คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #36 : Chapter 27 | แผลที่มองไม่เห็น
♝
Chapter 27
ลมทะเลอ่อนโยนพัดผ่านใบหน้า
ดวงตาคมกริบเหม่อมองเส้นขอบฟ้าที่ล้อมไปด้วยทะเลกว้างไกล ร่างสมส่วนนั่งชันเข่าข้างเดียวอยู่บนขอบหน้าผาสูง บนจุดสูงสุดในการชมวิวทะเลล้อมรอบเกาะปลาวาฬ
เกาะบ้านเกิดของกอร์น
นับตั้งแต่ออกจากบ้านในเขตทะเลสาบดัฟฟ์มา— ไม่รวมบ้านโซลดิ๊กของคิรัวร์ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องฝ่ายแม่ การมาที่เกาะกลางทะเลแห่งนี้นั้นจึงถือเป็นการมาบ้าน เพื่อน เป็นครั้งแรกในชีวิต
ความง่วงหนาวหาวนอนที่เคยมีเริ่มจางลงไปโดยไม่รู้ตัว อาจเป็นเพราะตารางในการใช้ชีวิตประจำวันเริ่มเปลี่ยนไป หรือเป็นเพราะพวกกอร์นและคิรัวร์ช่วยกันละลายพฤติกรรมที่ว่าช้า ๆ ก็ไม่รู้แน่ชัด
นัยน์ตาสีแดงแซมพระจันทร์เสี้ยวกะพริบปริบ หูกระดิกยามได้ยินเสียงเรียกคุ้นเคยดังแว่วมาจากข้างล่างหน้าผาสูง แม้จะมีเสียงคลื่นลมยามกระทบฝั่งดังแทรกเข้ามา แต่นั่นก็ไม่ได้รบกวนประสาทสัมผัสการได้ยินของเธอแต่อย่างใด
นิ้วเรียวลูบไปตามรอยสลักบนมีดสั้น ลากผ่านตราประจำตระกูลที่มีตัวอักษรสลักทับแล้วหยุดลง
“คุเรฮะ!”
เด็กชายผมสีดำตั้งโบกมืออยู่ข้างล่าง ข้างกันคือเพื่อนสนิทผมสีเงินฟูฟ่องไม่ต่างจากแมวสายพันธุ์ดี
“คุณมิโตะทำอาหารเสร็จแล้ว ไปเร็ว!”
รอยยิ้มเบาบางหยักขึ้นมา
เด็กน้อยทั้งสามคนพากันเดินกอดคอกอดแขนมาจนถึงเนินที่อยู่สูงสุดบนเกาะปลาวาฬ ด้านหน้าเป็นบ้านหลังเล็กกะทัดรัด -- บ้านที่เป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้สูงใหญ่ กิ่งก้านสีน้ำตาลรวมไปถึงเขียวแผ่ขยายปกคลุมแสงแดดจนเกิดเป็นเงาร่มเย็น
พอเปิดประตูเข้าไปก็พบคุณยายตัวเล็กยืนยิ้มต้อนรับ ผมหน้าม้าสีดำปลิวไสวยามเด็กชายทั้งสองแข่งกันวิ่งไปยังโต๊ะกินข้าว เธอทำหน้าตายกับกิจวัตรประจำวันที่เห็นบ่อยครั้งจนเริ่มชินตา ก่อนจะห่อไหล่ลงเล็กน้อยยามคุณยายหัวเราะแล้วยกมือขึ้นลูบหัวทุย ๆ อย่างเอ็นดู
มือสังหารที่ไม่สนใจใครในการสอบฮันเตอร์ คือคนเดียวกับเด็กสาวตรงหน้าในตอนนี้
“มาเถอะจ้ะ”
คุณยายละมือออกจากเส้นผมนุ่ม จูงมือเย็นเฉียบของเพื่อนหลานชายไปยังห้องอาหารด้วยกัน
ระหว่างทางเป็นกรอบรูปของกอร์นในวัยต่าง ๆ ไล่มาตั้งแต่ยามเป็นเด็กน้อยจนถึงตอนอายุ 12 ปี มีน้าสาวอย่างคุณมิโตะและคุณยายแซมมาประปราย และมีรูปถ่ายหมู่กับคนทั้งเกาะตอนตกได้ปลาเจ้าบึงเพื่อขอน้าสาวไปสอบฮันเตอร์อยู่รูปนึง
เป็นสายสัมพันธ์ที่แค่มองผ่านตาก็รู้สึกอบอุ่น ต่างจากคราวน์ที่ผูกพันกันด้วยหน้าที่จนเหมือนคนรู้จักกันมากกว่าครอบครัวพ่อแม่ลูก
คุเรฮะไม่เคยคิดว่าที่บ้านจะมีรูปของเธอและพี่น้องคนอื่น ๆ ใส่กรอบรูปไว้หรือไม่ หรืออาจจะเคยมี— แค่เธอไม่สนใจจะจำเอง
ดวงตาเรียบนิ่งมองตามกรอบรูปที่มีแต่รอยยิ้มของเด็กชายผิวสองสีไปจนสุดทาง กะพริบตาอีกทีเมื่อถึงโต๊ะกินข้าวแล้ว คุณมิโตะกำลังตักข้าวใส่จานให้ทุกคน ถัดไปเป็นคิรัวร์กับกอร์นที่กำลังจ้องจานน่ากินตาเป็นมัน
“วันนี้ฉันลองทำเมนูใหม่ ๆ ด้วย ใส่ความตั้งใจลงไปเต็มที่เลยนะเนี่ย” น้าสาวเจ้าของผมสีส้มสั้นระรดต้นคอส่งยิ้มเอ็นดูมาให้
คุเรฮะพยักหน้ารับ พาคุณยายไปนั่งเก้าอี้ แล้วเดินมานั่งคั่นกลางสองหมาแมวเผื่อขู่แง่ง ๆ ใส่กันตอนแย่งของกิน
เมื่อทุกอย่างพร้อม -- ทุกคนยกสองมือขึ้นมากุมไว้ ปิดตาลงขอบคุณท่านเทพธิดาตามธรรมเนียมของที่นี่ ก่อนจะลืมตาขึ้น เริ่มลงมือกินอาหารด้วยเสียงพูดคุยและรอยยิ้ม
ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นบนโต๊ะกินข้าวในบ้านต้นไม้ รอยยิ้มเป็นมิตรขยับต่ำลง ความเยือกเย็นแฝงมาในดวงตาที่ยิ้มหยี
เบาบาง...จนไร้คนสังเกตเห็น
♝
“อือ...”
กอร์นขยี้ตาเล็กน้อยหลังจากเผลอตื่นมากลางดึก มือวางสะเปะสะปะลงบนฟูกข้าง ๆ แล้วชะงักไป ดวงตาสีเปลือกไม้ลืมเต็มตา มองพื้นที่ว่างตรงกลางระหว่างเขากับคิรัวร์ที่ไร้คนขี้เซาอย่างเคย คิรัวร์ที่อยู่ถัดไปนอนตะแคงหลับสนิท
เด็กชายหันซ้ายหันขวา ก่อนจะไปหยุดตรงหน้าต่างบานใหญ่ที่ถูกเปิดออก
สายลมพัดเย็นสบายจนผ้าม่านบางพลิ้วไหว
“คุเรฮะ?”
ฟุ่บ!
เงาสีดำนับสิบกระโดดหายไปทันทีเมื่อเด็กชายโผล่หัวขึ้นมาบนหลังคา เบื้องล่างปีนขึ้นมาด้วยการยันกับขอบหน้าต่าง แผ่นหลังเหยียดตรงของคุเรฮะยังคงตั้งตระหง่านไม่ขยับไปไหน ยกเว้นใบหน้าเรียบเฉยที่ละสายตาจากพระจันทร์ข้างแรมมามองเชื่องช้า
“นอนไม่หลับเหรอ?” เสียงทุ้มที่ไม่เอนไปทางชายหรือหญิงชัดเจนเอ่ยถาม
“นิดหน่อยน่ะ แล้วคุเรฮะล่ะ? ไม่ง่วงเหรอถึงขึ้นมาอยู่บนนี้” เด็กชายผิวสองสีส่งยิ้มให้ เขาปีนขึ้นมาข้างบนอย่างชำนาญ
“เดี๋ยวก็กลับไปนอนแล้ว”
ดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนสบตาตรง ๆ เบื้องหน้าคือดวงตาคมกริบสองเฉดสีที่สว่างตัดกับความมืดชัดเจน คุเรฮะมองตรงกลับมาด้วยแววตานิ่งสนิทไม่สื่ออะไร
กอร์นยิ้มบาง
“ยังคิดเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ?”
“...”
ถึงจะซื่อจนเกือบบื้อในบางครั้งแต่เขาก็พอมองออก เด็กชายส่ายหัวเบา ๆ ขณะก้าวไปยืนมองพระจันทร์ข้างกัน
ฝ่ามืออุ่นทาบลงบนแผ่นหลังตั้งตรง ตรงรอยแผลที่ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องโดยมีเขากับคิรัวร์เกือบถูกลูกหลงไปด้วย ส่วนคุเรฮะเอาตัวมาบังจนพลาดถูกโจมตีเข้า
“มันไม่ใช่ความผิดของคุเรฮะหรอก ฉัน ไม่สิ พวกเรายังปลอดภัยดี”
มือที่ไร้ถุงมือหนังเผยให้เห็นรอยแผลเป็นแทงทะลุกลางฝ่ามือยกขึ้นมา ทาบลงบนฝ่ามืออุ่นของกอร์นที่เลื่อนขึ้นมาตบบ่า กำเล็กน้อยให้รู้ว่าเธอกำลังฟังอยู่
รับฟัง -- แม้รอยแผลจากความประมาทครั้งแรกจะเลือนหายไปแล้วก็ตาม
“ฉันรู้...”
พวกเขายิ้มให้กันก่อนจะจูงมือพากันกลับไปนอน
ดวงตาสีแดงเสี้ยวหรี่มอง— สบตากับเงาในความมืดที่พรางตัวด้วยเซ็ทสึกันอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่เหนือหลังคา ก่อนที่เงาทั้งหมดจะโดดผลุบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
♝
เปรี๊ยะ
แสงไฟสีส้มแดงแซมน้ำเงินโชติช่วงส่องสว่าง กอร์นหักกิ่งไม้แห้งเป็นฟืนเพิ่มแล้วโยนลงไปในกองไฟ คิรัวร์กับคุเรฮะนอนเอาแขนหนุนหัวตัวเองอยู่ข้างกัน
ท้องฟ้าตอนกลางคืนบนเกาะปลาวาฬแห่งนี้เต็มไปด้วยดวงดาวพราวระยับ ต่างจากในเมืองที่มีแต่แสงสีบนตึกสูงโดยสิ้นเชิง
เป็นอีกครั้ง และอีกครั้งที่พวกเขาพากันออกมานอนดูดาวในป่าใหญ่
“กอร์น คุเรฮะ จากนี้ไปทั้งสองคนจะทำอะไรต่อ?”
ท่ามกลางต้นไม้และธรรมชาติรอบด้าน กอร์นขยับมานอนข้างเด็กสาวที่หลับตานอนนิ่ง หายใจเข้าออกจนแผ่นอกกระเพื่อมเบา ๆ “ช่วงนี้ฉันก็กะจะพักอยู่ที่นี่พลางหาข่าวสารต่าง ๆ ไปด้วย แล้วก็จะเริ่มออกตามหาพ่อจากเมืองยอร์คชิน ที่นั่นคงมีฮันเตอร์มาชุมนุมกันเยอะ”
“แล้วเธอล่ะคุเรฮะ?”
“ยังไม่ได้คิด” ตอบเสียงเนือยแม้จะยังหลับตาอยู่
“เฮ้อ เหมือนกันเลย ฉันเองจะทำไงดีน้า” คิรัวร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำทีเป็นนอนคิดไปเรื่อยอย่างไร้ความหมาย
“เอ๋? คิรัวร์ก็อยู่ที่นี่แล้วค่อยไปยอร์คชินด้วยกันสิ คุเรฮะก็จะไปด้วยนี่นา”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก ฉันแค่กำลังคิดว่านายเนี่ยเจ๋งจังนะ” เด็กชายผมสีขาวเงินตะแคงข้างมองญาติฝ่ายแม่ ดวงตาสีสวยเรืองแสงเบาบางลืมขึ้นมาสบตาเมื่อรู้ตัวว่าถูกจ้อง คิรัวร์จิ้มจมูกไปทีนึง “เธอก็เจ๋ง เดี๋ยวนี้เริ่มหายขี้เซาแล้วนี่”
ดวงตาสีฟ้าครามกะพริบ “จริง ๆ นะ ส่วนฉันมันไม่มีอะไรเลย ไอ้เรื่องที่อยากทำแบบกอร์นน่ะไม่มีหรอก หรือแม้แต่คุเรฮะเองก็เถอะ...”
ทั้งสืบเรื่องฟลอร์มาสเตอร์ และสืบเรื่องคนที่โจมตีก่อนออกจากลานประลองกลางหาว
ถึงจะไม่บอกชัดเจน แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าคนหน้าตายตรงหน้ากำลังลงมือทำอะไรสักอย่างด้วยตัวเอง แถมยังระวังไม่ให้เรื่องนั้นมากระทบกับการฝึกเน็นของพวกเขาอีก
คิรัวร์ถอนหายใจอีกครั้ง
“แต่เรื่องที่ไม่อยากทำนี่ไม่เพียบเลยล่ะ อย่างไปนั่งจับเจ่าอยู่บ้านเงี้ย รึต้องสืบทอดธุรกิจของที่บ้านเงี้ย วัยรุ่นเซ็ง” เปลือกตาปิดลง เขาขยับเข้าไปซุกแขนญาติผู้พี่นิด ๆ “แต่ก็อย่างว่าแหละ ...อิจฉาทั้งสองคนจังเลยนะ”
กอร์นยิ้มกับท่าทางนั้น เขาขยับเข้าไปใกล้คนตรงกลางบ้าง -- ตอนนี้คุเรฮะไม่ต่างจากศูนย์รวมที่พวกเขาใช้เป็นที่พักพิงทางใจไปซะแล้ว
“คิรัวร์ คุเรฮะ ...ฉันน่ะ สนุกจริง ๆ นะที่มีคิรัวร์กับคุเรฮะอยู่ด้วยน่ะ”
“หา จู่ ๆ พูดอะไร—”
ดวงตาสองคู่ที่แตกต่างกันเลื่อนขึ้นมาสบตากับเขา กอร์นคลี่ยิ้มจริงใจไปให้ ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้เป็นประกายน่ามอง
บนเกาะปลาวาฬแห่งนี้เป็นแค่เกาะที่พวกชาวประมงมาพักอาศัยเพื่อทำมาหากิน คนที่เป็นชาวเกาะจริง ๆ มีอยู่นิดเดียว เด็กบนเกาะปลาวาฬเอาตามตรงนอกจากกอร์นก็มีเด็กผู้หญิงอีกคนชื่อโนโกะเท่านั้น เวลาเรียนอะไรก็เรียนผ่านสื่อที่บ้านเอา
สำหรับกอร์น เขาเพิ่งมีคิรัวร์กับคุเรฮะนี่แหละที่เป็นเพื่อนอายุไล่เลี่ยกันสองคนแรก
“คิรัวร์กับคุเรฮะอยู่กับฉันแล้วสนุกรึเปล่า?”
“ก็...ก็หนุกแหละ”
เด็กสาวที่ไม่เหมือนเพศสภาพหัวเราะหึกับท่าทางขัดเขินของญาติผู้น้อง ส่วนเธอยักไหล่รับเป็นคำตอบ
“งั้นเราก็อยู่ด้วยกันซะซี่!”
“เดินทางไปไหนต่อไหนด้วยกัน ดูอะไรต่อมิอะไรด้วยกัน ฉันก็หาพ่อ คิรัวร์ก็หาเรื่องที่อยากทำ คุเรฮะก็ด้วย เราจะท่องเที่ยวไปด้วยกัน” กอร์นหัวเราะร่า แววตามีความสุขจนคนมองยิ้มตาม “ต้องสนุกแน่ ๆ เลย!”
คิรัวร์หลุดยิ้มออกมา “นั่นสินะ”
คุเรฮะหัวเราะหึในลำคอ
ภาพดวงดาวที่พร่างพรายเต็มท้องฟ้าดับสนิทลงเมื่อเธอหลับตา นึกย้อนไปยังวันแรกที่เข้าป่ามาเพื่อดูดาวตอนกลางคืนด้วยกัน แต่แล้วการดูดาวในวันนั้นกลับต้องหยุดชะงักลงเมื่อมีเสียงดังแทรกเข้ามา
ปัง!
เสียงปืนที่ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงร้องคำรามก้องดึงความสนใจของทุกคน กอร์นเป็นคนแรกที่ผุดลุกวิ่งเข้าไปในป่า คิรัวร์มองหน้าลูกพี่ลูกน้องตัวเองแล้วกระโจนตามออกไป คุเรฮะเตะทรายดับกองไฟที่ใกล้มอดอย่างรู้งานแล้วรีบตามไปติด ๆ
“นั่นนายจะไปไหนน่ะกอร์น!?”
“พวกนักล่าสัตว์น่ะ! ที่นี่มันเป็นเขตห้ามล่านะ!”
หูสองข้างกระดิกเล็กน้อย คุเรฮะเทเลพอร์ตตัวเองมาโดดผ่านกิ่งไม้ใหญ่ใกล้ ๆ กอร์น “ฉันได้ยินเสียงหมีจิ้งจอก”
เป็นอย่างที่กอร์นบอก พรานป่ากลุ่มหนึ่งกำลังรวมหัวกันล่ามหมีจิ้งจอกพ่อลูกอ่อนไว้กับต้นไม้ใหญ่ด้วยโซ่เหล็ก ลูกหมีจิ้งจอกตัวเล็กนอนหายใจรัวรินตรงแทบเท้า
“กอนตะ!!”
เด็กผมสีดำตั้งพุ่งเขาไปเตะอัดหน้าก่อนที่พรานคนนึงจะปลิดชีพเพื่อนของตน เด็กผมสั้นอีกคนจู่ ๆ ก็มาโผล่ชิงปืนไปหักเป็นสองท่อน ส่วนเด็กผมขาวฟูสับคอพรานบางคนล้มตึงลงไปโดยไม่ทันได้กะพริบตา
“ฉันแกะมันไม่ออก!” กอร์นกัดฟัน พยายามแก้โซ่เส้นใหญ่ออกจากหมีจิ้งจอกเพื่อนรักแต่ทำไม่ได้ เสียงครางหงิงดังอ้อนวอน กอนตะมองตรงไปทางลูกเล็กที่นอนอยู่ไม่ไกล
“ตรงนี้ฉันจัดการเอง” คุเรฮะพยักหน้าให้
ลับหลังเด็กชายทั้งสองคน แว่วเสียงแย้งจากคิรัวร์ที่ตามกอร์นไปว่าควรปล่อยให้ลูกมันตายไปมากกว่าอยู่ ใบหน้าเรียบนิ่งหันกลับมา พรานป่าที่เหลือวิ่งหนีหายไปคนละทิศคนละทาง
ดวงตาที่อ่อนลงเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ กรอบหน้าเย็นชาแผ่จิตสังหารออกมาจนสัตว์น้อยใหญ่กระโจนหนี หมีจิ้งจอกตัวใหญ๋ที่ถูกตรึงไว้กับต้นไม้หูลู่หางตกเมื่อเห็นมือขาวซีดยื่นมาหา
เคร้ง!!
แล้วกระชากโซ่หลุดภายในทีเดียว
สัตว์ร้ายของป่าใหญ่ที่เกือบถูกล่าจนตายล้มลงอ่อนล้า มันรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นเพื่อนของกอร์นแต่ก็อดหวั่นเกรงไม่ได้ เด็กสาวยืนนิ่งถือโซ่เส้นใหญ่ อีกมือนึงยกขึ้นมาปิดใบหน้าครึ่งล่างตามนิสัยส่วนตัว
“ให้ตายสิ”
เสียงครางแผ่ว ...แวบนึงเธอเผลอคิดไปว่าเป็นเจ้าพวกไวเปอร์นั่นซะอีก ตั้งแต่ผ่านวันนั้นมาก็อดระแวงไม่ได้จริง ๆ
เด็กสาวลดมือลง นัยน์ตาคมกริบไม่ต่างจากใบมีดสะท้อนแสงจันทร์สว่างวาบ
ดวงตาของสัตว์ร้ายที่ไร้แวว
เป๊าะ!
ทันทีที่ดีดนิ้วออกคำสั่ง เงาปริศนานับสิบก็พุ่งไปตามทางที่พวกพรานหนีออกไป พร้อมใจกันจัดการพวกเศษสวะที่ไร้ความน่าสนใจแทนผู้เป็นนาย
เงา
ชื่อเรียกของกองกำลังส่วนตนที่ถูกฝึกมาในฐานะสุนัขรับใช้โดยเฉพาะ ทุกคนล้วนขึ้นตรงต่อเธอ ต่อคุเรฮะ เอเรอัส คราวน์ ไม่ใช่นายเหนือหัวคราวน์คนปัจจุบัน
หากไม่ใช่เพราะพวกลอบกัดที่โผล่หัวมาโจมตีนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับคราวน์ไม่มากก็น้อย เธอก็คงไม่คิดเรียกใช้ แต่เหตุการ์ณที่ผ่านมาหมาด ๆ กลับทำให้เธอเปลี่ยนใจกลางคันซะนี่
เธอไม่คิดเอ่ยถามที่มาอะไรทั้งนั้น การกระทำทุกอย่างที่เงาแสดงบ่งบอกชัดเจนอยู่แล้วว่าให้น้ำหนักกับคำสั่งของเธอมากกว่าพ่อเธอ— ไม่สิ สัญชาตญาณลึก ๆ ของเธอมันเชื่อว่าพวกเขาเป็นของเธออยู่แล้วด้วยซ้ำ
แค่นั้นก็เพียงพอ
ร่างสมส่วนปรายตามองเงาหลายคนที่แต่งกายด้วยชุดสีทึบตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างทะมัดทะแมง ใบหน้าสวมหน้ากากเงินปิดบังตัวตนต่อโลกภายนอก มือลากศีรษะอาบเลือดของพรานกระจอกมาเป็นหลักฐานแก่นายของตน
คอยรับใช้อยู่เบื้องหลัง สมชื่อดังเงา
ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่อง มือที่สวมถุงมือหนังหยิบอาวุธในกระเป๋าขึ้นมาจ้องมองด้วยแววตาที่หลากหลายความนัย
อาวุธของศัตรูที่มีตราตระกูลคราวน์ชัดเจน
ความสัมพันธ์จอมปลอมที่มีคำว่าครอบครัวปักตรึงทุกทิศทาง --- เด็กสาวผมสีดำขลับเงยหน้าขึ้น มองผ่านใบมีดคมไปยังพระจันทร์ที่ลอยเด่นบนฟ้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ไปสืบมาว่าไวเปอร์คืออะไร และเกี่ยวข้องกับคราวน์ยังไง”
เงาทุกคนพยักหน้ารับ ก่อนจะผลุบหายไปจากตรงนั้นในพริบตา เหลือไว้เพียงเด็กคนนึงที่มองดวงจันทร์ด้วยแววตาอ่านยาก เหมือนแก้วใบน้อยที่มีแต่รอยร้าวแปะทับด้วยเทปบาง ๆ เหมือนของเล่นพัง ๆ ที่ถูกซ่อมครั้งแล้วครั้งเล่า
เด็กสาวกัดปากแน่นจนเลือดปริ
ซ่า
เสียงคลื่นลมจากผืนทะเลที่กระทบฝั่งดังแว่วเข้าหูมาไม่หยุด เปลือกตาบางเปิดขึ้น ดวงตาสีแดงประทับด้วยจันทร์เสี้ยวหรี่ลงยามแสงแดดส่องเข้าตา ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นมา
วิวบนขอบหน้าผาสูงยังคงสวยไม่เปลี่ยน
ใบหน้าคมเหม่อมองเส้นขอบฟ้า เป็นอีกครั้งที่มือเอื้อมไปแตะมีดสั้นที่ได้รับมาจากศัตรูมาถือไว้ นิ้วลูบไปตามรอยสลักบนใบมีดซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับต้องการหาคำตอบให้กับตัวเองที่พร่ำถามในใจไม่หยุด
อีกแล้ว -- อีกแล้วที่ตัวเธอมีบาดแผลที่มองไม่เห็นเพิ่มขึ้นมา
ตอนนั้นเองที่มือขาวซีดยกขึ้นมาแตะตรงรอยแผลเป็นที่ไหล่ค่อนไปทางหลังโดยไม่รู้ตัว บาดแผลล่าสุดที่เพิ่งได้มาหายไปจนหมด ยกเว้นรอยแผลเป็นด้านหลังนับสิบที่ยังไม่หายแม้จะใช้ยาดีรักษา แผลที่เธอกัดฟันทำให้มันคงอยู่บนร่างตัวเองไม่มีทางเลือนหาย
ทั้งแผลที่มองเห็นและแผลที่มองไม่เห็น
มันจะคอยตอกย้ำให้รู้อยู่เสมอว่าไม่เคยมีคำว่า ครอบครัว สำหรับเธอ
ไม่มีวัน
“คุเรฮะ!”
เสียงใสที่คุ้นเคยเรียกให้สองหูกระดิกรับ ในเสี้ยววินาทีที่นัยน์ตาเลือดเย็นฉายแววออกมา เด็กสาวตวัดสายตาไปหา ยิ้มหยีให้เล็กน้อยราวกับนักล่าที่เริ่มเรียนรู้การปรับตัวกับโลกภายนอก
มือเก็บมีดสั้นที่ถือไว้ลงกระเป๋าคาดขา
“ไง กอร์น”
“คุณมิโตะบอกว่าพ่อของฉัน... จินน่ะ ฝากไอ้นี่ไว้ให้ฉันแหละ!”
ดวงตาคมสองเฉดสีเลื่อนต่ำมองไปยังสิ่งที่กอร์นยกขึ้นโชว์ให้ดูจากเบื้องล่าง
กล่องสี่เหลี่ยมใบเล็กจากจิน ฟรีคซ์?
__________C H E C K M A T E__________
จะสังเกตได้ว่าตอนแรก ๆ คุเรฮะจะมึนตึงและไม่สนใจใครหน้าไหนมากกว่านี้ พอมาตอนนี้คือเริ่มปรับตัวและรู้ว่าควรแสดงสีหน้าแบบไหนออกมายังไงบ้างแล้ว (แม้นั่นจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานลอบสังหารเหมือนที่ผ่านมาก็ตาม)
ส่วนเรื่องแผลเป็นของคุเรฮะเป็นเนื้อหาปลายเปิดค่ะ คิดได้หลายแง่เลย!
ความคิดเห็น