูกผิดว่ากันทีหลัง”
“เรื่องบางเรื่องเราก็เถียงไม่ออก พี่ไม่กล้าเถียงคุณปู่หรอกนะ กลัวท่านดุเอา”
“เหมือนจิ๊ดเลย จิ๊ดไม่กล้าเถียงคุณทวดเหมือนกัน มองมาแต่ละทีขนลุกเกรียว” ท่าทางสยองของอัปสรทำให้ทาฬิดาถึงกับหัวเราะออกมา
“ทำไมไปกันนานจังเลยเนอะ” อัปสรว่า
“นั่นสิ นานจัง เข้าไปดูหน่อยไหม”
ทาฬิดาว่า เธอลุกขึ้นยืนทำท่าจะปีนขึ้นไปบนปากถ้ำ
“จะดีเหรอพี่ เข้าไปโดนอากลางดุแน่เลย”
“ไม่ลองไม่รู้” ทาฬิดาไม่ฟังอะไรอีกแล้ว เธอปีนขึ้นไปข้างบนทันที
ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าเข้าไปด้านในถ้ำแห่งนั้น ทาฬิดาเห็นภาพบางอย่างผุดขึ้นมาในสมองของเธอ
“นำร่างของพวกเขาไปไว้ในนั้น” เธอสั่งคนของเธออย่างนั้น
ชายหลายคนนำร่างไร้วิญญาณของนักรบผู้กล้า มาไว้ในถ้ำแห่งนี้ หลังจากที่คนเหล่านี้ออกไปสู้รบกับชนเผ่าอื่นที่หมายจะมายึดมาชูปิกชูไปเป็นของพวกเขา
“พวกท่านรบได้อย่างแกร่งกล้า เหี้ยมหาญยิ่งนัก ข้าขออำนวยพรให้ท่านจงสู่สุคติโดยเร็ว รอพบข้าบนเมืองฟ้า ในอีกมิช้านี้” ทาฬิดาเห็นตัวเองยกมือขึ้น ลำแสงบางอย่างพุ่งไปยังร่างไร้วิญญาณเหล่านั้น ดวงจิตของพวกเขาลอยขึ้นมาจากร่างและลอยลับหายไปยังท้องฟ้า
“เป็นสุขเถิดพวกท่าน”
“พี่ทาม เหม่ออะไร จะเข้าก็เข้าไปสิ”
อัปสรเร่ง ทำให้ทาฬิดากลับมาอยู่ในเวลาปัจจุบันทันที
เธอก้าวเท้าเข้าไปในนั้น กลิ่นอับๆ จนเธอต้องยกท่อนแขนขึ้นมาปิดจมูกของตัวเองเอาไว้
“เหม็นอับชะมัดเลย จิ๊ดไม่เข้าไปนะพี่ รออยู่ตรงหน้าปากถ้ำ นี้แหละ ถ้าเจออากลางบอกด้วยว่าจิ๊ดรออยู่”
“อือๆ จะบอกให้” ทาฬิดาเดินคลำทางเข้าไป ภายในถ้ำแห่งนี้มืดมาก จนเธอต้องนำโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาทำให้มันสว่างขึ้นมา นิดหน่อย เพื่อใช้แทนไฟฉายส่องทาง
ถ้ำนั้นถูกขุดขึ้นมาด้วยมือมนุษย์ เธอเห็นภาพคนโบราณกำลังขุดเจาะหินด้วยลิ่มและใช้ค้อนตอกลงไปในเนื้อหิน ก่อนที่มันจะกะเทาะหลุดออกมาทีละนิดๆ การขุดใช้เวลาถึงสามวันสามคืน จึงแล้วเสร็จ ร่างของเหล่าผู้นำทัพถูกนำมาจัดเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี เพื่อให้เขาไปสู่ภพหน้า โลกหน้าได้อย่างสบายใจ
“มีทั้งหมดสิบคน” เสียงดังออกมาจากด้านใน
“เราคงต้องเก็บโครงกระดูกพวกนี้ออกไปศึกษาที่มหาวิทยาลัย” เสียงภาษาอังกฤษฟังแปล่งๆ ดังกลับมา ทาฬิดาเดาว่าคงเป็นหนึ่งในทีมงานจากมหาวิทยาลัยของเปรู
“เราจะกลับมาทำพรุ่งนี้ดีไหมคะ วันนี้เราไม่มีอะไรมาใส่เลย”
เสียงของตรีทิพย์เสนอ
“ดีเหมือนกันครับ จะได้เตรียมอุปกรณ์มาเพิ่มอย่างน้อยๆ ต้องมีไฟมาเพิ่ม ไฟฉายทำงานไม่สะดวกเลย” เสียงแปล่งๆ นั้นตอบกลับ
ทาฬิดาจึงรีบเดินกลับออกไปจากถ้ำนั้น ก่อนที่คนจากด้านในจะรู้
ว่าเธอเดินตามเข้ามาโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต
“พี่ทาม” อัปสรเรียก
ทาฬิดายกนิ้วขึ้นจุปาก แล้วจึงปีนลงมายืนอยู่ข้างๆ อัปสร
“กำลังจะออกมาอย่าเอ็ดไป”
เธอบอกอย่างนั้น แล้วจึงหาที่นั่ง เพื่อนั่งรอคนด้านในให้ออกมา
“เห็นอะไรไหมพี่”
“มืดมองอะไรไม่เห็น เหม็นด้วย”
“ก็ว่างั้นแหละ จิ๊ดเลยไม่เข้าไป อีกอย่างนะมันเป็นสุสาน ใครจะอยากเข้า นี่นะถ้ากลับไปที่พัก หาใบกระท้อนมาล้างหน้านะพี่”
“ที่นี่จะมีหรือเปล่าไม่รู้ พี่ได้ยินมาว่าที่นี่ใช้ใบโคคาไล่ผี”
“จริงเหรอพี่ พรุ่งนี้เราเอามาด้วยดีกว่าเนอะ จะได้เอาไว้ไล่ผี หรือจะให้ดี เอาโคเคนเลยดีก่า ผีจะได้เมายาหลับไปโลด”
ทาฬิดาขำความคิดของอัปสร เด็กๆ มักคิดอะไรแผลงๆ เสมอ สมัยเธอเป็นเด็กจะคิดอะไรแบบนี้บ้างหรือเปล่านะ
“ใบโคคาเป็นยังไงพี่ยังไม่รู้จักเลย จะให้พี่ไปหาโคเคนมาให้ผี พี่จะไปเอามาจากไหนล่ะ”
“เด็กๆ หลับไปหรือยัง” เสียงนาลันทาดังออกมาจากด้านใน
“ยังค่ะอากลาง” อัปสรรีบตอบเอาหน้าทันที
“ปะกลับกันเถอะ” นาลันทาบอก เธอค่อยๆ ปีนลงมาจากด้านบน ลงมายืนอยู่ข้างๆ ทาฬิดา
“พรุ่งนี้เราสองคนไม่ต้องมาที่นี่ก็ได้นะ อาจะมากับจารย์ทุเอง ส่วนเราอยากจะไปเที่ยวที่ไหนก็ไปกับอามุจอาตรีก็แล้วกัน”
“จริงหรือคะอากลาง ดีใจจัง” อัปสรตื่นเต้น ถ้าเธอไม่ต้องมาที่นี่คงจะดีกว่านี้เยอะ พรุ่งนี้เธอจะตื่นสายๆ
“เราต้องไปตามหาคนทำนาฬิกาใช่ไหมทาม”
นาลันทาหันไปถามทาฬิดา
“ค่ะอากลาง”
“เมืองนี้จะมีหรือเปล่าไม่รู้นะ ถ้าไม่มีอาจจะต้องกลับไปที่ลิมา”
“ทามว่าที่นี่คงไม่มีคนทำหรอกค่ะ”
“ทำไมเราคิดอย่างนั้นล่ะ”
“ไม่รู้สิคะ มันมีความรู้สึกว่าไม่ใช่ บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงได้คิด อย่างนั้นขึ้นมา”
“ตามใจเรา แต่ถ้าเกิดว่าใช่ขึ้นมาจะให้กลับมาอีกรอบไม่มีใคร มาส่งเราแล้วนะ”
“ค่ะอากลางทามรู้ ถ้าทามยังหาไม่พบ ทามจะอยู่ที่นี่ต่อคนเดียว ไม่รบกวนอากลางหรอกค่ะ”
“เราจะอยู่ได้เหรอ คนเดียวนี่นะ”
คำพูดของทาฬิดาทำให้นาลันทาคิดหนัก ผู้หญิงตัวคนเดียว จะอยู่ในประเทศที่แม้กระทั่งพูดภาษาถิ่น ยังไม่ได้ ได้อย่างไร อย่าว่าแต่พูดเลย ฟังให้ออกสักประโยคหนึ่งเถอะ ตัวเธอหูไม่กระดิกเลยสักนิด ทาฬิดาล่ะ จะฟังอะไรออกหรือเปล่า
“ทามโตแล้วค่ะ เรียนจะจบแล้วด้วย ทามคิดว่าทามอยู่ได้”
“คุณปู่เราคงไม่มายิงจารย์ทุทิ้งหรอกนะ”
“คุณปู่ไม่ใจร้ายอย่างนั้นหรอกค่ะ อีกอย่างทามเป็นคนที่ทำงานให้
คุณปู่ไม่เสร็จเอง ทามจะบอกท่านเองค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าลงไปข้างล่างอาจะช่วยไปถามคนแถวนี้ให้ว่าพอจะรู้ไหมว่ามีใครทำนาฬิกาหรือเปล่า”
“ขอบคุณค่ะ แต่ถ้าจะให้ดี ทามอยากจะรบกวนให้อากลางช่วยหาล่ามให้ทามจะดีกว่าค่ะ”
“ล่ามเหรอ น่าจะหาได้นะ เดี๋ยวอาจะให้ล่ามของอาหาให้เราก็แล้วกัน แต่อาจจะเป็นล่ามพูดภาษาอังกฤษนะ เราพอฟังออกใช่ไหม”
“ฟังออกค่ะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะอากลาง” ทาฬิดายกมือไหว้ขอบคุณนาลันทา ที่มีน้ำใจช่วยเหลือเธอทั้งๆ ที่จะเรียกว่า ธุระไม่ใช่ คงจะได้
ทาฬิดาได้นอนตื่นสายเป็นวันแรกหลังจากที่เธอเดินทางมายังประเทศนี้ ดูเหมือนว่าอัปสรจะยังนอนไม่ตื่น ส่วนเธอนั้นต้องตื่นเพราะนาฬิกาชีวิตปลุก ความต้องการปลดทุกข์โจมตีตรงเวลาทุกวัน เธออยากจะนอนขดอยู่ในผ้าห่มให้นานกว่าที่ทำจึงทำไม่ได้
ห้องน้ำไม่มีคนต่อคิวเหมือนเมื่อวาน เดาว่าคนที่จะต้องตื่นแต่เช้าออกไปมาชูปิกชูคงเดินทางไปกันจนหมด ทาฬิดาจึงเอ้อระเหยอยู่ในห้องนั้นนานกว่าปกติ
เสียงคนพูดกันมาอยู่หน้าห้องน้ำ เดาว่าคงมีใครสักคนหรือสองคนต้องการที่จะต่อคิวจากเธอ เธอจึงรีบทำธุระจรแล้วเสร็จแล้วจึงเปิดประตูออกมาด้านนอก
“อ้าว ไม่เห็นมีใครเลย แล้วใครมาพูดหน้าห้องน้ำกันนะ”
ทาฬิดาไม่เห็นใครเลยสักคน เธอมั่นใจมากๆ ว่าเธอได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน มันชัดยิ่งกว่าเปิดวิทยุ เพียงแต่เธอแปลไม่ออกเท่านั้น ว่าคน พวกนั้นพูดอะไรกัน
“สงสัยจะเปลี่ยนใจ” เธอเดินกลับไปยังห้องพัก ยังเห็นอัปสรนอนขดอยู่ขนเตียงเหมือนเดิม ครั้นจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง เธอไม่อยากให้เสื้อผ้าชุดใหม่ยับย่น จึงหาหนังสือแถวๆ นั้นหยิบขึ้นมาพลิกดูรูป เผื่อว่าจะมีที่ใดสักแห่งให้เธออยากไปมากกว่ามาชูปิกชู
สุดท้ายหนังสือเหล่านั้นไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการบรรยายถึงประวัติของมาชูปิกชู ไม่ว่าเล่มใดมีแต่เรื่องของภูเขาแห่งสุริยะเทพทั้งสิ้น
หนังสือเล่มหนึ่งเล่าว่า ครั้งที่นักสำรวจจากมหาวิทยาลัยเยลได้เข้ามาที่นี่นั้น เขาสอบถามว่ามีแหล่งโบราณสถานที่ไหนแถวนี้อีกหรือเปล่า คนนำทางของเขาบอกว่า มีสิมาชูปิกชูไง เขาจึงเข้าใจว่ามาชูปิกชูคือชื่อของสถานที่แห่งนั้น แต่ความเป็นจริงแล้ว คำนั้นแปลว่ายอดเขาชรา เพราะความเข้าใจผิดนี่แหละจึงเป็นต้นกำเนิดของชื่อมาชูปิกชูมาจนถึงทุกวันนี้
“ยอดเขาชราอย่างนั้นเหรอ นายมีหลายชื่อจริงๆ เนอะ ทั้งวิหารแห่งสุริยเทพ ยอดเขาชรา เมืองสาบสูญแห่งอินคา นายแน่มากเลยนะพ่อหนุ่ม ฉันขอตั้งให้นายเป็นผู้ชายก็แล้วกัน”
ทาฬิดาเอียงรูปมองใบหน้าที่เกิดจากยอดเขาเหนือที่ราบแห่งนั้น ทั้งหมดทั้งมวลที่เห็นนั้นเป็นรูปใบหน้าคนจริงๆ
“ตกลงนายชื่ออะไรกันแน่ อ๊ะหรือนายจะชื่อปาซกู”
ทาฬิดาหัวเราะกับความคิดของเธอ ครั้งนี้เธอขอตั้งชื่อมรดกโลกแห่งนี้ว่าปาซกูก็แล้วกัน แล้วปาซกูแปลว่าอะไรล่ะ ชักงง
ความคิดเห็น