ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รามิดา ฮาบู YURI

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๔

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.พ. 57





    บทที่ ๔

     

    เมืองหน้าตาแปลกๆ ปรากฏแก่สายตาของรามิดา น่าแปลกที่เธอรู้สึกคุ้นเคยกับเมืองแห่งนี้เป็นอย่างดี รามิดาเห็นลำแสงหนึ่งพุ่งตรงมายังตัวเธอ ภาพๆ หนึ่งปรากฏตรงหน้าของเธอ

    พวกเจ้าอยากลงไปยังเบื้องล่างมากนักใช่ไหม

    เสียงอันทรงพลังสอบถามหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา

    เจ้าค่ะ

    ทุกเสียงสอดประสานตอบมาเช่นเดียวกันรวมถึงตัวเธอด้วย

    ได้ งั้นพวกเจ้าจงฟังข้า พวกเจ้าทั้งหมดลงไปที่ดาวโลก สร้างคุณงามความดีให้กับพวกมนุษย์ สิ่งที่สำคัญที่สุด ห้ามพวกเจ้ามีความรัก หากพวกเจ้าคนใดมีความรักกับสิ่งมีชีวิตบนโลกหรือกับใครก็ตาม หน้าที่ของพวกเจ้าบนดาวโลกจะหมดลง

    ทำไมล่ะเจ้าคะ

    สตรีนางหนึ่ง ซึ่งรามิดาคุ้นหน้าเธอเป็นอย่างมากเอ่ยถามขึ้น

    พวกผสมจะไม่สามารถกลับมายังที่แห่งนี้ได้อีก มีเพียงจิตพิสุทธิ์เท่านั้นที่จะอยู่บนนี้ได้ หากมีใครฝ่าฝืนกลับมายังเมืองฟ้า สถานที่แห่งนี้จะล่องลอยหายไป ไม่สามารถติดต่อกับพวกเจ้าบนดาวโลกได้อีกเลย จงจำเอาไว้

    เจ้าค่ะท่าน

    ทุกตอบเสียงสอดประสานขึ้นมาพร้อมกัน เพื่อน้อมรับคำสั่งของชายคนนั้น ไม่นานนัก ทั้งหมดหาที่อยู่ใหม่ได้ ที่แห่งนั้น ในอีกหลายพันปี ต่อมาจึงกลายเป็นเวียงฟ้าของชาวโมระ  

    หลังจากที่ชาวเมืองฟ้าบางส่วนลงมายังดาวโลก บางคนได้แบ่งแยกตัวเองออกไปเพื่อไปสร้างสถานที่แห่งใหม่ ด้วยความคิดที่ว่าหากอยู่กระจุกตัวกันจะไม่สามารถทำให้ดาวดวงนี้เจริญรุดหน้าไปได้

    ทำไมพวกเจ้าต้องแยกตัวไป เวียงฟ้าไม่ดีพอสำหรับพวกเจ้าอีกหรือ วรทาเอ่ยถามหลังจากที่ทุกคนเปลี่ยนใจ จากครั้งแรกทุกคนเจาะจงจะลงมาอยู่บนเวียงฟ้า แต่ในตอนนี้กลับอยากที่จะไปอยู่ยังสถานที่แห่งอื่น

    เจ้าเห็นแล้วนี่ คราใดที่คนของเราสมสู่กับสิ่งมีชีวิตบนโลกวิวัฒนาการ บนดาวดวงนี้จักเปลี่ยนไป หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นต่อไป สิ่งมีชีวิตจักเปลี่ยนแปรมิมีวันจบสิ้น

    เจ้าจักไปที่แห่งใด

    เราจักสร้างเมืองมายา สถานที่แห่งนั้น มิได้แตกต่างจากเวียงฟ้าเลยสักนิด สิ่งมีชีวิตที่นั่นสามารถที่จะรับเอาสิ่งที่เราจะส่งต่อให้กับพวกเขาได้ ข้าคิดว่าอาจจะดีกับโลกใบนี้

    เจ้าล่ะ

    เราจักสร้างแผ่นดินไอยคุปต์ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งมหาเทพ หากมีผู้คนสวดสรรเสริญพระเจ้าวันละห้าครั้ง อาจช่วยให้เมืองฟ้ายังคงอยู่คู่กับดาวดวงนี้ไปอีกนานแสนนาน รามิดาเห็นตัวเองพูดคำนั้นออกไป

    ขอให้พวกเจ้าจงโชคดี

    คำอวยพรจากวรทาให้เพื่อนๆ ประสบความสำเร็จ

    เธอได้ยินอย่างแจ่มชัด จนรามิดาขนลุกทั้งตัว

    ภาพเปลี่ยนเป็นสถานที่อันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์    รามิดาและเพื่อนอีกสองคนของเธอ ตัดสินใจเลือกสถานที่แห่งนี้ในการสร้างเมืองแห่งใหม่

    “เราจักสร้างวิหาร เพื่อเป็นที่สถิตแห่งองค์มหาเทพ ณ ที่แห่งนี้ ผู้คนจักสวดให้กับท่านทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นย่ำรุ่ง กลางวัน เย็น พลบค่ำ แลกลางคืน ให้ดังจนถึงเมืองฟ้า” รามิดาบอกกับเพื่อนอีกสองคนของเธอ

    “เราจักช่วยท่าน ทำในสิ่งที่ท่านต้องการให้สำเร็จ”

    “เราเช่นกัน”

    ทั้งสามจับมือกันเป็นคำสัญญา วิหารแห่งนี้จักต้องยิ่งใหญ่และ   ทุกคนต้องจดจำมันไปตลอดกาล

     

    รามิดาสะดุ้งตื่นขึ้นมาหลังจากที่เธอฝันประหลาด เวลานี้ท้องฟ้ายังไม่สว่าง เธอจึงทำได้แค่เพียงลุกขึ้นมาต้มน้ำชงชาร้อนดื่มแก้หนาว

    กองไฟยังไม่มอดดับ คงมีคนนำไม้มาใส่ให้เมื่อคืน ใครเป็นคนทำกันล่ะ ทำไมเธอจึงไม่ได้ยินเสียง หรือเธออาจจะกำลังฝันประหลาดๆ นั้นอยู่ก็เป็นได้

    เสียงกาน้ำร้องหวีด ทำให้รามิดาหยุดความคิดของเธอ หันไปใส่ใจกับการชงชาดื่ม ว่าไปเสียงประหลาดนั้นหายไปตั้งแต่เธอพูดผ่านความมืดไปบอกกับเจ้าของเสียงนั้น

    “ขอบคุณนะคะที่ไม่รบกวนเวลานอนของดา”

    เธอบอกกับเสียงนั้นอีกครั้ง

    น้ำชาในแก้วส่งกลิ่นหอมมาพร้อมกับควันลอยอ้อยอิ่ง รามิดาค่อยๆ เป่าลมออกจากปากไปยังแก้วในมือของเธอ เพื่อให้น้ำชาในแก้วลดทอนความร้อนลง ก่อนที่จะดื่มมันลงไปเพื่อให้ร่างกายของเธออุ่นขึ้น

    สักพักใหญ่เธอเห็นฮาบูเปิดผ้าคลุมเดินเข้ามายังเต็นท์ของเธอ

    “สวัสดีค่ะตื่นเช้ารับเทพราหรือคะ”

    น้ำเสียงนั้นมีอารมณ์ขันปะปนอยู่

    “เปล่าหรอกค่ะ ฉันแค่นอนไม่หลับ”

    “ร่างกายของคุณต้องการพักผ่อน ทำไมไม่นอนให้มากๆ ล่ะคะ”

    ฮาบูเดินเข้ามานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกองไฟที่รามิดานั่งอยู่

    “ชาไหมคะ” รามิดายื่นแก้วเปล่าให้กับฮาบู เพื่อให้เธอรินน้ำชาจากกาที่ตั้งอยู่บนกองไฟเอง

    “ขอบคุณค่ะ เช้านี้คุณจะรับผลไม้เหมือนเดิมไหมคะ”

    ฮาบูรับแก้วนั้นมา จากนั้นจึงรินน้ำชาใส่แก้ว เธอต้องการความอบอุ่นให้ร่างกายเช่นกัน เธอออกไปเดินตรวจด้านนอกก่อนฟ้าสาง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบลงไปในหลุมที่เพิ่งจะพบเมื่อคืนนี้ อากาศยามเช้าเช่นนี้ค่อนข้างจะหนาว ผิดกับเวลากลางวันที่ร้อนจนไม่สามารยืนอยู่กลางแดดได้

    “คิดว่าคงต้องเป็นเช่นนั้นค่ะ ฉันคงทานเนื้อสัตว์ไม่ได้ไปสักพักใหญ่”

    “ค่ะ ท่านทุติโทรมาแจ้งว่าจะเข้ามาสายหน่อย ต้องไปหาซื้อของอะไรอีกหลายอย่างในตัวเมือง”

    “ค่ะฉันพอทราบ เมื่อคืนท่านบอกกับฉันแล้วเหมือนกัน”

    รามิดาพยักหน้ารับรู้ ที่แน่ๆ ศาสตราจารย์ทุติคงต้องหาซื้อเครื่อง

    ปั่นไฟมาเพิ่ม การที่จะลงไปในหลุมลึกๆ แห่งนั้น หากไม่มีแสงไฟคงทำงานลำบาก ครั้นจะให้แต่ละคนนำไฟของตัวเองไปอาจจะลำบากมากกว่า แม้ว่าทุกคนจะมีไฟฉายขนาดแรงเทียนสูงติดพกติดตัวกันทุกคน ที่สำคัญไปกว่านั้นยังต้องมีเชือกขนาดพอเหมาะ เพื่อทำเป็นบันไดสำหรับปีนลงไปในหลุมนั้น ซึ่งยังไม่มีใครรู้ว่าหลุมนั้นลึกเท่าใด เช้านี้เธออาจจะต้องเป็นคนปีนลงไปพร้อมกับสรวงฟ้า เพื่อลงไปสำรวจในขั้นแรกก่อน

    “คุณทราบได้ยังไงคะว่าทรายจะถล่ม”

    ฮาบูเริ่มถามเรื่องที่เธอสงสัย

    “ฉันรู้สึกว่าทรายที่พื้นมันเลื่อนค่ะ”

    “ทำไมฉันไม่รู้สึก”

    “ประสาทสัมผัสของแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ ฉันอาจจะรับได้เร็วกว่าทุกคนก็ได้”

    “นั่นสิคะ อีกเรื่องที่อยากถาม ทำไมคุณถึงให้คนงานไปขุดตรงนั้น ทั้งๆ ที่มองไม่ออกเลยว่าจะมีอะไรอยู่ข้างใต้”

    “อย่างที่บอกค่ะ ฉันรู้สึกได้ว่า เวลาเดินเสียงทรายบริเวณนั้นมันดังหลวมๆ”

    “เหมือเวลาเลือกซื้อผลไม้อย่างนั้นหรือคะ”

    “ค่ะ ฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ก็เลยให้เด่นไปบอกคุณให้นำคนงานมาขุด แล้วก็เจอจริงๆ”

    “เหมือนคุณมีตาเป็นเครื่องเอ็กซเรย์”

    “มีหูเป็นโซน่าด้วยกระมังคะ”

    รามิดาพูดปนหัวเราะ เพื่อกลบเกลื่อนบางอย่างเอาไว้

    “แถมมีจมูกดียิ่งกว่านักล่าอีกค่ะ”

    “หือ”

    “คุณได้กลิ่นเร็วมาก ยิ่งอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ยังไม่ทันเอามาวางคุณก็เกิดอาการแล้ว”

    “นั่นสิคะ แย่ชะมัด” รามิดาบ่นตัวเอง

    “ไม่แย่หรอกค่ะ ดีเสียอีก ลงไปข้างล่างได้กลิ่นอะไรแปลกๆ จะได้รู้ตัวก่อนใคร ฉันว่าหากฉันมีความสามารถเหมือนอย่างคุณ ฉันคงเป็น    นักโบราณคดีที่เก่งแน่ๆ”

    “อย่ามายอฉันเลยค่ะ”

    รามิดากำลังจะพูดต่อ ชายคนหนึ่งนำถาดผลไม้เข้ามาในเต็นท์ เธอจึงหยุดพูด รอจนเขาวางถาดนั้นลงบนโต๊ะข้างๆ ตัวเธอจนเสร็จเรียบร้อย

    “ชูว์กราน”

    เธอบอกกับเขา และก้มศีรษะให้กับเขาเป็นการขอบคุณ

    “ฮัฟวาน”

    เขาคำนับเธอ และรีบเดินออกไปจากเต็นท์หลังจากทำหน้าที่เสร็จ

    “พูดภาษาถิ่นได้ด้วยหรือคะ”

    “เปล่าหรอกค่ะ แค่คำง่ายๆ เท่านั้น ฉันอ่านมาจากในหนังสือนักท่องเที่ยวค่ะ”

    “ค่ะ” ฮาบูพยักหน้า เธอพอเข้าใจ นักท่องเที่ยวบางคนที่คิดจะไปท่องเที่ยวตามประเทศต่างๆ อยากที่จะสื่อสารภาษากับคนท้องถิ่นได้บ้าง เพื่อแสดงความเป็นกันเองกับคนเหล่านั้น รามิดาคงเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

    รามิดาค่อยๆ นั่งกินผลไม้ในถาด แม้จะไม่อร่อยมากนัก แต่ก็ดีกว่า

    ไม่มีอะไรรองท้องก่อนที่จะออกไปทำงาน เธอและทีมงานอาจจะต้องพบเจอกับอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งนั่นอาจจะทำให้เธอไม่มีเวลาขึ้นมากินอะไรทั้งวันก็เป็นได้

     

    ศาสตราจารย์ทุติและศาสตราจารย์กริมเตรียมเครื่องมือ       ทุกอย่างสำหรับการหย่อนตัวลงไปยังพื้นเบื้องล่าง

    กริมมีเครื่องมือวัดความลึกด้วยแสงเลเซอร์ จากการวัดนี้ทำให้เขารู้ว่าหลุมที่จะต้องหย่อนตัวลงไปนั้นสูงพอๆ กับตึกสิบสามชั้น เท่ากับว่าคนที่จะลงไปยังเบื้องล่างได้ จะต้องเป็นคนที่คล่องตัวและเก่งพอสมควร ที่สำคัญต้องไม่กลัวความสูง

    “ไหวแน่นะไอ้สรวง” รามิดาเอ่ยถามสรวงฟ้า เธอรู้ว่าสรวงฟ้าเป็นโรคกลัวที่แคบและความสูง

    “ไม่น่าจะได้ว่ะไอ้ดา มันทั้งแคบทั้งลึกขนาดนั้น ฉันว่าจะขอบายดีกว่า” สรวงฟ้าพูดเสียงสั่น

    “เอาไงดี ไอ้เด่นแกไหวไหม”

    “ฉันบายตั้งแต่รู้ว่ามันลึกแล้วไอ้ดา” เด่นจันทร์รีบปฏิเสธอีกคน

    “ผมลงไปเอง” ทุติเสนอตัว

    “อย่าเลยค่ะจารย์ จารย์แก่แล้ว อยู่ให้ลูกให้หลานไหว้เถอะ อย่าลงไปเสี่ยงเลย”

    “คุณจะให้ผมปล่อยดาลงไปคนเดียวอย่างนั้นเหรอ ผมทำไม่ได้หรอก”

    “ฉันไปกับดาก็ได้ค่ะจารย์” ตรีทิพย์เสนอตัว

    “ฉันขอไปด้วยค่ะ”

    ฮาบูเสนอตัวอีกคน ทำให้ทุติต้องหันไปมองหน้ากริม

    “ฮาบูเก่งเรื่องแบบนี้ ให้เธอไปด้วยเถอะ”

    กริมบอกกับเพื่อนของเขา และมองหาใครอีกคนที่เขาไว้ใจ

    “อาราชาไปไหน”

    “อีกสักพักจะตามมาค่ะ” ฮาบูตอบ เธอเห็นอาราชาขับรถไปขนอุปกรณ์เพื่อนำมาให้กับพวกเธอ ยังไม่ทันที่ฮาบูจะหันหลังกลับ อาราชาขับรถของเขามาจอดบริเวณใกล้ๆ และให้คนของเขาตั้งเสาสำหรับผูกเชือกเพื่อให้คนที่จะลงไปสำรวจใช้ในการเกาะยึด

    “กี่ฟุตนะ” อาราชาหันไปถามฮาบู

    “ราวๆ ร้อยยี่สิบ” ฮาบูตอบตามที่เธอคำนวณได้

    “เผื่อไปอีกนิดก็แล้วกัน แต่ต้องระวังมันจะพันกันตอนเราลงไป”

    อาราชาเตือนทุกคน เขามีประสบการณ์ในการปีนเขามาหลายลูก ไต่หน้าผามาหลายแห่ง แต่ครั้งนี้เขารู้สึกกล้าๆ กลัวๆ จนเริ่มขนลุก

    ปากหลุมกว้างราวๆ สามเมตร หากค่อยๆ ลงไปทีละคนหรือสองคน น่าจะทำได้ แต่ถ้าลงไปพร้อมๆ กันสี่คน อาราชาคิดว่าคงจะขัดกันเองและอาจทำให้เชือกพันกันได้ เขาจึงเสนอว่าควรจะลงไปเป็นคู่ หากมีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้ช่วยเหลือกันได้

    อาราชาเป็นคนแรกที่หย่อยตัวลงไปในหลุมแห่งนั้น เขาคิดว่าเขาเป็นผู้ชายลงไปคนแรกน่าจะดีที่สุด คนที่ตามเขาลงไปติดๆ คือรามิดา เธอค่อยๆ ผ่อนเชือกลงไปทีละนิดๆ

    “ระวังนะครับ อย่าแตะผนัง มันอาจมีสัตว์มีพิษ”

    อาราชาเตือนรามิดาที่กำลังจะเอนตัวไปพิงผนังถ้ำแห่งนั้น ด้วยแรงสวิงของเส้นเชือกที่เธอโหยตัวอยู่

    “คิดว่าน่าจะยังอีกไกล เราลงมาได้แค่ ห้าสิบฟุตเท่านั้น”

    อาราชาบอกกับรามิดา เขาทำเครื่องหมายเอาไว้ที่เชือก ทุกๆ   สิบฟุต และจะทำเครื่องหมายบอกระยะอีกครั้งที่ความยาวห้าสิบฟุต

    “เราต้องลงไปอีกกี่ฟุตคะ”

    “อีกราวๆ เจ็ดสิบครับ”

    “ลึกมาก คุณว่าไหม เราลงมาลึกอย่างนี้ แต่ในนี้กลับไม่มีกลิ่นเหม็นสาบอะไรเลย” รามิดาทำจมูกฟุดฟิดเพื่อดมกลิ่นภายในหลุมลึกนี้

    “ผมว่าที่นี่มีลม คุณว่าไหม” อาราชารู้สึกว่าเบื้องล่างที่เขากำลังจะลงไปนั้นมีกระแสลมอ่อนๆ พัดขึ้นมา กระแสลมนั้นไม่แรงจนถึงขั้นทำให้ร่างของเขาแกว่งไปมา แต่มันทำให้เขาเริ่มรู้สึกถึงความเย็นของมัน

    “ค่ะ แสดงว่าต้องมีทางอยู่ด้านล่างนี้”

    รามิดาตอบพร้อมกับค่อยๆ โรยตัวลงไปเบื้องล่างอีกครั้ง

    เสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้นมาถามความคืบหน้าของผู้ที่ลงมาในหลุม อาราชาเป็นคนรายงานกลับไปว่าเวลานี้เขากับรามิดาลงมาได้กี่ฟุต และกำลังจะลงไปถึงเบื้องล่าง เขาฉายไฟลงไปพบว่าพื้นอยู่อีกไม่ไกล

    “เฮ้ย” เสียงรามิดาร้องลั่น เชือกที่อาราชาเผื่อความยาวมาให้นั้น ยังไม่พอกับความลึกของหลุมแห่งนี้

    “เกิดอะไรขึ้น” อาราชาตะโกนถาม

    “อย่าเพิ่งลงมาค่ะ เชือกมันสั้นไป”

    “เหลืออีกกี่ฟุต”

    “ราวๆ ห้าค่ะ” รามิดาบอก ร่างของเธอหล่นลงมานอนอยู่กับ   พื้นหลุม มองขึ้นไปยังเบื้องบน เห็นเพียงแสงสว่างลิบๆ เท่านั้น

    “ผมจะรายงานขึ้นไปข้างบนก่อน จะได้เตรียมของลงมาถูก”

    อาราชาบอกพร้อมกับสั่งให้คนของเขาเตรียมเชือกสำหรับอีก  สามคนที่เหลือ ที่กำลังจะตามลงมา และจะให้คนของเขามาทำนั่งร้านระหว่างทางที่จะลงมาด้วย เผื่อบางทีเขาอาจจะต้องใช้มัน

    การไต่เชือกขึ้นไปรวดเดียวร้อยกว่าฟุตไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แม้จะมีอุปกรณ์ช่วยป้องกันยังอาจเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดได้

    “คุณเป็นอะไรมากไหม กระดูกหักหรือเปล่า” อาราชาถามเมื่อเขากระโดดลงมาจากเชือกที่ห้อยตัวอยู่ เพื่อดูอาการของรามิดา

    “ไม่ค่ะ แค่จุกเท่านั้น”

    “ไม่น่าเชื่อว่ามันจะลึกขนาดนี้ มันเป็นถ้ำหรือเปล่า” อาราชาฉายไฟฉายในมือเขาไปรอบๆ บริเวณที่เขากับรามิดายืนอยู่

    “เราจะไปกันเลยไหมคะ”

    “รอคนข้างบนก่อนดีกว่าครับ ไปกันแค่สองคนมันไม่ปลอดภัย”

    รามิดาเห็นด้วยกับความคิดของอาราชา เธอคิดว่าภายในถ้ำใหญ่แห่งนี้อาจจะมีอันตรายอะไรแอบแฝงอยู่ก็ได้ หากไปกันหลายๆ คน คิดว่าน่าจะช่วยกันดูแลความปลอดภัยให้แก่กันและกันได้ดีกว่าดุ่มๆ เข้าไปสำรวจกันเพียงสองคน เสียงวิทยุสื่อสารดังมาเป็นระยะๆ ร่างของฮาบูปรากฏให้เห็นหลังจากที่เสียงวิทยุสื่อสารเงียบไปได้ไม่นานนัก

    “ฉันทำเครื่องหมายเอาไว้ให้แล้ว คิดว่าทีมที่เหลือจะลงมาทำนั่งร้านให้เราได้”

    “ผมเห็นมีรูปสลักอยู่ข้างๆ ปล่องที่เราลงมา”

    “ค่ะ ฉันเลี่ยงมันแล้ว คิดว่าบริเวณที่ฉันเลือกคงไม่ทำให้มันเสียหาย”

    ฮาบูเงียบไปพักใหญ่ เธอส่งวิทยุขึ้นไปบอกให้คนที่เหลือ หย่อนตัวตามลงมา อีกว่าครึ่งชั่วโมงจึงปรากฏร่างของตรีทิพย์

    “ไงจารย์ เป็นไงบ้างคะ”

    รามิดาเข้าไปช่วยปลดเครื่องป้องกันออกจากเอวของตรีทิพย์

    “แทบตายเลยดา มันรัดเป้าพี่” ตรีทิพย์บ่น

    ทำเอารามิดากลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่ ส่วนอีกสองคนมองหน้ากันเมื่อเห็นตรีทิพย์และรามิดาพากันหัวเราะ จนรามิดาต้องแปลให้กับทั้งคู่ฟัง จากนั้นเสียงหัวเราะของคนทั้งห้าจึงดังขึ้นพร้อมกัน

    “อย่าว่าแต่คุณเลยครับ ผมก็แทบแย่” อาราชาว่า เขาคิดว่าการทำให้ตัวเองอารมณ์ดีก่อนที่จะเข้าไปเดินสำรวจ ถือเป็นเรื่องที่ดี ต้องขอบใจตรีทิพย์ที่นำเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นในการสนทนา

    “ไปกันหรือยังคะ” ตรีทิพย์เอ่ยถาม

    “ครับๆ ไปกันเถอะ ตามผมมาครับ”

    อาราชาเป็นหัวเรือเดินนำหน้า ทุกคนเข้าไปยังด้านใน โพรงที่เขากำลังเดินเข้าไปมีขนาดใหญ่มาก พอๆ กับถ้ำหนึ่งถ้ำ ผนังด้านข้างถูกสลักเป็นรูปต่างๆ เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของคนทั้งห้าเป็นอย่างมาก

    “สุดยอดจริงๆ ที่นี่คงสำคัญมาก” ตรีทิพย์ว่า

    “ผมว่าอาจจะเป็นวิหารเทพเจ้าอะไรสักอย่าง”

    “ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นคะ”

    “รูปที่สลักเอาไว้ด้านข้าง บอกว่าเป็นการนำเอาสิ่งของมาถวายแด่เทพที่เขาบูชา” อาราชาชี้ไปที่รูปสลักข้างๆ ผนังถ้ำนั้น  

    ตรีทิพย์กับรามิดาช่วยกันถ่ายรูปผนังถ้ำคนละฝั่ง หากพวกเธอไม่ได้กลับขึ้นไป จะได้ส่งแมมโมรี่การ์ดขึ้นไปให้กับคนข้างบนเพื่อศึกษาว่าเป็นศิลปะในยุคสมัยใด

    ทั้งห้าคนเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ไม่มีวี่แววว่าจะเจอก้นถ้ำ อาราชาโรยเชือกเอาไว้ตลอดทาง ม้วนนี้เป็นม้วนที่สองที่เขานำออกมาผูกต่อกับม้วนแรก

    “เรามาไกลแล้วนะ” อาราชาว่า ภายในถ้ำนี้มืดสนิท หากไม่มี  แสงไฟจากไฟฉายของทุกคน อาจจะทำให้พลัดหลงกันได้

    “ขอเข้าไปอีกสักนิดเถอะค่ะ ดาว่าด้านในต้องมีอะไรแน่ๆ”

    รามิดาเสนอ เธอต้องการที่จะรู้ว่า ด้านในสุดของถ้ำที่ลดระดับลงเรื่อยๆ นั้นคืออะไร นอกจากจะต้องโรยตัวลงมาร้อยกว่าฟุต ทางลาดนี้ยังลดระดับต่ำลงไปเรื่อยๆ แถมมันยังเป็นหินพื้นเรียบที่ผู้สลักตั้งใจขัดจนไม่มีอะไรทำให้การเดินนั้นสะดุดลง   

    รามิดาก้าวขาแต่ละก้าวไปด้วยหัวใจระทึก อยากรู้เหลือเกินสิ่งที่เธอจะเห็นอีกไม่กี่อึดใจ มันคืออะไรกันแน่...

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×