ตอนที่ 13 : CH.12 : เข้าถ้ำเสือ
เพราะอยากได้CHANELฉันจึงไปที่ห้องของพริ้นซ์ ฉันอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมที่ห้องฉันไม่มีรูปตอนเด็กของพริ้นซ์เลย ไม่มีรูปถ่ายเดี่ยวก็น่าจะมีรูปถ่ายร่วมกับฉัน เราโตมาด้วยกันขนาดนั้นน่าจะได้ถ่ายรูปร่วมกันบ้าง อันนี้น่าสงสัยมาก หรือว่าพริ้นซ์จะทนความขี้เหร่ของตัวเองไม่ได้เลยยึดไปหมด
เมื่อฉันเดินเข้าไปในห้อง พริ้นซ์ที่กำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ก็หันมามอง พอเห็นว่าเป็นฉันเขาก็หันกลับไปสนใจสิ่งที่ทำค้างไว้ ดูเหมือนว่าเขากำลังแต่งเพลง บนตักของเขามีกีตาร์ตัวเก่งวางอยู่
“ไปออดิชั่นเป็นไงบ้าง ผ่านไหม?” ฉันถามแล้วเดินตรงไปที่ชั้นโชว์เพื่อค้นหาอัลบั้มรูปสมัยเด็กของเขา
“อีกสองวันเขาจะโทรมาบอกผล”
“ถ้านายได้ออกอัลบั้ม คงดังน่าดู”
“งั้นมั้ง” ดูท่าทางเขาไม่สนใจชื่อเสียงเลย จะรู้ตัวไหมเนี่ยว่ามีคนยอมควักเงินซื้อCHANELให้ฉันเพื่อแลกกับรูปของเขา
ฉันเปิดดูอัลบั้มรูปหลายอันก่อนจะหยุดอยู่ที่อัลบั้มอันหนึ่ง มันเป็นอัลบั้มรวมรูปตอนเด็กของพริ้นซ์นั่นเอง เจอแล้วล่ะ! ฉันเปิดดูอย่างตื่นเต้นเพราะฉันไม่เคยดูมัน ฉันไม่รู้สึกคุ้นกับหน้าตาสมัยเด็กของพริ้นซ์เลย น่าแปลกที่ฉันจำภาพเด็กชายพิพัฒน์ไม่ได้ มีลายมือสวยๆ เขียนแล้วชี้โยงใส่รูปเด็กผู้ชายใส่ชุดยีราฟว่า ‘My Prince’ ซึ่งคาดว่าคงจะเป็นพ่อหรือไม่ก็แม่ของเขาเขียนเอาไว้
เขาหล่อมาตั้งแต่เด็กเลยล่ะ ทั้งคิ้ว ตา จมูก ปาก แม้จะเปลี่ยนไปมากพอสมควร แต่ก็จัดว่าหล่อทั้งตอนเด็กและตอนโต แล้วมีส่วนไหนที่ขี้เหร่จนทำให้เจ้าของรูปไม่อยากให้ดูเนี่ย ฉันเปิดไปเรื่อยๆ เพื่อเลือกรูปที่คิดว่าทำร้ายพริ้นซ์น้อยที่สุดแล้วหยิบออกมาใส่กระเป๋ากางเกงเอาไว้
ขโมยชัดๆ แต่แล้วไงอ่ะ
“นายว่ามันแปลกไหม เราไม่มีรูปถ่ายสมัยเด็กด้วยกันเลย” ฉันถามไปงั้นแต่ดูเหมือนว่าพริ้นซ์จะชะงักไป
“ตอนเด็กๆ ฉันไม่ชอบถ่ายรูป”
ฉันขมวดคิ้วยุ่ง งงกับคำตอบของเขา ฉันหยิบอัลบั้มรูปพวกนั้นไปให้เขาดู
“แหม! นี่ขนาดไม่ชอบถ่ายรูปนะ มีเป็นอัลบั้มเลย”
“!” พริ้นซ์หันขวับมามองฉันด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด เขารีบแย่งมันไปจากมือฉันอย่างรวดเร็ว
“ทำเป็นหวง แต่ฉันดูจนหมดแล้วล่ะย่ะ มีแต่รูปน่ารักๆ”
“ฉันแค่ไม่ชอบถ่ายรูปกับเธอ”
“อะไรนะ!” ฉันถามเสียงดังก่อนจะยกมือเท้าสะเอวเอาเรื่อง เขาถ่ายรูปกับเด็กผู้หญิงคนอื่นเยอะแยะ แต่ไม่ถ่ายกับฉัน ทั้งที่ฉันเป็นเพื่อนสนิทของเขา มันน่าน้อยใจนัก “เหอะ! ทำไมยะ ฉันมันน่าขยะแขยงนักหรือไง”
“ใช่ ตอนเด็กๆ เธอมีเหาเต็มหัว”
“...” ฉันอ้าปากค้าง ยกมือกุมหัวตามสัญชาตญาณ
“แถมยังเป็นหวัดบ่อย ขี้มูกย้อยใส่ปาก”
ฉันทำหน้าพะอืดพะอม “นายแน่ใจนะว่าที่พูดถึงคือฉัน”
“ก็ใช่น่ะสิ เธอเป็นแบบนั้นคิดว่าฉันอยากอยู่ใกล้เหรอ”
“แต่เราเป็นเพื่อนสนิทกันนะ”
“สนิทกันแล้วไง ฉันไม่กล้ากินขี้มูกเธอหรอกนะ”
“...นายเห็นฉันเป็นเพื่อนจริงๆ ไหมเนี่ย หยาบคาย แล้วยังไม่เคยแต่งเพลงให้ฉันอีก” ฉันชี้หน้าเขาอย่างโมโห
“เธอเป็นเพื่อน ไม่ใช่แฟน”
“มันก็ไม่จำเป็นต้องแต่งให้แฟนเท่านั้นปะ”
เขาทำหน้าเอือมๆ แล้วเกากีตาร์เป็นทำนองที่คุ้นหู “เพลงนี้ฉันแต่งให้เธอ”
ดวงตาของฉันเป็นประกายทันที รีบฟังอย่างตั้งใจ เพลงของฉันๆ แต่ว่าทำนองมันคุ้นหูมากเลยนะ
“ฝากเอาไว้ในมือเธอ... คือลูกเหาฝูงหนึ่ง...
แทนความคิดถึงและห่วงใย
ขี้มูกที่มีให้เธอ... รวมอยู่ในลูกเหา... มอบให้ก่อนจะฆ่ามัน”
* ทำนองเพลง ฝากไว้ - วิโอเลต วอเทียร์
“โอ้โห! อยากตายหรือไง!” ฉันโยนหมอนใส่เขาด้วยความโมโห เขาแสยะยิ้มเยาะแล้วดีดกีตาร์ดังๆ ร้องเพลงที่แต่งให้ฉันอีกรอบ ทำให้ฉันซึ้งใจมาก
“นายแต่งเพลงเก่งเนอะ” ฉันประชด
“ไม่เท่าไหร่” เขาไหวไหล่แล้ววางกีตาร์ลง ฉันมองกีตาร์แล้วกวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง ห้องของเขาไม่คุ้นตาฉันมานานแล้ว ทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ แต่ก็จำไม่ได้ว่ามันเคยเป็นแบบไหน
“นายไม่คิดจะแข่งรถอีกเหรอ”
เขาชะงักแล้วหลบตาฉันอย่างน่าสงสัย “ไม่”
“ทำไมล่ะ”
เขาถอนหายใจเหมือนเป็นเรื่องที่ลำบากใจมาก “ตั้งแต่เกิดเรื่องกับเธอ ฉันก็ไม่คิดจะแข่งมันอีกเลย”
“ฉันขอโทษนะ”
เขาหันมามองฉันงงๆ “ขอโทษทำไม”
“เพราะฉันนายถึงต้องรู้สึกผิด”
เขานิ่งไปก่อนจะผลักหัวฉันเบาๆ “เฮ้ย! อย่าดราม่าดิ”
ฉันยิ้มให้เขาก่อนจะถอนหายใจ
มหาวิทยาลัย P
วันนี้วันซวยชัดๆ ตื่นสายไม่พอ พอมาเรียนรถดันเสียกลางทาง ฮือๆ สงสัยเมื่อวานเอารถไปซิ่งมาหนักจนเครื่องรวน รถแท็กซี่ก็ไม่ผ่านมาเลยสักคัน ฉันจึงต้องใช้บริการมอเตอร์ไซต์รับจ้าง แต่ก็ไม่ทันเรียนอยู่ดี แถมยังเป็นคลาสที่ฉันเข้าเรียนสายเป็นประจำ ซวยขนานแท้เลยทีนี้ จะโทษฉันฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ต้องบอกว่ามันเป็นวิชาเดียวที่มีเรียนตอนเจ็ดโมงครึ่ง อาจารย์เบื่อฉันหนักจึงแกล้งโดยการทำโทษให้ฉันหอบกองสมุดบัญชีรุ่นพี่ปีสี่ที่อาจารย์ขนมาเป็นตัวอย่างให้พวกเราศึกษากลับไปเก็บไว้ที่ห้องพักเหมือนเดิม
แล้วไอ้เพื่อนสุดที่รักทั้งสองคนของฉันก็พร้อมใจกันขอไปเข้าห้องน้ำ ทิ้งให้ฉันขนมันมาคนเดียว อีกตั้งหลายตึกกว่าจะถึงตึกคณะ วันนี้ก็ดันไปเรียนตึกที่อยู่หลังสุด ฉันล่ะเซ็ง
ครืด... ครืด... ครืด...
ใครโทรมาตอนนี้เนี่ย โทรศัพท์มือถือของฉันที่อยู่ในกระเป๋าสะพายสั่นเรียกร้องความสนใจ ไม่เห็นหรือไงว่ามือฉันไม่ว่าง (บังเอิญมันไม่มีตา) ฉันหยุดเดินแล้วก้มลงจะวางกองสมุดไว้บนพื้น และแล้วก็เกิดเหตุการณ์ชวนให้อารมณ์เสียหนักกว่าเดิม
พลั่ก!
ตุ้บๆๆ
เฮ้ย! สมุดบัญชีทั้งหลายแหล่ร่วงหล่นลงพื้นกระจัดกระจายก่อนที่ฉันจะวางมันถึงพื้นเสียอีก ไม่ทันใจหรือจ๊ะ ฮึ่ย! มีคนชนฉัน!
ฉันหันไปมองร่างสูงที่เอาแผ่นหลังมาชนไหล่ฉันจนทำให้เผลอปล่อยสมุดพวกนั้นทิ้งตาเขียวปั๊ด!
“ขอโทษครับ” แต่พอเจอน้ำเสียงนุ่มนวลฉันก็อดปล่อยวางความโกรธไม่ได้
โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ฉันต้องไม่โกรธ
“ไม่เป็น...” แต่พอเห็นหน้าหมอนั่นเต็มๆ ฉันก็ยกความโกรธขึ้นมาใหม่ “นาย!”
“ว่า?”
“เดินประสาอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือ ชนมาได้ ไม่เห็นหรือไงว่ามีคนยืนอยู่น่ะ”
“ก็ขอโทษแล้วไง” ราชาทำหน้าเอือมระอาก่อนจะก้มลงไปเก็บสมุดบัญชี “ทำไมวันนี้เธอพกสมุดมาเรียนเยอะ”
“ไม่ใช่ของฉัน ของรุ่นพี่ปีสี่ อาจารย์เอามาให้ศึกษา แต่ฉันดันถูกลงโทษให้เอาไปเก็บเนี่ย” คิดแล้วเซ็งชะมัด
ฉันนั่งยองๆ ลงไปเก็บสมุดบัญชีแต่ราชาร้องห้าม
“ไม่ต้อง!”
“อะไรของนาย ฉันจะช่วยเก็บอีกแรงไม่ดีหรือไง” ถึงแม้ฉันจะไม่ผิดก็เถอะ
“กระโปรงเธอมันสั้นแถมยังแหวกสูงอีกต่างหาก นั่งแบบนั้นก็เห็นหมดสิ” ราชามองต่ำจนฉันรู้สึกไม่ปลอดภัย “ห้ามไม่ทันแล้วสินะ”
“อย่ามองนะ!” ฉันรีบยืนขึ้นทันที ใบหน้าร้อนผ่าว แถมหัวใจยังเต้นแรงเพราะความอับอาย
“ก็เธอใส่มาโชว์ไม่ใช่เหรอ” เขาเลิกคิ้วสูงถามหน้าตาย
“นายนี่นะ! ไม่รู้จักหรือไงแฟชั่นชุดนักศึกษาน่ะ เชอะ!” พูดมากก็ปล่อยให้เก็บคนเดียวละกัน
“เธอชอบไม่ระวังตัว ประมาทอยู่เรื่อย” ระหว่างนั้นราชาก็เอ่ยในสิ่งที่ทำให้ฉันต้องขมวดคิ้วยุ่ง “ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ยังเหมือนเดิม”
“นายพูดอะไรของนาย” ฉันถามด้วยความไม่เข้าใจ
เขาพูดอย่างกับว่ารู้จักฉันดีทั้งที่เราเพิ่งเจอกันไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ
“เรื่องของฉัน”
“อ้าว!”
ใช้เวลาไม่นานราชาก็เก็บสมุดบัญชีเสร็จ เขาหอบพวกมันเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างทะมัดทะแมงแล้วลุกขึ้นยืน ฉันเข้าไปแย่งคืนมาแต่ราชาเบี่ยงตัวหลบ
“เธอจะทำอะไร เดี๋ยวก็หล่นอีก”
“ฉันจะรีบเอาไปเก็บ ส่วนนายจะไสหัวไปไหนก็ไป”
“จะไสไปกับเธอ”
“ฮะ?”
“เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียว ถ้าปล่อยให้หอบไปต่อไขข้อคงอักเสบ”
“ฉันยังไม่แก่นะ!” ฉันแว้ดใส่เขาด้วยความไม่พอใจ จะบอกว่าอยากช่วยก็บอก “เอามานี่ นายไม่ต้องยุ่ง”
“เดี๋ยวเธอก็ปวดหลังอีก”
ฉันชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปแย่งสมุดบัญชีมาจากเขา เขารู้ได้ยังไงว่าฉันมีอาการปวดหลัง เพราะฉันชอบซ่อมช่วงล่างทำให้ต้องนอนบนกระดานเลื่อนแข็งๆ เป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังบ่อยๆ ฉันจำได้ว่าฉันไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครแม้แต่พ่อกับแม่เพราะไม่อยากให้พวกท่านเป็นห่วง
ฉันหรี่ตาลงอย่างจับผิด “นายรู้ได้ยังไง?”
“วันที่เราถ่ายแบบด้วยกัน เธอบ่นกับพี่นายน์” พูดถึงพี่นายน์เขาก็ทำหน้าบึ้งตึง “เธอสนิทกับผู้ชายไปทั่วเลยเหรอ”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หวงล่ะสิราขา
คนอ่่านรอลุ้นสุดดๆอะ 55
ตอนนี้ความจริงใ้เปิกเผยแล้วว อิอิ
แต่เราติดเรื่องพริ้นท์เนี่ยแหละ เดาไม่ถูกว่าเป็นใครจริงๆ 55
รอติดตาม. ไรเตอร์มาเฉลยยทีนะค้าาา
ชอบมาก >2<
จะรอ
พ่อนะพ่อ T^T
เอะ! ก็นิยายนี่นา
สนุกมากๆ
อัพๆ ค่ะ
ใกล้จบกันแล้ว