คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #55 : Chapter 41 | The Movie : Phantom Rouge (I)
Chapter 41
The Movie :
Phantom Rouge (I)
ไม้เนื้อดีเหลาสลักเป็นข้อต่อ
เส้นผมหวีประณีตทักถอเส้นต่อเส้น
สองมือหยาบกร้านจัดทรงเสื้อผ้าให้อย่างอ้อยอิ่ง
ร่างสูงโปร่งในชุดมิดชิดคลุมทับด้วยเสื้อคลุมยืนตัวตรง
ผมสีเทายาวปลิวบางเบายามขยับตัว นิ้วเรียวปัดปอยผมสีดำขลับตรงหน้า ทะนุถนอมอ่อนโยน
ร่างของคนสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าถูกจัดท่าให้จับมือกัน
โครงหน้าคล้ายคลึงกันหลับตาลง
ราวกับทั้งคู่กำลังอยู่ในห้วงความฝัน
ทุกอย่างที่กลั่นกรองมาจากความทรงจำของเขา
“แต่ก็ยังขาดส่วนสำคัญไปอยู่”
เขาพึมพัม
ลูบปลายคางครุ่นคิดแค่ครู่เดียว ก่อนจะดีดนิ้วดังเป๊าะ “ช่างมันปะไร
ไปเอามาซะก็สิ้นเรื่อง”
ออร่าสีขาวแผ่ครอบคลุมทั้งสองคน
—หนึ่งในสองลืมตาขึ้นมา
ผมสีดำแซมแดงสะบัดเล็กน้อยยามตวัดมองร่างเล็กกว่าข้างกาย
แขนยกขึ้นหมุนไปมาในระยะสายตา สำรวจทุกอย่างเหมือนเด็กแรกเกิด
หากแต่ไร้ดวงตา
มีแต่ความมืดมิดอยู่ในนั้น
ฝ่ามือที่มีรอยสักแมงมุมหมายเลข
4
แนบข้างอก ชายหนุ่มผู้สร้างร่างทั้งสองโค้งให้เล็กน้อย
รอยยิ้มชั่วร้ายแสยะขึ้นอย่างจงใจ
“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง...เพื่อนยาก”
-----
เสียงเสียดสีของต้นไม้พลิ้วไหว
แสงแดดส่องผ่านรูใบไม้ลงมาบนพื้นแวววาวไปหมด สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคือสวนดอกไม้สีแดงที่เบ่งบานตลอดปีด้วยพลังที่เรียกกันว่าเน็น
เด็กน้อยคนหนึ่งหลับตาพริ้ม
คู้ตัวนอนซุกอยู่ตรงใจกลางกลีบฮิกันบานะรอบตัว ผมสีดำยาวแผ่สยายกว้าง
เสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันดังเข้ามาในหู
เธอลืมตาขึ้น
ดวงตาสีแดงเสี้ยวอำพันแวววาวมองตรงไปข้างหน้า
ในระดับเดียวกันมีเท้าสวมเกี๊ยะไม้คู่หนึ่งยืนนิ่งห่างออกไปไม่ไกล
หญิงสาวในชุดกิโมโมสวยยืนอยู่นอกเขตกลีบดอกไม้
มือขาวซีดเหมือนคนตายเอื้อมมาหา ริมฝีปากแห้งแตกเพราะการขบกัดเป็นประจำคลี่ยิ้ม
“กลับกันเถอะ ลูกรัก”
ร่างเล็กกะพริบตา
ยื่นมือเล็กออกไปเกาะกุม รู้สึกได้ว่านิ้วของผู้ใหญ่ตรงหน้าซูบผอมลงไปมาก
ยิ่งสบตามองยิ่งรู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าตัวสั่นระริก
รอบตัวมีแต่คนสวมชุดสีดำ
ยูนิฟอร์มของพวกพ่อบ้านเป็นสีดำขาวอยู่แล้วจึงไม่แปลกใจ
แต่กับพวกคราวน์นี่สิ -- ระหว่างทางเด็กน้อยถูกจูงมือผ่านสวนส่วนตัวของแม่สองเข้า
พี่ชายขี้กลัวคนนั้นที่ชอบสวมเสื้อสีอ่อนตอนนี้กำลังสวมชุดสีดำอยู่
พวกฟีโอนิกซ์ที่เดินผ่านตอนไปทำงานวันก่อนก็สวมชุดสีดำ
แม่ใหญ่ที่แต่งตัวสีฉูดฉาดบ่อยๆ ก็สวมชุดสีดำ
แม้แต่ท่านแม่ที่ชอบกิโมโนสีแดงสึบากิ...
ดวงตากลมช้อนมองหญิงสาวตัวสูงกว่า
ก็ยังเป็นสีดำ
พ่อบ้านคนนึงคำนับเมื่อเจ้าของห้องกลับมา
มือเขาเปิดและปิดประตูหนักหลายตัน ก่อนจะเดินออกไปให้ความเป็นส่วนตัว
ด้านในเป็นห้องสไตล์ตะวันออก โต๊ะและเบาะญี่ปุ่นตั้งบนผืนเสื่อสีอ่อน
ร่างเล็กขยี้ตาปรือ
นั่งลงบนเบาะนุ่มที่เตรียมไว้ให้ หางตาเห็นหญิงสาวผมสีดำรวบครึ่งหัวหลวมๆ
กำลังยกชุดชาออกมา ท่าทางเตรียมชงชาโดยไร้พ่อบ้านยกมาให้
เป็นกิจวัตรประจำวัน
ที่ตัวเธอไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
“...”
เธอมองนิ่ง
มือผอมที่กำลังจับไม้คนใบชาเริ่มสั่นระริกอีกแล้ว
น้ำสีเขียวจางกระฉอกลงบนเสื่อเล็กน้อย ใบหน้างามก้มต่ำทำให้เธอมองไม่เห็นแววตา
บรรยากาศเงียบสงบเกินไป
อีกทั้งเวลาเด็กน้อยอยู่กับคนแปลกหน้า จากเงียบอยู่แล้วก็ยิ่งเงียบไปอีก
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องเอ่ยอะไรบ้างเวลาอยู่กับผู้หญิงคนนี้ -- นอกจากทำตามคำสั่งที่ได้รับมา
“ทำไมกัน...”
เอ่ยเสียงแหบพร่า
ร่างผอมแห้งในชุดกิโมโนหนาโก่งโค้ง พึมพัมไม่ได้ศัพท์ในลำคอ “ทำไม...ทำไม ท-ทำ...”
น้ำสีใสไหลหยดลงบนเสื่อเป็นวง
...นั่นร้องไห้หรือ
“ทำไมถึงยังทำไม่รู้สึกอะไรอยู่ได้...?”
แม่ของเธอเงยหน้าขึ้นมา
ดวงตาสีดำลึกโบ๋จ้องเขม็งจนเด็กตัวเล็กหลุดผงะ ในตอนนั้นเองที่ถ้วยชาโดนปัดออกไป
แทนที่ด้วยของมีคมที่คว้าออกมาจากแขนเสื้อกิโมโน และ—
ฉึก!
ฝ่ามือเล็กสองข้างถูกเสียบทะลุบนโต๊ะเล็ก
เด็กน้อยหลุดร้องเจ็บปวดเสียงดัง
การกระทำหุนหันที่คาดเดาไม่ได้ทำให้เธอรีบกระชากมีดออกจากเนื้อไม้
ขายันโต๊ะใส่คนตรงหน้าทิ้งระยะห่างทันที
หากแต่สาวงามตรงหน้ากลับปัดโต๊ะไม้ออกด้วยพลังที่เพิ่มขึ้น
ร่างสูงกว่าพุ่งเข้าใส่เหมือนสัตว์ร้าย
ตะโกนโหวกเหวกราวกับเธอคือตัวการทำให้ทุกอย่างแย่ลง
“เพราะแก! เพราะแก!!”
เด็กตัวเล็กวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน
ใช้อะไรกำบังได้ก็รีบคว้า เลือดสีแดงเปอะเปื้อนไปตามทาง --
หนีออกทางประตูยิ่งไม่ได้ใหญ่ เธอคงถูกกระหน่ำแทงก่อนที่จะเปิดประตูหนักหลายตันออก
หน้าต่างก็ถูกติดเหล็กหนาเอาไว้ไม่ต่างจากคุกดีๆ นี่เอง
เหมือนหมาจนตรอก—
เด็กน้อยล้มลุกคลุกคลานบนผืนเสื่อทาทามิกว้าง หลังชิดผนังแนบสนิท จนมุมไร้ทางหนี
คำพูดเดิม ๆ
ซ้ำไปซ้ำมา
“แก! ถ้าไม่ใช่เพราะแก!!”
ฉั้วะ!!
นายหญิงคราวน์ที่เสียสติทรุดลงไปบนพื้นเย็นเชียบ
กอบกุมใบหน้าที่มีรอยเลือดจากกรงเล็บคมด้วยความเจ็บปวด
กรีดร้องน้ำตานองหน้าจนกระทั่งพวกพ่อบ้านกรูเข้ามาพาไปรักษาตัว
เธอสูดหายใจลึก
มือเล็กที่ถูกมีดปักคาทะลุคลายกรงเล็บแหลมออก ปลายนิ้วแตะเสี้ยวใบหน้า=
เลือดของแม่ที่กระเด็นมาเปื้อนแก้มเธอ.
“คุเรฮะ”
ลมหายใจสะดุดกึก
เปลือกตาเปิดขึ้นฉับพลัน—
รับรู้ได้ว่าเหงื่อข้างขมับถูกเช็ดแผ่วเบา
เด็กชายผมสีเงินข้างกายเองก็สภาพเหมือนเพิ่งตื่น
ลมหายใจไม่คงที่คล้ายกันราวกับไม่ใช่การตื่นที่ดีนัก
“ฝันร้ายเหมือนกันเหรอ?”
คิรัวร์ร้องถาม
ในดวงตาสีฟ้าครามแฝงแววสั่นระริก คุเรฮะพยักหน้ารับแกน ๆ ปรับลมหายใจของตัวเอง
แล้วยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรงสวนทางกับหัวของญาติผู้น้องที่ซบลงบนหัวไหล่
ดวงตาแมวเหม่อมองเพื่อนผมสีดำ
กอร์นนอนเอาหัวพิงแขนข้างขอบหน้าต่างอยู่ฝั่งตรงข้าม เปลือกตาปิดสนิท
‘คิรัวร์ไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนหรอก
เพราะถึงมีไปเดี๋ยวก็โดนหักหลังเอาจนได้’
‘แต่ถ้าเพื่อนไม่หักหลังนาย...นายก็ต้องหักหลังเพื่อนอยู่ดี’
อิรุมิบอกกับเขาในความฝัน
ความฝันวัยเยาว์ที่ทำงานในฐานะมือสังหารโซลดิ๊ก
เขาที่เพิ่งปลิดชีพคนเลวเดินเข้าตรอกไปเจอกลุ่มเด็กที่กำลังเล่นเตะบอล
ยังไม่ทันได้เอ่ยคำใด พี่ชายคนโตที่ปรากฏตัวกลางสายฝนก็ฆ่าเด็กพวกนั้นไปจนหมด
...ไม่มีเหลือแม้แต่ความหวังใด...
เด็กสาวผู้ถูกพิงไหล่หันไปมองวิวนอกหน้าต่าง
เรือเหาะที่โดยสารอยู่บินผ่านน่านน้ำสีฟ้าใส อีกไม่นานจะลงจอดที่ตัวเมืองๆ หนึ่ง
สีแดงใกล้รุ่งของท้องฟ้าสะท้อนในแววตา
คุเรฮะเอียงหัวทับผมสีเงินฟูฟ่อง
“ฉัน...จะไม่มีวันหักหลังกอร์นเด็ดขาด”
เสียงพึมพัมราวกับเสียงกระซิบ
แต่คนหูผีอยู่ชิดขนาดนี้ยังไงก็ได้ยิน คุเรฮะเหลือบตามอง --
ไม่รู้ว่าคิรัวร์ฝันร้ายอะไรถึงต้องย้ำกับตัวเองแบบนี้
แต่ก็นะ
“เพิ่งรู้ว่ารักกันขนาดนี้ แต่งกันเมื่อไหร่อย่าลืมส่งของชำร่วยมาให้ด้วยนะ
ขอเป็นหมอนนุ่ม ๆ สักใบ”
ได้ผล
คิรัวร์แทบจะเด้งตัวนั่งตรงแด่ว ...ดีนะเงยหน้าขึ้นหลบทัน ไม่งั้นคงโดนเสยคางฟรี
“พูดเพ้อเจ้ออะไรของเธอ นอนน้อยไปเลยเพี้ยนรึไง!”
แต่สงสัยเสียงดังไปหน่อย
พนักงานสาวถึงกับเดินตรงมาหา ยิ้มแย้มแจ่มใส “คุณผู้โดยสาร มีอะไรรึเปล่าคะ”
“อ๋อ อ-เอ่อ เปล่า ไม่มีอะไรหรอกฮะ”
คิรัวร์ตีหน้าซื่อบอกปัด หันไปอีกทีคือยัยหน้าตายแกล้งทำเป็นหลับหนีก่อนใคร
หนอยแน่!
“อีกสักครู่เรือเหาะของเราก็จะไปถึงจุดหมายแล้วค่ะ
ระหว่างนี้ก็เชิญพักผ่อนตามสบายนะคะ”
“ครับ ๆ ขอบคุณมากครับ”
ลับหลังพนักงานคนแกล้งหลับก็เนียนย้ายไปนั่งข้างกอร์น
ท่าทางจะรู้ชะตากรรมว่าจะโดนเขาเอาคืนยังไง แต่ติดตรงที่กอร์นตื่นแล้ว
ตาจ้องแป๋วเชียว
แล้วนั่นกระซิบอะไรกันน่ะ
หา!
กอร์นทำเป็นยิ้มฮั่นแน่ใส่
เด็กชายผมตั้งพยักหน้าอืมๆ กับคำบอกเล่าที่ได้ยินจากคนข้างกาย “แหม
คุเรฮะบอกจ้องหน้าฉันใหญ่เลย คิดอะไรกับฉันจริงๆ เหรอคิรัวร์~?”
ไอ้คำหลังดูยังไงก็ถูกชี้แนะมาจากยัยคุเรฮะชัด
ๆ !
“ฉันจ้องที่ไหนกัน อย่ามามั่ว!”
“โกหกเห็น ๆ” คุเรฮะทำเป็นหลับตาส่ายหน้าเหนื่อยใจ
เอนตัวไปพิงกอร์นต่างหมอนอย่างเกียจคร้าน
ดูสนุกที่ได้แกล้งเขาและก็ง่วงนอนไม่แพ้กัน
แต่ถ้านับจากครั้งแรกที่เจอกัน
ความง่วงนอนของคุเรฮะก็ลดฮวบฮาบลงไปเยอะ
“หุบปากไปเลยยัยบ้า ไม่ได้โกหกเฟ้ย!”
กอร์นหลิ่วตาล้อเลียน
“แหมมันน่าสงสัยจริง ๆ น้า”
“อะไรกันนักกันหนาฟะ!!”
พนักงานสาวออกโรงรอบสอง
หล่อนเริ่มตีหน้ามุ่ย ยืดอกสูง เก๊กเสียงเข้ม
“เนื่องจากมีผู้โดยสารท่านอื่นพักผ่อนอยู่ กรุณาอย่าส่งเสียงรบกวนนะคะ”
“ครับ ๆ จะระวังครับ”
“ขอความกรุณาด้วยค่ะ” ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็หันหลังเดินออกไป
คิรัวร์ทำหน้าล้อเลียนตาม
แล้วหันมากัดกันต่อ
“กอร์น นายนอนกรนด้วยนะจะบอกให้”
“เอ้ะ ฉันกรนเหรอ!” กอร์นตาโต ท่าทางใกล้เพลี้ยงพล้ำในสงครามน้ำลายแตกฟอง
คุเรฮะปิดปากหาว เนียนช่วยพูด
“คิรัวร์เองก็นอนกัดฟันเหมือนกัน”
“ฉันเนี่ยนะ!? โกหกน่า—!”
คราวนี้เสียงดังกว่าเดิม
ผู้โดยสารคนอื่นเริ่มหันหน้ามามอง -- และเหมือนพนักงานสาวจะรู้
หล่อนเดินเลี้ยวออกมาหน้ายักษ์ขมูขี ขอบตาคล้ำเหมือนไม่ได้นอน
ตาเบิกโพลงจ้องแทบถลน
“คุณผู้โดยสาร—”
หางเสียงตวัดสูงปรี๊ด
“ช่วยกรุณานั่งอยู่กับที่เงียบๆ หน่อยจะได้ไหมห้ะ!!”
ทุกคนพร้อมใจกันหลับโดยมิได้นัดหมาย
-----
“เฮ้ กอร์น! คิรัวร์! คุเรฮะ!”
เลโอลีโอในชุดสูทตัวเก่งยืนโบกมือเรียกหน้าสนามบิน
ทักทายด้วยสองนิ้วแตะข้างขมับ ก่อนจะพาขึ้นแท็กซี่ไปด้วยกัน
จริง ๆ
พวกเขาก็เพิ่งแยกกันไม่นานเท่าไหร่ หลังจากการประมูลยอร์คชินที่เกี่ยวข้องกับ
‘มหาเศรษฐีบัตเทเลอร์’ ไม่นานนัก พวกกอร์นก็มุ่งมั่นฝึกเน็นเพิ่มเพื่อไปเข้าร่วมการสมัครการว่าจ้างฮันเตอร์ของเศรษฐีคนนั้น
บัตเทเลอร์ประมูลเกมกรีดไอร์แลนด์
7
ตลับ แล้วเปิดรับสมัครฮันเตอร์เพื่อเข้าไปเคลียร์เกม
โดยแลกกับค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว
อีกไม่กี่วันงานประมูลจะจบลง
แต่เพราะเกิดเรื่องกับคุราปิก้าซะก่อน พวกเขาจึงตัดสินใจพักการฝึกฝนแล้วตามเลโอลีโอมา
“ชนเผ่าคูลท์ที่เหลือรอด?”
คุเรฮะเลิกคิ้วสูง
ทวนประโยคที่ได้ยินเพื่อให้แน่ใจว่าฟังไม่ผิด เลโอลีโอที่นั่งข้างคนขับพยักหน้ารับ
“ใช่ มีคนบอกเห็นในเมืองนี้ด้วย”
“แต่ว่า— ถ้าจำไม่ผิด ชนเผ่าคูลท์เนี่ย...”
กอร์นมองหน้าเพื่อนทั้งสองคนด้วยความไม่มั่นใจ คิรัวร์เอ่ยต่ออย่างฉงน
“ได้ยินว่าเมื่อ 5 ปีก่อนถูกกองโจรเงามายาฆ่าล้างเผ่าไปแล้วนี่นา”
“มันอาจจะเป็นเรื่องโกหกก็ได้เหมือนกัน
ก็เลยบอกกับคุราปิก้าไปว่ามาพิสูจน์กันให้แน่ใจไปเลยดีกว่า ฉันเองก็ขอตามไปด้วยคน”
“ทำไมอะ?” เด็กชายตาแมววางคางบนพนักพิงของเบาะหน้า
นึกว่าคนตัวสูงโย่งจะกลับไปตั้งใจอ่านหนังสือสอบเข้าแพทย์ต่อ
ไหงมาร่วมวงหาเผ่าคูลท์ด้วยอีกคนละเนี่ย
“ถามมาได้ ถ้าหมอนั่นเป็นเผ่าคูลท์จริงก็ต้องตกอยู่ในอันตรายนะซี่
เห็นแบบนี้แต่ฉันไม่ใช่คนนิ่งเฉยดูคนรู้จักไปเสี่ยงอันตรายหรอก”
ว่าจบก็ทำหลับตาเชิดหน้า
สามหน่อที่นั่งเบาะหลังมองหน้ากันอย่างรู้กัน
“เห...” คุเรฮะลากเสียงยาว
“เห็นแบบนี้เลโอลีโอก็เป็นห่วงเพื่อนงั้นสิน้า” กอร์นทำเป็นพยักหน้าหงึกๆ
ลูบคางไปด้วย ริ้วสีแดงพาดแก้มคนหน้าแก่ก่อนวัยจางๆ
“พ-พูดมาได้! น่าอายจะตาย”
คิรัวร์ทำเป็นยิ้มรู้ทัน
ถามต่อ “แล้ว... เป็นไงบ้างล่ะ?”
คราวนี้สีหน้าของเลโอลีโอเคร่งเครียดขึ้น
“ก็นะ พอพวกฉันไปถึงที่แล้วก็ยังหาตัวไม่เจอสักที
จนพากันถอดใจแล้วเดินทางกลับ แต่ก็ไปเจอเด็กคนนึงที่คุราปิก้ารู้จักเข้า”
“ไพโร”
ตอนนั้นท้องฟ้าเป็นสีครึ้มหม่นหมอง
ฝนตกเปาะแปะเป็นระยะ -- เสียงดีดเครื่องดนตรีดังแว่วมา
เป็นเด็กชายในชุดชนเผ่าสีแดงเข้มนั่งอยู่บนขอบฐานรูปปั้นวีรชนของเมือง
เด็กนั่นหลับตาพริ้ม
มือหยุดดีดฮาร์ปไม้อันเล็ก เสียงใสของเด็กชายผมสีน้ำตาลทักทั้งที่ยังหลับตา
“เสียงนั่นมัน คุราปิก้า?”
“นี่นาย...ยังมีชีวิตอยู่งั้นสินะ”
“คุราปิก้า.. คุราปิก้าจริง ๆ เหรอ!” เด็กชื่อไพโรรีบวางฮาร์ปลง
สองมือยื่นไปข้างหน้าหวังจะคว้าไว้ “ช่วยมาใกล้กว่านี้ทีสิ ขอฉันดูหน้าคุราปิก้าชัดๆ หน่อย”
ไพโรดูไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
ฝ่ามือเล็กแตะเข้าที่อก
อีกฝ่ายแย้มยิ้มดีใจ สำรวจถ้วนทั่ว ก่อนจะค่อยๆ แตะขึ้นไปที่หัวไหล่ ใบหน้า
—และยึดแก้มทั้งสองข้างไว้แน่น
คุราปิก้าเบิกตากว้างเมื่อถูกดึงเข้าไปหา
เปลือกตาเปิดขึ้น สองตาของไพโรไร้เนตรสีเพลิงที่ควรมี
สีดำรัตติกาลถมเต็มทุกช่องว่างข้างใน
“ดวงตาของฉันน่ะ มองเห็นแค่ความมืดนะ”
“พ-ไพโร อ๊ากกกกก!!”
สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือแสงสีขาว
และทุกอย่างก็กลายเป็นสีดำสนิท
คุราปิก้าหลับไม่ได้สติไปสามวันเต็ม
เลโอลีโอนำทางพวกเขามาถึงโรงพยาบาลบนเนินเขาแห่งหนึ่ง
เป็นเมืองที่ใกล้ชิดธรรมชาติไม่น้อย เด็กสาวในชุดมีฮู้ดสีทึบยืนกอดอกพิงกำแพง
ส่วนพวกกอร์นที่กุลีกุจอเข้าไปดูแลคนเพิ่งได้สติในห้องพักฟื้น
“...หมอนั่นไม่มีทางเป็นไพโรตัวจริงแน่นอน”
แม้รอบตาจะถูกปิดด้วยผ้าพันแผล
แต่พอเข้าใจความรู้สึกที่คุราปิก้ากำลังเผชิญผ่านน้ำเสียงเศร้าใจนั่น
ตัวตนของไพโร
-- เพื่อนสนิทที่แสนดีคนนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำ
และต่อให้เพื่อนของเขารอดจากการฆ่าล้างเผ่า
คนที่ทำร้ายและชิงดวงตาไปยังไงก็ไม่ใช่ไพโรตัวจริงแน่
ไพโรไม่มีทางทำร้ายเขาแบบนี้
ไม่มีทาง
“งั้นก็คงเป็นศัตรู และมันได้ดวงตาของนายไปแล้ว”
ชายหนุ่มผมสีทองสว่างชะงักไปเล็กน้อย
น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยของเธอไม่เปลี่ยนไปเลย
แม้ว่าจะเพิ่งผ่านการขัดแย้งกันที่ยอร์คชินซิตี้มาก็ตาม “คุเรฮะ...”
“นี่”
กอร์นยืนชิดอยู่ข้างเตียง
อาจเพราะเห็นว่าท่าทางของคุราปิก้าดูมีปฏิกิริยากับคนที่ชื่อไพโรชัดเจน
เขาจึงตัดสินใจพูดขึ้นมา
“เรื่องของไพโร เล่าให้เราฟังหน่อยได้ไหม?”
“นั่นน่ะ เป็นคนเผ่าคูลท์เหมือนกันคุราปิก้าสินะ” คิรัวร์นั่งลงบนขอบเตียง
กวักมือให้ญาติฝั่งแม่ตรงนั้นเข้ามาฟังใกล้ ๆ ด้วยกัน
คุเรฮะเลิกคิ้วข้างนึง ก่อนจะเทเลพอร์ตมานั่งตรงปลายเตียง
มองที่ทางอยู่สักพัก
ก่อนจะเอนตัวไถลไปนอนแหมะข้าง ๆ คนเจ็บ
บนเตียงคนป่วยเลยมีคนนึงนั่ง
คนนึงนอนซะนี่
“เอ่อ...”
คุราปิก้าเงอะงะบอกไม่ถูก
พอรู้ตัวว่าคนที่ตนไม่ได้รับมือกับความขี้เซามาตั้งแต่ตอนสอบฮันเตอร์มาอยู่ใกล้
มือไม้ก็แอบอยู่ไม่สุข ให้มันได้อย่างนี้สิ...
จะว่าไป
ตอนสอบฮันเตอร์ที่ติดอยู่บนซากเรืออับปางด้วยกัน คุเรฮะก็เป็นคนแรกที่เขาเล่าเรื่องไพโรให้ฟังนี่นะ
ริมฝีปากจะเผยยิ้มบาง
มือข้างนึงวางลงบนทีๆ ตัวเองเข้าใจว่าเป็นหัวทุยของคนข้างกาย --
และเริ่มเล่าถึงคนสำคัญของตัวเองออกมา
“ไพโร...เขามีความฝันแบบเดียวกับฉันน่ะ เป็นเพื่อนที่หาใครมาแทนไม่ได้”
ทุกอย่างเริ่มต้นจากวันนั้น
วันที่พวกเขาได้พบกับฮันเตอร์สาว
ชูร่า
ชูร่าที่บาดเจ็บและถูกเขาและไพโรช่วยไว้ในเขตป่าที่ชนเผ่าคูลท์หลบซ่อนเพื่ออยู่อาศัย
เธอให้หนังสือเล่มหนึ่งเป็นค่าตอบแทน หนังสือการออกผจญภัยที่มีตัวเอกเป็นฮันเตอร์
พวกเขาช่วยกันแปลภาษาด้วยสารานุกรม
รวมถึงวาดฝันการออกไปผจญภัยโลกภายนอกด้วยกัน
แต่การจะออกจากหมู่บ้านต้องผ่านการทดสอบซะก่อน
และแน่นอน คุราปิก้าผ่านฉลุย จนกระทั่งมาถึงการสอบสุดท้าย— การฝึกควบคุมตนเอง
เขาเลือกไพโรเป็นคู่หูทำภารกิจ
แม้เกือบจะสอบตกเพราะท่านผู้เฒ่าจัดฉากให้มีคนไม่ดีมาขัดขวาง
แต่เพราะไพโรช่วยห้ามรวมถึงแอบสับเปลี่ยนน้ำยาที่จะทำให้เนตรสีเพลิงคงอยู่เป็นหลักฐานว่าเขาพลาด
ทุกอย่างจึงผ่านไปได้ด้วยดี
“ฉันผ่านภารกิจสุดท้าย เพราะไพโรช่วยเอาไว้”
คุเรฮะกะพริบตาปริบ
หกสัปดาห์ต่อจากนั้นหลังจากคุราปิก้าออกท่องโลกกว้าง
ข่าวแก๊งแมงมุมฆ่าล้างเผ่าคูลท์ก็โด่งดังตามมา คนในหมู่บ้าน 128
คนตายเกลี้ยง
กองโจรเงามายาทำร้ายคนที่รักเพื่อให้โกรธจนดวงตาเป็นสีแดงเพลิง
เด็กบางคนถูกเชือดคอเพื่อให้พ่อแม่แค้นจนกระอักเลือด
คนรักถูกแทงจนพรุนให้ขาดใจตายต่อหน้า
ดวงตาที่เป็นเนตรสีเพลิงถูกควักไปจนหมด
‘พวกเราไม่เคยเป็นปฏิปักษ์กับใคร เพราะฉะนั้นอย่าแย่งชิงสิ่งใดไปจากเรา’ —กระดาษเปื้อนเลือดที่ปักบนแผ่นอกหัวหน้าหมู่บ้านเขียนไว้อย่างนั้น
ดวงตาสีแดงเสี้ยวหรี่ลง
...หัวหน้าหมู่บ้านให้การทดสอบไป
แต่คุราปิก้าทำพลาดทำให้ข่าวการเจอตัวเผ่าคูลท์ที่หลบซ่อนมานานแดงขึ้น อีกทั้งไพโร
เพื่อนที่สายตาไม่สู้ดียังช่วยปกปิดหลักฐานว่าคนนอกรู้เรื่องเผ่าตัวเองแล้ว...
“...”
เธอยันตัวขึ้นนั่ง
มองคนที่ถูกชิงดวงตาไปด้วยแววตาอ่านยาก
คุราปิก้ากำลังนึกถึงเรื่องสมัยก่อนที่ยังมีความสุข ผืนป่าสีเขียว
ครอบครัวอบอุ่นและเพื่อนคนสำคัญ
หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงพูดความคิดของตัวเองออกไปตรงๆ
ไม่แม้แต่จะใส่ใจความรู้สึกคนฟัง
แต่ตอนนี้ไม่ใช่
หากหัวหน้าหมู่บ้านรู้ว่าคุราปิก้าทำพลาด
สิ่งที่ควรจะตามมาคือการย้ายหมู่บ้านเหมือนที่เคยทำตลอดมาเมื่อถูกพบเจอ
เพราะงั้น...
คุราปิก้าอาจจะรู้อยู่เต็มอกแล้วก็ได้
—ว่าเขาอาจเป็นตัวต้นเหตุให้เผ่าของตัวเองถูกฆ่า
แปล๊บ!!
“ฉันเห็นบางอย่าง!”
คุราปิก้าโพล่งขึ้นมา
ทำให้ทุกคนตื่นตกใจกันใหญ่ ลีโอเลโอแทบอยู่ไม่สุข ถามซ้ำ ๆ ว่าเห็นอะไร
แม้จะคลุมเคลือเพราะไร้แสงไฟ
แต่สิ่งที่เด่นชัดคือชายคนนึงกำลังอุ้มไพโรอยู่ เขาเห็นทุกอย่างผ่านดวงตาที่ถูกไพโรชิงไป!
‘อา... ความงามของเธอทำให้ฉันกระสับกระส่าย จนแทบอยากจะอาเจียนออกมาเลยล่ะ’
ชายคนนั้นเอ่ยเสียงทุ้ม
เขาได้ยินเสียงกระทบของรองเท้ากับขั้นบันไดชัดเจน
คุราปิก้าค้อมตัวกุมใบหน้า เอ่ยสิ่งที่เห็นเผื่อเป็นเบาะแสตามหาได้
“...กำลังเดินขึ้นบันไดอยู่”
ภาพตัดไป --
ร่างของไพโรถูกวางบนเก้าอี้หรูตัวหนึ่ง หันหน้าออกนอกกระจกหน้าต่างบานยาว
แสงยามเย็นสีแดงส้มสาดส่องบนผิวหน้า
“อาทิตย์ตกดิน...”
“อาทิตย์ตกดินเหรอ?”
เลโอลีโอขมวดคิ้ว
พึมพัมตามเพื่อนที่นอนเจ็บ
ร่างสูงโย่งรีบเดินไปที่หน้าต่าง
สองมือดึงผ้าม่านสีอ่อนออกจากกัน แสงสีแดงส้มตกกระทบหน้า
“งั้นก็คงไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่หรอก ช่วยบอกรายละเอียดอีกหน่อยได้ไหม
บางทีเราอาจจะตีวงได้ว่ามันคือที่ไหนกันแน่”
“ด-ได้”
ผ่านดวงตาของเขาที่ไพโรกำลังมองเหม่อ
“ที่ตรงเส้นขอบฟ้า รูปร่างหินคล้ายภูเขา เป็นภูเขาหินทรงประหลาด
...ม-มีช่องว่างเป็นรูปวงกลม”
“อย่างอื่นล่ะ?” คุเรฮะถามซ้ำ
รายละเอียดต้องมากกว่านี้
ไพโรเลื่อนสายตาไปมองอีกทางพอดี
“มีแม่น้ำ ฉันเห็นแม่น้ำอยู่ทางขวา เห็นผู้ชายด้วย!
...ผู้ชายคนนั้นมีริมฝีปากเจาะห่วง สวมชุดสีดำเหมือนกับบาทหลวง”
ในตอนนั้นเอง
เรือนผมสีดำยาวปลิวผ่านหน้า
เสียงรองเท้าเกี๊ยะเล็กๆ กับกระดิ่งที่ถูกผูกไว้ครึ่งหัวดังกังวาน
แขนเสื้อยาวในชุดญี่ปุ่นประยุกต์สะบัดพลิ้ว
“ฉันเห็น...”
เด็กผู้หญิง
เธอวิ่งไปทางมุมห้อง
เขาเห็นเธอถูกอุ้มขึ้นมา มือหนาข้างนึงทัดปอยผมข้างใบหูอ่อนโยน เด็กคนนั้นหัวเราะคิกคักก่อนจะซบลงบนแนวไหล่คนอุ้ม
ปอยผมสีแดงของใครบางคนคลอเคลียกับแก้มยุ้ยนั่น
แม้เปลือกตาจะปิดอยู่
แม้ช่วงวัยจะลดลงไปมาก แต่ลักษณะภายนอกกับรูปลักษณ์แบบนั้นน่ะ
คุราปิก้ารู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร
“...คุเรฮะ”
__________C
H E C K M A T E__________
The
Movie : Phantom Rouge (I)
ความคิดเห็น