ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลกาล YURI ญรญ

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ ๑

    • อัปเดตล่าสุด 26 ส.ค. 57


    บทที่ ๑

               

             

    นาฬิกา สำหรับคนสมัยใหม่คงเป็นเรื่องปกติ ทุกคนมักจะมีนาฬิกาพกติดตัวกันเกือบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาในรูปแบบใด นาฬิกาข้อมือ นาฬิกาพก หรือแม้แต่กระทั่งนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถือ

    ในสมัยโบราณนั้น มนุษย์เราใช้ดวงอาทิตย์เป็นเครื่องบอกเวลาในเวลากลางวัน ใช้พระจันทร์กับดวงดาวเป็นเครื่องบอกเวลาในยามราตรีกาล

    นาฬิกาเริ่มมีใช้จริงๆ จังๆ เมื่อราวๆ สามพันห้าร้อยปีก่อน มีคนหัวใสประดิษฐ์คิดค้นนาฬิกาแดดเพื่อเป็นเครื่องบอกเวลากับมนุษย์เรา โดยอาศัยเงาของตัวเข็มที่บดบังแสงอาทิตย์ เวลาบนหน้าปัดจะเคลื่อนไปตามการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า ข้อเสียก็คือ พระอาทิตย์นั้นไม่ได้อยู่บริเวณเดิมทุกวัน จะเคลื่อนที่ขึ้นๆ ลงๆ ไปตามจังหวะที่โลกหมุนรอบตัวมัน ทำให้เวลาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเวลา ณ ปัจจุบันจริงๆ

    บางเดือนพระอาทิตย์อยู่บนขอบฟ้าเกือบถึงสิบสามชั่วโมง ส่วนบางเดือนอาจจะอยู่เพียงแค่สิบเอ็ดชั่วโมงหน่อยๆ  

    ชาวกรีกโบราณจึงคิดค้นนาฬิกาน้ำ โดยอาศัยภาชนะบรรจุน้ำ   ให้เต็ม ปล่อยให้น้ำไหลลงมาจากพาชนะด้านบน และมีพาชนะด้านล่างสำหรับรองรับน้ำอีกอันหนึ่ง ระดับน้ำในภาชนะด้านล่างนั้นจะเป็นตัวบอก เวลา ณ ขณะนี้คือเวลาเท่าใด ข้อเสียคือ น้ำนั้นระเหยได้ง่าย และต้องอาศัยแรงมนุษย์ ในการนำน้ำกลับไปใส่ในภาชนะ แถมในฤดูหนาวน้ำยังกลายเป็นน้ำแข็งอีกต่างหาก ทำให้เป็นเรื่องยุ่งยาก จากนั้นจึงมีผู้คิดค้นนาฬิกาทราย เอาไว้จับเวลานิดๆ หน่อยๆ ไม่ระเหย ไม่เป็นน้ำแข็ง

    และแล้ว นาฬิกาจึงได้พัฒนาขึ้นอีกครั้งตั้งแต่นาฬิกาไขลาน นาฬิกาเขย่า นาฬิกาควอตซ์ จนถึงนาฬิกาดิจิตอล 

    ร้านขายนาฬิการ้านหนึ่งเปิดขายมาตั้งแต่รุ่นทวด สืบต่อกันมาจนกระทั่งถึงรุ่นเหลน แม้ร้านจะดูเก่าไปสักนิด หากแต่ผู้ที่รับซ่อมนาฬิกานั้นมีความชำนาญในการซ่อมชนิดที่หาตัวจับได้ยาก

    แป๊ะเฮงคือชายชราวัยเจ็ดสิบปลายๆ เขารับซ่อมนาฬิกามาตั้งแต่สามารถเรียนรู้จากผู้เป็นพ่อของเขาได้ ซ่อมทุกชนิดตั้งแต่นาฬิกาตั้งพื้น แขวนผนัง ข้อมือ ในสมัยก่อนใครที่จะซ่อมนาฬิกาต้องมาที่ร้านเล็กๆ ตั้งอยู่หัวมุมถนนหน้าปากซอยร้านนี้กันทั้งนั้น

    “ฝากเอาไว้นะแป๊ะ เย็นๆ จะมาเอา”

    สาวเจ้าของนาฬิกาเก่าเรือนหนึ่งบอกกับเขา

    “ล่ายๆ อั้วจาซ่อมให้ เย็นๆ ลื้อมาเอาปายน้อ”

    “หมู่นี้มันรวนๆ นะแป๊ะ หนูเขย่ามันทีไร เข็มมันไปรวมกันตอนเที่ยงทุกที ว่าจะเอามาให้แป๊ะดูตั้งหลายวันแล้ว ลืมตลอดเลย” หญิงสาวว่า

    นาฬิกาเรือนนี้เธอได้รับตกทอดมาจากคุณปู่ ว่ากันว่าทำตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นนาฬิกาไม่ต้องไขลาน อาศัยแรงเหวี่ยงของแขน ทำให้มันเดินได้เรียบไม่เคยรวน แต่เมื่อมันมีอายุยาวนานมาเกือบแปดสิบปี ทำให้ระบบต่างๆ ในตัวมันเริ่มรวน อะไหล่หายาก ซ่อมแต่ละครั้งต้องรอนาน เธอจึงต้องพึ่งความสามารถของแป๊ะเฮง ผู้คร่ำหวอดในวงการซ่อมนาฬิกาในละแวกบ้านของเธอ ให้ซ่อมพอใช้ได้ไปพลางๆ ก่อน

    “ลื้อจะไปงานแล้วเหรออาหมวย”

    “ค่ะแป๊ะ หนูต้องรีบไป วันนี้นัดลูกค้าเอาไว้ ไปนะแป๊ะ ฝากด้วย”

    เจ้าของนาฬิกาเก่ารีบเดินออกไปจากร้าน ไม่ได้หันไปสนทนากับเจ้าของร้านอีกเลย

    ชายชราก้มลงมองนาฬิกาเรือนนั้น เขาคุ้นกับมันเป็นอย่างดี ไม่ใช่เพราะเจ้าของนำมันมาซ่อมกับเขาหรอกนะ แต่เพราะเขารู้ที่มาที่ไปของนาฬิกาเรือนนี้ต่างหาก

     

    “ฉันฝากขายหน่อยนะอาตี๋”

    หญิงสาวคนหนึ่งนำนาฬิกาข้อมือมาฝากที่ร้านหน้าปากซอย

    เขาไม่คุ้นหน้าคุ้นตาหญิงสาวคนนี่เอาเสียเลย ท่าทางของเธอคงจะร้อนเงิน ของที่เอามาฝากขายอาจจะเป็นของที่ขโมยมาก็ได้ หรือไม่บางทีหล่อนอาจจะเป็นเจ้าของมันจริงๆ ยุคข้าวยากหมากแพงอย่างนี้ ถ้ารวย  ไม่จริงคงไม่คิดเก็บของเก่าเอาไว้กับตัว มีอดีตคนรวยหลายต่อหลายคน  นำนาฬิกาเก่าออกมาฝากเขาขาย

    “โหเจ้ นาฬิกาแพงอย่างนี้ เจ้จะฝากขายเท่าไหร่”

    เขามองนาฬิกาเรือนนั้น ราคาของมันคงแพงมากมาย คนในซอยนี้จะมีใครซื้อถ้าขายในราคาแพง 

    “เอาเถอะ ฉันตั้งราคาไว้ที่แปดสิบบาท”

    “ไอ๊หย่า ตั้งแปดสิบ ซื้อข้าวได้ตั้งหลายกระสอบ”

    เขาได้ยินราคาแล้วถึงกับตกใจ

    “น่าตี๋ ฝากเอาไว้ก่อน ต่อรองราคากันได้ ไปก่อนนะ”

    เจ้าของนาฬิกาว่าจบจึงเดินออกจากร้านของเขาไป

    ไม่นานนัก เพื่อนรักของเขาเข้ามาในร้าน

    “เฮ้ยตี๋ แกจะเอาอะไรหรือเปล่า กันจะไปตลาด”

    “ไม่ล่ะ เมื่อเช้าม้าซื้อกับข้าวมาแล้ว”

    “แล้วนี่ป๋าแกไปไหนวะ ปล่อยแกเฝ้าร้านคนเดียว”

    เขาชะโงกมองเข้าไปหลังร้าน ท่าทางจะไม่มีใครอยู่

    “ป๋าไปซ่อมนาฬิกาบ้านเจ้าสัว เออนี่ แกบอกว่าอยากได้นาฬิกาข้อมือสวยๆ ใช่ไหม มีคนเอามาฝากขาย”

    เขาหยิบนาฬิกาเรือนที่เจ้าของเพิ่งนำมันมาฝากเอามาให้เพื่อนดู

    “เท่าไหร่วะ” เพื่อนเขาหยิบนาฬิกาเรือนนั้นขึ้นมาดู หน้าปัดของมันแค่ดูก็รู้ว่าทำมาจากเปลือกหอยมุก ส่วนขีดบอกเวลานั้น น่าจะทำจากของมีค่าอะไรสักอย่าง ที่คนทำตั้งใจฝังมันเอาไว้ให้นูนเด่นออกมาจากตัวหน้าปัด ตัวเม็ดมะยมหรือ Crown น่าจะทำจากทองคำ น่าเสียดายที่มัน  ไม่มียี่ห้อบ่งบอกว่าเป็นของใคร หากว่ามี มันอาจจะขายได้ราคาดี

    “แปดสิบ”

    “โห แพง” แม้ปากจะพูดอย่างนั้น เขากลับรู้สึกว่าสมกับราคาที่ผู้ขายนำมันมาฝากเอาไว้จริงๆ

    “กันก็ว่างั้นแหละ แพง จะมีใครซื้อ แต่เจ้าของบอกว่าต่อรองราคาได้ กันว่ามันสวยนะ ยังใหม่อยู่เลย แต่ไม่รู้ว่าของยี่ห้ออะไร เหมือนของปลอมๆ อย่างนั้นแหละ” ตี๋เจ้าของร้านบอกกับเพื่อนเขา

    “นั่นสิกันก็คิดอยู่เหมือนกันนะ ที่สำคัญคือใหม่มาก เหมือนไม่เคยใช่มาก่อน ถ้าได้สักสี่สิบพอไหว เงินเดือนกันกำลังจะออก”

    “ลดราคาตั้งครึ่ง เอางี้ถ้าเจ้าของมา กันจะนัดให้แกต่อรองราคากันเองเลยดีไหม”

    “ถ้าได้ก็ดี กันไปตลาดก่อนนะ เดี๋ยวแม่จะรอกับข้าว เย็นๆ แวะไปที่บ้านสิ พ่อกันพาเพื่อนมาเลี้ยงที่บ้าน”

    “ถ้าว่างจะแวะไป”

    “เออ เอานาฬิกาไปด้วยสิ เผื่อเพื่อนพ่อกันจะอยากได้ ไปนะเพื่อน” เพื่อนของเขาเดินออกไปจากร้าน เขาจึงต้องนั่งเฝ้าร้านอยู่เพียงลำพังต่อไป

     

    งานเลี้ยงง่ายๆ ที่บ้านเรือนไทยกำลังจะเริ่มต้นขึ้น แขกที่มางานล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าของบ้านทั้งสิ้น

    บ้านหลังนี้เป็นทหารสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ผู้เป็นทวดนั้นเป็นทหารของพระเจ้าน้องยาเธอตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย สืบเรื่อยมาจนกระทั่งถึงทรงธรรม ผู้เป็นรุ่นล่าสุด เขาเป็นนายทหารยศร้อยเอกแห่งกองทัพไทย มีพ่อเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ระดับนายพล

    เหตุการณ์บ้านเมืองในเวลานี้ยุ่งเหยิงยิ่งนัก นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง และดูเหมือนว่ากำลังจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่น    แผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาแทรกซึมในไทยมาหลายปี

    ยังไม่รวมถึงประเทศมหาอำนาจอื่นๆ ที่คิดจะใช้เมืองไทยเป็นฐานในการบัญชาการรบ

    เสียงสนทนากันของแขกที่มาในงานคงไม่พ้นเรื่องสงครามที่กำลังจะเกิดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

    “นั่นสิกระผมว่าถ้าเราเลือกข้างไปเสียแต่ตอนนี้ เราคงไม่ลำบากอะไรหรอกครับท่าน”

    “ใจผมอยากให้เราเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่เราคงทำอะไรไม่ได้ ญี่ปุ่นเร่งเราเหลือเกิน ฝ่ายสัมพัธมิตรก็อยากให้เราร่วมด้วย ส่วนฝ่ายอักษะไม่ต้องพูดถึง แทบจะกินเราให้เป็นเมืองของพวกเขาด้วยซ้ำ”

    “นั่นสิขอรับ สงครามที่ยุโรปเขาว่ารุนแรงนัก กระผมได้ข่าวมาว่าฮิตเลอกำลังระดมพลครั้งใหญ่ เห็นท่าว่าครั้งนี้อักษะจะเป็นฝ่ายชนะ”

    “เรื่องของสงครามเราคงกำหนดอะไรไม่ได้หรอกนะ อยู่ที่ใคร    ตั้งรับได้ดีกว่าใคร เฮ้อ... ไปดื่มไปกินกันดีกว่า แม่บ้านผมทำอาหารรอ   พวกคุณตั้งแต่กลางวัน” เจ้าของบ้านหยุดการสนทนาลง เดินนำพรรคพวกของเขาไปยังที่ตั้งโต๊ะอาหาร สำหรับเขาเวลานี้ยังถือว่าเป็นเรื่องพอรับมือไหว หากเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ จะกินจะใช้อะไรคงต้องประหยัด

    กลียุคคงกำลังจะเกิดกับประเทศ งานนี้คงเป็นงานสุดท้ายที่เขาจะจัดเลี้ยงลูกน้องของเขาก่อนที่จะต้องรับศึกหนักซึ่งกำลังจะเกิดกับประเทศ

     

    เฮงมางานนั้นตามคำเชิญของเพื่อนเขา เขารู้ดีว่าเขาคงไปไหนไม่ได้ไกล นอกจากไปขลุกอยู่ในครัว งานเลี้ยงนี้มีคนมีอำนาจมากมายมาอยู่รวมตัวกัน ไทยเชื้อสายจีนอย่างเขาทำอย่างมากแค่เพียงยืนมองอยู่ไกลๆ

    พ่อของเขาตั้งชื่อเขาว่าเฮง เพราะตอนที่เขาเกิดพ่อกับแม่เริ่มมีฐานะทางบ้านดีขึ้น และดีขึ้นเรื่อยๆ จนมีร้านขายนาฬิกาเป็นของตัวเอง

    เขาจึงกลายเป็นลูกคนโปรดของบ้าน มีเพื่อนรักอยู่เพียงคนเดียวคือทรงธรรม ลูกนายทหารใหญ่ ซึ่งบัดนี้เขาเดินตามรอยเท้า เป็นทหารเช่นเดียวกับบรรพบุรุษ ส่วนตัวของเฮงก็เดินตามรอยเท้าของพ่อเขาเป็นช่างซ่อมนาฬิกาเช่นกัน

    “อ้าวเฮง นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่ไปในงาน มาหลบอะไรอยู่ที่นี่ หรือว่าจะมีจีบพิกุลกันวะเพื่อน”

    “บ้าน่า กันไม่ได้จีบใครทั้งนั้นแหละ กันไม่กล้าเข้าไปในงาน เออนี่กันมีอะไรจะบอก”

    “อะไร” ทรงธรรมจ้องหน้าเพื่อนของเขา

    “นาฬิกาเรือนนี้มียี่ห้อด้วยนะ”

    เฮงล้วงห่อผ้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเขา

    “ไหนๆ ยี่ห้ออะไร”

    “โอม”

    “หือ อะไรนะ”

    “โอม กันให้ไอ้ซิงค์มันดูให้ บังเอิญว่ากันเอาไปส่องดูกับไฟ เห็นมันสลักเอาไว้บนหน้าปัด เป็นภาษาอะไรไม่รู้อ่านไม่ออก พอดีไอ้ซิงค์มันเข้ามา มันช่วยดูให้ บอกว่าเป็นภาษาอินเดียอ่านว่าโอม”

    “โอมเหรอ แปลกไม่เคยได้ยินชื่อยี่ห้อนี้มาก่อน”

    ทรงธรรมค่อนข้างแปลกใจที่ได้ยินคำอธิบายจากเฮงเพื่อนของเขา

    “นั่นสิ แสดงว่าไอ้นาฬิกานี้ต้องเป็นของอินเดียแน่ๆ เลยเพื่อน”

    “เอาไปให้พ่อกันดูดีไหมเฮง เผื่อพ่อจะสนใจ” ทรงธรรมชักชวนเพื่อนของเขาเข้าไปในงานเลี้ยงนั้นทันที

    “อยากได้หรือไงเรา”

    ผู้เป็นปู่เอ่ยถามหลานชายคนเดียวของเขา

    “ขอรับเจ้าคุณปู่” ทรงธรรมบอกกับชายชรา

    “เอาสิ ปู่ซื้อให้ เท่าไหร่ล่ะ”

    “แปดสิบขอรับท่าน” เฮงบอกราคากับเจ้าของบ้าน

    “อือๆ เดี๋ยวให้คนไปเอาเงินมาให้ ไม่แพงหรอก นาฬิกานี่เป็นของดี ปู่ให้เจ้าเป็นของขวัญเลื่อนยศเป็นร้อยตรี” เสนาผู้เฒ่าบอกกับหลานชาย

    “ขอบพระคุณขอรับเจ้าคุณปู่”

    ทรงธรรมก้มลงกราบผู้มีพระคุณสูงสุดของเขา

    “ว่าแต่ใครเอามาฝากขายล่ะเจ้าเฮง”

    เจ้าของบ้านยศเสนาบดีเอ่ยถาม

    “ผู้หญิงขอรับท่านเจ้าคุณ ท่าทางจะร้อนเงิน กระผมไม่คุ้นหน้าเธอดอกขอรับ ไม่ได้ทันไถ่ถามว่าเป็นใคร เธอไปเสียก่อน”

    เฮงตอบไปตามความจริง

    “เอาเถอะ ถือว่าได้ของดีราคาถูกก็แล้วกัน ลองใส่สิปู่อยากเห็นว่าเข้ากับเจ้าไหม” ประโยคหลังชายชราบอกกับหลานชาย

    เขาสอดมือเข้าไปในวงนาฬิกาเรือนนั้น สายของมันน่าจะทำจากโลหะมีค่า แม้จะไม่ได้ทำจากทอง แต่ดูดีมีราคากว่าสายนาฬิกาหนังเป็นไหนๆ

    “เรือนนี้ไม่ต้องไขลานด้วยนะขอรับ ไอ้ซิงค์มันว่าเป็นนาฬิกาเขย่า” เฮงบอกสรรพคุณของแพงที่เขาเพิ่งขายให้กับเพื่อนรักไป

    “เหรอ งั้นก็ดีสิ จะได้ไม่ต้องมาหมุนทุกวัน”

    “แต่มันมีข้อเสียนะขอรับท่าน”

    “อะไร”

    “มันต้องใส่ทุกวันขอรับ เครื่องจะได้เดิน กระผมเพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละขอรับ”

    “อ้าวแล้วกัน เอาอย่างนี้สิเฮง เจ้าลองไปหาความรู้เรื่องนาฬิกาเขย่าของเจ้า เผื่อว่าไอ้เจ้านาฬิกาเรือนนี้มันพัง เจ้าจะได้เป็นคนซ่อมมันให้กับหลานข้า ดีไหมไอ้เฮง”

    “ขอรับท่าน”

    นั่นคือสิ่งที่เฮงจำได้ หลังจากนั้น เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่ซ่อมนาฬิกาเรือนนี้ให้กับทรงธรรม

    จะว่าไปนาฬิกาเรือนนี้ช่วยชีวิตของทรงธรรมเอาไว้ ตอนที่เขา   ไปรบ เขาถอดนาฬิกาใส่เอาไว้ในกระเป๋าเสื้อ ข้าศึกบุกมาถึงที่ฐาน ลอบยิงเขาไปจังๆ หลายนัด โชคดีที่นัดสำคัญที่จะเจาะทะลุหัวใจของทรงธรรม ยิงมาถูกนาฬิกาเรือนนั้น ทำให้ทรงธรรมรอดชีวิตมาได้

    หลังจากนั้นนาฬิกาเรือนนั้นยังช่วยชีวิตของทรงธรรมเอาไว้อีกครั้ง ด้วยเหตุคล้ายแต่ต่างกัน เมื่อเขาเข้าป่าไปล่าสัตว์จู่ๆ มีเสือตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาหาเขา งับที่แขนโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว นาฬิกาเรือนนั้นทำให้เจ้าเสือตัวนั้นไม่สามารถใช้เขี้ยวของมันงับเข้าเนื้อของเขาได้ แถมยังไม่มีรอยขีดข่วนอะไรบนนาฬิกาเรือนนั้นเลยสักนิด เขาจึงคิดว่าของสิ่งนี้คือเครื่องลางที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา

    เมื่อหลานสาวคนเดียวของทรงธรรมเกิด เขาจึงมอบนาฬิกาสุดรักสุดหวงให้เป็นของขวัญวันเกิดกับเด็กหญิงตัวแดงๆ น่ารัก ที่ชื่อว่า ทาฬิดา 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×