ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลกาล YURI ญรญ

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๔

    • อัปเดตล่าสุด 26 ส.ค. 57


    บทที่  ๔

     

     

    ทาฬิดานัดกับธีรัช เพื่อไปซื้อของใช้จำเป็นสำหรับการเดินทางของเธอ

    “แกจะเอาไปทำอะไรวะ ไอ้ของพวกนี้”

    ธีรัชไม่เข้าใจ เหตุใด  ทาฬิดาถึงได้ขนซื้อของสำหรับเดินป่าไปมากมาย ราวกับกำลังจะเข้าป่า  ล่าสัตว์

    “เอาไปใช้ไงเล่า มันจำเป็น”

    “แกจะไปเดินป่าหรือไง”

    “ไม่รู้เหมือนกัน แต่จะไปต่างประเทศ”

    “ไอ้บ้า ไปต่างประเทศ ใครเขาให้แกเอาแก๊สใส่กระเป๋าขึ้นเครื่องวะไอ้โง่” ธีรัชโวยวาย

    “อ้าวเหรอไม่ได้เหรอ”

    “ไอ้บ้า ขืนเอาขึ้นไป เครื่องระเบิดสิวะ ความกดอากาศมัน       ไม่เหมือนกันโว้ย”

    “เออๆ ไอ้วิดวะ อย่าโว้ยสิวะ คนไม่รู้นี่หว่า”

    “เอาออกไปเลยนะ ไอ้นี่ก็ไม่ต้องเอาไป”

    ธีรัชหยิบของออกจากรถเข็นของทาฬิดาไปเกือบครึ่ง

    “เฮ้ยๆ แกจะเอาออกอะไรเยอะนัก มันจำเป็นนะโว้ยไอ้ฮง”

    “ไอ้เวร ขืนแกขนไปมากขนาดนี้ กระเป๋าขนได้แค่ยี่สิบโล เสื้อผ้าแกไม่ต้องใส่กระเป๋ากันพอดี”

    “อ้าว มีงี้ด้วยเหรอ ฉันนึกว่าเหมือนนั่งรถทัวร์ ขนไปเท่าไรก็ได้”

    “ไอ้เซ่อ ว่าแต่แกจะไปไหนล่ะ”

    “เปรู”

    “น่าอิจฉาว่ะ อยากไปบ้างจัง”

    “แกไปได้เหรอ ไหนว่าต้องทำโปรเจค”

    “นั่นแหละ ถึงบอกว่าอิจฉาไง แต่ถึงจะไม่ทำโปรเจค ก็ไปไม่ได้เหมือนกัน ไม่มีเงินไปหรอก ตั้งไกล”

    “น่าเสียดายเนอะที่แกไปไม่ได้ ฉันต้องไปกับคนของคุณปู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง”

    “ใครเหรอ”

    “ไม่รู้คุณปู่ยังไม่บอก รู้แต่ว่าไปพรุ่งนี้เช้า”

    “เฮ้ย จะไปพรุ่งนี้แกยังไม่ได้จัดกระเป๋าอีกหรือวะ”

    “ยัง ไม่รู้จะจัดอะไรก่อนดี เกิดมาไม่เคยไปไกลๆ อย่างนี้สักที เขาว่านั่งเครื่องเป็นวันๆ เลยนะแก”

    “ก็เออสิวะ ไปๆ ซื้อของแล้วรีบกลับไปจัดกระเป๋า” ธีรัชรีบจัดการเข็นรถไปจ่ายเงิน เพื่อพาทาฬิดากลับบ้านไปจัดกระเป๋าเสื้อผ้า

     

    “คุณพ่อให้ทามไปไหนหรือครับ” ลูกชายของนายพลเอ่ยถาม

    “ไปกับทุติ จะให้ไปตามหาอะไรบางอย่างให้”

    “คุณพ่ออยากได้อะไรหรือครับ ของตกแต่งบ้านใหม่”

    “เปล่า พ่ออยากรู้คำตอบเรื่องนาฬิกาเรือนนั้นต่างหาก”

    “คุณพ่อ...” เขาพูดออกมาด้วยความตกใจ

    “แกอย่าห้ามพ่อเลย พ่อต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นเพราะอะไร”

    “แต่ผมกลัวลูกจะเป็นอันตราย”

    “เชื่อพ่อสิ ต่อให้แกเอาทามไปซ่อนเอาไว้ สุดท้ายทามต้องออกมาพบกับความจริงอยู่ดี แกก็รู้ว่าหนีไม่ได้หรอก”

    “ผม” เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออก สิ่งที่พ่อของเขาพูดออกมานั้นเป็นจริงทุกคำ พวกเขาคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่มองไม่เห็นมาเตือนเขาอยู่บ่อยๆ เขาพยายามเลี่ยงทุกอย่าง สุดท้ายคนที่ตัดสินใจแทนเขาคือบิดาของเขาเอง

    “เอาเถอะ อะไรจะเกิดมันต้องเกิด พ่อไม่กลัวอะไรอีกแล้ว     พวกเราต้องเผชิญหน้ายอมรับผลที่จะตามมา พ่ออยากรู้เหมือนกัน       คนบ้านเราไปทำอะไรให้เขา เขาถึงได้จ้องเล่นงานพวกเราหนักอย่างนี้”

    “ครับพ่อ ผมเข้าใจ” ผู้อ่อนวัยกว่าพยักหน้ารับ

    “พรุ่งนี้ตื่นเช้าหน่อย พาพ่อไปส่งทามที่สนามบินด้วย ส่งเสร็จพาพ่อไปโรงพยาบาล”

    “ครับผมเข้าใจแล้ว คุณพ่อพักเถอะ”

    “อย่าบอกเรื่องที่พ่อไม่สบายให้ทามรู้เด็ดขาด”

    “ครับ” เขาก้มลงห่มผ้าให้กับบิดา ก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง

    สมองของเขาหนักอึ้ง เขามีลูกสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น หากเกิดอะไรขึ้นกับลูกของเขา หัวใจของพ่อคงแหลกสลาย   

     

    ครอบครัวของทาฬิดามาส่งเธอที่สนามบิน รอจนเธอเดินเข้าไปด้านในจึงเดินทางกลับ เธอได้พบกับเพื่อนใหม่ จะเรียกว่าเพื่อนคงไม่ได้ เพราะเด็กผู้หญิงคนนั้นอายุอ่อนกว่าเธอหกปี

    เธอกับอัปสรจึงต้องนั่งด้วยกัน เพราะผู้ใหญ่ไม่ได้มานั่งกับพวกเธอ การเดินทางอันแสนจะยาวนาน เริ่มต้นขึ้น พวกเธอต้องไปต่อเครื่องถึงสองครั้ง จึงจะเดินทางไปถึงเปรู ครั้งแรกคิดว่าต้องเดินทางแค่ยี่สิบกว่าชั่วโมง กว่าจะมาถึงเล่นเอาเธอปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว

    “ถึงแล้ว จิ๊ดขอนอนสักสองวันนะพี่ทาม จิ๊ดจะบ้าตาย”

    อัปสรบ่นกับเธอ เธออยากทำอย่างที่อัปสรพูดอยู่เหมือนกัน เธอ ไม่แน่ใจว่าพวกของทุติจะออกไปไหนหรือเปล่า

    “เอาเลยจิ๊ด นอนเลย นอนเผื่อพี่ด้วย”

    “แต่ที่นี่สวยเหมือนกันเนอะพี่ อยากไปดูแมวน้ำใจจะขาด” อัปสรว่าอย่างนั้น เด็กๆ จะคิดอะไรนอกจากเรื่องเที่ยว

    “เลือกเลยจะนอนเตียงไหน”

    “ติดกระจกพี่ จิ๊ดชอบจะได้ดูวิว”

    “เฮ้อถึงเสียทีเปรู” ทาฬิดาทิ้งตัวลงนอนบนเตียง หลังเธอไม่ได้สัมผัสเตียงนุ่มๆ มาเกือบสองวัน พอได้นอนเธออยากจะหลับให้ตายไป  ตรงนี้เลย นึกถึงคำพูดของคุณปู่ สั่งให้เธอตามหาเจ้าของนาฬิกาข้อมือที่เธอ  ใส่อยู่ เธอจะไปหาได้ที่ไหน เปรูไม่ใช่แคบๆ ใครกันล่ะที่เป็นเจ้าของนาฬิกาเรือนนี้ ครั้นจะเดินไปตามถนนไปสอบถามคงไม่มีใครพูดกับเธอรู้เรื่อง

    “ตามหาเจ้าของให้ปู่ด้วย” ทรงธรรมจับข้อมือของหลานสาวเขาขึ้นมาชี้ไปยังนาฬิกาข้อมือเรือนเก่านั้น

    “อ้าว ไม่ใช่ของคุณปู่หรือคะ” ทาฬิดาตาโต

    “ไม่ใช่หรอก” ทรงธรรมส่ายหน้า

    “อย่าบอกนะว่าคุณปู่ไปขโมยเขามา”

    “ฮ่าๆ ไม่หรอก ปู่ซื้อมาจากไอ้เฮงมันอีกที”

    เขาหัวเราะกับความคิดของหลานสาว คิดได้ยังไง คนอย่างเขา   น่ะหรือจะขโมยของคนอื่นมาเป็นของตัว

    “แสดงว่าแป๊ะเฮงขโมยของมาขายคุณปู่อีกที คุณปู่รับซื้อของโจรมาสิคะ”

    “เปล่าๆ ปู่หมายถึงตามหาเจ้าของที่ทำนาฬิกาเรือนนี้ต่างหาก”

    “โห ป่านนี้คงตายไปแล้วไหมคะคุณปู่”

    “นั่นแหละ ตามหาให้เจอ จะได้จบๆ เรื่องกันไปสักที”

    “เฮ้ย.. คุณปู่จะให้ทามไปตามหาคนตายอย่างนั้นหรือคะ คุณพ่อ ดูคุณปู่สิคะ ให้ทามไปทำอะไรไม่รู้”

    “ทำตามที่คุณปู่บอกเถอะทาม”

    “อ้าวแล้วกัน” ทาฬิดาเกาศีรษะของตัวเองด้วยความงง

    “เรื่องอื่นทามคงจะรู้ในไม่ช้า ถ้าไปถึงเปรูแล้ว”

    “ก็ได้ค่ะ เอาไงก็ได้ แต่ถ้าหาไม่เจอไม่รู้ด้วยนะ ทามไม่รับปาก”

    “ปู่เชื่อว่าทามต้องพบกับเธอแน่ๆ จะช้าหรือเร็วเท่านั้น ไปเถอะ เครื่องจะออกแล้ว เดี๋ยวเดินไปขึ้นเครื่องไม่ทัน” ทรงธรรมเร่งหลานสาวของเขา ถึงจะรู้ว่าทาฬิดามีอันตรายรออยู่ข้างหน้า เขายังกล้าที่จะส่งหลานสาวไป เพราะเขารู้ว่าทาฬิดาสามารถเอาตัวรอดได้แน่นอน

     

    สถานที่แปลกตาปรากฏตรงหน้าของทาฬิดา เธอไม่เคยเห็นที่แห่งนี้มาก่อน

    “ข้าแต่ท่านทาฬิ ทำเลแห่งนี้น่าจักดีที่สุดสำหรับพวกเรา”

    ชายหนุ่มหน้าตาคล้ายธีรัชเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าเธอในความฝัน

    “ที่แห่งนี้และที่เราจักสร้างบ้านแปงเมืองใหม่ ทำเลแถบนี้ดียิ่งแล้ว เหมาะยิ่งนักที่จักเพาะปลูกแลสร้างวิหาร เจ้าจงให้คนของเราสำรวจดูว่า ใต้พิภพมีหินที่เราต้องการฤาไม่ หากไม่มี เราคงต้องขนย้ายมาจากที่อื่น”

    “ขอรับท่าน ข้าจักให้คนจัดการตามสั่งนั้น หากแต่เราต้องวางกำลังพลเอาไว้”

    “มิต้องดอก นางคงมิมีเวลาตามหาพวกเรา ข้าเชื่อว่านางจักต้องทำศึกอีกยาวนานนัก แลนางคงมิยอมสละเมืองไปง่ายๆ คนบ้าสงครามเช่นนาง หากต้องสูญเสียอิสรภาพ ข้าเชื่อว่านางคงจักยอมสละชีพเสียมากกว่า”

    “ถ้านางชนะศึกเล่าท่าน”

    “หากนางชนะศึก กว่านางจักตามหาเราพบ เมืองเราคงแข็งแกร่งกว่าที่เป็นอยู่ ไปทำงานของเจ้าเถิดสหาย”

    “ขอรับท่านทาฬิ” ชายหนุ่มกล้ามเป็นมัดๆ เดินจากเธอไป

    “พี่ทามตื่นเถอะ พี่ทาม”

    เสียงคุ้นๆ หูของทาฬิดาดังขึ้น ขัดจังหวะพอดิบพอดี

    ทาฬิดาลืมตาขึ้นมา เมื่อรู้ว่าใครที่เป็นคนปลุกเธอขึ้นมาจาก  ความฝัน เธอจึงขานรับ

    “ว่าไงจิ๊ด เรียกพี่ทำไม”

    “เช้าแล้วพี่ จิ๊ดหิว อากลางบอกว่าให้ลงไปกินข้าวที่ห้องอาหาร แต่จิ๊ดไม่กล้าไปคนเดียว พี่ทามตื่นไปล้างหน้าแปรงฟัน แล้วลงไปเป็นเพื่อนจิ๊ดหน่อยสิคะพี่”

    “ได้ๆ รอพี่เดี๋ยวนะ อยากอาบน้ำด้วย เมื่อคืนมาถึงเหนื่อยมาก ไม่ได้ทำอะไรเลย เราหิวมากไหม”

    “มากสุดๆ เลยค่ะพี่ จิ๊ดท้องร้องมาตั้งแต่เมื่อคืน จะกินมาม่าก็   ไม่กล้าปลุกพี่”

    “ทำไมล่ะ”

    “จิ๊ดต้มน้ำไม่เป็นค่ะ” อัปสรชี้ไปที่กาต้มน้ำในห้อง หน้าตาแปลกๆ ไม่เหมือนกับที่เธอเคยใช้ที่บ้าน ครั้นจะปลุกทาฬิดาให้ขึ้นมาต้มน้ำให้เธอ เธอยังเกรงใจ เธอทั้งคู่เพิ่งจะรู้จักกันมาไม่ถึงสามวัน แค่นั่งมาบนเครื่องบินเก้าอี้ติดกันเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นเธอไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าทาฬิดาเป็นใคร

    “อ๋อ งั้นรอเดี๋ยวนะ สิบนาที”

    ทาฬิดารีบลุกขึ้นจากเตียง แม้จะยังอยากนอนต่อ แต่คงทำไม่ได้ ขืนนอนต่อมีหวังเด็กน้อยที่อยู่กับเธอคงหิวตาลาย

     

    ทาฬิดาพาอัปสรมาที่ห้องอาหารเธอเห็นทุติ ตรีทิพย์ มุจลินทร์ และนาลันทานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมหน้ากัน เธอจึงเดินเข้าไปทัก

    “ตื่นแล้วเหรอเด็กๆ” นาลันทาทักหลานสาวของเธอกับทาฬิดา

    “อากลางนั่นแหละ ไม่ยอมเรียกจิ๊ด”

    “ใครว่า อาไปเคาะประตูเรียกเราสองคนตั้งนานสองนาน ไม่ยอมตื่น อาคิดว่ายังหลับกันอยู่ก็เลยลงมากินกันก่อน ใครจะรอเราสองคนไหว”

    “โหอากลางไม่รู้อะไร จิ๊ดหิวตั้งแต่เมื่อคืน ไส้จะขาดอยู่แล้วเนี่ย ไหนมีอะไรกินบ้าง” ไม่ว่าเปล่าอัปสรคว้าจานของนาลันทามาเป็นของเธอ

    “อ้าวๆ ไปตักเองดิ มาเอาของอาไปทำไม” นาลันทาบ่น

    “ทามไปตักเลยลูก เดี๋ยวกรุ๊ปทัวร์ลงมา เราจะไม่มีอะไรกิน”

    ตรีทิพย์บอกกับทาฬิดา เธอจึงเดินไปตักอาหารทันที  แรกเธอคิดว่าไม่หิว พอได้เห็นอาหารท้องของเธอเริ่มร้องประท้วงขึ้นมาเหมือนกัน

    ทาฬิดาเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ เธอเดินสวนกับอัปสร จึงทักขึ้น

    “ไม่อิ่มหรือไงเรา”

    “ใครจะอิ่มล่ะคะพี่ อากลางกินน้อยกว่าแมวดม จิ๊ดกำลังโตต้องกินเยอะๆ สิคะ ไปก่อนนะ หิวๆ” อัปสรรีบเดินไปตักอาหารเพิ่ม ส่วนตัวเธอเอาจานไปวางที่โต๊ะ ก่อนที่จะไปเอาเครื่องดื่มมาเพิ่ม

    “วันนี้เราจะไปมาชูปิกชูกันนะ เดี๋ยวต้องกลับไปเก็บกระเป๋า”

    ทุติบอกกับทาฬิดา

    “จริงหรือคะ ตื่นเต้นจัง” ทาฬิดาตาโต เธอไม่คิดว่าทุติจะออกเดินทางเร็วจนเธอตั้งตัวแทบไม่ทัน

    “ต้องเดินทางอีกไกล กินให้อิ่มเข้าไว้ สิบโมงรถจะมารับพวกเรา ยังมีเวลาเหลืออีกสองชั่วโมง” ทุติบอกอีกครั้ง

    “ค่ะ” ทาฬิดารับคำสั้นๆ เธอรีบลงมือกับอาหารของตัวเอง

     

    ระหว่างทางทาฬิดานั่งมองวิวสองข้างทางไปเรื่อยๆ          การเดินทางไม่ได้เร็วอย่างที่เธอคิด เป็นจริงอย่างที่ทุติบอก เธอนั่งรถมาร่วมสองชั่วโมงยังมองไม่เห็นว่าไอ้เจ้ามาชูปิกชูนั้นอยู่ตรงไหน

    “พี่ทาม อีกไกลไหม” จู่ๆ อัปสรเอ่ยถามขึ้นมา

    “ไม่รู้เหมือนกัน” ทาฬิดาหันไปตอบ

    “แย่จังจิ๊ดปวดท้อง” อัปสรกุมท้องของเธอ ราวกับกำลังเกิดอาการเจ็บปวดจนสุดจะทน

    “ปวดมากไหม” ทาฬิดาเห็นท่าไม่ดี จึงรีบถามกลับ

    “ปวดฉี่อะพี่”

    “อ้าวแล้วกัน” ทาฬิดาขำ เมื่อเช้าอัปสรกินน้ำไปหลายแก้ว      ทั้งน้ำส้มคั้น นมสด โกโก้ น้ำเปล่า เธอยังคิดว่าอัปสรจะท้องเสียหรือเปล่า ไหนจะอาหารอีกตั้งหลายอย่าง

    ทาฬิดาบอกความต้องการของอัปสรกับทุติ เขาจึงบอกกับคนขับรถให้หาที่พักลางทางเพื่อให้อัปสรได้ทำธุระ เหมือนว่าคนอื่นๆ อยากจะเข้าห้องน้ำด้วยเช่นกันแต่ไม่มีใครกล้าพูด

    “ขอบใจนะทาม ถ้าไม่ได้ทามพวกพี่คงต้องฉี่ราดแน่ๆ เลย”

    ตรีทิพย์บอกกับทาฬิดา เมื่อเธอเดินออกมาจากห้องน้ำ

    “อ้าวแล้วทำไมไม่บอกกับอาจารย์ทุติล่ะคะ”

    “ใครจะกล้า เห็นหน้าไหมล่ะนั่น”

    ตรีทิพย์บุ้ยปากไปทางทุติ เหมือนเขากำลังมีอะไรคิดอยู่ในใจ

    “อ้าวแล้วกัน งั้นเรารีบขึ้นรถเถอะค่ะ จะได้รีบไป”

    ทาฬิดาเดินนำตรีทิพย์ไปที่รถ หากไม่มีอะไรฉุกเฉินระหว่างทาง พวกเธอคงไม่ต้องแวะพักอีก แต่นี้ก็ใกล้จะบ่ายโมงแล้ว ทุติยังไม่ให้พวกเธอแวะกินอะไร หรือจะให้กินครั้งเดียวกันแน่หนอ

     

    ทาฬิดาเลือกนั่งข้างๆ ทุติเพื่อให้อัปสรเอนเบาะนอนไปหลังรถตู้ได้อย่างสบายๆ เธอไม่รู้จะทำอะไรจึงถามคำถามทุติไปเรื่อยเปื่อย

    “เปรูนี่มีประวัตินานไหมคะจารย์ทุ”

    “โหเข้าทางเลยนะนั่น ถามอย่างนี้มีหวังจารย์ทุตอบยาวแน่ๆ”

    ตรีทิพย์แซว

    “ยาวเลยเชียวแหละ” ทุติไม่ได้ใส่ใจคำพูดของตรีทิพย์มากนัก

    “เป็นยังไงคะจารย์เล่าให้ทามฟังหน่อย”

    “คนที่นี่มีประวัติยาวมาตั้งแต่สองหรือสามพันปีก่อนโน่น มีอาชีพปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ สร้างคลองชลประทานได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่พอมีชนเผ่าอินคาเข้ามาราวๆ ศตวรรษที่สิบสาม คนที่นี่ก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มมีชนชั้นวรรณในสังคม ต้องมอบเครื่องบรรณาการ ภาษี อาหาร สัตว์ให้กับกษัตริย์อินคาผู้ยิ่งใหญ่ อินคาทำให้คนที่นี่มีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง นับถือเทพเจ้าพระอาทิตย์เหมือนกับอินคา น่าเสียดาย ที่อินคาไม่มีอักษรเป็นของตัวเอง แต่จะใช้การผูกเชือกเป็นปม แทนการเขียนหรือวาดรูป พอสเปนเข้ามายึดในราวๆ ค.ศ.1532 ก็เผาทำลายเชือกพวกนั้นไปจนหมด คนรุ่นต่อมาก็ไม่รู้ว่าไอ้สิ่งที่เหลืออยู่มันคืออะไร มันก็เลยกลายเป็นเพียงแค่เชือกผูกเป็นปมเท่านั้น กว่าจะรู้ว่ามันมีค่ามากมายมหาศาล ของมันก็พังพินาศ เสียหายไปจนแทบไม่หลงเหลืออะไรอยู่เลย”

    “น่าเสียดายนะคะ สเปนไม่น่าทำแบบนี้กับอินคาเลย”

    “เป็นเรื่องช่วยไม่ได้นะ สมัยนั้นเป็นยุคตามล่าอาณานิคม ประเทศในแถบยุโรปล่าเมืองขึ้นกันเป็นว่าเล่น อย่าว่าแต่อินคาเลย เมืองไทยเราก็เกือบจะโดนไปตั้งหลายครั้ง”

    “นั่นสิคะ แล้วไอ้มาชูปิกชูเนี่ย สร้างในสมัยไหนหรือคะ”

    “ก็สมัยที่ชาวอินคามาปกครองในแถบนี้นั่นแหละ คนของอินคาจะจ่ายภาษีด้วยการทำงานให้กับกษัตริย์ จึงทำให้มีแรงงานมากมายมาทำงานพวกนี้ เชื่อไหม อินคาไม่มีเครื่องทุ่นแรงอะไรเลย นอกจากแรงงานฝีมือล้วนๆ”

    “โห อะไรจะขนาดนั้น” ทาฬิดาตาโตขึ้นมาทันที

    “เหมือนจะโหดแต่ไม่โหด เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ สมัยโบราณใครมีกำลังมากกว่าถือว่าเป็นฝ่ายอยู่เหนือกว่า เตรียมตัวได้แล้ว เราต้องไปต่อรถไฟกันอีกรอบ” ทุติเปลี่ยนเรื่อง เมื่อรถที่พวกเขาโดยสารมาถึงยังจุดหมาย

    “หา ต้องต่อรถไฟหรือคะ”

    อัปสรเด้งตัวขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น

    “ถ้านั่งรถไฟก็อีกสองชั่วโมงจากโอลันเททัมโบ หรือจะเดินป่าอย่างน้อยๆ ก็ต้องสี่วัน”

    “แฮะๆ นั่งรถไฟไปดีกว่าค่ะ ทามไม่ถนัดเดิน”

    “งั้นก็เตรียมตัว อีกไม่ไกลเราจะถึงโอลันเททัมโบ”

    ทุติหันไปบอกกับทุกคน

    ทาฬิดาคิดว่าการเดินทางครั้งนี้แสนหฤโหดกับเธอเสียจริง ตั้งแต่มาถึงเธอได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมง ซ้ำยังต้องมาขึ้นรถ ต่อรถไฟ หรือนี่คือการประชดของคุณปู่ ประชดที่เธอไม่ยอมเรียนให้จบจึงต้องมาทนลำบาก   หลังขดหลังแข็งอยู่ในเวลานี้ 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×