ฉันชื่อปุ้ม ฉันได้รับทุน ก.พ. มาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยซอร์กบอนน์ ปารีส ฝรั่งเศส ในคณะวิทยาศาสตร์  ฉันมีน้องสาวฝาแฝดคนหนึ่งซึ่งตอนนี้อยู่ที่รัสเซีย เธอไปเรียนดนตรีอยู่ที่นั่น ตอนนี้ฉันเพิ่งออกจากพิพิธภัฑณ์ลูฟว์และกำลังเดินไปยังสถานีรถไฟใต้ดินเพื่อกลับหอพัก ฉันเดินชนชายตาบอดเข้า ฉันรีบกล่าวขอโทษแต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจ เขาทำท่าทางให้ฉันซื้อของบางอย่างที่เขานำมาด้วย มันเป็นปิรมิดแก้วขนาดเท่าฝ่ามือ ฉันซื้อมันเพราะความสงสารในราคาที่ค่อนข้างแพง 20 ยูโร แล้วชายคนนั้นก็เดินจากไป
                เมื่อกลับถึงหอพัก ฉันวางปิรมิดไว้บนโต๊ะหนังสือ จู่ๆก็มีลมพัดอย่างรุนแรงเข้ามาในห้องทั้งๆที่หน้าต่างก็ปิดอยู่ โต๊ะสั่นสะเทือน ปิรมิดแตกออกแล้วก็มีลมดูดออกมาจากมัน ลมนั่นดูดตัวฉันเข้าไปในปิรมิด ฉันตกลงมาบนพื้นอย่างแรงและมีบางอย่างกระแทกบริเวณหัวจนฉันสลบไป
                เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ในมุมตึกมุมหนึ่งของเมืองมีที่แสงสว่างจ้า ไม่ใช่แสงที่มาจากดวงอาทิตย์แต่มาจากแสงไฟขนาดยักษ์และขนาดย่อมที่มีอยู่เรียงราย ฉันแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามันเป็นสีดำสนิท ฉันขยับแว่นตาด้วยความรู้สึกงุนงง หัวที่กระแทกกับอะไรบางอย่างทำให้มองเห็นอะไรที่ประหลาดๆแน่ ฉันเดินออกมาจากมุมตึกนั้น สายตาก็สอดส่องไปเรื่อยๆจนมาพบสวนสนุกแห่งหนึ่งเข้า ฉันคิดว่าจะเดินเข้าไปข้างในแต่ความรู้สึกเจ็บปวดที่หัวยังคงมีอยู่ น่าจะมีร้านขายยาอยู่แถวๆนี้ ขณะที่เดินหาร้านขายยาก็พบป้ายโฆษณาว่า “เจ้าหนูคอมเมกโซบอกว่า ไม่ว่าอะไรที่ทำให้คุณป่วยตั้งแต่นิ้วเท้าเปื่อยจนถึงภาษีลองใช้ยาครอบจักรวาล” ท่าจะดีแฮะ! ฉันเดินเข้าไปข้างในร้านๆหนึ่งที่แปะป้ายโฆษณานี้ไว้
   
                “จะรับอะไรดีครับ” เจ้าของร้านกุลีกุจอออกมาต้อนรับ เขาพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้แต่ฉันกลับเข้าใจมัน
    “ฉันต้องการยาครอบจักรวาลสักหน่อย ขายยังไงล่ะ” ฉันถามออกไปเป็นภาษาฝรั่งเศส
    “ขวดละ 7 เซมครับ จะรับกี่ขวดดี” เจ้าของร้านตอบ แปลกแฮะเขาพูดภาษาฝรั่งเศสได้
    “ขอขวดหนึ่งแล้วกัน คุณรับเงินสกุลอื่นไหม พอดีฉันมีแต่ยูโร” ฉันพูดเป็นภาษาไทย ทั้งๆที่แปลกใจว่า  ”เซม”คืออะไร แต่คิดว่าคงเป็นสกุลเงิน
    “เรารับแต่เซมอย่างเดียวครับ เอ่อ แล้วยูโรนี่มันคืออะไร” เจ้าของร้านตอบพลางทำหน้างงงวย
   
                ฉันส่ายหัวแล้วรีบเดินออกมาจากร้าน ฉันประหลาดใจเพราะเขาก็ตอบกลับมาเป็นภาษาไทยเหมือนกัน ฉันเดินผ่านคนกลุ่มใหญ่ท่าทางเหมือนกับนักท่องเที่ยวที่เพิ่งจะออกมาจากสวนสนุกนั่น พวกเขาพูดภาษาที่แตกต่างกันออกไป แต่ฉันก็เข้าใจในสิ่งที่พวกเขาพูดกัน อาการปวดหัวหายไปแล้ว ตอนนี้ฉันหิวและกระหายมากกว่าแต่ไม่มีเงินสกุลเซมที่พวกเขาใช้กัน ฉันมี 50 ยูโรในกระเป๋ากางเกง แต่มันจะใช้อะไรได้ ขณะที่ฉันนั่งกุมท้องเพราะความหิวอยู่ที่ม้านั่งหน้าสวนสนุกอยู่นั้น ชายร่างยักษ์ 2 คนเดินตรงมาที่ฉันพร้อมกับถามว่า
   
                “เธอมานั่งทำอะไรที่นี่ คนจรจัดรึ ไปนั่งไกลๆเลยนะ” ก่อนที่ฉันจะตอบอะไรออกไปก็มีเสียงๆหนึ่งขึ้นว่า
    “เธอเป็นหลานของฉันเอง โจ” เจ้าของเสียงเป็นหญิงชราผมยาวขาวโพลน ใบหน้าเหี่ยวย่น หลังงองุ้ม เธอสวมชุดสีดำ รอบๆตัวเธอมีรังสีประหลาดๆแผ่ออกมา ฉันคิดว่าตาฝาด คงเป็นเพราะความหิวแน่ๆ
    “เธอเป็นหลานคุณหรือ แซม เธอมาอยู่กับคุณตั้งแต่เมื่อไร ทำไมผมไม่เคยเห็น” ชายอีกคนหนึ่งถาม
    “เธอเพิ่งมาถึงเมื่อวาน ฉันแก่มากแล้วจึงขอให้เธอมาช่วยงาน” เธอตอบแล้วพูดต่อว่า “กลับบ้านกันเถอะหลานรัก”
                ฉันทำตามอย่างว่าง่ายเพราะต้องการออกไปจากบริเวณนั้นโดยเร็ว เดินตามหญิงชราไป เธอเดินลัดเลาะไปตามทางเดินเล็กๆจนกระทั่งมาถึงกระท่อมเล็กๆหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเศษเหล็กกองมหึมา เธอเดินเข้าไปในกระท่อม ฉันเดินตามเธอเข้าไป ข้างในกระท่อมสะอาดและเป็นระเบียบ เธอสั่งฉันให้นั่งลงแล้วแนะนำตัวเองว่า เธอชื่อแซมเป็นพนักงานทำความสะอาดภายและถามถึงที่มาของฉัน ฉันเล่าให้เธอฟังทั้งหมด แซมบอกว่าตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในอบารัตซึ่งเวลาคือสถานที่และที่ที่ฉันจากมาเรียกกันว่าโลกหน้า เธอตอบทุกเรื่องที่ฉันสงสัยและหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมามันชื่อ “กาลานุกรมเคลปป์” เธอบอกว่ามันอาจจะเป็นประโยชน์กับฉัน แล้วก็เข้าครัวปล่อยให้ฉันอ่านหนังสือไป ฉันอ่านหนังสือนั่นอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็อ่านจบ หัวหนักอึ้งด้วยความมึนงง ครู่หนึ่งแซมก็ยกอาหารเข้ามาและบอกว่ามะรืนนี้เธอจะตาย (เธอบอกว่าเธอมีดวงตาพยากรณ์ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่ามันหมายความว่ายังไง) เธอขอร้องฉันให้ไปทำงานกับเธอในวันพรุ่งนี้และทำงานแทนเธอจนกว่าจะหาทางกลับบ้านได้ แซมบอกว่าฉันจะพบผู้หญิง 2 คน คนหนึ่งเป็นลูกครึ่งเอลฟ์กับเงือกและอีกคนหนึ่งมีผมซอยสั้นและสวมเสื้อแจ๊กเก็ตยีนส์และกางเกงยีนส์ แซมบอกว่าผู้หญิงคนหลังมาจากโลกหน้าเช่นเดียวกัน  ผู้หญิง 2 คนนี้จะช่วยเหลือให้ฉันกลับบ้าน ฉันขยับแว่นตาด้วยความรู้สึกทึ่งปนงง
    วันต่อมาแซมพาฉันไปแนะนำตัวกับหัวหน้าฝ่ายบุคคลที่ศูนย์บัญชาการใจกลางเมืองคอมเมกโซ แซมแนะนำกับเขาว่าฉันเป็นหลานและจะมาทำหน้าที่แทนเมื่อเธอจากไป เขารับข้อตกลงเพราะเกรงใจแซมด้วยเธอทำงานมานานและเป็นที่ชื่นชอบของโรโจ พิกซเลอร์ผู้ก่อตั้งเมืองแห่งนี้ แซมพาฉันเดินดูรอบๆตึกและพาไปดูบริเวณที่ฉันจะต้องทำงาน รวมถึงทางลับต่างๆที่อยู่ภายในตึกและเมืองคอมเมกโซด้วย เมื่อกลับถึงกระท่อม แซมขอตัวเข้านอน เธอดูเหนื่อยล้ามาก และเมื่อฉันตื่นขึ้นมาเตียงของแซมก็ว่างเปล่า นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเธอได้จากไปแล้วและฉันต้องไปทำงานแทนเธอ
    ฉันอยู่ที่นี่ได้ 3 เดือนแล้ว รู้ความลับมากมายที่เกิดขึ้นที่ศูนย์บัญชาการของเมืองคอมเมกโซ  โรโจ พิกซเลอร์พ่อเมือง เจ้าของเรือนผมม้าสีส้ม เขาต้องการถอนรากถอนโคนเวทมนต์ทั้งหมดในเกาะของอบารัต เขาขโมยหนังสือและของต่างๆที่มีเวทมนต์มาจากคริสโตเฟอร์ แคร์เรียนเจ้าชายแห่งเที่ยงคืน (ทั้งคู่ไม่กินเส้นกัน) และยังต้องการครอบครองอบารัตโดยการใช้ผลิตภัณฑ์แปะยี่ห้อเจ้าหนูคอมเมกโซครอบงำชาวอบารัตอีกด้วย พวกชาวบ้านตาดำๆไม่รู้ว่ายาครอบจักรวาลที่พวกเขาดื่มกินนั้นผสมน้ำยาที่ล้างมนตราเอาไว้ทำให้อำนาจของพวกเขาเสื่อม (90% ของชาวอบารัตมีเวทมนต์แม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม) เขาสร้างA.I.เจ้าหนูคอมเมกโซ (หลังจากที่ผิดหวังกับการชุบชีวิตเจ้าหนู) เพื่อเป็นตัวช่วยอีกแรง ฉันเคยเห็นเจ้าหนูนั่นตอนที่เข้าไปทำความสะอาดห้องโถงใหญ่ซึ่งดัดแปลงให้เป็นห้องทดลองชั่วคราว ฉันรู้สึกขยะแขยงเวลาที่ต้องเขาไปทำความสะอาดภายในห้องทำงานของเขา พบเขา บางทีเขาก็พูดคุยกับฉันแต่บางทีเขาก็ไล่ฉันออกไปให้พ้นๆ เขาไม่รู้หรอกว่าฉันเป็นใคร มาจากไหน รู้แค่ว่าฉันเป็นหลานของแซมมาทำงานแทนเพราะเธอจากไป แต่ฉันก็ทำให้เขาสงสัยล่ะ เนื่องจากเขาเห็นรอยสักรูปมังกรที่หลังมือซ้ายตอนที่ถอดถุงมือออกเพื่อล้างมือ เขาสนใจขึ้นมาทีเดียว ฉันตอบไปว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลซึ่งทุกคนต้องสักไว้ เขาก็ไม่ติดใจอะไรแต่ก็จ้องฉันอย่างไม่วางตาทุกครั้งเวลาที่เข้าไปทำความสะอาด ฉันรู้ความลับข้อหนึ่งของเขาล่ะ เขามีคริสตัลอยู่แท่งหนึ่ง มันสามารถพาคนที่ใช้มันไปสถานที่แห่งใดก็ได้เพียงแต่ว่าผู้ที่ใช้จะต้องมีเวทมนต์ ฉันแอบได้ยินพิกซเลอร์พูดกับหัวขโมยชื่อดังคนหนึ่ง รู้สึกว่าจะชื่อจอห์น มิสชีฟ แจ๋ว! นี่คงเป็นหนทางกลับบ้าน แต่ฉันยังหาหนทางที่จะขโมยมันมาไม่ได้และฉันก็ไม่มีเวทมนต์เสียด้วย ฉันแอบจดจำรูปร่างของแท่งคริสตัลนั้นไว้เมื่อตอนที่เข้าไปทำความสะอาดในห้องของพิกซเลอร์ เขายังไม่ทำลายมันเขาคงคิดว่ามันสวยดีเลยเอามาประดับไว้บนชั้นหนังสือ ฉันทำเลียนแบบมันขึ้นมาจากเศษแก้วธรรมดาๆและวางแผนการที่จะขโมยมันอย่างเงียบๆ
    วันหนึ่งหลังจากเลิกจากงานแล้ว ฉันเดินเข้าไปในเมืองเพื่อหาซื้อของใช้บางอย่างเพิ่ม ฉันได้ยินเสียงคนตะโกนว่า “คนหนีเข้าเมือง จับมันให้ได้” ฉันไม่ใส่ใจเพราะเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อย เมื่อฉันเดินมาถึงสวนสนุกก็พบผู้หญิงสองคนวิ่งหนีพวกยามอยู่ ผู้หญิงคนแรกเธอสูงโปร่ง หูแหลม ผมสีเงินยาวสลวย คงเป็นเอลฟ์แต่เท้าของเธอกลับเป็นครีบปลา! ผู้หญิงอีกคนเธอผมซอยสั้น สวมเสื้อแจ็กเก็ตยีนส์และกางเกงยีนส์แต่ฉันไม่เห็นหน้าของเธอ ฉันคิดถึงคำพูดของแซมขึ้นมาทันที  ใช่เลย! ต้องเป็นผู้หญิงสองคนนั้นแน่ๆ ฉันรีบวิ่งลัดไปตามทางเล็กๆหลังตึก แอบอยู่มุมตึกเก่าๆ พวกเธอมานั่นแล้ว พอสบโอกาสฉันก็ฉุดมือของผู้หญิงคนหนึ่งแล้วออกวิ่งกลับไปกระท่อมทันที
    “ปุ้ม ! เอ่อ ขอบใจนะที่ช่วย เอ่อ
แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้ไง!” ผู้หญิงผมซอยสั้นพูดอย่างตกใจ ไม่น่าเชื่อเลยว่าฉันจะเจอกับน้องสาวฝาแฝดของฉันในสถานการณ์และสถานที่แบบนี้ !
    ฉันจ้องหน้าเธออย่างไม่เชื่อตาตัวเองแล้วถามว่า “ปุ้ย!เธอมาได้ไงเนี้ยะ”
    “เฮ้! ฉันถามเธอก่อนนะ” เธอแหวใส่ เธอเป็นอย่างนี้เสมอ ขี้โมโห ขี้กลัว ตกใจง่ายและไม่ยอมใคร
    ฉันเล่าเรื่องต่างๆให้พวกเธอฟังยกเว้นคำพูดของแซม แล้วปุ้ยก็แนะนำให้ฉันรู้จักกับเฮลก้า แม่สาวลูกครึ่งเอลฟ์กับเงือก เธอน่าจะใช้เวทมนต์กับหายใจในน้ำได้เพราะพันธุกรรม2 สายเด่นๆอย่างละครึ่งในตัวเธอ
    “แล้วเจ้าหนูคอมเมกโซกับโรโจ พิกซเลอร์ล่ะ” เฮลก้าถามพลางมองหน้าฉันสลับปุ้ยสลับกันไป
    ฉันเล่าเรื่องของเจ้าหนูคอมเมกโซกับโรโจ พิกซเลอร์เท่าที่ฉันรู้มาให้พวกเธอฟัง
    “น่ากลัวชะมัดเลย! แต่ฉันขอพักเรื่องนี้ไว้ก่อนเถอะ ฉันอยากกลับบ้านเต็มทีแล้ว ปุ้มเธออยู่ที่นี่มาตั้ง 3 เดือนแล้วน่าจะมีวิธีกลับสิ” ปุ้ย แม่น้องสาวตัวแสบพูด รอยสักที่มือเธอหายไปแล้ว ฉันเดาว่าเธอคงแลกกับอะไรบางอย่างที่ชอบมันเพื่อแลกกับชีวิตของเธอ
    “วิธีน่ะมี แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะสำเร็จ” ฉันตอบพลางยิ้มยิงฟัน ก็ฉันยังไม่มีความคิดดีๆในสมองเลยนี่
    “มันจะต้องสำเร็จสิ เพราะเราจะช่วยใช่มั้ยเฮลก้า” ปุ้ยบอกพลางหันไปทางเฮลก้า
                “เอาไงก็เอา” เฮลก้าตอบอย่างไม่เต็มใจ
              ฉันบอกเรื่องที่คริสตัลของพิกซเลอร์ทันที ใช่ ! แซมบอกว่าถ้าสองคนนี้ช่วยฉันก็กลับบ้านได้
              “ฉันทำเลียนแบบมันได้” ฉันบอกพร้อมกับชูเศษแก้วที่ทำเลียนแบบขึ้นให้ดู
                แล้วฉันก็วางแผนโดยให้เฮลก้าเสกกลิฟซ่อนเอาไว้หลังกองเศษเหล็ก (โชคดีชะมัดเลย! ที่เธอมีเวทมนต์ถึงแม้ว่าจะเล็กน้อยก็ตาม) เธอกับปุ้ยจะคอยอยู่ที่นั่น ส่วนฉันจะเป็นคนเข้าไปเอาคริสตัลออกมาโดยแกล้งเข้าไปทำความสะอาดในห้องของพิกซเลอร์แล้วกลับมายังจุดนัดพบเพราะสามารถเข้าออกได้อย่างไม่ผิดสังเกต      หลังจากนั้นเราก็จะขึ้นกลิฟไปลงที่เกาะใกล้ๆแล้วใช้เวทมนต์ของเฮลก้าทำให้ฉันกับปุ้ยกลับบ้าน
                เราดำเนินการทันทีในวันต่อมาเมื่อเฮลก้าเสกกลิฟเสร็จแล้ว ฉันออกไปที่ศูนย์บัญชาการ ทำทีเข้าไปทำความสะอาดภายในห้องทำงานของพิกซเลอร์ รอจนเขาเผลอ ก็ฉวยเอาคริสตัลไปแล้วเอาของปลอมที่ทำเลียนแบบไว้มาวางแทนที่ มันดูคล้ายกันมากทีเดียว แล้วก็รีบผละออกจากบริเวณนั้นเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต พิกซเลอร์ไล่ฉันออกไปจากห้องเพื่อที่เขาจะคุยกับดอกเตอร์วัวร์แซงเกลอร์นักวิทยาศาสตร์ของเขา เขายิ้มให้ฉันอย่างมีเลศนัย ฉันโค้งคำนับแล้วรีบวิ่งออกมาจากห้องและศูนย์บัญชาการทันทีเพื่อมายังจุดนัดพบที่เฮลก้าและปุ้ยรออยู่ก่อนแล้ว พวกเราจึงขึ้นกลิฟแล้วรีบบินออกมาจากเกาะโดยมีเฮลก้าเป็นผู้ควบคุมกลิฟ
              “ฉันรู้สึกแปลกๆ มันง่ายเกินไป” ฉันบอกกับพวกเธอ
              ทันใดนั้นบอลลูนความเร็วสูง 3 ลำก็ไล่ตามพวกเรามาแล้วกระหน่ำยิงใส่เราทันทีที่อยู่ภายในรัศมี
              “จับพวกมันให้ได้ เอาเด็ก 2 คนจากโลกหน้ามาให้ฉัน” พิกซเลอร์คำราม
              “เขารู้ๆ เขาวางแผนให้เราติดกับ” ปุ้ยร้องลั่น เธอลนลานและทำอะไรไม่ถูก
                เฮลก้าพยายามบังคับกลิฟให้บินหลบหลีกกระสุนจากบอลลูนของพิกซเลอร์  แต่ด้วยแรงกระแทกของปืนที่ยิงใส่เข้ามาทำให้เฮลก้ากระเด็นออกจากกลิฟแล้วตกลงไปในทะเลอิซาเบลลา
                “เฮลก้า!...................เราจะทำไงดี” ปุ้ยตะโกน ให้ตายสิ! เธอควบคุมอารมณ์กลัวของตัวเองไม่ได้
                “ฉันกำลังคิดอยู่ แต่ฉันไม่มีเวทมนต์ ฉันควบคุมกลิฟไม่ได้” ฉันตะโกนกลับไป ขณะที่พยายามควบคุมกลิฟไปด้วย พยายามทำใจเย็น ไม่ให้ตกใจกลัวทั้งๆที่กลัวแทบตาย
                ทันใดนั้นเองกลิฟก็ถูกยิงที่จุดสำคัญทำให้มันดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่พุ่งดิ่งลงมานั้นคริสตัลก็เปล่งแสงจ้าแล้วดูดเอาฉันกับปุ้ยเข้าไปในคริสตัลก่อนที่เราจะกระทบกับพื้นน้ำ แต่เราก็กลับตกลงมาในน้ำ ฉันรวบรวมกำลังเพื่อเอาตัวรอด เมื่อหัวของฉันโผล่พ้นจากน้ำมาแล้ว ฉันเห็นเรือ สะพาน ตึกรางบ้านช่องที่ดูคุ้นเคย และที่สำคัญฉันเห็นป้ายโฆษณาที่เป็นภาษาไทย ฉันกลับมาบ้านแล้ว!
              ฉันดำลงไปในน้ำอีกครั้งเพื่อฉุดปุ้ยขึ้นมาแล้วพาเธอไปที่โป๊ะที่อยู่ใกล้ๆ
              “ที่นี่ที่ไหน?” ปุ้ยถามพร้อมกับสำลักน้ำอย่างแรง
                ฉันหัวเราะแล้วตอบว่า “เรากลับบ้านแล้ว! เราอยู่ในประเทศไทย เราโผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำเจ้าพระยาล่ะ”
                ปุ้ยมองไปรอบๆแล้วพูดว่า “ใช่จริงๆด้วย”
                เธอสวมกอดฉันด้วยความดีใจ ทำเอาแว่นตาฉันเอียงกระเท่เร่
                “เรากลับมาแล้ว เอ่อ
แล้วเฮลก้าล่ะ?” ปุ้ยถามต่อ
                “ฉันไม่รู้ เธอตกลงไปในทะเลอิซาเบลลาแต่ฉันว่าเธอปลอดภัยก็เธอเป็นลูกครึ่งเงือกนี่ แล้วฉันคิดว่าเธอคงใช้เวทมนต์ทำให้เรากลับมาที่นี่ก่อนที่เธอจะตกลงไปในทะเล” ฉันตอบพลางขยับแว่นให้เข้าที่หลังจากการกอดที่รุนแรงของปุ้ย
              จากนั้นฉันกับปุ้ยก็กลับบ้าน เราทั้งคู่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอบารัตหลังจากที่เราจากมาแล้ว เฮลก้าจะเป็นอย่างไรบ้าง  โรโจ พิกซเลอร์จะครอบครองอบารัตโดยใช้เจ้าหนูคอมเมกโซเป็นเครื่องมือได้หรือไม่นั้นเราไม่รู้ แต่ว่าการผจญภัยของพวกเราในอบารัตคงจะตราตึงในความทรงจำของพวกเราตลอดไป (รู้อะไรมั้ย! คริสตัลยังอยู่ที่ฉันล่ะ ฉันอยากจะไปที่นั่นอีกครั้งเพราะฉันรู้สึกสนุก ตื่นเต้นและตระกาลตามากเมื่ออยู่ที่นั่นได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตแล้วฉันจะกลับไปเอาหนังสือกาลานุกรมของเคลปป์และถ่ายรูปกลับมาเป็นหลักฐานด้วยเมื่อกลับมาบ้าน เห็นทีจะต้องไปเรียนเวทมนต์แล้วล่ะ)
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น