ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฉันก็แค่...ผู้หญิงคนหนึ่ง yuri

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ ๑

    • อัปเดตล่าสุด 27 ส.ค. 55


     

    เรื่องสั้น หญิงรักหญิง ฉันก็แค่.....ผู้หญิงคนหนึ่ง

     

    บทที่ ๑

     

    ชีวิตฉันอาจไม่ได้ราบเรียบ หรือหวือหวาอย่างใครๆ เขาสักเท่าใดนัก

    บางครั้งก็ไร้สีสัน ไร้รสชาติ จนบางคนคิดว่าฉันเป็นพวกไร้หัวใจด้วยซ้ำไป

    จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย ฉันมีความรักให้กับผู้หญิงคนหนึ่งเต็มล้นหัวใจ เป็นรักที่ไม่อาจลืมได้ชั่วชีวิต บางครั้งยังอดคิดไม่ได้ว่าทำไมไม่ยอมลืมเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้สักที ทั้งๆ ที่เวลาล่วงเลยมานานแต่มันคือความทรงจำที่ไม่อาจลบเลือน

    ฉันกับเธอคนนั้นรู้จักกันเพราะเราเรียนคณะเดียวกัน ฉันเป็นพี่วาก ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าต้องเก๊กหน้าโหดมากขนาดไหน ในระหว่างที่ต้องรวบรวมน้องๆ ให้ร้องเพลงคณะ เพลงมหาวิทยาลัย ความสว่างวาบของเธอก็เตะสายตาของฉันเข้าอย่างจัง

    เด็กคนนี้มีเขี้ยวนิดๆ ดูตอนแรกคิดว่าเป็นพวกผีดูดเลือด แถมหน้าตายังขรึมๆ เพื่อนๆ หัวเราะกันแต่เธอกลับนั่งนิ่งๆ จะมีรอยยิ้มบ้างเล็กๆ ที่มุมปากหากเธอขำเข้าขั้น

    ดูนั่นดิแก เด็กไรวะเส้นลึกพิกล สุชาดาเพื่อนฉันสะกิดฉันให้ดูเด็กคนนั้น แล้วก็เป็นอย่างที่หล่อนบอก ฉันเห็นเด็กๆ ในวงนั้นหัวเราะร่วนแต่เด็กคนที่ฉันจับตามองอยู่กลับนั่งนิ่งราวกับว่าเรื่องที่เธอเห็นเป็นเรื่องปกติ

    เออ เห็นมาหลายวันแล้ว เส้นลึกหรือขุดหลุมฝังความขำไปแล้วก็ไม่รู้ ฉันตอบมั่วๆ ไป เพราะรู้ดีว่าสุชาดาไม่ได้สนใจจะฟังคำตอบจากฉันมากนัก เพราะเมื่อหล่อนพูดจบก็เดินไปหากลุ่มเพื่อนๆ ของฉันที่อยู่อีกฝั่งของใต้ถุนตึกคณะ

    ฉันยืนกอดอกมองเธออยู่นานแต่ก็ไม่ได้เห็นรอยยิ้มหรือได้ยินเสียงหัวเราะจากเด็กคนนั้นเลยสักนิด

    ราวๆ สองทุ่มเห็นจะได้เราปล่อยน้องให้กลับบ้านโดยน้องๆ แต่ละกลุ่มจะมีรุ่นพี่คอยเดินไปส่งที่ป้ายรถเมล์หรือไม่บางทีก็ไปส่งถึงที่บ้าน ฉันเห็นเด็กคนนั้นเข้ากลุ่มเพื่อกลับบ้านกับเพื่อนๆ อีกสี่ถึงห้าคน ความอยากรู้อยากเห็นก็บังเกิดกับตัวเอง ไหนๆ สนใจแล้วก็ต้องสานต่อความสนใจให้ถึงที่สุด

    น้องๆ บ้านอยู่แถวไหนคะฉันสะกิดถามเธอที่ยืนหันหลังให้ไม่ได้สนใจรุ่นพี่อย่างฉันสักนิด

    ทำไมพี่ จะไปส่งหรือไงเธอเอียงคอถามฉันนิดๆ เหมือนฉันเป็นเพื่อนเล่น แถมดูจาดท่าทางไม่ได้เกรงกลัวความเป็นพี่ว๊ากของฉันอีกด้วย

    ถามเฉยๆ ตอบเฉยๆ พิกุลจะร่วงหรือไงน้อง รุ่นพี่ถามรุ่นน้องมันแปลกตรงไหน

    ก็ไม่แปลกหรอกพี่ ถ้าพี่ถามเองไม่ได้ถามเผื่อชาวบ้าน

    แล้วตกลงบ้านเราอยู่แถวไหน

    ตลาดพลู

    งั้นไปกับพี่เกลือแล้วกัน บ้านพี่เกลืออยู่แถวนั้น ฉันคิดถึงเพื่อนผู้ชายร่วมเอกที่มีบ้านอยู่แถวนั้นเหมือนกัน ตลาดพลูในความคิดของฉันคงไม่กว้างอะไรมากมาย ฉันเองเคยไปแถวนั้นอยู่สองถึงสามครั้ง บางครั้งก็แวะไปวัดปากน้ำไปนั่งสมาธิ หรือไม่บางทีก็แวะไปกินขนมอร่อยๆ แต่มันก็ไกลจากบ้านฉันโขอยู่ จะให้ไปก็เกรงใจตัวเอง ดึกแล้วถึงรถจะไม่ติดแต่รถเมล์ที่จะกลับมาบ้านฉันก็คงจะเหลืออยู่น้อยสาย

    พี่เกลือไม่ว่างพี่ วันนี้แฟนพี่เกลือมาด้วย เห็นพี่เค้าบอกว่าจะไปบ้านแฟน พวกเราเลยต้องไปรถเมล์กลับบ้านกัน

    อ้าวเหรอ แล้วกลับได้หรือเปล่าบ้านไกลมีรถเมล์หรือเปล่าฉันพยักหน้ารับรู้แต่ยังดีที่เห็นเด็กๆ อีกกลุ่มยังยืนจับกลุ่มกัน เด็กกลุ่มนี้คงรอน้องผีดิบกลับบ้านพร้อมๆ กันนั่นแหละ

    สบายพี่ สายสี่ผ่านฉลุยตลาดพลูเค้าเจริญก่อนรัตนโกสินทร์อีกพี่เห็นท่าทางหงิมๆ ไหงมาย้อนฉันไปถึงสมัยกรุงธนบุรีได้ก็ไม่รู้

    งั้นเดินไปพร้อมๆ กับเพื่อนๆ ก็แล้วกัน ดึกแล้วอันตรายฉันล่ะอยากจะย้อนกลับบ้างแต่ก็ต้องเก๊กเอาไว้ในตอนนี้ฉันเป็นพี่ว๊าก จะทำอะไรแบบนิสัยเดิมๆ คงไม่เหมาะก็เลยต้องตามน้ำไปเรื่อยๆ เก๊กเท่านั้นที่พอทำได้

    พวกพี่นั่นแหละซ้อมอยู่ได้ทำพวกเราต้องกลับบ้านดึกๆ เห็นรุ่นน้องเป็นสินค้าทดลองใช้หรือไงไม่รู้ พวกเราสอนไม่กี่ครั้งก็ร้องได้แล้ว จะเอาอะไรมากมายน่าเบื่อจะตายไป

    อีกหน่อยก็ชินเอง พอเรียนไปเรื่อยๆ ต้องทำงานคร้านจะอยู่มอยันเช้า บ้านช่องไม่ต้องกลับหรอกนอนที่โถงเป็นแถว

    โหเรียนหนักแบบนั้นเลยเหรอพี่ท่าทางตาโตของน้องผีดิบทำเอาฉันแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ดูเหมือนว่าเธอจะตกใจกับคำบอกเล่าของฉันอยู่เหมือนกัน

    ใช่สิ บางวิชาก็มหาโหดเลยด้วย ฉันขู่ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วการทำรายงานหรืองานกลุ่มมักจะเป็นการสังสรรค์กันระหว่างเพื่อนๆ มากกว่าที่จะมานั่งทำงานกันจริงๆ คนทำรายงานตัวจริงขลุกอยู่ห้องสมุดโน่นไม่มานั่งตากยุงแจกเลือดให้ยุงอดโซกินแถวๆ ใต้ถุนตึกแบบพวกฉันหรอก

    มี่กลับบ้านยังอะ ดึกแล้วเดี๋ยวรถหมด ดูเหมือนน้องอีกคนจะมาตามตัวน้องผีดิบกลับบ้าน ฉันจึงเดินแยกออกมาจากเธอ แต่ก็ยังคงเหลียวหลังกลับไปมองดูเธอและกลุ่มเพื่อนๆ เดินจากไป

    ไงแกน้องเค้าชวนคุยอะไรสุชาดาเดินมาทักฉันหลังจากที่เธอเอากระติกน้ำกลับไปเก็บที่ห้องสโมสรใต้ถุนตึกเสร็จเรียบร้อยแล้ว

    เปล่าปากบอกว่าเปล่า แต่ในใจคิดว่ายังมีคนเห็นอีกหรือ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละนะ คนเรามักมีคำพูดติดปากอะไรสักอย่างเสมอ ฉันเองก็ติดคำว่าเปล่าเหมือนกัน

    เปล่าอะไร เห็นคุยกันนานสองนาน น้องคนนี้เค้าว่าแรงนะแก

    เหรอ แรงไงฉันพยักหน้ารับรู้สิ่งที่สุชาดาบอก หากน้องคนนี้แรงจริงๆ พี่วากอย่างฉันก็คงต้องทำงานหนักขึ้นเป็นสองเท่า การที่จะรวมใจน้องให้เป็นหนึ่งเดียวได้ เป็นหน้าที่ของรุ่นพี่อย่างพวกฉันต้องใช้จิตวิทยาขั้นสูง ทั้งขู่ ทั้งปลอบ คณะเราเป็นคณะที่มีคนไม่มากนักไม่เหมือนคณะวิทยาศาสตร์ หรือพวกศึกษาศาสตร์การที่จะให้รุ่นน้องพร้อมใจกันเป็นหนึ่งเดียวทำได้ง่ายกว่ากันเยอะ

    ไม่รับระบบ แต่ยอมมาเพราะเพื่อนขอร้อง

    อ๋อ...เหรอ ฉันพยักหน้ารับรู้อีกครั้ง

    กลับหรือยังแก วันนี้ฉันเอารถมา แกกลับพร้อมฉันได้ ไปลงป้ายรถเมล์หน้าบ้านก็ได้แล้วต่อไปอีกนิดเดียว

    เออ...ดีเหมือนกัน ไปแถวหน้าบ้านแก รถเมล์มันว่างแล้ว นั่งสบายหน่อยไปเถอะเดี๋ยวดึก ฉันเดินนำสุชาดามาที่รถของเธอ ฉันกับสุชาดารู้จักกันมาตั้งแต่เข้ามาเรียนที่คณะนี้ เราสองคนเป็นบั๊ดดี้กัน แต่เราทั้งคู่นิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

    สุชาดาไม่ได้เรียบร้อยเหมือนชื่อของเธอ แต่กลับเปรี้ยวจนเข็ดฟัน ส่วนฉันราบเรียบ เรียบไปหมดทุกอย่าง แม้กระทั่งสิ่งที่เป็นจุดบ่งบอกความเป็นหญิง แรกๆ เพื่อนๆ คิดว่าเราสองคนคงจีบกัน แต่เมื่อรู้ความจริงต่างคนก็ต่างหัวเราะ รวมถึงเราสองคนด้วย

    สมัยนั้นฉันเคยถามสุชาดาว่า แก...ฉันเหมือนทอมมากขนาดนั้นเลยหรือไง

    เออ...เหมือน แต่ไม่ใช่

    แกแน่ใจได้ไงว่าฉันไม่ใช่ทอม ฉันอาจแฝงตัวมาจีบแกก็ได้นะขอบอก

    ถ้าใช่ก็แสดงว่าฉันตาถั่วแล้วเพื่อน แล้วสุชาดาก็ขำคำพูดของเธอเอง พักหลังๆ รุ่นพี่มาจีบสุชาดามากมาย ถึงเธอจะไม่ใช่ดาวคณะ แต่เธอก็สวยไม่แพ้ทางใคร ฉันจึงกลายเป็นไม้กันหมาให้สุชาดาไปโดยปริยาย

    ระหว่างทาง ประเด็นที่เราสองคนคุยกันก็ไม่พ้นเรื่องเด็กปีหนึ่งคนนั้น และสรุปว่าเราจะเรียกน้องเค้าว่าน้องผีดิบ เพราะหน้าตาไม่บอกอารมณ์แบบน้องคนนั้น น่าจะชื่อผีดิบมากกว่าชื่ออื่น

    รถของสุชาดามาจอดที่ป้ายรถเมล์หน้าปากซอยบ้านของเธอ เพื่อให้ฉันลงไปรอรถ และตัวเธอก็ลงมายืนเป็นเพื่อนฉันด้วยอีกคน เมื่อรถเมล์มาถึง ฉันได้ที่นั่งก็โบกมือลาเธอ มักเป็นเช่นนี้เสมอถ้าวันไหนฉันติดรถสุชาดากลับบ้าน และเป็นมาเป็นปีแล้วด้วยสิ

     

    .............................

     

    หลังจากที่ซ้อมน้องร้องเพลงเชียร์กันจนใกล้เวลาแข่งกีฬาของน้องใหม่แล้ว ฉันกับเพื่อนๆ และรุ่นพี่ก็ต้องอยู่เตรียมอุปกรณ์เชียร์ ปีนี้รุ่นพี่อยากให้มีการแปลอักษร ทั้งๆ ที่พวกเรามีน้อยแต่ก็ยังจะแปล ก็เลยต้องไปขอยืมกระดานแปลอักษรมาจากโรงเรียนเก่าของฉัน

    โชคดีที่สมัยเรียนฉันก็เด็กกิจกรรมคนหนึ่ง จึงไปขอยืมมาได้ง่ายๆ อย่างน้อยๆ กระดานพวกนั้นฉันก็เคยลงมือเลื่อยเองติดกระดาษสีเอง ถ้าไม่ให้ยืมก็โหดเกินไปสักนิด ลงทุนลงแรงมาก็มาก ขอยืมไปใช้สักห้าสิบอันคงไม่มากมายนักหรอก

    เกลือเอารถกระบะมาจากบ้าน มาช่วยเราขนของไปคณะ ถ้าไม่ได้เกลือฉันก็ยังคิดไม่ตกว่ากระดานไม้ที่กองอยู่ตรงหน้าจะขนขึ้นรถแท็กซี่ไปกี่คันถึงจะหมด

    รถของเกลือมาจอดที่หน้าบันไดตึก เกลือไปตามเพื่อนๆ และน้องๆ มาช่วยกันขน ส่วนฉันกับสุชาดาลงมายืนกำกับการขนย้าย เพราะเราแยกประเภทเอาไว้แล้ว ว่าอันไหนจะเอาไปใช้แปลอักษรอะไร

    น้องๆ เอากองนี้ไปวางตรงนั้น แล้วเอากองนั้นไปวางตรงโน้น สุชาดาบอก แต่ไม่วายได้ยินเสียงบ่นกลับมา มันเป็นเสียงที่ฉันคุ้นชิน เสียงของน้องผีดิบนั่นเอง

    ใช้ๆ ไม่มีมือเท่ากันหรือไง ใช้แต่รุ่นน้องชิ

    ฉันหันไปมองตามเสียงนั้น เห็นหน้าน้องผีดิบเดินชายเสื้อหลุดออกมาจากขอบกระโปรงแล้วก็ขำ ท่าทางว่าทั้งวันรุ่นน้องคงทำงานเตรียมอัฒจรรย์เชียร์กันตั้งแต่เช้า เห็นก็รู้ว่าเหนื่อย แต่ทำไงได้ คณะเราผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ยิ่งปีนี้สอบวิชาชีวะ เด็กผู้หญิงจึงเดินให้เกลื่อนไปหมด ผิดกับรุ่นฉันที่ไม่สอบชีวะ ผู้ชายเลยมากหน่อย

    แกบ่นดังแบบนี้พี่เค้าก็ได้ยินสิ

    กลัวทำไมคนเหมือนกัน ลองมาทำอะไรฉันสิ แม่จะสู้ให้ดูท่าทางชูกำปั้นของน้องผีดิบทำเอาพวกฉันยืนตะลึง

    แรงเนอะแก สุชาดากระซิบบอกฉัน

    อือ...แรงของแท้เลยแก

    น้องๆ จ๋าช่วยๆ กันนิดเถอะนะคะ เดี๋ยวเย็นนี้พี่ประธานเลี้ยงข้าวกล่อง

    ฉันหันไปบอกทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วประธานจะเลี้ยงจริงหรือเปล่า แต่ก็บอกไปก่อนที่จะมีใครบ่นให้ได้ยินอีก

    ใช่ว่าฉันจะไม่เหนื่อย ฉันกับเพื่อนก็เหนื่อยไม้ได้ต่างกัน ตอนขนขึ้นรถพวกเราไปกันแค่สามคน กระดานไม้ก็ใช่ว่าจะเบาๆ พวกฉันยังขนกันมาได้ แล้วนี่รุ่นน้องเป็นสิบถ้าขนไม่ไหวก็คงจะต้องบอกว่าแย่มากๆ

    เราสองคนรอจนน้องๆ ขนของเสร็จ ฉันกับสุชาดาก็เดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาและเข้าห้องน้ำทำธุระของเราเอง

    แกว่ามะ ไอ้พี่แห้งเป็นทอมเสียเปล่า ไม่มีน้ำใจช่วยพวกเราเลยวะ ให้พวกเรายกแผ่นไม้หนักก็หนัก ตัวเองยืนดูเฉยเลย เสียงพูดได้ยินมาแต่ไกล ทำเอาฉันสะดุ้งแทบหดหมด หนอยใครวะบังอาจมาว่าฉันเป็นทอม แถมมาเรียกฉันว่าไอ้พี่แห้งอีก โอ๊ย...เลือดขึ้นหน้า

    นั่นดิ เสียงเออออเห็นด้วยได้ยินกลับมาอีกเสียง

    แต่ฉันได้ยินมาว่าพี่เค้าไม่ได้เป็นทอมนะแก

    บ้าสิ รูปร่างท่าทางการแต่งตัว มันให้ขนาดนั้น ยังจะบอกว่าไม่ใช่ทอม อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อเว้ยเสียงถกเถียงกันยังมีมาเป็นระยะ

    แกไปยุ่งเรื่องของพี่เค้าทำไม เค้าจะเป็นอะไรก็เรื่องของเค้า เราก็ส่วนเรา เค้ามาจีบพวกเราเมื่อไหร่ นั่นแหละพวกแกค่อยโวยวาย เสียงน้องผีดิบเถียงแทนฉัน จริงๆ แล้วฉันเดาว่าสุชาดาเองก็คงจะเสร็จธุระของเธอเหมือนกับฉันเช่นกัน แต่เราทั้งคู่ก็ไม่ได้เปิดประตูออกจากห้อง

    ใครวะ....เข้านานฉิบจะราดแล้ว เสียงน้องคนที่ว่าฉันกำลังเคาะประตูห้องน้ำดังตึงๆ ออกมาได้ไหมคะ จะแย่แล้วค่ะ

    หมดเสียงนั้นฉันก็เปิดประตูออกมา เด็กๆ ที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำที่ฉันเข้า ราวๆ ห้าถึงหกคน สีหน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนฉันทำเป็นไม่ได้ยินอะไรเดินไปที่อ่างล้างมือรอไม่นานสุชาดาก็ตามออกมายืนอยู่ข้างๆ กัน หลังจากนั้นไม่นานสุชาดาก็เดินมาเกาะแขนฉัน

    ไปเถอะฮันนี่ ในนี้บรรยากาศไม่เหมาะให้เราสองคนอยู่แล้วเราสองคนก็เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมๆ กัน ฉันพอรู้ว่าถ้าเมื่อใดที่สุชาดาเรียกฉันเสียงหวานแบบนี้เธอต้องมีอะไรคิดจะแกล้งใครสักคนที่อยู่บริเวณนั้นเป็นแน่

    ฉันชื่อสราลีหรือน้ำผึ้ง ใครๆ ก็มักเรียกฉันว่าผึ้ง แม่บอกว่าตอนฉันเกิดสีผิวฉันเหมือนน้ำผึ้งเดือนห้า แต่พอโตมาทำไมไม่เดือนห้าออกใหม่ มันกลายเป็นน้ำผึ้งเก่าๆ ในขวด ผิวของฉันเริ่มคล้ำกว่าที่ควรจะเป็น อาจเป็นเพราะฉันชอบว่ายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ ว่างเมื่อไหร่เป็นสิงสถิตที่สระว่ายน้ำ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ว่ายน้ำเก่งอะไรเลย

    ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าเวลาที่อยู่ในน้ำฉันอิสรเสรี จะว่ายไปทางไหนก็ได้ จะลอยตัวก็ได้ เหมือนได้โบยบินอยู่บนฟากฟ้า แต่อิสระของฉันมันก็อยู่ในสระแคบๆ กว้างยาวไม่น่าจะเกิน 50 เมตร

    เกือบซวยแล้วแก พี่เค้าต้องได้ยินแน่ๆ เลยเสียงรุ่นน้องยังดังออกมา แม้จะเหมือนกระซิบแต่ก็ได้ยินชัดเจน ห้องน้ำเสียงก้องออกจะตายไป ใครพูดอะไรก็ได้ยินกันทั่ว

    ช่วยไม่ได้ ทำตัวเป็นขี้ปากชาวบ้านเอง เสียงที่ได้ยินออกมาจากปากของน้องผีดิบแน่ๆ ฉันมั่นใจ

    แกฉันชักทนไม่ได้แล้วนะ ขอไปฉะสักตั้งเถอะสุชาดาหันหลังกลับหมายจะไปเอาเรื่องรุ่นน้องปากเสียที่รวมกลุ่มกันในห้องน้ำของคณะเราให้ได้

    อย่าเลยไอ้สุ ไปก็เปลืองตัวเปล่าๆ แล้วแกมาคล้องแขนฉันทำไมไม่พูดเปล่าฉันแกะมือของสุชาดาออกจากแขนของฉัน

    ฉันอยากรู้ไง ถ้าพวกนั้นเห็นแล้วจะพูดอะไรอีก

    ก็เป็นซะอย่างนี้น่ะสิ ชาวบ้านถึงได้เข้าใจผิดไปยกใหญ่ แกนะแก

    อยากโชว์ไง ไหนๆ พวกนั้นก็เม้าท์กันแล้ว เลยโชว์ให้สับสนเล่นๆ มีไรปะ สุชาดามักเป็นแบบนี้เสมอ ตั้งแต่รู้จักกันมา เธอมักทำอะไรที่คนบอกว่าอย่าทำ หรือชอบทำในสิ่งที่ใครๆ คิดไม่ถึงว่าจะทำ ขนาดว่าฉันเป็นเพื่อนสนิทยังงงกับการกระทำของเธอบ้างในบางครั้ง

    เออ...ตามใจแกแล้วกัน ครั้งนี้ครั้งเดียวนะแกอย่าทำอีก เดี๋ยวจะเป็นขี้ปากชาวบ้านไปเปล่าๆ

    กลัวด้วยหรือไงไอ้ผึ้ง แกก็เป็นแบบนี้แหละ ขี้กลัวไปทุกเรื่อง

    เออ...ก็ดีกว่าแกแล้วกัน ไม่เคยกลัวอะไรเลย หัดกลัวบ้างนะแก เล่นกับไฟบางครั้งมันก็หันมาเผาเราเอง ฉันมักเตือนสุชาดาอย่างนี้ทุกครั้ง จะเชื่อหรือไม่เชื่อในฐานะเพื่อนก็ต้องเตือนกันไว้ก่อน

    ไปเถอะแกยังต้องทำงานอีกเยอะ อย่ามาเทศน์ฉันนักเลย แกต้องเขียนโค้ดออกมาให้น้องๆ อีก งานนี้อ่วมแน่ๆ ไอ้ผึ้งกว่าจะได้หลับ โน่น...พรุ่งนี้เช้า

    เออ...นั่นดิ เฮ้อ...นึกแล้วเหนื่อยว่ะ พี่โชไม่น่าหาเรื่องให้เราเลย จะเอาถ้วยเชียร์ เหนื่อยพวกเรา ตัวแกโน่นไปโซ้ยเหล้าร้านเจ๊กแล้วมั๊งสงสัย

    ไม่มั๊งหรอก เมื่อกี้เห็นเดินส่ายพุงอยู่หน้าตึก เออ...ตายๆ ว่าจะไปเอาเงินพี่โชมาซื้อข้าวกล่องให้น้องๆ ที่ทำงาน เฮ้ย...ไอ้เกลือไปสั่งข้าวมาหรือยังประโยคหลังสุชาดาหันไปตะโกนถามเกลือที่เดินมาอยู่อีกฝั่งของตัวตึก

    โทรไปแล้ว เจ๊แกบอกว่าเดี๋ยวเอามาส่ง สั่งไป 50 กล่อง แกก็รอจ่ายเงินด้วยแล้วกัน เกลือเพื่อนชายคนสนิทเดียวของพวกเรา ตะโกนกลับมาบอก

    สาเหตุที่เราเรียกเกลือว่าเกลือ ก็เพราะเกลือเค็มได้ใจจริงๆ ฐานะทางบ้านของเกลือใช่ว่าจะไม่ดี แต่เกลือก็ยังขอทุนเรียนดีแต่ยากจน แถมยังมักบอกใครต่อใครว่าบ้านยากจนทุกคนก็หลงเชื่อ เกลือแต่งตัวได้มอซอยิ่งกว่าใครๆ เสื้อสีขาวตุ่นๆ กางแกงสีดำซีดๆ แถมยังรัดติ้วจนคิดว่าไปเอาของน้องหรือหลานมาใส่

    ความมาแตกก็ตอนพวกเราเรียนเทอมสอง เราทุกคนรู้ว่าเกลือมีบ้านเป็นร้านทอง แถมยังรวยจนพวกเราไม่คาดคิด สรุปว่าพอขึ้นปีสองทุนของเกลือก็โดนริบกลับ เพราะไม่มีใครให้เงินทุนเกลือเรียนอีก แรกๆ เราจะเรียกเกลือว่าผ้าขี้ริ้วห่อทอง แต่หลังๆ ความเค็มของเกลือมักหล่นเกลื่อน พวกเราจึงตั้งชื่อให้เกลือว่าเกลือนับแต่นั้นมา โดยลืมไปด้วยซ้ำว่าชื่อเล่นจริงๆ ของเกลือคืออะไร

    กว่าฉันกับสุชาดาจะหาพี่โชจนพบก็เหนื่อยเหมือนกัน พี่โชให้เงินเรามามากพอที่จะจ่ายค่าอาหารมื้อนั้น และขอใบเสร็จจากเราด้วย เงินของคณะเบิกจ่ายได้ตามความเหมาะสม มหาวิทยาลัยให้เงินมาตามหัวของเด็กในคณะ ให้เรามาจัดแจงค่าใช้จ่ายเอง โดยมีอาจารย์เป็นผู้ควบคุมการเบิกจ่ายอีกทอดหนึ่ง จะใช้อะไรต้องมีใบเสร็จ

    เงินอีกส่วนหนึ่งมาจากที่พวกเราในคณะเก็บกันอาทิตย์ละสิบบาทต่อคน เก็บมาเป็นปีก็มีเงินมากพอที่จะให้พวกเรามีทุนไปทำกิจกรรมต่างๆ แถมยังมีเงินปันผลจากหุ้นร้านค้าสหกรณ์ของคณะเรา ใครไปซื้อของก็ให้ลงว่าเป็นของคณะ สิ้นปีปันผลออกมาไม่มากแต่ก็พอสมควร

    เงินอีกส่วนก็มาจาก การไถพี่บัณฑิตที่แวะเวียนมาแถวๆ คณะเรามาดูน้องซ้อมร้องเพลง เรียกว่าใครหลงมาโดนกินเรียบ ยิ่งวันรับปริญญาพวกเราเก็บเงินค่าบูมพี่ๆ มาได้หลายบาท เงินทั้งหมดดูแลโดยเหรัญญิกของคณะ และอาจารย์ในคณะ ของเราเอง

    เก็บมาทุกหนแห่งก็เพื่องานกีฬารับน้องใหม่และโครงการช่วยเหลือสังคมออกค่ายพัฒนาเท่านั้นแหละ

    พวกเอ็งดูน้องให้อิ่มนะไอ้ผึ้ง ไอ้สุ ถ้าไม่พอก็ไปสั่งมาได้อีก เงินเหลือเยอะไม่ต้องห่วง พี่โชบอกฉันกับสุชาดาเสียงดังฟังชัด

    เออ...ค่าน้ำมันรถของไอ้เกลือมันก็มาเบิกที่พี่ได้นะ มันยิ่งเค็มๆ อยู่เดี๋ยวตอนเอาไปคืนมันไม่เอารถมาขนพวกเราจะยุ่งไปกันใหญ่

    โห....พี่ ถ้ามันไม่เอามาสุจะไปตืบมันเอง จะเค็มอะไรนักหนารวยก็รวย

    ว่าได้เหรอสุ ไอ้เกลือมันก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว พี่ไปก่อนนะฝากดูทางนี้ด้วยเดี๋ยวไปดูเค้าตบแต่งสแตนก่อน

    ค่ะพี่ได้เลย ฉันรับปากพี่เป็นมั่นเหมาะ ถึงพี่โชไม่สั่งฉันเองก็ต้องอยู่ดูแลงานที่นี่อยู่แล้วจะไปไหนได้ แผ่นแปลอักษรยังไม่ได้ทำเลยสักอัน ที่ขนๆ กันมาก็ใช่ว่าจะใช้ได้ ฉีกขาดไปก็มาก ขืนเอาแบบนั้นมาใช้มีหวังอายคณะอื่นตาย

     

    ................................

     

    ให้ช่วยอะไรไหม เสียงที่ทักฉันตอนที่กำลังก้มๆ เงยๆ ตัดกระดาษสีเอามาแปะกระดานแปลอักษร ทำเอาฉันใจเต้นแรงจนกลัวว่าคนที่เข้ามาทักจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง

    ก็ดีช่วยพี่ตัดกระดาษสีหน่อยสิ ฉันยื่นกรรไกรและม้วนกระดาษสีสะท้อนแสงให้ไป

    สีแสบตาดีแท้

    สีไม่แสบก็ไม่สวย

    จะแปลเป็นรูปอะไร

    ตอนนี้พี่โชยังไม่ได้พรินท์ออกมาจากเครื่อง เดาว่าคงเป็นข้อความกับรูปภาพนิดหน่อยฉันตอบแบบเดาๆ เท่าที่รู้จากพี่โชเขาบอกมาอย่างนั้น จะให้เดาเป็นอย่างอื่นคงไม่ได้

    คนน้อยอย่างนี้จะแปลละเอียดมากนักไม่ได้หรอกนะ รู้ใช่ปะน้ำเสียงที่ถามฉัน เหมือนๆ จะลองภูมิอยู่นิดๆ แต่ก็ปล่อยๆ ไป ฐานะของฉันไม่ต้องลงทุนมาเถียงกับรุ่นน้องอย่างน้องผีดิบหรอกค่ะ เพราะเถียงไปก็ไม่ได้ช่วยให้งานของฉันลุล่วงไปด้วยดี

    ถึงต้องทำใหม่ไง ให้กระดาษมันเล็กลงกว่าเดิมจะได้ละเอียด

    รื้อของเค้าออก เค้าไม่ว่าเราหรือไงคนที่เสนอตัวช่วยงานฉันยังคงยิงคำถามมาเรื่อยๆ

    ได้สิเรารื้อแล้วก็ต้องทำใช้คืนเค้าใหม่ฉันตอบโดยที่ไม่ได้เงยหน้ามองคนถามด้วยซ้ำไป ขืนเงยหน้าขึ้นไปคนที่อยู่ข้างๆ ต้องรู้แน่ๆ ว่าฉันกำลังใจเต้นโครมๆ

    แปลกแท้ ทำไมฉันถึงใจเต้นได้ขนาดนี้นะ ทั้งๆ ที่อีกคนคงไม่ได้รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำไป

    เสียดายของ ดูสิบางอันก็ยังดีอยู่เลย ทำไมไม่เอาอีกด้านว่างๆ มาทำล่ะน้องผีดิบหยิบกระดานไม้ขึ้นมาดูพอเห็นว่าอีกด้านหนึ่งยังว่างอยู่เธอคงคิดอยากจะประหยัดขึ้นมากระมัง

    คิดว่าคนใช้งานจะรักษาของเหมือนกันทุกคนหรือเปล่าล่ะ

    ฮึ...ไม่คิด และไม่เคยคิดแบบนั้นด้วยซ้ำไป

    ก็นั่นแหละ ไงเราก็ต้องทำใหม่ใช้คืนเค้าอยู่ดี สู้เรารื้อแล้วทำของเรา พอใช้เสร็จก็แก้ไขคืนเค้าไม่ดีกว่าเหรอ

    เหนื่อยสองต่อดิ

    เหนื่อยก็ต้องทำ ยืมเค้ามาก็งี้ไม่ใช่ของเราทำไงได้ อีกอย่างตอนแปลถ้ายังไม่ได้ใช้เราก็ยังเอากระดานเปล่าๆ โชว์คนดูได้ไม่ใช่เหรอ บางทียังอยากจะทำสองด้านเลย เพราะคิดว่าตอนเราเปลี่ยนอักษรเราต้องทำให้คนดูต่อเนื่อง

    ตัดขนาดเท่าไหร่ล่ะที่ตัดกระดาษไม่มีเหรอจะได้ตัดหลายๆ ชั้นได้ฉันคิดว่าคนฟังคงพอเข้าใจสิ่งที่ฉันบอกก็เลยยอมรับในความคิดของฉัน

    ไม่มี มีแต่กรรไกร

    ก็ดีกว่าตัดคัตเตอร์นิดนึง

    ทำเป็นหรือไงเราครั้งนี้ฉันเงยหน้าขึ้นมองหน้าน้องผีดิบ เธอยิ้มให้นิดๆ ก่อนตอบฉันด้วยน้ำเสียงที่ฉันฟังแล้วอยากต่อยไปสักเปรี้ยง

    เป็นดิ เคยทำตอนเรียน

    เหรอ...งั้นช่วยหน่อย งานนี้รีบพอสมควร

    แล้วไม่มีใครมาช่วยเลยหรือไง

    คนอื่นๆ เค้าไปซ้อมเพลงให้น้อง

    ที่เหลือล่ะไปไหน

    ไม่รู้เหมือนกันฉันส่ายหน้า และมองหาเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันที่ยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็น

    ขนาดรุ่นพี่ยังไม่พร้อมใจกันทำงาน คนทำก็ทำงกๆ คนไม่ทำก็สบายไป แล้วยังจะกล้ามาสอนให้น้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ต้นแบบไม่ดี ลูกแบบก็ไม่มีทางทำตามได้หรอกนะ เธอว่าจริงมะ

    คำพูดของเธอทำเอาฉันสะอึกไปเหมือนกัน

    ใช่ว่าจะพูดผิด เธอพูดถูกทุกอย่าง ฉันก็รู้ดี งานแบบนี้มีน้อยคนที่จะช่วยพวกเราทำ จะไปต่อว่าเพื่อนๆ อีกหลายๆ คนก็ไม่ได้ เป็นความสมัครใจของแต่ละคนที่จะช่วยหรือไม่ช่วยก็ได้ แต่สำหรับฉันการนิ่งเฉยไม่ตอบคำถามเป็นการดีที่สุดในตอนนี้

    ทำไมไม่เรียกเราว่าพี่ เราแก่กว่านะ ฉันขัดใจในสรรพนามที่เธอเรียกฉัน

    แล้วทำไมต้องเรียกพี่ เราไม่มีพี่ไม่มีน้อง ลูกคนเดียว แปลกตรงไหน

    ตามใจ เรียกอะไรก็ได้ ซิ่วมาหรือไงประโยคหลังฉันถามเพื่อความแน่ใจ ปกติรุ่นน้องที่จะมาปีนเกลียวรุ่นพี่ได้ต้องโจ๋พอสมควร ถ้าไม่คิดว่าอายุเท่ากัน ก็ต้องเคยเรียนปีหนึ่งจากที่อื่นมาก่อน ยิ่งรุ่นน้องผู้หญิงด้วยแล้ว หากล้าๆ แบบน้องผีดิบทำพันธุ์ยาก

    เปล่าไม่ได้ซิ่ว พึ่งเรียนจบมอหกมานี่แหละ

    อ๋อ...เหรอ ฉันไม่ได้ต่อความอะไรอีก ส่วนน้องผีดิบก็นั่งแปะลงข้างๆ ฉัน

    เอาสีอะไรก่อนดี

    สีเขียวก่อนแล้วกัน มันเยอะ ฉันบอกพร้อมๆ กับยื่นม้วนกระดาษไปให้เธอ ส่วนตัวเองหยิบม้วนกระดาษอีกม้วนออกมาคลี่และเคาะกระดาษให้ตรงกัน จากนั้นก็ลงมือตัดกระดาษด้วยกรรไกรในมือตัวเอง

    หนาแบบนั้นเดี๋ยวก็เจ็บมือหรอก เอาเท่าที่เราตัดได้ดิ จะไม่เจ็บมือมาก

    ของรีบๆ จะมาพิถีพิถันไม่ได้หรอก

    รีบไงก็ต้องดูแลตัวเอง ไม่ใช่ทำอะไรแล้วไม่ใส่ใจตัวเอง มือด้านหมดดิแบบนั้น

    เราเองนั่นแหละมาว่าเค้า ตัวเองก็ตัดหนาเหมือนกัน

    เออ...เนอะ เอาออกไปสักสองแผ่นคงไม่เป็นไรเนอะ

    แล้วเราไม่ต้องไปซ้อมเชียร์กับเพื่อนๆ หรือไง

    ไม่ต้องหรอก

    ทำไมอะ คนยิ่งน้อยๆ อยู่

    ไม่ได้คิดจะมางานวันนั้นสักหน่อย

    อ้าว... เป็นน้องปีหนึ่งไม่มางานกีฬาของตัวเองได้เหรอ

    มีกฎหมายข้อไหนระบุไว้หรือเปล่าล่ะ ว่าน้องปีหนึ่งต้องมางานกีฬาน้องใหม่ ถ้ามีแล้วโดนตำรวจจับขังกรง ก็จะมา แต่ถ้าไม่มีก็ไม่มา นอนดูทีวีที่บ้านสบายใจกว่า

    เออ...เนอะ เฮ้อ... คุยกับเราแล้วพี่เริ่มงงชีวิต

    งงทำไม ไม่เห็นหน้างง

    ถามจริงๆ เราคนที่ไหน ทำไมกวนงี้

    คนทุกที่แหละ ไม่เคยเป็นหมาสักที่

    ไม่ได้ถามแบบนั้น จะถามว่าเป็นคนจังหวัดอะไรต่างหากฉันส่ายหน้าไปมาเริ่มรู้สึกว่าน้องผีดิบ ผมยาวถึงหลังคนนี้คงเกิดประเทศญวน เติบโตประเทศอูกานดา และมาตั้งหลักปักฐานในไทยเป็นแน่แท้

    กทม. ตั้งแต่เกิด

    เหรอ

    หายอายหรือยังคำถามของเธอทำฉันหน้าชารู้ได้ไงว่าฉันอาย

    คงหายแล้วสินะ หูไม่แดงแล้วนี่เนอะ งั้นคงทำงานต่อได้แล้วล่ะ พูดเพียงเท่านั้น น้องผีดิบจอมหยั่งรู้ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานของเธอต่อไป

    ส่วนฉัน ก้มหน้าเหมือนกัน แต่ก้มหน้าอายต่อ สงสัยว่าตอนนี้หูของฉันคงแดงอีกรอบแล้ว แต่ช่างเถอะ อีกคนคงไม่ได้มองฉันหรอกนะ อย่างน้องผิวสีน้ำผึ้งที่แม่ภูมิใจหนักหนาตอนเกิดก็คงช่วยพรางตาคนที่นั่งข้างๆ ฉันไปได้เปราะหนึ่งหรอกน่า

     

    เขียนครั้งแรก 15 ธค 52 แก้ไข 27 สค 55 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×