ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลกาล YURI ญรญ

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ ๕

    • อัปเดตล่าสุด 26 ส.ค. 57


    บทที่  ๕

     

     

    ไม่ง่ายอย่างที่คิด หลังจากที่ลงมาจากรถไฟ กลุ่มของทุติต้องเดินเท้าเพื่อปีนขึ้นไปยังยอดมาชูปิกชูอีกเป็นกิโล

    “ไม่อยากบอกเลยพี่ จิ๊ดเหนื่อยจนขาจะลากอยู่แล้ว”

    อัปสรกระซิบบอกเสียงเหนื่อยแฮก

    “อย่าบ่นเลย พี่ก็เหนื่อยเหมือนกัน เอาน้ำไหม”

    ทาฬิดายื่นขวดน้ำให้กับอัปสร

    “ไม่ล่ะคะ ดื่มแล้วจุก” อัปสรปฏิเสธ

    “ถ้าไม่ดื่มเสียน้ำมากๆ จะเป็นตะคริวนะ จิบๆ ก็พอ อย่าดื่มอักๆ”

    “ของจิ๊ดยังมีค่ะ เอาของตัวเองกินดีก่า จะได้ไม่ต้องแบกของหนัก”

    อัปสรปลดเป้สะพายหลังของเธอลงมา จากนั้นจึงล้วงหยิบขวดน้ำในนั้นขึ้นมาดื่ม

    “ไปต่อเถอะ จารย์ทุเดินนำไปโน่นแล้ว” ทาฬิดาว่า

    ทุติเดินเรื่อยๆ ขึ้นไปยังยอดเขา นักท่องเที่ยวเดินเรียงแถวกันเพื่อจะขึ้นไปชื่นชมความแปลกตาบนยอดเขาแห่งนี้ นาลันทาบอกกับเธอว่าพวกเธอมาฤดูนี้ดีหน่อย ไม่มีฝนตกจะมีก็แต่เมฆลอยต่ำๆ เท่านั้น ถ้าหากฝนตกการเดินขึ้นยอดเขาจะลำบากมาก

    ทาฬิดาคิดถึงตอนที่เธอกับเพื่อนๆ แห่กันไปภูกระดึง กว่าจะเดินไปถึงเล่นเอาหืดขึ้นคออย่างนี้เหมือนกัน ผิดกันตรงที่ภูกระดึงนั้นเป็นสถานที่ธรรมชาติ ส่วนมาชูปิกชู เป็นสถานที่ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาโดยฝีมือมนุษย์ เมื่อราวๆ สักห้าร้อยปีก่อน

    พวกอินคาปกครองดินแดนแถบนี้ได้เพียงแค่ร้อยกว่าปีนิดๆ เท่านั้น หลังจากนั้นชาวสเปนจึงเข้ามาบุกยึด ดินแดนแถบนี้จึงตกเป็นเมืองขึ้นของสเปนถึงสามร้อยกว่าปี นี่ก็จะใกล้ค่ำแล้ว พวกเธอคงต้องรีบเดินขึ้นไปเพื่อที่จะต้องรีบเดินกลับลงมาก่อนพระอาทิตย์ตกดิน

    ทาฬิดาค่อยๆ เดินไต่ขึ้นไปตามทางลาดเรื่อยๆ เพื่อให้ถึงจุดหมายของพวกเธอ ก่อนที่ทุติจะตัดสินใจกลับ

     

    “ป๊าด พระเจ้า สวยมาก” อัปสรร้องออกมาเมื่อเธอขึ้นไปยืนอยู่บนจุดชมวิวของยอดเขาแห่งนี้

    “เนอะสวยจังเลย ไม่น่าเชื่อว่าคนที่สร้างที่นี่จะใช้แค่มือกับเครื่องมือโบราณเท่านั้น” ตรีทิพย์บอก เธอหยิบกล้องของเธอออกมา เหมือนกับมุจลินทร์ แบกกันมาหนักๆ จะได้ใช้ก็ตอนนี้แหละ

    ทาฬิดาทำตามคนอื่นๆ เธอหยิบกล้องตัวเล็กๆ ของเธอขึ้นมา   เธอไม่ได้แบกกล้องตัวใหญ่มาเพราะธีรัชบอกว่า เธอนำของติดตัวมาได้แค่เพียงยี่สิบกิโลเท่านั้น ของไม่จำเป็นจึงถูกนำออกไปจากกระเป๋า

    เธอจึงตัดสินใจนำของบางอย่างใส่เป้มาแทน จนเธอคิดว่าเป้ที่เธอแบกมาหนักเสียยิ่งกว่ากระเป๋าที่เธอโหลดลงใต้ท้องเครื่อง แถมยังทำให้เธอต้องแบกจนหลังแอ่น

    แสงแดดเริ่มอ่อนแรงลงแล้ว ทุติจึงเดินนำกลุ่มของเขากลับลงมาจากมาชูปิกชู

    “น่าเสียดายเนอะ น่าจะมีที่พักบนนั้น” อัปสรว่า

    “พี่ไม่นอนบนนั้นหรอกนะ” ทาฬิดาบอก

    “ทำไมล่ะพี่”

    “ใครจะกล้านอน เผลอๆ ถ้ามีผีมาจะทำไงล่ะ เห็นเขาว่าเจอโครงกระดูกเป็นร้อยๆ คนอยู่บนนั้น”

    ทาฬิดาชี้ไปที่ยอดเขาซึ่งพวกเธอเพิ่งจะเดินลงมาได้ไม่ไกลนัก

    “หาจริงเหรอพี่” คนถามทำหน้าหวาดๆ

    “จะโกหกไปทำไมเล่า”

    “งั้นรีบเถอะพี่ กลับกันเถอะ” อัปสรรีบวิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่รอทาฬิดา ไม่บ่นเลยสักคำ สงสัยว่าเด็กน้อยจะกลัวจนขึ้นสมอง

    “จิ๊ดเป็นอะไร ทำไมวิ่งลงเร็วอย่างนั้น หกล้มไปจะทำไง”

    นาลันทาหันไปถามทาฬิดา

    “น้องปวดฉี่ค่ะ” ทาฬิดาไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร ถ้าเธอไม่หลอกอัปสรคงไม่วิ่งหางจุกก้นไปอย่างนั้น

    “แล้วกัน ตอนขึ้นก็ช้ากว่าใคร ตอนลงงี้เร็วจนตามไม่ทัน หลงกันไปทำยังไง คนยิ่งเยอะๆ อยู่ด้วย” นาลันทาเริ่มเป็นกังวล

    “ทามไปตามน้องเองค่ะ” ทาฬิดารู้สึกสำนึกผิด เพราะเธอแท้เทียว ทำให้อัปสรวิ่งแตกไปจากลุ่ม หน้าที่ตามกลับมาคงไม่พ้นเธอสินะ ถ้าจะหลงคนเดียว สู้หลงกันสองคนจะดีกว่า

     

    ทุติพาทุกคนมาพักในเมืองใกล้ๆ เพื่อพรุ่งนี้พวกเขาจะได้เดินทางกลับไปยังมาชูปิกชูได้เร็วขึ้น ห้องพักไม่ได้สวยหรูอย่างที่อัปสรคิดเอาไว้ เป็นบ้านของใครสักคนที่แบ่งห้องให้กับนักท่องเที่ยว

    สภาพบ้านไม่สวยหรู ทุติบอกว่าที่แห่งนี้ถูกที่สุดและใกล้ที่สุด  พวกเธอทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำตามที่ทุติสั่ง

    นาลันทานำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาทำเป็นอาหารให้กับทุกคน จะมีอาหารสดก็แค่ไข่กับเนื้อไก่ที่ใส่ลงไปเท่านั้น

    “มาเปรู หรูเชียวนะ กินอาหารญี่ปุ่นด้วย” มุจลินทร์ประชด

    “มีให้กินก็ดีเท่าไหร่แล้ว หรือจะกินมันเผาล่ะ” นาลันทาหน้ามุ่ย

    “จ้า กินจ้า” จากที่แกล้งบ่น คนบ่นถึงกับหน้าเจื่อนไปถนัดตา

    “ประธานาธิบดีที่นี่เป็นชาวญี่ปุ่น ก็ต้องกินอาหารญี่ปุ่นสิยะหล่อน กินๆ เข้าไป จะได้รำลึกถึงฟูจิโมริผู้นำเผด็จการของเปรูไง”

    “โห เผด็จการของแท้เลยค่ะอากลาง” อัปสรว่า

    “หรือจะไม่กิน เรื่องมากกันอยู่ได้ คนทำเหนื่อยเป็นเหมือนกันนะ”

    นาลันทาทำท่าจะหยิบชามของอัปสร อีกฝ่ายจึงรีบคว้าชาม    ของตัวเองมาไว้กับตัว

    “โอ๊ยๆ กินแล้วจ้า โหดชะมัด” อัปสรบ่นอุบ รีบลุกจากโต๊ะไปหาที่สงบๆ ซดน้ำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเธอ

    “กินเสร็จรีบเข้านอนซะ พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางแต่เช้า จะได้  ไปถึงยอดเขาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ใครอยากถ่ายรูปก็ตามสบาย เอาอาหารขึ้นไปด้วย ผมว่าพวกเรากว่าจะกลับลงมาคงค่ำมืด”

    ทุติสั่งอีกครั้ง ทุกคนทำตามคำสั่งนั้นไม่ได้บ่นอะไรอีก

    ทาฬิดารู้สึกตัวว่าเธอกำลังเดินอยู่บนยอดเขามาชูปิกชูอีกครั้ง ในเวลานี้ ยังไม่มีวิหารหรือวังใดๆ อยู่บนยอดเขาแห่งนี้ เบื้องล่างคนงานกำลังก่อสร้างบางสิ่งอยู่บริเวณตีนเขา

    “เจ้าสั่งคนงานตามที่ข้าบอกหรือไม่”

    เธอหันไปถามชายใบหน้าคล้ายธีรัช

    “ขอรับท่านทาฬิ ข้าให้พวกเขาขุดหลุมเพื่อที่จักใส่หินเอาไว้ด้านล่าง ตรงกลางใส่หินหยาบและบนสุดทับด้วยดินแล้วขอรับ”

    “ดีแล้ว นั่นจักทำให้พื้นที่แห่งนี้มิต้องพังทลายลงมา เจ้าสั่งพวกเขาทำมาจนถึงพื้นที่เรายืนด้วยนะ ปรับพื้นที่เสร็จค่อยให้พวกเขานำหินมาปูเพื่อสร้างวิหาร” ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนัก เธอเห็นว่าหากปล่อยเอาไว้อย่างนี้ เมื่อฝนตกชะล้างหน้าดินไปจนหมดสิ้น สิ่งที่คนของเธอเพียรสร้างมาจะถล่มลงไปอยู่ใต้หุบเขาในเวลาไม่กี่ปี การที่เธอสั่งให้คนของเธอทำเช่นนี้แม้จะต้องใช้เวลาในการก่อสร้างนานไปสักหน่อย แต่ดินแดนแห่งนี้จะคงอยู่ไปได้อีกหลายร้อยหลายพันปี จนกว่าโลกใบนี้จะแตกสลาย

    “ขอรับท่านทาฬิ อีกมิกี่เพลา เราจักสร้างที่นี่จนแล้วเสร็จ มิต้องเป็นกังวลดอกขอรับท่าน”

    “ข้ากลัวว่าข้าจักอยู่มิทันได้ดูสิ่งที่เจ้าลงทุนลงแรงทำน่ะสิ ปาซกู”

    “ต้องไม่เป็นเช่นนั้นขอรับ ท่านจักต้องอยู่ในดินแดนแห่งนี้ตราบนานเท่านาน ดินแดนที่มีเทพภูเขาสี่ทิศ เหนือใต้ออกตก เราคือจุดศูนย์กลางแห่งจักรวาล เทพอาทิตย์ต้องอยู่คู่กับมาชูปิกชูตลอดกาล”

    “ไม่เป็นเช่นนั้นดอกปาซกู ข้าละพลังเทพหมดสิ้นแล้ว อีกมิกี่เพลาข้าจักต้องลาจากโลกใบนี้ไป ที่สำคัญข้ามิใช่เทพแห่งสุริยา ข้าเป็นเทพแห่งกาลเวลา เจ้ารู้มิใช่รึ เทพแห่งกาลเวลามีเวลาเกิดแลสิ้นสูญ ข้ามิได้อยู่ยงคงกระพันดอกนะเจ้า”

    “ท่านทาฬิ” ใบหน้าของปาซกูดูเศร้าหมองยิ่งนัก เขาเป็นข้ารับใช้เทพทาฬิของเขามาเนิ่นนาน เขาไม่อาจยอมรับในสิ่งที่เทพผู้สูงส่งของเขาบอกได้ หากเขามีวิธีการใดที่จักทำให้นางอยู่กับเขา แม้จะยืดอายุนางไปได้ไม่กี่วัน หรือไม่กี่เดือน เขาจะทำ หากไม่มีเทพทาฬิ คงไม่มีปาซกูในวันนี้

     

    ทาฬิดาสะดุ้งตื่น เธอทบทวนความฝันของเธอ สิ่งที่ฝันเหมือนจะเป็นเรื่องจริง

    เธอตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์ของเธอดัง เธอตั้งปลุกเอาไว้เวลาตีสี่ ทุติบอกว่าจะออกเดินทางในเวลาตีห้า เพื่อที่จะขึ้นไปให้ทันก่อน     พระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขาแห่งนั้น เธอยังรู้สึกมึนงงอยู่ แต่จะช้าไปกว่านี้คงไม่ได้ เธอจึงปลุกอัปสรให้ลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน อากาศหนาวๆ อย่างนี้อัปสรคงไม่ยอมอาบน้ำเย็นๆ

    “จิ๊ดๆ ตื่นเถอะ ไปล้างหน้าก่อน” ทาฬิดาบอกเด็กน้อยของเธอ

    “อะไรพี่ ยังเช้าอยู่เลย จิ๊ดไม่อยากตื่น”

    “ตื่นเถอะ ช้าไปเดี๋ยวโดนดุอีก พี่ไปอาบน้ำล้างหน้าก่อนนะ”

    “โหหนาวจะตายไป ยังจะไปอาบน้ำอีกหรือคะ”

    “ไม่อาบเดี๋ยวไม่ตื่น” ทาฬิดาว่า เธอเดินไปที่ห้องน้ำหลังบ้าน   พบกับตรีทิพย์และมุจลินทร์ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำนั้น

    “อ้าว”

    “คุณนาเธออาบน้ำอยู่” มุจลินทร์บอก

    “งั้นทามล้างหน้าก่อนดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลามากนัก”

    “จิ๊ดล่ะ ยังไม่มาเหรอ”

    “ตื่นแล้วค่ะ แต่คงขี้เกียจลุก บ่นว่าหนาว”

    “อยู่บนเขาก็อย่างนี้แหละ แอนดิสสูงจะตายไป บนนี้คงราวๆ สักสิบองศาได้มั๊ง จะซักแห้งก็ได้นะทาม พวกอาไม่ว่าหรอก” ตรีทิพย์บอก

    “ไม่ดีกว่าค่ะ เหม็นๆ ไปเดิน เดี๋ยวผีป่าโกรธ”

    “ฮ่าๆ อย่าบอกนะว่ากลัวผี”

    “ทามไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ จิ๊ดสิคะ ไม่แน่ เมื่อวานพอรู้ว่ามี     โครงกระดูกอยู่บนนั้น วิ่งลงมาป่าราบเชียว” ทาฬิดาพูดไปขำไป

    “พี่ทามนั่นแหละมาหลอกจิ๊ดก่อน” อัปสรเถียงมาแต่ไกล

    “พี่ไม่ได้หลอกเราสักหน่อย เจอโครงกระดูกบนนั้นจริงๆ”

    ทาฬิดาหน้าตาย

    “ได้ยินว่ากันว่าเป็นโครงกระดูกของพรหมจารีแห่งสุริยาด้วยนะ ใครยังเป็นสาวพรหมจรรย์อยู่  ระวังเอาไว้เถอะ”

    มุจลินทร์ร่วมมือกันแกล้งอัปสรด้วยอีกแรง

    “หา จริงหรือคะ งั้นจิ๊ดไม่ไปแล้วค่ะ จิ๊ดกลัว”

    “ไม่ไปนั่นแหละจะมีคนมาจับเราไปบูชายัญ”

    “เอ้ย ไม่เอา อามุจไปอาบน้ำเป็นเพื่อนจิ๊ดด้วย”

    “ไม่เอาโตจนจะขึ้นมอปลายอยู่ไม่กี่วัน จะให้อาอาบน้ำให้อีกหรือไง อาบคนเดียวไปเลย”

    “งั้นจิ๊ดไม่ปิดประตูอาบนะ”

    “จะบ้าเหรอ พวกอาเป็นกุ้งยิงหมดสิ ไปๆ เราเข้าไปอาบต่อ จาก

    อากลางของเราเลยไป หรือถ้าจะไม่อาบก็ไปแปรงฟันก่อน จะทำอะไร  ค่อยว่ากันทีหลัง” มุจลินทร์ตัดบท เมื่อนาลันทาออกมาจากห้องน้ำ      เธอยอมให้อัปสรเข้าไปอาบต่อ อัปสรละล้าละลัง มองหน้าทุกคน ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องน้ำ เสียงน้ำกระทบฝาผนังดังโครมๆ ไม่นานนักอัปสรกลับออกมาใบหน้าเปียกน้ำ

    “ทำไมเร็วนัก” นาลันทาถาม เธอเข้าไปดมตัวของอัปสร เหมือนรู้ว่าหลานสาวของเธอต้องทำอะไรผิดอีกแน่ๆ

    “ไอ้จิ๊ด ตักน้ำสาดข้างฝาทำไม มานี่เลย อาอาบให้”

    นาลันทาลากอัปสรเข้าไปในห้องน้ำ จัดแจงจับถอดเสื้อผ้า เสียงร้องโวยวายอยู่ในนั้นดังลั่น

    “โอ๊ยหนาวๆ ไม่เอาแล้วหนาว” เสียงนั้นราวกับว่าอัปสรกำลังโดนอาสาวทำร้ายร่างกาย คนที่พักในบ้านหลังนี้ออกมาดูกันยกใหญ่ เมื่อรู้ว่าอากับหลานกำลังอาบน้ำให้กันอยู่ ต่างคนต่างหัวเราะและเดินจากไป พวกเขาอยากรู้ว่าเด็กน้อยที่โดนอาบังคับอาบน้ำในเวลาเช้า หน้าตาจะเป็นเช่นไร

     

    ทาฬิดาเดินแยกจากกลุ่มออกมา เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะต้องไปยืนฟังทุติพูดกับเจ้าหน้าที่ เธอจึงเดินลัดเลาะลงไปดูคนงานด้านล่าง

    พื้นที่ขั้นบันไดนั้นสูงชันยิ่งนัก เธอค่อยๆ ปีนลงไปจนถึงน้ำพุซึ่งเป็นน้ำสำหรับหล่อเลี้ยงชีวิตของคนบนมาชูปิกชูแห่งนี้ จู่ๆ เธอเห็นภาพๆ หนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง

    “หากมิมีน้ำ จักอยู่กันได้เช่นไร” เธอพูดกับเขาอีกครั้ง

    “ข้าจักกักน้ำเอาไว้ในฤดูฝน”

    “คงมิเพียงพอกับคนนับพัน”

    “ท่านจักทำเช่นใดรึ”

    เธอเห็นตัวเองนั่งยองๆ ลงบนพื้น หยิบก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งขึ้นมาจากพื้น จากนั้นสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเธอคือน้ำพุ แม้ไม่ใหญ่โตมากนัก แต่มันเป็นน้ำที่ผุดขึ้นมาจากใต้ดิน ไม่ต้องให้คนลงไปตักขึ้นมาจากแม่น้ำเบื้องล่างที่ล้อมรอบเขาลูกนี้

    เขายิ้มให้กับเธอ น้ำพุศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ คงเป็นแหล่งน้ำจืดเพียงแหล่งเดียวบนมาชูปิกชู

    ทาฬิดาขยี้ตาของเธอ ภาพนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงน้ำพุต้นน้ำ มันไม่ได้พุงขึ้นมาเหมือนที่เธอเห็นเมื่อสักครู่ มันค่อยๆ ไหลออกมาจาก   ใต้ดินเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุด

    “น้ำพุนี้ยังอยู่เหรอ ดีจัง” เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเธอพูดอะไรออกไป

    “ทาม” เสียงตะโกนเรียกดังมาจากด้านหลัง เธอจึงหันไปมอง

    “มาทำอะไรที่นี่ ตกลงไปทำยังไง” ตรีทิพย์บ่น

    “ทามเดินมาดูต้นน้ำค่ะคุณอา”

    “เรานี่นะ ซนไม่แพ้จิ๊ดเลย มิน่าเข้าขากันดีนัก”

    “ทามเปล่าดื้อนะคะ”

    “นั่นแหละ จะไปไหนต้องบอกสิ อย่าเดินออกมาเฉยๆ ผู้ใหญ่เขาเป็นห่วงรู้ไหม”

    “ขอโทษค่ะ ทามไม่ได้ตั้งใจ แค่เห็นว่าตรงนี้มีคนเดินมาก็เลยเดินตาม”

    “จริงๆ แล้วที่นี่ก็แปลกดีนะ มีน้ำผุดขึ้นมาทั้งๆ ที่อยู่สูงมาก”

    “ถ้าเป็นอย่างที่จารย์ทุบอก น้ำพวกนี้คงมาจากน้ำซึมจากขั้นบันไดกระมังคะ มันโดนกรองมาแล้ว ก็เลยสะอาด”

    “ก็น่าจะเป็นไปได้นะ ฝนตกมากเลยนี่เนอะว่าปะคนโบราณมักทำอะไรที่เราไม่คิดว่าจะทำได้”

    “นั่นสิคะ แค่คิดยังไม่อยากทำเลย”

    “พวกเขาคงศรัทธาในพระเจ้าของเขา ถึงได้ยอมทุมเทแรงกายแรงใจสร้างมันขึ้นมา”

    “นั่นขึ้นอยู่กับว่าเป็นศรัทธาของกษัตริย์องค์เดียว หรือเป็นศรัทธาของประชาชนด้วย ถ้ารวมพลังศรัทธาของประชาชนเข้าไว้ด้วยแล้ว      งานพวกนี้คงง่ายและเสร็จเร็วกว่าที่เราคิดเอาไว้ ไม่ต้องมีทาสมาทำงาน”

    “นั่นสิเนอะ น่าคิดเหมือนกัน ไปกันเถอะจารย์ทุให้อามาตามเรา”

    “ค่ะ” ทาฬิดาเดินตามตรีทิพย์กลับไป คงใกล้เที่ยงแล้ว เธอยกนาฬิกาโบราณของเธอขึ้นมาดูเวลา ดีที่มันยังเดินอยู่ปกติ ไม่อย่างนั้นเธอคงคิดว่ามันเสียอีกครั้ง เพราะเข็มยาวกับเข็มสั้นไปรวมกันอยู่ที่เลขสิบสอง ตรงเป๊ะราวกับจับวาง  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×