ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลกาล YURI ญรญ

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๓

    • อัปเดตล่าสุด 26 ส.ค. 57


    บทที่  ๓

     

     

    ทาฬิดาถูกเรียกตัวให้ไปพบกับนายพลทรงธรรมหลังจากที่ธีรัชและปู่ของเขากลับไปแล้ว เธอแปลกใจว่าเหตุใดคุณปู่นายพลของเธอจึงเรียกเธอไปพบในยามวิกาลเช่นนี้

    ปกติคุณปู่จะไม่ค่อยพบใคร นอกจากจะจำเป็นจริงๆ เธอเดาว่าท่านอาจจะเรียกพบ เพราะแป๊ะเฮงนำนาฬิกาที่เธอเอาไปซ่อม มาคืนให้กับท่าน

    “คุณปู่เรียกทามหรือคะ”

    เธอเอ่ยถามบุคคลที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกตัวโปรด

    “อือ ปู่มีอะไรจะถามเรา มานั่งตรงนี้สิทาม”

    ชายชราชี้ไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเก้าอี้โยกของเขา

    ทาฬิดานั่งลงเรียบร้อย เธอรอฟังว่าผู้ชราจะเอ่ยอะไรกับเธอ

    “เรียนเป็นยังไงบ้าง จะจบเมื่อไรล่ะ”

    สิ่งที่ออกมาจากปากของคุณปู่ทำให้ทาฬิดาถึงกับอึ้ง

    “แฮะๆ ยังเรื่อยๆ ค่ะคุณปู่”

    “พ่อเราบอกปู่ว่าเราเอาแต่เล่น ปีนี้ยังเรียนไม่จบใช่ไหม”

    เสียงถามนั้นแม้จะฟังดูเรียบๆ ทำเอาคนถูกถามถึงกับขนลุกซู่

    “ค่ะ” ทาฬิดาก้มหน้างุด ยอมรับผิดแต่โดยดี

    “ไม่ชอบเรียนล่ะสิ แม่เราบังคับให้เรียนก็เป็นอย่างนี้แหละ เราน่ะชอบอะไรที่ผาดโผน ให้ไปเรียนบัญชี คงไม่ชอบสินะ”

    “แหม่ คุณปู่ขา คุณปู่รู้ไหม มีคุณปู่คนเดียวเท่านั้นที่รู้ใจทาม   มากที่สุด” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะเล่นงานอะไร เธอจึงเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นการออดอ้อน แถมยังลงไปนั่งคุกเข่ากอดเอวของท่านอีก    เป็นการประจบไปในตัว

    “ไม่ต้องมาพูดเอาใจปู่เลย ตกลงเราอยากจะเรียนให้จบหรือเปล่าล่ะ” ชายชราผลักร่างบางๆ ออกห่างเพื่อที่จะได้สนทนาได้โดยสะดวก

    “ต้องเรียนให้จบสิคะ แต่ตอนนี้ทามยังไม่อยากเรียน”

    “ชอบถ่ายภาพว่างั้น”

    “นิดหน่อยค่ะ” ทาฬิดาใช้นิ้วโป้งกดไปที่นิ้วก้อยของเธอ ให้เหลือเนื้อที่ตรงนิ้วก้อยไม่กี่มิล

    “แล้วเราชอบอะไรกันแน่ ไหนลองบอกปู่มาสิ”

    “คุณปู่จะให้ทามไปเรียนหรือคะ ไปเรียนตอนนี้คงเป็นย่า เด็กๆ ต้องเรียกว่าย่าทามแน่ๆ ไม่เอาหรอกค่ะ ไว้รอเรียนจบก่อนค่อยไปเรียนเพิ่มดีกว่า” ทาฬิดาหน้ามุ่ย ขืนคุณปู่ส่งเธอไปเรียนอะไรในเวลานี้ สมองของเธอคงไม่รับ แถมยังต้องมาอายเด็กที่จะมาเรียนร่วมห้องอีกด้วย สู้ไม่เรียนจะดีกว่า ไปหาอะไรอย่างอื่นทำให้หายเบื่อง่ายกว่ากันตั้งเยอะ

    “ทำไมไม่คิดอย่างนี้ให้ได้ ก่อนที่จะไม่ไปสอบล่ะทาม”

    “ก็...” ทาฬิดาพยายามจะหาคำตอบที่ทำให้เธอเจ็บตัวน้อยที่สุด

    “ก็อะไร ก็ทามคิดไม่ทันใช่ไหม” น้ำเสียงนั้นปนหัวเราะนิดๆ

    “คุณปู่” ทาฬิดาอึ้งไปนิดหนึ่ง

    “เอางี้ปู่มีอะไรจะบอก” ผู้สูงอายุกว่าจับไหล่ของหลานสาว      คนเดียวของเขาให้หันหน้ามามองเขาให้ชัดๆ

    “อะไรคะ”

    “ไหนๆ เราไม่ต้องไปเรียนแล้วใช่ไหม จะเรียนอีกทีเทอมหน้า ปู่จะ ให้เราไปทำธุระให้ปู่สักเรื่อง จะได้หรือเปล่า”

    “ธุระอะไรคะ”

    “ไปต่างประเทศแทนปู่หน่อย”

    “โห ไปต่างประเทศเลยหรือคะ” ทาฬิดาตาลุกวาว

    “ใช่ ไปต่างประเทศ ปู่มีค่าใช้จ่ายให้เรา”

    “คุณปู่จะให้ทามไปเรียนภาษาหรือคะ ไม่เอาหรอกค่ะ อย่ามาหลอกทามให้ยากเลย ทามเกลียดจะตายไป”

    “เปล่า ปู่จะให้เราไปหาคำตอบให้ปู่ต่างหาก”

    “คำตอบ คำตอบอะไรคะคุณปู่”

    ทาฬิดาเกิดอาการงงขึ้นมาฉับพลัน คำตอบอะไรกันแน่หนอที่คุณปู่ของเธอต้องการจะเฉลยให้กระจ่าง แถมยังต้องเดินทางไปถึงต่างบ้านต่างเมือง จะไปที่ไหนนั้นเธอยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ

    “เราพูดสเปนได้หรือเปล่าไหม”

    “ได้นิดๆ ค่ะ ไม่มากนักหรอกค่ะ แค่สวัสดี โฮลา ลาก่อน อะดีโอส แต่อังกฤษพอใช้ได้ค่ะ ไม่อดตายแน่ๆ”

    “งั้นคงต้องหาล่ามให้” ผู้ชรากว่าเอนหลังพิงเก้าอี้โยกตามเดิม

    “จะให้ทามไปสเปนหรือคะ”

    “ไม่ใช่”

    “อ้าว แล้วทำไมต้องพูดสเปน”

    “เพราะประเทศที่เราจะไปต้องใช้ภาษาสเปน”

    “หือ ประเทศอะไรคะ”

    “เปรู”

    “อ๊าย... จริงหรือคะคุณปู่ คุณปู่ใจดีที่หนึ่งเลย ทามอยากไปเปรูมากเลยค่ะ” ทาฬิดาแทบจะกระโจนกอดคุณปู่ของเธอ ประเทศในแถบนั้นถือเป็นประเทศในฝันติดหนึ่งในสิบที่เธออยากจะไป

    “ไม่ใช่แค่เปรู เราต้องไปคาบสมุทรยูคาทันด้วย”

    “หา อะไรนะคะ” ทาฬิดาตาโต อยู่ๆ ราวกับสวรรค์ประทาน เธอจะได้ไปอเมริกากลางจริงๆ หรือเนี่ย โอ้ว..พระเจ้า  

    “เตรียมตัวให้พร้อมปู่จะให้เราเดินทางวันมะรืน”

    “เอ๊ย อะไรจะเร็วขนาดนั้นคะคุณปู่ ทามยังไม่ได้เตรียมตัวเลยค่ะ วีซ่าก็ยังไม่ได้ขอ พาสปอร์ตหมดอายุหรือเปล่าไม่รู้”

    “ไม่หมดหรอก ปู่เอามาจากแม่ของเราตั้งแต่อาทิตย์ก่อน วีซ่าก็ขอให้เรียบร้อย ตั๋วเครื่องบินก็เรียบร้อย เหลือแต่เรานั่นแหละ ที่จะต้องเอาตัวเองขึ้นเครื่องไปเท่านั้น คนรู้จักของปู่จะเดินทางไปบรรยายที่นั่นวันมะรืน ปู่ฝากเราไปกับพวกเขาด้วย”

    “อ้าว แล้วกัน คุณปู่วางแผนเอาไว้แต่แรกก็ไม่บอกทาม ปล่อยให้ทามคิดว่าจะต้องไปทำเรื่องเอง”

    “ไปกับพวกเขา พักกับพวกเขา แต่ต้องไปทำงานให้ปู่ สัญญากับปู่ก่อนว่าจะหาคำตอบมาให้ปู่ให้ได้”

    “ขึ้นอยู่กับคำถามนั่นแหละค่ะ คุณปู่อยากให้ทามหาคำตอบเรื่องอะไร เกี่ยวกับอะไร ถ้าหาได้ง่ายๆ ทามก็สบาย ได้คำตอบเร็วทามจะได้เที่ยวต่อ ได้คำตอบช้าคงต้องอยู่หาคำตอบอีกยาว”

    “เข้าทางเราเลยสิ ใช่ไหม”

    “แหม่ คุณปู่ก็ ทามอยากไปเปรูมาตั้งนานแล้วนะคะ อยากไปดูมาชูปิ๊กชูว่าจะสวยแค่ไหน อีกอย่างนะคะคุณปู่ขา เขาว่าที่นั่นเป็นดินแดนแห่งสุริยะเทพ มีภูเขาอยู่ทั้งสี่ทิศ น่าสนุกดีออก เผลอๆ น้า ถ้าทามได้ไปที่นั่น ทามอาจจะได้พบคนรักของทามก็ได้”

    “อยากมีคนรักมากหรือไงเรา เจ้าฮงไม่ใช่คนรักของเราหรือไง”

    “โอ๊ย คุณปู่เอาอะไรมาพูด ไอ้ฮงมันแค่เพื่อนทามค่ะ อย่างของทามพ่อเทพบุตรต้องหล่อๆ ผิวเข้มๆ ไม่ใช่หน้าตี๋อย่างไอ้ฮง ไม่เอาหรอก ตาไม่มีเหล่าเต้ง ลูกเกิดมาต้องมาเสียเงินทำศัลยกรรมเหมือนพ่อ”

    “เรานี่เหลือเกินจริงๆ เอาเถอะ ไปเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า หาหยูก หายาที่จำเป็นไปด้วย จะได้ไม่ลำบากถ้าไม่สบายขึ้นมา” 

    “เดี๋ยวค่ะคุณปู่ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้ทามไปหาคำตอบเรื่องอะไร ที่ไหน ยังไง”

    “ไว้ปู่จะบอกเราพรุ่งนี้ วันนี้ดึกแล้วไปนอนเถอะ ปู่จะไปเข้านอนแล้วเหมือนกัน”

    “ค่ะๆ ทามไปนอนก่อนน้า ฝันดีค่ะคุณปู่” ทาฬิกาโผเข้ากอดคุณปู่ของเธอ เพื่อลากลับไปยังบ้านหลังเล็ก ซึ่งเธอแยกตัวออกไปอยู่ที่นั่น โดยให้เหตุผลว่า ต้องการความเป็นส่วนตัว เพราะเธอไม่อยากส่งเสียงดังรบกวนผู้ใหญ่ในบ้านในยามวิกาล

    “ขอผมรู้คำตอบก่อนนะครับ ไม่อย่างนั้นผมคงนอนตาไม่หลับ” ลับหลังทาฬิดา ชายผู้ชราเอ่ยกับความว่างเปล่ารอบๆ ตัวเขา เขาไม่รู้ว่าคนที่เขาต้องการจะสื่อสารด้วยนั้นจะได้ยินที่เขาพูดด้วยหรือเปล่า เพียงแค่หวังว่าความตั้งใจของเขานั้น อีกฝ่ายอาจจะสามารถรับรู้ได้

     

    “ครับท่านเรียบร้อยดีทุดอย่างครับ เหลือแค่เดินทางเท่านั้น ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ ผมเข้าใจ ผมจะดูแลหนูทามอย่างดี น่าเสียดายนะครับที่ท่านไม่ได้เดินทางไปด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงสนุกแน่ๆ เลยครับท่าน” ทุติพูดกับโทรศัพท์ของเขา

    เขาได้รับการร้องขอจากนายพลทรงธรรม นายพลใหญ่ผู้เคยให้ความช่วยเหลือเขามาสมัยที่เขาต้องเข้าป่าไปสำรวจโบราณสถานเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน หากครั้งนั้นเขาไม่ได้นายพลทรงธรรม เขากับลูกน้องคงหลงป่า เสียชีวิตอยู่ในป่าดิบรกนั้น ไม่ได้มานั่งหายใจอยู่จนทุกวันนี้

    “ผมอยากไปเหมือนกัน ผมแก่แล้วไม่ใช่หนุ่มๆ เหมือนเมื่อก่อน จะเดินไปไหนมาไหนยังลำบาก ถ้าต้องไปสมบุกสมบันเหมือนเมื่อก่อนผมคงจะแย่”

    “เสียงของท่านยังทรงพลังอยู่เลยครับ”

    “แค่เสียง ไม่ใช่ร่างกาย ผมฝากด้วยก็แล้วกันนะทุติ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ผมไม่อยากรบกวนคุณเลย”

    “ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ผมต้องไปที่นั่นอยู่แล้ว ท่านไม่ต้องเกรงใจผมหรอกครับ ผมยินดีและเต็มใจเป็นอย่างมาก ที่จะได้รับใช้ท่าน”

    “ทามเรื่องมากนิดหน่อยนะทุติ พ่อกับแม่ตามใจมาตั้งแต่เด็ก”

    “หนูทามคงไม่ก่อเรื่องอะไรวุ่นวายให้กับผมหรอกครับ เธอดูน่ารักเรียบร้อยจะตายไป”

    “นั่นมันตอนเป็นเด็ก ตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว เรื่องมากที่สุด เอาแต่ใจตัวเองตลอด กับปู่อย่างผม ยังจะมาเล่นแง่อีกนะ”

    “ฮ่าๆ ตามไสตล์วัยรุ่นกระมังครับท่าน”

    “นั่นแหละผมขอขอบใจคุณอีกครั้งนะ ถ้าทามหาคำตอบให้ผมได้ ผมคงนอนตายตาหลับ”

    “ครับท่าน”

    “ไปทำงานของคุณเถอะ ผมรบกวนแค่นี้แหละ แล้วเจอกันวันเดินทาง” ปลายสายบอกกับทุติอย่างนั้น

    “ครับท่าน” สิ้นคำของทุติ เสียงโทรศัพท์เปลี่ยนเป็นสัญญาณ ตุ๊ดๆ เขาจึงวางหูโทรศัพท์ให้เข้าที่

    “ท่านนายพลโทรมาหรือคะ” นาลันทาเอ่ยถาม

    “อือ ท่านโทรมาขอบใจพวกเรา ที่จะพาหลานสาวของท่านไปด้วย ว่าแต่คุณจะเอาหลานสาวไปด้วยจริงๆ หรือเปล่า”

    “ค่ะ นาว่าจะพายายจิ๊ดไปด้วย รายนั้นอยู่บ้านก็รังแต่จะสร้างปัญหา สู้ให้แยกตัวออกมาดีกว่า มุจก็จะไปกับเราด้วยนะคะ บอกว่าอยากไปถ่ายรูป”

    “ครั้งนี้คงสนุกสินะ มีคนตามทีมเราไปตั้งหลายคน”  

    “กลัวจะวุ่นมายมากกว่าสนุกสิคะจารย์ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่”

    นาลันทาไม่อยากจะคิดถึงความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดตามมาตอนไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ทั้งหลานสาว ทั้งคนรัก ที่สำคัญหลานของนายพล

    “เอาน่า ไหนๆ จะได้เดินทางไกลทั้งที เราก็ต้องมีทีมของพวกเราไปเยอะหน่อย นี่ก็ว่าถ้าใครว่างๆ จะให้ตามหลังเราไป ครั้งนี้เจ้ามือใหญ่ให้เราอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย”

    “ใครคะ”

    “ท่านนายพลทรงธรรมนั่นแหละ ท่านบอกว่า ท่านจะเป็นนายทุนให้กับพวกเราเอง”

    “ว่าแต่ท่านมาทุ่มงบมากมายอย่างนั้นให้เราทำไมหรือคะ”

    “พูดไปก็ตลก ท่านฝันแล้วก็อยากรู้คำตอบ”

    “หา แค่ฝัน ถึงกับเอาเงินตั้งมากมายมาให้เราเลยหรือคะ”

    “ถ้าฝันธรรมดาๆ ก็ดีไปสิ แต่นี่ท่านฝันมาหลายสิบปี”

    “ฝันยังไงคะ”

    “ท่านบอกว่า ตั้งแต่ท่านได้นาฬิกาเรือนหนึ่ง ท่านก็ฝันว่ามีผู้หญิงมาหาท่าน มาบอกกับท่านว่าเป็นราชินีของอาณาจักรอะไรสักอย่าง แรกๆ ท่านคิดว่าท่านอ่านหนังสือมากไป หลังๆ ท่านยังฝันอยู่ ที่สำคัญ นาฬิกาเรือนนั้นช่วยชีวิตท่านเอาไว้ แต่มันไม่ได้แค่ช่วยชีวิตเท่านั้น เมื่อมันเสียต้องเอาไปซ่อม คนในบ้านนั้นจะตายไปหนึ่งคน แรกๆ ท่านไม่ได้คิดอะไร หลังๆ ท่านลองสังเกตมันเกิดเรื่องอย่างนั้นจริงๆ ท่านก็เลยอยากจะพิสูจน์ว่า สิ่งที่ท่านฝันจะเป็นเรื่องจริงหรือแค่ฝันไป”

    “มันก็เป็นไปได้นะคะ ที่จิตของท่านจะผูกติดกับอดีตชาติ จนสามารถรับรู้อะไรต่อมิอะไรจากอดีต”

    “ผมว่าท่านอาจจะรู้ตัวว่ากำลังจะเป็นอะไร”

    “อ้าวเหรอคะ”

    “ท่านบอกกับผมว่า นาฬิกาเรือนนั้นเสียอีกแล้ว ท่านก็เลยให้ผมพาหลานสาวของท่านไปกับเรา”

    “เพื่อ” แววตาของนาลันทาบ่งบอกว่าเธอกำลังสงสัย

    “เพื่อตอบคำถามในใจของท่าน ว่าผู้หญิงที่บอกว่าเป็นราชินีคนนั้น ต้องการอะไรจากครอบครัวท่านน่ะสิ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ หลังจากที่หลานสาวของท่านเกิด ผู้หญิงคนนั้นมาเข้าฝันบอกกับท่านว่า เจ้าของนาฬิกาเรือนนั้นมาแล้ว ให้ท่านเอาไปคืนเจ้าของที่แท้จริง พอท่านเอาไปรับขวัญหลาน ท่านไม่เคยฝันอะไรอีกเลย”

    “แปลก ถ้าผู้หญิงที่บอกว่าเป็นราชินีมีอยู่ในอดีตจริงๆ คงอายุเป็นพันปี จะมีนาฬิกาได้ยังไง แปลกมาก”

    “นั่นสิ น่าแปลกมาก ผมลองดูนาฬิกาเรือนนั้น มันไม่น่าจะมีอายุเกินร้อยปี นาฬิกาที่เรารู้ๆ กันมันเริ่มผลิตเป็นนาฬิกาพก ตั้งแต่ศตวรรษที่สิบหก แต่ไอ้นาฬิกาข้อมือเนี่ยมันเกิดราวๆ ปีหนึ่งแปดหกแปดหรือหกเก้านี่แหละเท่าที่ผมจำได้ แค่ร้อยสี่สิบกว่าปีเท่านั้นเองนะ”

    “อืม น่าแปลกมาก” ยิ่งฟังนาลันทายิ่งคิดตาม ยิ่งคิดตามเธอยิ่งแปลกใจหนักขึ้นเรื่อยๆ หรือครั้งนี้พวกเธอจะต้องเจอกับอะไรประหลาดๆ อีกหรือเปล่า คงไม่ใช่แค่การไปประชุมสัมมนาทั่วๆ ไปอีกแน่ๆ เธอ        ไม่อยากจะคาดเดาเรื่องล่วงหน้า เธอไม่ใช่นักพยากรณ์ ขอให้ความคิด  ของเธอ เป็นแค่เพียงความคิดเท่านั้น จะดีที่สุด

    “ที่สำคัญไปกว่านั้น นาฬิกาเรือนนั้น ทำด้วยโลหะที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมเคยเอามันไปให้ผู้เชี่ยวชาญดู เขาบอกว่า โลหะนี้หาได้ยากมาก เขาขอผมเอาไปทดสอบ แต่ท่านนายพลไม่ให้ บอกว่ากลัวหาย เราก็เลยยังไม่รู้ว่ามันทำมาจากโลหะอะไร ที่แน่ๆ ก็คือ มันแข็งแรงมากๆ ขนาดเสือกัดฟันยังหัก คุณคิดดูเองก็แล้วกัน”

    “โห ถึงขนาดฟันหักเลยหรือคะ” นาลันทาตาโต

    “ครับ ผมเห็นมากับตา ตอนนั้นท่านนายพลมาช่วยพวกผม    พวกเราหลงป่ากัน ท่านบังเอิญแวะมาล่าสัตว์พอดิบพอดี เสือมาจากทางด้านหลัง ท่านยกมือขึ้นบังตัวเอง มันกัดข้อมือของท่านไป เรานึกว่าตายแน่ๆ ที่ไหนได้ เสือฟันหัก เพราะกัดสายนาฬิกา ท่านยังให้เขี้ยวเสือกับผมมาเลย นี่ไง ผมเอาไปแกะเป็นพระห้อยคออยู่เนี่ย”

    ทุติล้วงสายสร้อยห้อยพระของเขาออกมาให้นาลันทาดู

              ทุติคงไม่โกหกเธอ สิ่งที่อยู่ในมือของทุติคือเขี้ยวเสือของแท้ แน่นอน ไม่ใช่เขี้ยวหมูป่าเอามาหลอก แค่มองเธอก็รู้ว่ามันคือของจริง

    สิ่งที่เธอเป็นกังวลไม่ใช่เขี้ยวเสือนั้น แต่เป็นนาฬิกาข้อมือเรือนนั้นต่างหาก อยากรู้จริงๆ ว่ามันจะแตกต่างจากนาฬิกาทั่วไปตรงไหน แถมเธอยังอยากเห็นสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ในนาฬิกาเรือนนั้นอีกด้วย จะใช่ราชินีที่ทุติพูดถึงหรือเปล่า งานนี้คงสนุกกว่าที่คิดเอาไว้ ถ้าเจ้าของนาฬิกาตัวจริงออกมาปรากฏกายให้พวกเธอได้เห็น

    จะบรื้อ หรือจะว้าว แล้วแต่สถานการณ์จะพาไป

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×