ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลกาล YURI ญรญ

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๒

    • อัปเดตล่าสุด 26 ส.ค. 57


    บทที่  ๒

     

     

    ทาฬิดามาตามนัด เธอมีอาชีพเป็นช่างภาพสมัครเล่น        ส่วนอาชีพจริงๆ นั้น เธอยังเรียนไม่จบเลยด้วยซ้ำ แถมยังมีวี่แววว่าจะต้องเรียนเพิ่มอีกหนึ่งปี เพราะเธอไม่ยอมไปสอบ

    จริงๆ แล้ว เธอมาช่วยเพื่อนรับจ้างถ่ายรูปวันรับปริญญาให้กับเพื่อนของเพื่อนอีกทีหนึ่ง เพื่อนของเธอรับงานชนกัน งานนี้จึงตกมาถึงมือของเธอราวกับส้มหล่น

    ทาฬิดายกมือของเธอขึ้น หมายจะดูนาฬิกาตามความเคยชิน ข้อมือนั้นกลับว่างเปล่า

    “อ้าว ซวยเลย” เธอล้วงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลาบนหน้าจอ ก่อนที่จะกดไปยังเบอร์ของลูกค้า

    “โหลๆ โทษนะคุณอยู่ตรงไหนคะ ฉันเป็นช่างภาพที่จะมาถ่ายรูปให้คุณ” ทาฬิดาส่งเสียงออกไป

    “อยู่หน้าเสาธงค่ะ”

    “ตรงฝั่งไหนคะ” ทาฬิดามองไปที่เสาธงที่ว่านั้น

    บริเวณนั้นมีกลุ่มคนยืนอยู่เต็มไปหมด จะหาที่ว่างสักนิดยังไม่มี แล้วเธอจะหาคนจ้างเจอไหมล่ะนั่น

    “ฝั่งพระรูปค่ะ เดินตรงมาคุณก็จะเห็น ฉันยกมืออยู่”

    คนพูดบอกอย่างนั้น ทำให้ทาฬิดาต้องเดินเขย่งปลายเท้าเพื่อที่จะมองดูว่าใครกำลังยกมืออยู่บ้าง 

    “อ๋อ เจอแล้วค่ะ กำลังจะเดินไปหา”

    ทาฬิดาบอกอย่างนั้น เธอรีบเดินไปหาผู้ว่าจ้างของเธอทันที

    “สวัสดีค่ะ ฉันทาม ฮงบอกฉันว่าคุณต้องการช่างภาพ”

    “ค่ะ พวกเราต้องการช่างภาพ น่าเสียดายนะคะที่ฮงไม่ว่าง”

    ทาฬิดาไม่ได้พูดอะไร เธอเปิดกระเป๋ากล้องหยิบอุปกรณ์ของเธอออกมาเตรียม ทุกอย่างจึงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มหญิงสาวที่ว่าจ้างเธอ ได้เวลาเข้าแถวเพื่อที่จะซ้อมรับปริญญา เธอจึงเดินตามกลุ่มนั้นไป เผื่อจะเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ให้กับคนกลุ่มนั้น

     

    ธีรัชกลับมาจากทำงาน เขาเห็นปู่ของเขายังนั่งทำงานอยู่ เขาจึงเข้าไปทักทาย

    “อ้าวก๋ง ยังไม่นอนอีกหรือครับ”

    “ยังหรอก ฮงล่ะไปไหนมา กลับมาซะมืดเชียว”      

    “ผมไปรับจ้างถ่ายรูปมาครับก๋ง นี่ก๋งกินอะไรหรือยังครับ”

    “กินแล้ว”

    “ไอ้ทามมาหรือเปล่าก๋ง”

    “ก๋งบอกกี่ครั้งแล้ว อย่าไปเรียกคุณหนูทามว่าไอ้ รู้ไหมว่า”

    ยังไม่ทันที่เฮงจะพูดต่อ หลานชายของเขาพูดแทรกขึ้นมาทันที

    “ครอบครัวท่านเจ้าคุณช่วยครอบครัวเราไว้ตอนสงครามโลก ถ้าไม่ได้ท่าน พ่อของเอ็งต้องอดข้าวตาย เอ็งไม่ได้เกิดเป็นคนถึงทุกวันนี้ รู้แล้วน่าก๋ง ผมฟังมาตั้งแต่ตีนผมเท่าฝาหอย แต่ไอ้ทามมันเพื่อนผมนะก๋ง”

    “อีกแล้วนะ บอกไม่รู้จักฟัง ท่านนายพลก็เพื่อนก๋ง ก๋งยังไม่จิกเรียกท่านอย่างนั้นเลย”

    “คร๊าบ ว่าแต่ไอ้คุณหนูทามมันมาที่บ้านเราหรือเปล่าครับก๋ง”

    “มาเมื่อเช้า เอานาฬิกามาซ่อม”

    “อ้าว มันไม่ได้ฝากอะไรให้ผมหรือครับ” ธีรัชออกอาการไม่พอใจนิดหน่อย ทาฬิดาบอกว่าจะเอารายงานของเก่าๆ มาให้เขา ถ้าคืนนี้เขาไม่ได้รายงานพวกนั้น เขาจะเอาอะไรมาทำรายงานส่งในคืนนี้

    “ไม่ได้ฝาก” ชายชราลุกจากเก้าอี้ ทำท่าจะเดินออกไปจากร้าน

    “ก๋งจะไปไหนครับ”

    “กำลังจะไปบ้านท่านนายพล”

    “จะเอานาฬิกาไปให้ไอ้ทามมันหรือครับ ผมเอาไปเองก็ได้”

    เข้าทางของธีรัชพอดิบพอดี เขากะจะไปทวงถามเรื่องรายงานจากทาฬิดา เมื่อปู่ของเขาต้องการที่จะไปบ้านเรือนไทย เขาจึงไม่รอช้ารีบเสนอตัวรับใช้ ได้ความดีความชอบ แถมยังได้ไปเฉ่งทาฬิดาถึงบ้าน

    “ไม่ใช่ ก๋งมีเรื่องจะไปปรึกษากับท่านนายพลเสียหน่อย”

    “งั้นเดี๋ยวผมไปส่ง”

    “ไม่ต้อง ก๋งขี่จักรยานไปเองได้”

    “ผมบอกก๋งกี่ครั้งแล้ว ขี่จักรยานไป หน้ามืดขึ้นมาจะลำบาก      ไม่รู้ล่ะ ก๋งรอหน่อย เดี๋ยวผมไปเอารถมารับก๋งไปก็แล้วกัน”

    ธีรัชไม่รอช้า เขารีบวิ่งไปที่รถ ขับมาจอดรอเฮงอยู่ที่หน้าร้าน   แล้วจึงพากันไปบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ บ้านหลังนั้น      อยู่สุดซอยก่อนถึงแม่น้ำพอดิบพอดี

     

    เฮงค่อยๆ ลงมาจากรถ ด้วยวัยที่เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง เขาจึงเดินเหินได้ไม่สะดวกเหมือนสมัยยังเป็นหนุ่ม เขาไม่ได้มาที่บ้านเรือนไทยหลังนี้  นานแล้ว ครั้งสุดท้ายที่มา เหมือนว่าจะมางานแต่งงาน ของลูกชาย     ท่านนายพลทรงธรรม ที่ชื่อปราชญ์ยุทธ

    หากลูกสาวของปราชญ์ยุทธเป็นผู้ชายคงเดินตามรอยเท้าพ่อ   เป็นทหารทั้งตระกูล เมื่อทาฬิดาเกิดเป็นผู้หญิง จึงทำให้ตระกูลนี้ไม่มีคน รับช่วงต่อการเป็นทหารอีกเหมือนอย่างแต่ก่อน

    เฮงค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ โดยมีธีรัชเข้ามาประคองเขา

    “ไม่ต้องหรอกอาฮง ก๋งเดินไปเองได้ จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ”

    “ครับก๋ง” ถึงเฮงจะบอกเขาอย่างนั้น เขายังคงยืนมองอยู่ห่างๆ คอยระวังว่าปู่ของเขาจะเดินสะดุดล้ม จนชายชราเดินเข้าไปในตัวบ้าน เขาจึงเดินไปยังเรือนหลังเล็กซึ่งเป็นที่พักของทาฬิดา

    “ไอ้ทาม เอ็งเอารายงานมาให้ข้าเลยนะเว้ย” ธีรัชตะโกนเรียกเจ้าของบ้านทันทีที่เดินเข้าไปด้านใน

    “อะไรของแกวะ เสียงดังมาเลยนะไอ้ฮง ตั้งแต่กลับมาข้านั่งไรท์รูปให้เอ็งยังไม่เสร็จเลย จะเอาอะไรนักหนาวะ ใช้ๆ อยู่นั่นแหละ”

    “รายงานโว้ย รายงาน ข้าต้องทำรายงานคืนนี้”

    “เออ ใช่ ข้าลืมไปเลย วางอยู่บนเก้าอี้ในกระเป๋านั่นแหละ เอ็งหยิบไปเลยไอ้ฮง แล้วก็เบาๆ เสียงหน่อย วันนี้คุณปู่ท่านลงมาข้างล่าง เสียงดังนัก จะโดนไม้ตะพดเพ่นกบาล”

    “อ้าวเหรอวะ ข้านึกว่าคุณปู่นายพลของเอ็งขึ้นห้องหนังสือไปแล้วซะอีก”

    “ไอ้ทุเรศ แป๊ะเฮงมาหา คุณปู่ข้าก็ต้องลงมาต้อนรับสิวะไอ้โง่”

    “จริงของเอ็ง อ้าว ลืม” ธีรัชตบกระเป๋าเสือและกางเกงของเขา

    “อะไรของเอ็งอีกล่ะ” ทาฬิดายื่นแผ่นซีดีให้กับธีรัช

    “ก๋งบอกจะเอานาฬิกามาให้เอ็ง สงสัยจะติดตัวไป”

    “ไม่เป็นไรหรอก แค่โล่งๆ ข้อมือเท่านั้นแหละ”

    “เอ็งนี่ก็แปลกเนอะ นาฬิกาใหม่ๆ สวยๆ มีตั้งเยอะไม่ใส่ ดันมาใส่แต่เรือนเก่าๆ สมัยเจ้าคุณปู่อยู่ได้”

    “เอ็งไม่เคยรู้สึกอย่างข้านี่หว่า ข้าอุ่นใจทุกครั้งที่มันอยู่ที่ข้อมือของข้า”

    “ทำอย่างกับเด็กติดหมอนเน่า ผ้าห่มเน่าอย่างนั้นแหละ”

    “หรือเอ็งไม่เป็น ตอนเด็กๆ เอ็งติดผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ใช้จนเก่า จนเปื่อย หายไปก็ไม่ได้ นี่อย่าบอกนะว่าตอนนี้เอ็งยังพกติดกระเป๋ากางเกงอยู่”

    “โอ๊ย ใครจะบ้าพกผ้าเก่าๆ ติดกระเป๋าวะ อายสาวตายหะสิโว๊ย”

    สองเพื่อนซี้ต่างเพศนั่งพูดคุยกันไปเรื่อยๆ ธีรัชรอว่า เมื่อไหร่ปู่  ของเขาจะเดินออกมาจากเรือนใหญ่ จะได้เอารถไปรับ ส่วนทาฬิดานั้นรอว่าเมื่อไหร่ธีรัชจะกลับ เธอจะได้ไปอาบน้ำนอน

    อดีตนายพลใหญ่แห่งกองทัพไทย นั่งมองนาฬิกาเรือนนั้นไม่วางตา

    “เสียอีกแล้วเหรอฮง”

    “ครับ”

    “คงจะมีเรื่องอีกแล้วสิใช่ไหม”

    “ผมไม่อยากให้มีเรื่องอีกเลยครับ ครั้งก่อนที่มันเสีย ท่านเจ้าคุณก็ด่วนจากไป อีกครั้งที่มันเสีย คุณหญิงท่านเจ้าคุณก็จากไป จากนั้นตามด้วยท่านจอมพล คุณหญิงของท่านจอมพล รวมถึงคุณหญิงของท่านด้วย มันแปลกไหมล่ะครับท่าน”

    “คงไม่มีอะไรหรอกน่าเฮง อย่าคิดมากเลย นาฬิกามันต้องมีเดินๆ หยุดๆ บ้างสิ จะให้เดินเที่ยงอยู่ตลอดเวลาคงเป็นไปไม่ได้ มันเก่าแล้ว คนเราก็เหมือนกัน จะเกิดจะตาย ห้ามไม่ได้หรอก อีกอย่างใช่ว่าเราจะไม่รู้ เจ้าคุณปู่ท่านป่วยกระเสาะกระแสะมาหลายปี ท่านจากเราไป ถือว่าท่านไปสบาย ไม่ต้องมานั่งกินยาวันละหลายๆ หม้อ ทั้งยาหมอไทยหมอจีน หมอฝรั่ง ยุ่งยากไปหมด ที่สำคัญท่านไม่ต้องมาเห็นสงครามโลกที่เกิดในบ้านเรา ท่าไม่ต้องหลบเข้าหลุมหลบภัย ไม่ต้องมาฟังเสียงหวอเตือนภัย ไม่ดีหรือไงหือเฮง”

    “ท่านคิดอย่างนั้นผมก็เบาใจครับ ผมเกรงว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับท่านอีกสิครับ”

    “ไม่หรอก ฉันยังแข็งแรงดี ไม่มีอะไรหรอกน่า อย่าคิดมากสิเฮง”

    “แต่...” ชายชราเชื้อสายจีนหยุดคำพูดของเขาเอาไว้เท่านั้น

    “นายเป็นคนเอามันมาขายให้กับท่านเจ้าคุณปู่เองกับมือ นายกลับบอกว่ามันมีอาถรรพ์ ใครจะไปเชื่ออย่างนั้นล่ะเฮง”

    “ท่านก็รู้นี่ครับ หลังจากที่ผมขายท่านไป เจ้าของคนนั้นมาบอกกับผมว่า นาฬิกาเรือนนี้ร้องหาเจ้าของ เธอถึงรีบเอามาขายต่อ ทั้งๆ ที่ชอบ มันมาก แถมยังไปซื้อมาจากอินเดียโน่น”

    “ไม่หรอกน่า นาฬิกาอะไรจะร้องหาเจ้าของ ไอ้เจ้านาฬิกาเนี่ย ช่วยชีวิตกันเอาไว้ตั้งหลายครั้ง ถ้าไม่ได้มันมีหรือกันจะได้มานั่งคุยกับนายอย่างนี้ล่ะเพื่อน”

    “แล้วเรื่องความฝันนั่นละครับท่าน”

    “ช่างความฝันเถอะ กันไม่ได้คิดอะไรมากกับความฝันนั้นหรอกน่า เอาเถอะ ถ้านายเป็นห่วงมาก พรุ่งนี้กันจะไปทำบุญกับหลวงพ่อที่วัด ไปด้วยกันไหมล่ะ”

    “ไม่ล่ะครับ ผมไปไหนมาไหนไม่สะดวก ไม่แข็งแรงเหมือนท่าน ผมลาท่านกลับเลยดีกว่าครับ ฝากนาฬิกานี่คืนคุณหนูทามเธอด้วยนะครับ”

    เฮงเห็นว่าดึกแล้ว เขาควรจะบอกลาเจ้าของบ้านเสียที แค่มารบกวนยามวิกาลเขาเกรงใจจนบอกไม่ถูก

    “โชคดีเพื่อน” เจ้าของบ้านบอกกับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของเขา

    ลับหลังของเฮง นายพลชราไอออกมาอย่างหนัก เขารู้ตัวดีว่า ร่างกายของเขานั้นคงใกล้ถึงวันที่จะได้พักผ่อน จะเป็นการพักผ่อนที่แสนจะยาวนาน เวลานี้เขายังหายใจได้ กินได้เดินได้ เขาคงต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้เขาเบาใจ จะได้นอนหลับยาวๆ โดยไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไป

    ความฝันครั้งแรกของเขา เขาฝันเห็นเมืองหน้าตาแปลกๆ วิหารแปลกๆ รูปร่างคล้ายกับพีระมิดไม่มียอดแหลม ผู้คนแต่งตัวแปลกประหลาดคล้ายกับอินเดียแดง และที่สำคัญคือภูเขาลูกนั้น ลูกที่มีความละม้ายคล้ายกับใบหน้าของคน เขาเห็นครั้งแรกในความฝันถึงกับขนลุกทั่ว ใครจะไปคิดว่าภูเขานั้นจะเป็นใบหน้าของคนได้

    จะว่าไปแล้ว คงเหมือนกับเขานางนอนที่เชียงราย เขาลูกนั้นเห็นแล้วทำให้จินตนาการไปถึงผู้หญิงกำลังนอนหลับขวางทาง แต่เขาลูกนั้นไม่ใช่เลย ใบหน้านั้นแม้จะดูสงบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความน่ากลัว หากใบหน้าที่เขาเห็นผินหน้ามาจ้องมองด้วยดวงตาลุกวาว เขาคงจะกระโจนหนีลงไปในหุบเหวได้ โดยไม่คิดว่าจะต้องกลับมารักษาบาดแผล จากการตกจากที่สูงหรือไม่

    สิ่งสำคัญกว่าใบหน้านั้นคือ หญิงสาวคนหนึ่ง เธอบอกกับเขาว่าเธอชื่อโยกล์อิกนัล เป็นราชินีของที่แห่งนี้ เธอกำลังตามหาคนรักของเธอ ซึ่งถูกคนลอบสังหาร เขาไม่เข้าใจว่า เขาเข้าไปข้องเกี่ยวอะไรกับราชินีองค์นั้น เขาไม่รู้จักเธอด้วยซ้ำ

    “คนของเจ้าสังหารคนรักข้า ข้าจักทำให้คนของเจ้าต้องตายตามคนรักข้า”

    “อะไรนะ จะบ้าไปแล้วหรือไง ใครกันทำอย่างนั้น”

    “ปู่ของเจ้าไง”

    “เจ้าคุณปู่เนี่ยนะไปฆ่าคนของคุณ ตั้งแต่เมื่อไหร่”

    “ชาติปางก่อน”

    “เฮ้ย บ้าไปกันใหญ่แล้ว เรื่องของชาติก่อนก็ต้องจบไปแล้วสิ จะตามมาจองล้างจองผลาญอะไรกันถึงชาตินี้”

    “ไม่ทำเช่นนั้นได้อย่างใดกัน หากมันไม่ฆ่าคนรักของข้า เพลานี้ข้าคงได้อยู่คู่กับนาง จวบจนวันสิ้นโลก”

    “หือ อะไรนะ คุณรักของคุณเป็นผู้หญิงอย่างนั้นเหรอ”

    “ทำไม ข้าจักรักหญิงมันผิดตรงไหน”

    “ปะๆ เปล่า ผมแค่งงเท่านั้น”

    “จากนี้ไป เจ้าจะต้องได้รับบทเรียนจากข้า อิกนัล จนกว่าคนรักของข้าจะตามหาข้าเจอ” ร่างนั้นหายไปทันใด ปล่อยให้ทรงธรรมยืนงงอยู่กับความฝันของตัวเอง

    เขาสะดุ้งตื่น คิดทบทวนความฝันของเขา แปลกประหลาดนัก ที่มันชัดเจนเหมือนเขาพบมาด้วยตาตัวเอง เสียงพูดของผู้หญิงที่ชื่ออิกนัลยังก้องอยู่ในสมองของเขา

    จนเมื่อยุคสมัยของโลกเปลี่ยนไป เขาจึงได้เห็นภาพของวิหารนั้นอีกครั้ง มันคือภาพของมาชูปิกชู สถานที่ซึ่งใช้บูชาเทพเจ้าของชนเผ่าอินคา แต่ชื่ออิกนัลนั้นกลับเป็นราชินีของชนเผ่ามายาเป็นชนเผ่าปาเลงเก้ซึ่งถูกโจมตีโดยชนเผ่าคาลักมุลและถูกสังหารในครั้งนั้น

    เขาแปลกใจว่าสองดินแดนนี้ไปข้องเกี่ยวกันได้อย่างไร ดินแดน  ในแถบเปรูของชนเผ่าอินคา กับดินแดนในแถบคาบสมุทรยูคาตันของ    ชนเผ่ามายาซึ่งอยู่ห่างไกลกันมาก จะไปเกี่ยวดองกันได้อย่างไร หรือคน   ในสมัยนั้นติดต่อกันได้ เพราะสองดินแดนนี้มีแผ่นดินติดกัน และสามารถเดินเท้าไปหากันได้ แต่ต้องใช้เวลาในการเดินทางค่อนข้างยาวนาน

    เรื่องที่เกิดขึ้นกับเขายังมีเรื่องประหลาดอีกมากมาย จนเขาเริ่มคิดว่านาฬิกาเรือนนั้นคือสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเหล่านั้นจริงๆ หรือแค่เหตุบังเอิญเท่านั้น

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×