คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๒
บทที่ ๒
เทพอาเมนรา หรือองค์สุริยะเทพของสาวตาคม ชักพระราชพาหนะออกมาให้คนบนพื้นโลกได้ยลโฉมอีกครั้ง รามิดาไม่เคยรู้สึกว่าแสงอาทิตย์จะให้ความอบอุ่นเท่ากับวันนี้มาก่อน
แม้เธอจะเคยตื่นเช้ามาจ้องมองดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ไม่มีครั้งใดที่ พระอาทิตย์จะส่องแสงแรกจับขอบฟ้าได้งดงามเท่ากับวันนี้ หรือเทพอาเมนราจะทำหน้าที่ได้ดีในประเทศนี้ ส่วนที่อื่นๆ ท่านไม่ไปทำหน้าที่ก็ไม่รู้สิเนอะ
รามิดาลืมไปว่าผู้หญิงที่แต่งกลายเป็นชนพื้นเมืองคนนี้ชื่ออะไร เธอไม่ได้สอบถามเลยด้วยซ้ำไปมัวแต่นั่งฟังเรื่องเล่าจากปากเรียวสวยนั้นจนลืม
“ขอโทษคะ ฉันยังไม่ได้ถามชื่อคุณเลย”
สาวตาคมยิ้มกว้างๆ ให้กับรามิดา ก่อนที่จะตอบว่า
“ฉันชื่อฮาบูค่ะ”
“ลม” รามิดาว่า
“อะไรคะ” ฮาบูได้ยินสิ่งที่รามิดาพูดไม่ถนัดนักจึงถามขึ้น
“ฮาบูเป็นชื่อลมไม่ใช่หรือคะ”
“ค่ะ”
“แสดงว่าคุณไปไหนมาไหนราวกับสายลมสินะ”
รามิดาเห็นว่าฮาบูทำอะไรต่อมิอะไรได้รวดเร็วแคล่วคล่อง จนบางครั้งเธอนอนมองจนเพลินแทบจะลืมหายใจ
“ไม่หรอกค่ะ ที่แน่ๆ วันนี้ฉันคงจะไม่ไปไหน ต้องอยู่ดูแลคุณทั้งวัน จนกว่าคุณจะอาการดีขึ้น”
“รู้สึกแย่จังเลยค่ะ ที่ต้องรบกวนคุณ”
รามิดาไม่คิดว่าเธอจะต้องกลายมาเป็นตัวถ่วงให้กับคนในคณะ ทั้งๆ ที่ครั้งแรกที่ตัดสินใจมาในครั้งนี้ เธอตั้งใจว่าจะบุกไปทุกแหล่งขุดค้น ไปหาข้อมูลบางอย่างเตรียมเอาไว้สำหรับการทำงานของเธอ เธออยากรู้ว่าแหล่งอารยธรรมของที่นี่กับแหล่งอารยธรรมในแถบดินแดนบ้านเกิดของเธอ มีความเหมือนหรือความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เมื่อต้องมาล้มหมอนนอนติดเตียงโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงทำให้เธอถึงกับใจเสีย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันยินดี”
“ว่าแต่วันนี้จารย์ทุจะไปไหนหรือคะ”
“ท่านทุติบอกว่าจะไปแหล่งขุดค้นแห่งใหม่ที่เราเพิ่งจะค้นพบค่ะ คุณตรีทิพย์กับคุณเรกะติบอกว่าจะอยู่ดูแลคุณ ฉันว่าไม่เป็นไร ทั้งสองจึงจะตามท่านทุติไปค่ะ”
“ฉันเลยกลายเป็นตัวถ่วงของคณะไปเลย แย่จริงๆ”
รามิดามีสีหน้าสลดลง
“เรื่องไม่สบายห้ามกันไม่ได้หรอกค่ะ คุณทานอาหารแล้วนอนพักผ่อนต่อเถอะค่ะ ไม่แน่นะพรุ่งนี้คุณอาจจะหายดีจนไปแหล่งขุดค้นกับท่านทุติด้วยก็ได้ ใครจะรู้”
“ค่ะ”
แม้จะรู้ว่าคำพูดของฮาบูคือการให้กำลังใจ แต่รามิดาเชื่อคำพูดนั้น เธอรู้สึกอ่อนเพลียจนไม่อยากจะขยับแขนขาไปทำอะไร อยากนอนอยู่ บนเตียงอย่างนี้ ไม่น่าเชื่อว่าแค่เมาเครื่องจะทำให้เธอถึงกับทรุดลงจนเกือบกลายเป็นคนพิการ
รามิดาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อมีเสียงของเด่นจันทร์ดังเข้ามากระทบโสตประสาท
“ยังไม่ตื่นหรือคะ” เด่นจันทร์เอ่ยถามคนเฝ้าไข้
“ยังค่ะ หลับไปหลังอาหารเที่ยง คงหลับเพราะยา”
ฮาบูตอบตามความคิดของเธอ
“ตื่นแล้ว” รามิดาตอบแทรกขึ้นมาทันที
“เป็นไงบ้างไอ้ดา แกไม่ได้ไปสวยชะมัดเลย เสียตรงที่ร้อนมากไปหน่อย ต้นไม้ไม่มีสักต้น”
“จะเอาอะไรล่ะ ตะบองเพชร หรืออินทผลัม”
“ไอ้นี่ เพื่อนทำงานมาเหนื่อยๆ มายอกย้อน แกนอนสบายอยู่คนเดียว เดี๋ยวปั้ดตบเปรี้ยง” เด่นจันทร์ยกมือขึ้นทำท่าขู่ไม่ได้คิดจะทำร้ายร่างกายรามิดาอย่างที่เธอพูด
“โอ๊ย” รามิดาร้องลั่น
“ไอ้บ้า ฉันยังไม่ได้ทำอะไรแกเลยนะ ร้องอย่างกับหมูออกลูก นี่ๆ รู้อะไรไหม”
“ไม่รู้” รามิดาพูดขัดคอเพื่อนรักทันที
“จะฟังไหม”
“ฟังก็ได้ว่ามาสิ”
“ที่ฉันไปเมื่อกลางวันนะ มองไปแรกๆ เหมือนเป็นก้อนหินหย่อม
เล็กๆ แค่นั้นเองแก แต่พอลงไปด้านในนะ มันมีแต่ทรายกับทราย”
“แล้วมันจะแปลกตรงไหนวะ มันเป็นทะเลทรายนี่หว่า มันก็ต้องมีแต่ทรายดิ”
“ไอ้นี่ชอบขัดอยากจะฟังหรือเปล่าล่ะ ฉันจะบอกว่า ไอ้ที่ทรายมันทับๆ เอาไว้นั่นแหละ มันคือบันไดทางลงโว้ย”
“แล้วไง”
“ท่าทางมันจะเป็นบันไดที่ลึกและยาวมากด้วยดิ”
“แกรู้ได้ไง”
“ก็พอขุดไปเรื่อยๆ ทรายมันค่อยๆ หายไป นี่นะทั้งวันขุดทรายออกมาได้เป็นตันๆ แต่ศาสตราจารย์กริมท่านว่าให้ค่อยๆ ขุดลงไป มันอาจจะมีของมีค่าหล่นอยู่ในทราย งานก็เลยช้า ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะใช้เครื่องดูดทรายออก จะได้เร็วๆ”
“ไอ้บ้า ทำแบบนั้นของโบราณก็หายหมดดิ”
“ไม่ได้ให้ดูดจนไม่เหลือซากสักหน่อย ฉันจะให้ดูดเอาไปกองเอาไว้ต่างหาก อยากรู้ใจจะขาดมันมีอะไรอยู่ข้างล่าง”
“เป็นนักโบราณได้ไงวะไอ้เด่น ใจร้อนนักนะเอ็ง ระวังเถอะแกจะไม่ได้อะไร มันต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ถึงมันจะเป็นทราย แต่ทรายก็อาจจะมีสีต่างกันก็ได้ ใครจะรู้”
“แกรู้ได้ไงว่าทรายมันมีสี่ต่างกัน อย่างกับเคยไปดูมางั้นแหละ”
“อ้าวเหรอ ทรายมันมีสีต่างกันงั้นเหรอ”
“ก็เออสิวะ ทรายแต่ละชั้นที่ขุดขึ้นมา สีมันต่างกัน อย่างกับเป็นทรายคนละที่งั้นแหละ แกบอกมาซะดีๆ แกรู้อะไรมาแล้วไม่บอกฉัน ใช่ไหม
ไอ้ดา”
“จะบ้าเหรอ ฉันนอนหลับอยู่จะไปรู้อะไรที่แกว่าล่ะ ไม่เชื่อถามคุณฮาบูดิ” รามิดาอ้างสาวตาคมของเธอขึ้นมาทันที
“แล้วไป นึกว่าแกรู้ แล้ววันนี้เป็นไงบ้างล่ะ หายดีหรือยัง”
เด่นจันทร์เปลี่ยนเรื่องมาเป็นถามอาการของเพื่อนรัก
“น่าจะดีแล้วนะ มีแรงขึ้นเยอะ แต่ยังไม่อยากกินอะไร เมื่อเช้าได้ซุบไปถ้วย กลางวันได้ซุบไปอีกถ้วย ยังพอไหว”
“แกไม่กินอะไรเลยไม่ได้นะไอ้ดา แกจะตายเอา เล่นอ้วกตั้งแต่ขึ้นเครื่อง ยันลงเครื่องมีหวังเหลือแต่กระดูกเป็นมันมี่เดินได้แน่แก”
“มันเหม็นไปหมดเลยว่ะไอ้เด่น ฉันกินอะไรไม่ได้เลย นอกจากน้ำซุบกับผักต้ม”
“เหม็นเนื้อสัตว์ไปเลยหรือไง”
“อือ แค่ได้กลิ่นก็จะอ้วกแล้วแก”
“ตาย” เด่นจันทร์แกล้งบ่น
“ยังไม่ตาย ยังหายใจอยู่”
“พรุ่งนี้แกจะไปกับพวกฉันได้หรือวะ ที่นั่นมีแต่เนื้อเค็มแดดเดียวย่าง ฉันกินมาสองมื้อยังปวดกรามไม่หาย”
เด่นจันทร์ว่าพลางยกมือของเธอนวดกรามตนเองไปด้วย
“ไอ้สรวงล่ะ” รามิดามองหาสรวงฟ้าซึ่งเป็นเหมือนเงาตามตัวของเด่นจันทร์มาแต่ไหนแต่ไร
“อาบน้ำอยู่ วันนี้เป็นกรรมกรแบกทราย”
“คนน้อยหรือไง”
“ไม่น้อยหรอก แต่ต้องเอามาดูทุกเม็ด ก็เลยต้องเข้าไปช่วย จะให้ผู้หญิงสวยๆ อย่างฉันไปแบกทรายเหรอ เมินเถอะเอ็ง ว่าไปฉันกลับไปอาบน้ำที่ห้องบ้างดีกว่า ไปนะคะคุณฮาบู ฝากเพื่อนฉันด้วยค่ะ”
เด่นจันทร์ว่าจบรีบลุกจากเตียงของรามิดาเดินไปยังประตูห้องและเปิดมันออกแรงๆ เพื่อนำตัวเองออกไปจากห้องนั้นอย่างรวดเร็ว
ทุติพาคณะของเขามาที่แหล่งขุดค้นอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
ในวันนี้รามิดาตามมาด้วย เธอไม่ได้รับมอบหมายงานอะไร ทุกคนลงความเห็นว่าเธอเพิ่งหายจากอาการป่วย จึงให้นั่งพักที่เต็นท์ นั่งดูคนอื่นๆ ทำงานไปพลางๆ ก่อน
รามิดานั่งดูไปเรื่อยๆ ชักจะคันไม้คันมือ เธอจึงเข้าไปช่วยสรวงฟ้าขุดทรายขึ้นมาที่ละกระป๋อง เพื่อดูว่าจะมีอะไรอยู่ในกองทรายเหล่านั้นบ้าง จากกระป๋องที่หนึ่ง เป็นกระป๋องที่สองต่อๆ กันจนกลายเป็นกองทรายกองโต ในทรายละเอียดนั้นไม่มีอะไรให้เธอค้นพบ มันเป็นเพียงทรายและทรายเท่านั้น
รามิดารู้สึกถึงความร้อนระอุของอากาศในทะเลทราย ไม่มีเมฆสักก้อนบนท้องฟ้า ไอความร้อนยิ่งเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนมาจนเกือบจะถึงกึ่งกลางขอบฟ้า เหงื่อที่ค่อยๆ ซึมออกมาของรมิดา บัดนี้มันชุ่มเสื้อที่เธอใส่อยู่ จนกลายเป็นเสื้อเปียกน้ำ รมิดารู้สึกหวิวๆ ขึ้นมาอีกครั้ง เธอจึงรีบเดินเข้าไปนั่งพักในเต็นท์
สิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆ คือกระติกน้ำ เธอไม่รอช้าที่จะหยิบมันขึ้นมาเปิดฝาและยกขึ้นดื่ม
“ค่อยๆ จิบนะคะ” เสียงหนึ่งร้องบอก ทำให้รามิดาต้องหันไปมอง
“ค่อยๆ จิบค่ะ อย่าดื่มมาก” ฮาบูเตือนรามิดาอีกครั้ง
รามิดาทำตามคำเตือนนั้น เธอค่อยๆ จิบน้ำแก้กระหาย ไม่ได้ซดฮวบอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ในครั้งแรก ฮาบูนำน้ำอะไรบางอย่างมาให้กับรามิดา เธอรับน้ำนั้นมาไว้ในมือ ยังไม่กล้าดื่มน้ำสีแดงๆ ในแก้วนั้นลงไป
“น้ำทับทิมค่ะ แก้กระหายได้ดีนะ” ฮาบูบอกกับคนตรงหน้าเธอ
เมื่อรู้ว่าน้ำในแก้วคือน้ำทับทิม รามิดาจึงค่อยๆ จิบ ความรู้สึกชุ่มคอเกิดขึ้นกับเธอ
“เวลากระหายน้ำมากๆ คนในแถบนี้จะนิยมดื่มน้ำทับทิมค่ะ”
เจ้าของน้ำอธิบาย
“ชื่นใจจังเลยค่ะ ทำให้คิดถึงน้ำลอยดอกมะลิที่บ้านฉัน”
“เป็นอย่างไรคะ”
“น้ำเปล่า นี่แหละค่ะ เราเอาดอกมะลิมาลอยไว้ พอดื่มเข้าไปจะได้กลิ่นหอมๆ ของมะลิผสมกับน้ำ ดื่มแล้วชื่นใจ”
“คุณชอบหรือคะ”
“ค่ะ ฉันชอบมาก สมัยยังเป็นเด็กเวลาไปที่บ้านสวน คุณยายของฉันชอบเอามาให้ดื่มบ่อยๆ แต่เสียดายที่ท่านจากไปแล้ว”
“เสียใจกับเรื่องคุณยายของคุณด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ท่านอายุมากแล้ว คนแถวๆ ละแวกนั้นบอกว่า ท่านมีบุญมาก ที่อยู่จนถึงอายุร่วมร้อยปี”
“เท่าที่ฉันฟัง ท่านดูสุขภาพแข็งแรงนะคะ”
“ค่ะ ท่านแข็งแรงมาก ตอนที่ท่านจะเสียท่านจากไปอย่างสงบ
หลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่เป็นไข้ ตัวร้อน หรือต้องให้อาหารทางสายยางแบบคนชราคนอื่นๆ”
เสียงของรามิดาสลดไปเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดต่อไปว่า
“งานไม่ค่อยจะคืบหน้าไปไหนเลยนะคะ มีแต่ทรายกับทรายอย่างที่เด่นบอกจริงๆ”
“ค่ะ งานขุดค้นในแถบนี้ในระยะแรกๆ จะมีแต่ทรายเท่านั้นค่ะ มีคนเคยบอกว่า ในสมัยก่อน บริเวณนี้เคยเป็นพื้นที่น้ำท่วมถึงมาก่อน เมื่อน้ำลดลงก็จะมีทรายปลิวว่อน สลับกันไปมาหลายต่อหลายครั้ง”
“มิน่าล่ะ ทรายที่ขุดขึ้นมาได้ถึงได้มีสีที่ต่างกัน เพราะน้ำนี่เอง”
“อาจจะเพราะน้ำ หรืออาจจะเพราะหินต้นกำเนิดทรายก็ได้ค่ะ”
“น่าคิดเหมือนกันนะคะ เราน่าจะเอาทรายไปเปรียบเทียบกับหินต้นกำเนิด ว่าหินชนิดไหนให้ทรายสีอะไร”
“ประเทศของเรามีเจ็ดแคว้นค่ะ แต่ละแคว้นให้สีของทรายแตกต่างกัน”
“จริงหรือคะ น่าสนใจจัง”
“ค่ะแต่ละแคว้นมีสีทรายต่างกัน มีทั้ง ขาว แดงสด แดง น้ำตาล น้ำเงิน สีครีมและคล้ำออกดำ”
“อยากเห็นตัวอย่างจังเลยค่ะ”
“ร้านขายของที่ระลึกมีขายค่ะ ฉันผ่านไปเมื่อไหร่จะซื้อมาฝากค่ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ ว่าแต่มีอาหารกลางวันอะไรหรือคะ ฉันชักหิว”
“น่าจะเป็นอาหารพื้นเมืองค่ะ กลิ่นผงกะหรี่แรงไปนิด คุณจะทานได้ไหมคะ”
“ขอดูได้ไหมคะ” รามิดากลืนน้ำลายลงคอ เมื่อคิดถึงเครื่องแกงกลิ่นฉุนที่เธอได้กลิ่นตอนที่ออกมาจากที่พัก หากอาหารมื้อนี้มีกลิ่นอย่างว่านั้นจริงๆ เธอคงเกิดอาการเดิมอีกเป็นแน่
อาหารวางอยู่บนโต๊ะ กลิ่นแกงกะหรี่ไก่โชยมาแต่ไกล ทำเอา รามิดาถึงกับต้องเดินปิดจมูก กลับไปที่เต็นท์เดิม
“ไม่น่าทานหรือคะ”
“มีอย่างอื่นอีกไหมคะ”
“มีผลไม้ค่ะ แคนตาลูบ อินทผลัม พอทานได้ไหมคะ”
“ขอผลไม้ดีกว่าค่ะ ชักทนไม่ไหว” แค่คิดว่าจะต้องกลืนสิ่งที่จะเป็นอาหารกลางวันลงคอ รามิดายังทำใจไม่ได้ หากได้กลืนมันลงคอไปจริงๆ มีหวังอาการเดิมของเธอคงพุ่งทะยานออกมาอีกตามเคย
ฮาบูสั่งให้คนของเธอนำผลไม้มาให้กับรามิดา เธอรู้สึกว่ากลิ่นของผลไม้น่าลิ้มลองกว่าอาหารพื้นเมืองนั้นเป็นไหนๆ
กลุ่มของทุติกลับมาพักในที่พัก เขาตัดสินใจว่า ในช่วงกลางวันจะให้คนงานนอนพักผ่อน และจะให้ทำต่อในช่วยกลางคืน ศาสตราจารย์กริมสั่งให้คนนำเครื่องปั่นไฟมาติดตั้งเอาไว้แล้ว การทำงานในเวลากลางคืนจะง่ายกว่า เพราะไม่มีความร้อน
“จารย์ทิพย์จะให้พวกเราอยู่จนถึงตอนกลางคืนหรือคะ”
เด่นจันทร์ถามตรีทิพย์
“พี่ว่าจะนะ ถ้าเราขืนตะแบงทำตอนกลางวันแดดเปรี้ยงๆ อย่างนี้มีหวังได้เป็นลมแดดตายกันหมด”
“นั่นสิ พี่เห็นด้วยกับจารย์ทุนะ”
เรกะติสนับสนุน เธอไม่อยากเป็นลมแดดอย่างที่ตรีทิพย์ว่า อาการขาดน้ำอาจทำให้ถึงขั้นตายได้
“แต่เด่นกลัวผี ไม่ใช่ผีไทยด้วยนะจารย์ มันเป็นผีแขกน้า เด่นไม่ได้พกหมูมาด้วย”
“บ้าน่าเด่น อย่าพูดอะไรแบบนั้นสิ” สรวงฟ้าปราม
“ใช่เด่น เข้าป่าอย่าถามหาเสือ”
“แล้วเข้าทะเลทรายห้ามถามหาอะไรคะ”
“พายุทราย” ฮาบูบอก
“หา” เด่นจันทร์อ้าปากค้าง “กลัวทำไมคะ แค่ลม”
“พายุทรายในทะเลทราย หอบเอาทรายกองใหญ่ๆ ทั้งกองหายไปในพริบตา” ฮาบูอธิบายคร่าวๆ
“ขนาดนั้นเชียว”
“ทรายแถวนี้ละเอียดมาก จนเกือบจะเป็นฝุ่นผง มีลมมานิดหน่อยก็ปลิวแล้ว ถ้าลมเป็นพายุ เราจะทำงานยากขึ้น ไอ้ที่เราขุดๆ มาทั้งหมด เผลอๆ อาจจะต้องขุดซ้ำก็ได้” เรกะติช่วยเสริม
“แม่เจ้า” จากที่ไม่เคยคิดว่าลมจะมีพลังอะไรมากมาย เวลานี้ เด่นจันทร์เปลี่ยนความคิดนั้นไปเรียบร้อย
“คืนนี้ไม่มีลมพายุหรอกค่ะ” ฮาบูบอก
“คุณลมรู้ได้ยังไงคะ”
“อ่านประกาศกรมอุตุฯ ค่ะ”
“อ๋อ.... นึกว่ามูเตลูเหมือนไอ้ดา” รามิดาโล่งอกที่ได้ยินคำตอบนั้น
“มูเตลู?” คิ้วเรียวสวยของฮาบูขมวดเข้าหากัน
“คืองี้ค่ะ ดาเค้าชอบรู้อะไรล่วงหน้า เหมือนนอสตราดามุส ทำนองนั้น”
“จริงหรือคะ”
“ค่ะ บางทีดาเค้าบอก เด่นไม่เชื่อหรอกค่ะ หลังๆ เชื่อสนิทใจ เพราะมันจะเกิดขึ้นจริง ราวกับเห็นมากับตาอย่างนั้นแหละ”
“เหรอคะ”
“ว่างๆ ให้ดาดูลายมือให้สิคะ แม่นมาก”
“เกินไปไอ้เด่น ฉันไม่ใช่หมอดูนะแก แค่หลอกจับมือพวกแกเท่านั้นแหละ” รามิดาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เธอไม่อยากให้ใครรู้เรื่องที่เธอมีสัมผัสพิเศษมากนัก จะทำให้การทำงานของเธอยากยิ่งขึ้น และจะเห็นเธอเป็นพวกแม่มดหมอผีไปเสียเปล่า
“ที่แกบอกว่าฉันจะได้เดินทางไกล แล้วฉันได้มาที่นี่แกจะว่าไง”
“จารย์ทุบอกฉันก่อนที่จะบอกแกไง” รามิดาตอบหน้าตาเฉย
“อ้าวไอ้เพื่อนเลว ตกลงแกหลอกจับมือฉันกับสรวงจริงๆ ใช่ไหม”
“อือ” รามิดาตอบยิ้มๆ
“แกนะแก มือฉันจับไปกี่ร้อยรอบฉันไม่ว่า แต่แกมาหลอกจับมือสุดที่รักของฉันแกตาย ไอ้ดา แกอย่าอยู่เลย”
เด่นจันทร์ลุกขึ้นจากพื้น รีบเดินเข้ามาหารามิดาทันที
“พอๆ สองคนนี้ยังไงกันนะ ไหนว่ามาต่างบ้านต่างเมืองจะไม่ทะเลาะกันไง” เรกะติรีบส่งเสียงปราม
“จารย์ก็เห็น ไอ้ดามันแกล้งเด่นก่อน” เด่นจันทร์ชะงัก
“พอกันทั้งสองคนนั่นแหละ อายเขาบ้างไหม”
ตรีทิพย์เป็นอีกคนที่ช่วยปราม เธอเห็นเหล่าคนงานหันมามองในเต็นท์ที่พักของพวกเธอเป็นตาเดียว หากปล่อยให้ทั้งสองคนเล่นกันอยู่อย่างนี้ คนงานอาจจะไม่รู้สึกเกรงใจพวกเธอก็เป็นได้
คนงานเหล่านี้มาจากประเทศใกล้เคียงที่ต้องการมาหางานทำ อย่างเช่นบังคลาเทศ อินเดีย ปากีสถาน หรือประเทศห่างไกลเช่นฟิลิปปินส์ อินโดนีเชีย บางคนมาจากแอฟริกาก็ยังมี
คนของประเทศนี้ตั้งแต่ขุดพบบ่อน้ำมัน ทำให้รัฐบาลมีเงินมาจุนเจือจนแทบไม่ต้องทำงาน ส่งเสียให้เรียนสูงที่สุดเท่าที่จะเรียนได้ ไม่ว่าจะเป็นสาขาวิชาใดก็ตาม จึงทำให้คนในประเทศแทบไม่ต้องทำอะไร ที่สำคัญไปกว่านั้นประเทศนี้คือประเทศที่เกิดใหม่ ประชากรในประเทศมีน้อยกว่าจำนวนประชากรอูฐด้วยซ้ำ
เด่นจันทร์หันไปมองแรงงานด้านนอก ที่นั่งอยู่ในเต็นท์ไม่ไกลจากที่เธอนั่งพักมากนัก ทุกคนหันมามองพวกเธอราวกับกำลังมีละครสดแสดงให้ดู ทำให้เด่นจันทร์ถึงกับหน้าถอดสี และรีบกลับไปนั่งลงข้างๆ สรวงฟ้า ใช้ร่างของเขาบังร่างบางๆ ของเธอเอาไว้
“เป็นนกกระจอกเทศหรือไง เอาหน้ามุดทรายหมาป่าจะไม่เห็น”
“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ดา กลับโรงแรมเมื่อไหร่แกตายแน่”
เด่นจันทร์ยังไม่เลิกอาฆาตแค้น
รามิดาหัวเราะร่วน ทำให้คนอื่นๆ หัวเราะตาม ยกเว้นฮาบูที่ฟังภาษาไทยไม่เข้าใจ แต่พอเดาได้ว่า ทั้งเด่นจันทร์และรามิดาคงจะเล่นอะไรกันสักอย่าง ที่ทำให้เกิดเสียงหัวเราะท่ามกลางอุณหภูมิอันร้อนละอุจนน้ำเกือบจะเดือดในเวลานี้
ความคิดเห็น