คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๒
บทที่ ๒
หลังจากวันนั้นฉันก็ไม่ได้เห็นน้องผีดิบอีกเลยแม้กระทั่งวันงานกีฬา น้องผีดิบก็ไม่ได้มางานกีฬาเหมือนที่บอกกับฉันเอาไว้จริงๆ ฉันเหลียวซ้ายแลขวา มองหาน้องผีดิบแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
“เป็นอะไรผึ้ง เห็นชะเง้อมองหาใครแต่เช้าแล้ว” สุชาดาคงทนกับอาการชะเง้อมองหาใครสักคนของฉันไม่ได้
ตั้งแต่เช้าที่ผ่านมา จิตใจฉันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เฝ้าแต่มองหาน้องผีดิบไปทั่วเมื่อมองไม่เห็นก็แอบถอนหายใจ จะไม่ผิดปกติถ้าอาการของฉันไม่ได้เกิดขึ้นทุกนาที บางครั้งสุชาดาคุยด้วยฉันก็ไม่ได้ฟังสิ่งที่เธอพูด
“เปล่า” สิ่งที่ออกจากปากเหมือนปติเสธให้เป็นเรื่องปกติ
“อะไรเปล่า ฉันเห็นแกมองหาใครตั้งแต่เช้า ถามอะไรก็ไม่ได้ยิน หูดับชั่วคราวหรือไง”
“เปล่าจริงๆ แกมีอะไรว่ามา ฉันจะไปดูน้องอีกรอบ”
“ดูน้อง น้องไหน ดูทำไมมีอะไรให้ดู”
“เอ๊า...ก็ไปเตรียมกระดานแปลอักษรให้น้องไงถามได้”
“ช้าไปแล้วแก ไอ้เกลือให้น้องขนไปแต่เช้าแล้ว นั่งอยู่ตรงนี้มองไม่เห็นอะไรเลยหรือไง เออ...แปลกแท้ไอ้เพื่อนคนนี้ ใจหายไปไหนวะแก เอามาจากบ้านหรือเปล่า ทำตาลอยๆ ตั้งแต่เช้า แปลกคนจริง” สุชาดาบ่นงึมงำ ทำเอาฉันใจคอไม่ดีที่รู้ว่าเพื่อนพยายามจะจับผิด
“บ้าดิ เอามาเว้ย จะเอาไปทิ้งที่ไหนได้”
“นึกว่าทิ้งไปกับน้องผีดิบของแกแล้วซะอีก”
“บ้า จะเอาไปทิ้งที่นั่นได้ไง ใครที่ไหนก็ไม่รู้” อาการรู้ทันของเพื่อน ทำเอาฉันหน้าหงาย
“เออ…ขอให้จริงเถอะ เห็นเพื่อนๆ บอกว่าน้องเค้าอยู่โรงพยาบาล จะมาอีกทีก็โน่นอาทิตย์หน้า” สุชาดาส่ายหน้ากับคนปากแข็ง ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทของเธอจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาทั้งวัน และที่สำคัญคนที่เพื่อนของเธอกำลังมองหา หรือเรียกได้ว่ามองหามาทั้งวันนั้นตอนนี้ยังไม่เห็นเงา แถมยังหายไปไม่บอกกล่าวกับใครไว้เลยสักคน เธอรู้มาว่าเข้าโรงพยาบาล เพราะเพื่อนอีกคนของน้องคนนั้นเป็นคนบอกกับเธอมาอีกที
“เฮ้ย...เป็นอะไรเข้าโรงพยาบาล เมื่อวันก่อนยังเห็นดีๆ อยู่เลย” ฉันตกใจกับคำบอกเล่าของสุชาดา จิตใจตอนนี้อดเป็นห่วงน้องผีดิบไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดผู้หญิงคนนั้นถึงได้มีอิทธิพลกับฉันมากมายถึงเพียงนี้
“ไม่รู้ ไม่ได้ถามละเอียด รู้แต่ว่าต้องเข้าไปนอนโรงพยาบาลบ่อยๆ แค่นั้นเอง” สุชาดาส่ายหน้าไปมา เธอไม่รู้อะไรมากนักนอกจากที่บอกกับสราลีไป
“น้องเค้าไม่สบายหรือเปล่าแก”
“ถ้ารู้ ฉันก็ไม่ต้องมาเรียนแล้วไอ้ผึ้ง ตรัสรู้เป็นศาสดา ตั้งศาสนาสุชาดาไปแล้ว อยากรู้ก็ไปถามพวกเพื่อนๆ น้องผีดิบเองดิ เผื่อจะได้รู้ลึกรู้จริงกับเค้าบ้าง” สุชาดาบุ้ยไป
เมื่อหาคำตอบให้กับเพื่อนไม่ได้ ทางที่ดีควรไปถามกับคนที่รู้จะดีกว่า ถ้าให้เธอเดาก็คงเดาไม่ถูกหรอกนะว่าน้องผีดิบเป็นอะไรร้ายแรงมากหรือเปล่า
“บ้าใครจะไปกล้าถาม เดี๋ยวโดนถามกลับมาว่า สออะไรพี่ ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ฉันก็ซวยดิ”
“เออ...เนอะ นั่นสิ ไม่ใช่เรื่องของเรานี่หว่า งั้นแกก็รอถามน้องเค้าเองตอนน้องผีกลับมาเรียนก็แล้วกัน ตอนนี้แกกับฉันไปช่วยกันส่งโค้ดแปลอักษรให้น้องเถอะ ใกล้เวลาแล้ว” สุชาดาหันหลังเดินจากฉันไปทันทีที่พูดจบ
หลังงานกีฬาน้องใหม่เสร็จสิ้นลง น้องผีดิบของฉันก็ไม่กลับมาเรียนอีก ใจหนึ่งก็อยากจะถามรุ่นน้องให้รู้ๆ กันไปเลย อีกใจหนึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะถามดีหรือเปล่า
สุดท้ายฉันก็เลียบๆ เคียงๆ สอบถามจนได้ความว่า น้องผีดิบอยู่โรงพยาบาล และให้ญาติมาขอดรอปเรียนไปเรียบร้อยแล้ว
ใจฉันนั้นหายไป ลืมไปด้วยซ้ำว่ายังหายใจอยู่หรือเปล่า กว่าจะรู้ตัวว่ามีเสียงเรียกจากน้องปีหนึ่งคนที่ฉันถามถึงน้องผีดิบ เวลาก็ผ่านไปหลายอึดใจ
“พี่ๆ พี่ผึ้งเป็นอะไรหรือเปล่าคะ พี่ผึ้ง”
“คะ?”
“พี่เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ อยู่ๆ ก็เงียบไป”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร พอดีพี่เห็นเพื่อนโบกมือเรียก ก็เลยไม่ได้ทันฟังน้อง น้องว่าอะไรนะคะ”
“หนูบอกพี่ว่า ไก่เค้าดรอปเรียนไปแล้วค่ะ เค้าไม่สบาย”
“ค่ะ ขอบใจนะ พี่คงต้องไปก่อน” ฉันเดินจากน้องปีหนึ่งคนนั้นมาแบบตัวโหวงๆ ราวกับได้ทำหัวใจหล่นหายไปที่ไหนสักแห่ง
ฉันกลับมานั่งเรียนจนถึงเวลาเลิก วันนี้ฉันกับสุชาดาและเกลือต้องเอากระดานแปลอักษรไปส่งคืนที่โรงเรียนเก่าของฉัน
สุชาดารีบร้อนขนของ เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของน้องสาวเธอ ครอบครัวของเธอจะไปฉลองวันเกิดครบสิบแปดปีของน้องสาวในห้างใกล้ๆ กับโรงเรียนเก่าของฉัน
“เร็วๆ หน่อยสิวะไอ้เกลือ เป็นผู้ชายแท้ๆ เรี่ยวแรงหายไปไหนหมดวะ” สุชาดาบ่นเกลือเสียงดังลั่น
ฉันหอบแผ่นกระดานมายื่นส่งให้กับเกลือ ที่แทรกตัวเข้าไปอยู่ด้านในหลังคารถ และจัดเรียงแผ่นกระดานให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
“แกก็เข้ามาเองดิ ร้อนก็ร้อน ยังกะเตาอบ”
“เออๆ รีบๆ หน่อย ฉันรีบไป”
“ไอ้ผึ้ง แกวางเอาไว้ท้ายรถก่อนก็ได้ ทำไมแกไม่เรียกน้องปีหนึ่งมาช่วยบ้างวะ จะได้เสร็จเร็วๆ ไอ้สุมันรีบไปแดกข้าวกับพ่อมัน มันคงกลัวน้องมันแย่งกินของอร่อยหมด เหลือแต่ผักเอาไว้ให้”
ฉันยืนฟังยิ้มๆ สุชาดาเคยบอกว่าเธอไปกินข้าวกับครอบครัว แต่เธอไปช้า พอไปถึงกับข้าวทุกอย่างหมดเกลี้ยงเหลือแต่ผักรองจากกับก้างปลาทิ้งเอาไว้ให้เธอ น้องๆ ของเธอแต่ละคนกำลังกินกำลังนอนทั้งนั้น ในฐานะพี่คนโตจึงต้องเสียสละสั่งข้าวไข่เจียวหมูสับมากินกับข้าวที่เหลืออยู่ในโถ
“ไอ้นี่วอน มาแช่งให้ฉันกินผักรองจาน” สุชาดาโวย ส่วนฉันเดินกลับไปที่สโมฯ เพื่อไปขนแผ่นกระดานที่เหลืออีกไม่กี่แผ่นมาวางไว้ที่รถให้กับเกลือ
“ไอ้ผึ้ง แกจะไปกับพวกฉันไหม” เสียงตะโกนถามไล่หลังฉัน
“ไปสิ ไปยืมมาก็ต้องเอาหน้าไปบอกว่าเอามาคืน” ฉันส่งเสียงตอบกลับไป ไม่แน่ใจว่าคนที่อยู่บนรถจะได้ยินหรือเปล่า
ฉันเอากระดานชุดสุดท้ายไปวางเอาไว้ พลันสายตาก็เห็นรุ่นน้องปีหนึ่งคนที่ฉันถามเรื่องน้องผีดิบเมื่อตอนเช้าไปยืนมุงๆ อยู่กับรถของเพื่อน ที่จอดอยู่ถัดจากรถของเกลือไปสามคัน ฉันจึงเดินเข้าไปหา
“ไปเที่ยวไหนกันล่ะ น้องๆ”
“จะไปเยี่ยมเพื่อนค่ะพี่”
“ใครไม่สบาย”
“เอ้า...ก็ไก่ไงพี่ หนูบอกพี่ไปเมื่อเช้า แม่ไก่มาขอรับบริจาคเลือด ไก่ต้องผ่าตัด แต่เลือดไม่พอ”
“ถึงต้องขอเลือดกันเลยเหรอ เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ไม่แน่ใจพี่ พวกหนูไม่ได้ถามอาจารย์ พออาจารย์มาบอกพวกหนูก็รีบลงมากันนี้แหละ”
“เค้าต้องการเลือดกรุ๊ปอะไร”
“เอบีค่ะ”
ฉันได้ยินอย่างนั้นก็รู้ว่าเลือดของไก่กรุ๊ปเดียวกับฉัน
“รอพี่เดี๋ยวนะ พี่ไปบอกเพื่อนก่อน เราไปโรงพยาบาลอะไร”
รุ่นน้องบอกชื่อโรงพยาบาลกับฉัน จากนั้นฉันจึงคิดว่า มันไม่ไกลจากโรงเรียนเก่าของฉันมากนัก หากส่งแผ่นกระดานแปลอักษรเสร็จ ฉันอาจตามไปสมทบได้
“ไอ้เกลือเสร็จหรือยัง”
“เสร็จแล้ว อะไรวะแกสองคนเนี่ย เร่งกันฉิบหาย ทำไมอีกล่ะ”
“เสร็จก็ดีแล้ว รีบๆ ไปเลย ฉันต้องไปโรงพยาบาลต่อ”
“ใครเป็นอะไรวะ”
“นั่นสิใครเป็นอะไรวะ เห็นแกไปคุยกับรุ่นน้อง”
“น้องผีดิบต้องผ่าตัดเลือดไม่พอ ก็เลยว่าจะไปบริจาคให้”
“ไหวเหรอไอ้ผึ้ง” สุชาดาพูดเหมือนจะค้าน
“ไหวๆ เร็วๆ เถอะ เดี๋ยวน้องเค้าหาเลือดไม่ได้ จะตายไปเสียก่อน” ฉันเร่งยิก จนเกลือกับสุชาดาต้องรีบเข้าประจำที่ ขับรถไปโรงเรียนเก่าของฉัน และพาฉันไปโรงพยาบาลที่น้องผีดิบรักษาตัวอยู่
น้องปีหนึ่งนั่งรอคิวให้เลือดอยู่สองสามคน ส่วนฉันไปถึงเป็นคนสุดท้าย
ปกติแล้วฉันเป็นคนกลัวเข็มฉีดยาเป็นที่สุด เลี่ยงได้เป็นต้องเลี่ยง หากไม่จำเป็นจริงๆ ฉันขอกินยาแทนการฉีดยาหรือให้น้ำเกลือจะดีที่สุด
“ท่องไว้ๆ มาทำความดี ไม่ต้องกลัว” ฉันบอกกับตัวเองอย่างนั้น ฉันไม่มีเพื่อนมาด้วย สุชาดารีบไปหาครอบครัว ส่วนเกลือรีบเอารถกลับไปคืนที่บ้าน ฉันจึงมานั่งหัวโด่อยู่คนเดียว
ครั้นจะแสดงความกลัวออกมาก็ไม่ได้ น้องปีหนึ่งที่นั่งรออยู่ก่อนหน้าฉัน ไม่มีใครแสดงทีท่าว่าจะกลัวเลยสักคน ยังคงคุยเล่นกับเพื่อนๆ ที่มาด้วยกันอย่างสนุกสนาน
ส่วนฉัน นั่งมือเย็นเฉียบ ราวกับกำลังรอโดนเชือด ฉันนั่งรอจนถึงคิวของตัวเอง
“น้องคะ มาบริจาคเลือดหรือเปล่าคะ” เสียงเจ้าหน้าที่ถามฉัน
“ค่ะ” ฉันเดินไปนั่งตรงข้ามกับเจ้าหน้าที่สาว สายตาฉันกลับเห็นเขี้ยวของเธอยาวโง้ง จนน่ากลัว
“ชั่งน้ำหนักค่ะ” ฉันทำตามที่เธอบอก
“วัดความดันนิดนะคะ” ฉันยื่นแขนให้เธอ วัดความดัน
“ปกติค่ะ สูงเท่าไหร่คะ”
“167 ค่ะ”
“เคยบริจาคเลือดหรือเปล่าคะ”
“ไม่เคยค่ะ”
“งั้นขอตรวจหน่อยนะคะ เจาะปลายนิ้วนิดเดียวไม่เจ็บมากหรอกค่ะ”
“ไม่เจาะไม่ได้หรือคะ หนูรู้ว่าหนูกรุ๊ปเอบี”
“รู้ได้ยังไงเอ่ย”
“เคยตรวจตอนเรียนวิชาชีวะค่ะ”
“ยังไงก็ต้องเจาะค่ะ เราจะดูด้วยว่าเลือดน้องจมหรือลอย ส่งมือมาค่ะ” เจ้าหน้าที่ยังคงทำหน้าที่ต่อไป โดยไม่ได้มองฉันเลยสักนิดว่าตอนนี้มือเย็นเฉียบ แถมยังหน้าซีดเป็นไก่ต้ม
เธอใช้อะไรสักอย่างจิ้มไปที่ปลายนิ้วของฉัน จากนั้นก็บีบๆ มันเหมือนกำลังโดนหนามตำ จะว่าเจ็บก็ไม่เท่าไหร่ แต่ความเสียวนี่สิ สุโค่ยจริงๆ
“โอเค กรุ๊ปเอบี เลือดจมไม่ลอย เอาใบนี้ไปให้ในห้องนะคะ” เจ้าหน้าที่บอกฉันพร้อมกับชี้เข้าไปในห้อง
ฉันเดินเข้าไปในนั้น กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งไปหมด ได้กลิ่นแรกๆ ยิ่งหวาดหวั่น สูดไปนานๆ เข้า พลันรู้สึกอยากอาเจียน
“แขนซ้ายหรือขวาคะ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินมารับบัตรในมือฉันไป ฉันไม่เข้าใจคำถามที่เธอถาม
“อะไรนะคะ”
“น้องจะเจาะแขนซ้ายหรือขวาคะ”
“แขนไหนดีกว่ากันคะ”
“เอาแขนข้างที่น้องคิดว่าอยากให้เจาะนั่นแหละค่ะ ดีที่สุด”
“ขวาก็ได้ค่ะ” ฉันตอบไปอย่างงงๆ
“งั้นเตียงนี้ค่ะ” เจ้าหน้าที่สาวสวยบอกกับฉันและชี้ไปที่เตียงเล็กๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ฉันเดินไปถึงเตียงและล้มตัวลงนอน เจ้าหน้าที่อีกคน เอาอะไรก็ไม่รู้เป็นแท่งกลมๆ มาให้ฉัน “กำแบๆ นะคะ” ฉันทำตามที่เธอบอก จากนั้นก็นอนหลับตา
ความรู้สึกคือมีสายอะไรบางอย่างมีรัดที่ต้นแขนของฉัน จากนั้นใครสักคนจับแขนฉันพลิกไป-มา ไม่นานนักอะไรเย็นๆ ก็มาถูที่ข้อพับบริเวณใต้ข้อศอกของฉัน จากนั้นเข็มแหลมๆ ก็ทิ่มลงไปอย่างไม่ปราณี
“โอ๊ยพี่ เจ็บ” ฉันร้องลั่น เมื่อเข็มนั้นถูกแทงลงไปในแขนน้อยๆ ของตัวเอง
“อย่าดิ้นนะคะน้อง กำแบๆ เอาไว้นะคะ” เจ้าหน้าที่ไม่สนใจว่าฉันจะร้องดังแค่ไหน ยังคงทำหน้าที่ของเธอต่อไป ราวกับว่าที่ฉันต้องมาเสียเลือดในครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องปกติ
ฉันอดทนกับความเจ็บอยู่ราวๆ เกือบสิบนาที เจ้าหน้าที่อีกคนก็เดินเข้ามาเขย่าถุงเลือดของฉัน พอเห็นเลือดของตัวเองในถุง ฉันแทบเป็นลม คิดอยู่อย่างเดียวว่า
“เอาวะ เพื่อน้องผีดิบ เอาเลือดให้กินไปซะ จะได้หายเร็วๆ”
หลังจากนั้นฉันก็ทำในสิ่งที่ฉันต้องการทำสำเร็จ เจ้าหน้าที่สาวสวยเดินมาปลดเข็มออกจากแขนของฉัน “พับเอาไว้ก่อนนะคะ ยังไม่ต้องลุก เดี๋ยวหน้ามืด” เธอบอกอย่างนั้นแล้วก็เดินจากไป
ส่วนฉัน อย่าว่าแต่หน้ามืดเลย อาการวิงเวียนเพราะกลิ่นแอลกอฮอล์ยังคงท่วมท้น สุดท้ายเหมือนโลกทั้งใบหมุนติ้วๆ มาได้สติอีกครั้งก็ได้กลิ่นฉุนๆ ของอะไรบางอย่างอยู่ที่ปลายจมูกของฉัน
ฉันลืมตาขึ้นมองไปที่เพดานห้อง แสงไฟนีออนทำเอาแสบตา
“เป็นลมไปคะ ค่อยยังชั่วหรือยัง”
“ค่ะ” ฉันพยายามจะลุกขึ้น
“นอนพักอีกนิดก็ได้นะคะ หายดีแล้วค่อยลุก”
“ค่ะ” ฉันนอนนิ่งๆ ตามคำบอก ฉันไม่มีแรงลุกไปไหนในตอนนี้ การเสียเลือดครั้งแรกในชีวิต เพื่อต่อชีวิตให้กับอีกคนที่กำลังรอความช่วยเหลือจากฉัน ทำให้ฉันหมดสภาพจนแทบจะลุกไม่ขึ้น
“เมื่อวานเป็นยังไงบ้างไอ้ผึ้ง” สุชาดาถามฉันเมื่อเห็นหน้ากันในตอนเช้า
“ลมจับเลยแก แทบตาย”
“ว่าแล้วเชียว แกพักผ่อนน้อย กินข้าวก็ไม่ได้กิน ดีนะไม่ตาย”
“ต้องกินข้าวไปด้วยเหรอ”
“ก็เออ...สิวะ ไม่กินแล้วจะมีแรงได้ไง แกเสียเลือดนะโว้ย ไม่ได้เสียน้ำลาย”
“ทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะ”
“ก็นึกว่าแกรู้ เห็นกุลีกุจอจะไปให้เลือดน้อง ว่าแต่ว่าน้องเป็นไงบ้าง”
“ไม่รู้สิ ฉันเป็นลมก็เลยไม่ได้ขึ้นไปดู”
“เวรเอ๊ย” สุชาดาสบถเบาๆ “เดี๋ยวถามน้องปีหนึ่งให้ น้องๆ มานี่หน่อย” สุชาดาตะโกนและกวักมือเรียกน้องปีหนึ่งที่เดินผ่านมาแถวๆ โต๊ะที่เรานั่งอยู่
“ไก่เป็นไงบ้าง”
“วันนี้จะผ่าตัดค่ะพี่ ตอนเย็นพวกหนูจะไปเยี่ยม”
“งั้นเย็นนี้ไปกับพี่ พี่จะไปด้วย” สุชาดาบอกรุ่นน้องไปอย่างนั้น
“ค่ะพี่”
“รีบไปเรียนเถอะเดี๋ยวจะสาย” สุชาดาบอกทั้งรุ่นน้องและฉัน ที่ยังคงนั่งรอฟังคำตอบจากน้องปีหนึ่ง ฉันจึงรีบลุกขึ้นเดินตามสุชาดาไปเรียน ทั้งๆ ที่ใจยังอดห่วงคนที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัดอยู่ไม่น้อย
หลังเลิกเรียน สุชาดาพาฉันและรุ่นน้องอีกสามคนไปโรงพยาบาล ที่น้องผีดิบรักษาตัวอยู่
“ห้องไหนวะไอ้ผึ้ง”
“จะไปรู้เรอะ ลองถามประชาสัมพันธ์ดูสิ”
“แล้วน้องเค้าชื่ออะไรวะ น้องๆ รู้ไหมไก่ชื่อจริงชื่ออะไร”
“อ๋อ..ครรธรส สุวคนธ์ค่ะพี่”
“โอเค งั้นไปถามให้พี่หน่อยว่าไก่อยู่ห้องไหน”
“ค่ะพี่”
ฉันกับสุชาดารอไม่นาน รุ่นน้องที่มาด้วยก็เดินมาบอกกับพวกฉัน
“เขาห้ามเยี่ยมค่ะพี่ บอกว่าพึ่งออกจากห้องผ่าตัด”
“อ้าวแล้วกัน ไม่เป็นไร งั้นแยกย้ายกันกลับบ้านก็แล้วกัน บ้านอยู่แถวไหนกันบ้าง”
รุ่นน้องบอกตำแหน่งที่อยู่ของตัวเอง เมื่อถามกันจนรู้ความ มีน้องบางคนขอติดรถไปลงป้ายรถเมล์ และบางคนก็กลับบ้านเอง เพราะอยู่กันคนละทิศกับบ้านของฉันและสุชาดา
“ชวดเลยว่ะ ไม่เป็นไรพรุ่งนี้มาใหม่ก็ได้” สุชาดาคงเห็นฉันนั่งเงียบๆ มาตลอดทาง จึงพูดกับฉันเมื่อรุ่นน้องคนสุดท้ายลงจากรถของเธอไปแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องมาก็ได้” ฉันบอกไปอย่างนั้น เพราะเกรงใจสุชาดาที่ต้องมาลำบากขับรถฝ่ารถติดมาส่งฉัน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องอะไรของเธอเลยสักนิด
“เอาน่า ได้เลือดดีๆ ของแกไปแล้ว คงหายวันหายคืนนั่นแหละ”
“ก็หวังว่าเลือดฉันคงดีพอที่จะไปอยู่ในตัวน้องเค้านะ”
“เอาน่าแก อย่างน้อยแกก็ได้ทำในสิ่งที่แกอยากทำ แม้น้องเค้าจะไม่รู้ว่าแกแอบชอบเค้าก็เถอะ”
“แกรู้ได้ไงว่าฉันแอบชอบน้อง”
“ใครไม่รู้ก็บ้าแล้ว แกแสดงออกขนาดนี้ ไม่รู้ก็โง่เต็มที”
“นั่นสิเนอะ คงมีแต่แกนั่นแหละที่รู้ น้องเค้าคงไม่รู้”
“เถอะน่า ทำความดีเอาไว้ ไม่เสียหลาย สักวันอาจมีใครสักคนที่หลงรักแก มาบริจาคเลือดให้แกตอนผ่าตัดก็ได้นะโว้ย ใครจะไปรู้”
“ไอ้นี่แช่งเพื่อน”
“ไม่ได้แช่ง พูดเฉยๆ เค้าว่ากรรมติดจรวด แกทำกรรมดี ความดีก็ต้องติดจรวดมาหาแกบ้างแหละน่า เชื่อดิ”
“สาธุ สมพรปากแกเถอะไอ้สุ” ฉันยกมือท่วมหัว ราวกับสุชาดาเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ที่กำลังให้พรฉัน
“เจริญพรสีกา ฮ่าๆๆ” สุชาดาหัวเราะลั่นรถ ก่อนที่จะส่งฉันตรงป้ายรถเมล์หน้าปากซอยทางเข้าบ้านของฉันเหมือนเช่นทุกครั้ง
“ขับรถดีๆ ล่ะแก ถึงบ้านแล้วโทรบอกด้วย” ฉันสั่ง
“เออๆ ถึงแล้วจะติ๊ดไปบอกก็แล้วกัน เปลืองเงินโว้ย ยังไม่ได้เติม”
“ได้ๆ โอเค บายๆ” ฉันโบกมือลาเพื่อนและเรียกวินมอเตอร์ไซด์เข้าไปที่บ้านของตัวเอง หลังจากกลับถึงบ้านฉันก็หลับเป็นตาย โดยไม่รู้ว่าสุชาดาโทรมาหาฉันตามที่ฉันสั่งเอาไว้หรือเปล่า
วันรุ่งขึ้นฉันไปมหาวิทยาลัยตามปกติ วันนี้ฉันมีเรียนตอนเช้า ส่วนสุชาดามีเรียนบ่าย เราสองคนลงเรียนวิชาไม่เหมือนกัน
ฉันกับสุชาดาเรียนเอกเดียวกัน แต่เรียนวิชาโทคนละภาค จึงทำให้เราสองคนมีเรียนด้วยกันแค่บางวิชาเท่านั้น ไม่เหมือนกับตอนเรียนปีหนึ่ง ที่ทุกคนต้องเรียนวิชาบังคับเหมือนๆ กันหมดทั้งคณะ
ถ้าวันไหนสุชาดาไม่ได้เรียนกับฉัน เวลาเที่ยงๆ ฉันก็ต้องกินข้าวคนเดียว บางครั้งเกลือก็จะมากินเป็นเพื่อน แต่ไม่บ่อยนัก เพราะส่วนใหญ่พวกผู้ชายมักจะร่วมกลุ่มกันในตอนเที่ยง ไม่ไปตีสนุ๊ก ก็ไปเตะบอล
ส่วนพวกผู้หญิงอย่างฉัน ถ้าไม่เข้าห้องสมุด ก็ไปนั่งตามโต๊ะแถวๆ ใต้โถงตึก หรือไม่ก็ออกไปเดินช้อปปิ้งในห้างที่อยู่หน้าปากซอยทางเข้ามหาวิทยาลัย
วันนี้ฉันฉายเดี่ยวจึงเดินเข้าห้องสมุด หาหนังสือนิยายมานั่งอ่านเล่นฆ่าเวลาที่ต้องเข้าเรียนในตอน่ายสองโมง
ฉันโทรหาสุชาดาแต่เธอไม่รับสาย กะจะถามว่าจะให้จองเก้าอี้ให้หรือเปล่า
“อะไรของมันวะ โทรไปก็ไม่รับ หรือว่าโทรศัพท์มันโดนตัด” ฉันบ่นกับโทรศัพท์ของฉัน จะพูดดังมากก็ไม่ได้ ฉันนั่งอยู่ท่ามกลางคนอ่านหนังสือทั้งโต๊ะ
จริงๆ แล้วฉันใช้โทรศัพท์มือถือในห้องสมุดไม่ได้ด้วยซ้ำไป แต่ก็มักมีนักศึกษาประเภทพวกฉันแอบหยิบเอาขึ้นมาใช้ และปิดเสียงเรียกเข้าเป็นการสั่นแทน หากโดนจับได้ จะถูกเชิญออกไปจากห้องสมุดทันที
ฉันนั่งเมามันกับการอ่านนิยายในเล่มไปจนเกือบจบ ก็ได้เวลาเข้าเรียน จึงรีบวิ่งกลับไปที่ตึก เห็นเพื่อนๆ ออกันอยู่หน้าห้อง กะจะเดินเข้าไปถามว่าอาจารย์งดสอนหรือเปล่า
“เฮ้ยแกไอ้ผึ้ง แกรู้ข่าวไอ้สุหรือเปล่าวะ” เกลือถามฉันทันทีที่เห็นหน้า
“ข่าวอะไรวะ ไม่รู้ดิ”
“เมื่อคืน รถไอ้สุโดนรถสิบล้อชนกระเด็นขามฝั่งไปอีกฝั่ง ตอนนี้ไอ้สุมันอยู่ไอซียู” เกลือบอกฉันด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ทั้งๆ ที่เรื่องที่ออกมาจากปากเกลือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายของสุชาดา
“อะไรนะไอ้เกลือแกว่าอะไรนะ ไหนว่าใหม่สิ” ฉันตัวชาไปทั้งตัวที่ได้ยินในสิ่งที่เกลือบอกกับฉัน แต่ก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ฉันบอกว่า ไอ้สุมันโดนรถสิบล้อชน ตอนนี้อยู่ในห้องไอซียู
“ไอ้บ้า เมื่อคืนฉันยังได้รับ...”ฉันหยุดไปแค่นั้น ยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูสาย Miss call ของสุชาดา ที่โทรมาหาฉันตอนราวๆ สี่ทุ่มกว่าๆ
“นี่ไงมันโทรหาฉันตอนสี่ทุ่ม โกหกหรือเปล่า” ฉันยื่นโทรศัพท์ในมือของฉันให้เกลือดู เพื่อพิสูจน์ว่าฉันไม่ได้โกหกเช่นกัน
“โกหกไปหาสวรรค์วิมานอะไรเล่า เรื่องจริง ไม่เชื่อถามจารย์ดิ ใช่ไหมครับจารย์” เกลือหันไปถามอาจารย์ที่ปรึกษาของฉัน ที่ยืนอยู่หน้าห้องรวมๆ กับเพื่อนร่วมรุ่นของฉัน
“จริงๆ สุชาดาโดนรถชนจริงๆ เมื่อเช้าพ่อกับแม่ของเธอโทรมาหาครู” เมื่ออาจารย์ที่ปรึกษายืนยันอย่างนั้น ฉันถึงกับเข่าอ่อน
“เห็นปะ บอกแล้วไม่เชื่อ เฮ้ย...ไอ้ผึ้ง” เกลือรีบประคองตัวฉันที่กำลังทรุดลงไปนั่งกับพื้น
“เฮ้ย...ใครมียาดมบ้างวะ เอามาหน่อย ไอ้ผึ้งเป็นลม เร็วๆ เข้า”
“หลบๆ ออกมาสิ อย่าไปมุง เพื่อนเป็นลมต้องการอากาศ” ฉันได้ยินเสียงอาจารย์ที่ปรึกษาฉันบอกกับเพื่อนๆ อย่างนั้น แล้วสติทั้งหมดของฉันก็ดับวูบลง
ความคิดเห็น