ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [IKON] "HOODWINK" DoubleB&Junjin

    ลำดับตอนที่ #9 : file08.1 :: conflict [100%]

    • อัปเดตล่าสุด 4 พ.ค. 58




    Tattoo your name across my heart
    so it will remain Not even death can make us part
    What kind of dream is this?







     

                CHANWOO's SIDE


                มันเป็นเวลานับสิบวันแล้วนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจอ ยุนฮยอง

                ผมค่อยๆเอนหลังลงนอนกับที่นอนและมองไปยังเพดานสีขาวอย่างเบื่อหน่าย

               

                เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมได้นอนนิ่งๆในห้องนานติดต่อกันนานหลายวันแบบนี้

    ปกติถ้าไม่โดนเรียกไปทำการทดลอง ส่วนใหญ่ผมก็จะใช้เวลาหมดไปกับหนังสือหรือเกมส์ในห้องของยุนฮยอง หรือแม้กระทั่งบางทีก็เป็นการนอนคุยกันเฉยๆ

     

                มันเลยเป็นความรู้สึกแบบเคว้งคว้างประหลาดๆเมื่อต้องมมาอยู่คนเดียวแบบนี้

     

                ทั้งๆที่จริงๆผมควรจะแค่นอนอยู่ตรงนี้ นั่งจ้องเพดานไปวันๆ เหมือนที่มันเป็นมาตลอดก่อนที่ยุนฮยองจะก้าวเข้ามาในชีวิต

                ยอมรับได้แล้วว่านี่คือความจริงที่ต้องเจอ

     

                แต่ถึงยังไงความจริงที่น่าเศร้าว่าผมได้แต่นั่งๆนอนๆอย่างนี้มาสิบวันแล้วทำให้ผมรู้สึกเหงาขึ้นมาจริงๆ

                ไม่ใช่ว่ายุนฮยองไม่เคยหายไปแบบนี้มาก่อน อย่างตอนที่ยุนฮยองหยุดเพื่อกลับบ้านตัวเองเมื่อสี่เดือนก่อน ก็ตั้งเกือบอาทิตย์

                แต่ครั้งนี้มันแปลกไปจนทำให้ผมรู้สึกตะหงิดๆขึ้นมา

     

                เหมือนกับมีความรู้สึกอะไรบางอย่างแล่นไปมาในหัวผม กวนเอาตะกอนความกลัวบางอย่างให้ฟุ้งกระจายขึ้นมาเต็มไปหมด

     

     

              ทำไมเขาถึงหายไปนานแบบนี้ ทำไมไม่บอกกันซักคำ?

     

                ผมปล่อยให้ตัวเองนอนกระสับกระส่ายอยู่หลายชั่งโมงก่อนที่จะทนกับความรู้สึกแบบนี้ได้

                หันไปมองผู้คุมหน้าคุ้นหน้าคุ้นตาที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้อง ชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่ติดอยู่ในใจมากตลอดหลายวัน

     

                “คุณเห็นยุนฮยองบ้างไม๊”

               

     

              “นี่นายไม่รู้หรอ?”

                “รู้อะไร?”

     

    คำตอบที่ได้ยินยิ่งทำให้ผมรู้สึกวูบๆในช่องท้อง

                เหมือนกับว่าให้เตรียมตัวเจอกับอะไรที่ไม่อยากจะเจอ

     

                “ซงยุนฮยองลาออกไปสามสี่วันแล้ว”

               

              ลาออก?!

     

                “อะไรนะ? ลาออก!?

     

                “ใช่ ซงยุนฮยองลาออกไปแล้ว เส้นใหญ่น่าดูเลย ปกติที่นี่ไม่ได้จะให้ใครเข้าออกได้ง่ายๆหรอกนะ”

                “ไม่จริง ยุนฮยองจะออกไปโดยไม่บอกผมเลยได้ยังไง?”

     

                “จะหาว่าฉันโกหกนายรึไงเห๊อะ?”

     

                น้ำเสียงที่ดูจะเริ่มมีน้ำโหของอีกคนทำให้ผมเลือกที่จะเงียบปากทั้งๆที่ในใจยังมีคำถามวนเวียนอยู่

                มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ

                ผมได้แต่มองไปรอบห้องอย่างร้อนรน นี่มันบ้าจริงๆนะ ครั้งสุดท้ายที่ผมเจอเขาเขายังดูปกติอยู่เลย

     

                มันใช้เวลาอยู่หลายนาทีก่อนที่ผมจะรวบรวมสติได้และเริ่มประมวลผลต่างๆ ความตกใจที่อัดแน่นค่อยๆกลายเป็นความเคลือบแคลงใจที่กำลังจะฆ่าผมทั้งเป็น

                ผมกำมือของตัวเองแน่นจนมันชุ่มไปด้วยเหงื่อ

     

                การลาออกของยุนฮยองนั่นหมายถึงว่าผมจะไม่มีวันได้เจอเขาอีก

                คิดแค่นั้นจู่ๆเลือดในร่างกายก็เดือดพล่าน

     

                ซง ยุนฮยอง ลาออกเพราะอะไรกัน?

                เพราะ คัง ซึงยุนคนนั้น หรือเพราะ กู จุนฮเว?

                มันต้องมีอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังสิ ยุนฮยองไม่มีทางทิ้งเขาไปง่ายๆแบบนี้สิ

     

                ในหัวของผมมีแต่เหตุผลร้อยพันประการที่จะทำให้ยุนฮยองลาออก และจู่ดูเหมือนๆชื่อของใครบางคนที่ทำให้ภาพให้หัวของผมชัดเจนก็ปรากฏขึ้น

     

              คิม บ๊อบบี้

     

              บ๊อบบี้... เขาไม่เกี่ยวอะไรกับนายหรอก แต่จำไว้นะ ถ้าไม่มีฉัน บ๊อบบี้จะเป็นที่พึ่งให้นายได้

     

                ถ้าจะมีใครรู้ว่ายุนฮยองหายไปไหน ก็คงจะเป็นหมอคนนั้น

     

                ผมเคยเจอเขาหนึ่งครั้ง...ตอนที่ผมถูกคุมตัวเดินไปที่ตึกใหญ่ และได้ยินชื่อยุนฮยองออกมาจากปากของเขาขณะเขากำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคนอยู่

                และ ได้เห็นชื่อของเขาอีกครั้งบนโต๊ะหนังสือของยุนฮยอง ชื่อของเขาปรากฎอยู่บนกระดาษโน้ตที่ถูกขยำทิ้งไว้บนโต๊ะ มันเป็นกระดาษโน๊ตที่มีแต่ภาษาอะไรซักอย่างที่ผมอ่านไม่ออก ยกเว้นตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่เขียนไว้ว่า BOBBY

     

                นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเลือกที่จะถามยุนฮยองเกี่ยวกับเขาคนนั้นออกไป

     

                ผมหันไปมองที่ลูกกรงที่หน้าประตู และเดินกลับไปยืนอยู่ที่หน้าประตูนั้นเบาๆ เพื่อให้ผู้คุมที่หหันไปทางอื่นแล้วสังเกต

                ผมมองลอดช่องว่างออกไป ก่อนจะอ่านตารางเวลาของตัวเองที่ถูดติดอยู่ฝั่งตรงข้ามของผนัง

               

                และสิ่งที่เขียนอยู่บนนั้นก็ทำให้ผมยิ้มออกมานิดหน่อย

                เพราะภาพของชื่อบ๊อบบีที่ถูกเขียนไว้ด้วยลายมือของคนที่คุ้นเคยบนช่องตารางเวลาของวันมะรืน แทนที่หมอคนเดิมที่ถูกขีดฆ่าทิ้งไปอย่างลวกๆ

                ดูเหมือนซงยุนฮยองจะไม่ได้หายไปเลยซะทีเดียวนะ

     

                “เฮ้ ชานอู ฉันลืมบอกนายไป ดูเหมือนว่าผู้คุมยุนฮยองจะฝากของบางอย่างไว้ให้นายนะ  ถ้าจำไม่ผิดน่าจะอยู่กับพวกผู้คุมกลาง อย่าลืมไปเอาตอนเวรอาบน้ำวันพรุ่งนี้ด้วยล่ะ”

               

     

     

     

     

    .

     

     

     

     

     

                กล่องเหล็กใบหนึ่งถูกส่งมาให้ผม

                มันเป็นกล่องสีน้ำเงินเข้มขนาดราวๆเกือบฟุต และถูกล็อคไว้ด้วยแม้กุญแจทองเหลืองอันใหญ่เกินขนาดที่เหมาะสมไปหลายไซส์

     

                “นายรู้รหัสใช่ไม๊”

                “ผมไม่แน่ใจ”

                ผู้คุมกลางที่นั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวยาวกลอกตาไปมาอย่างรำคาญ

                “ถ้าเปิดให้ฉันดูก่อนไม่ได้ นายก็เอามันไปไม่ได้”

                “...”

                “ถ้าไม่รู้ก็กลับไป...”

                “ผมขอลองดูก่อนได้ไม๊”

                “เร็วๆ ฉันไม่ได้มีเวลาว่าง มานั่งดูนายใส่รหัสไอ้กล่องบ้าบอนี่ทั้งวัน” เขาพูดก่อนจะเลื่อนกล่องไปนั้นมาตรงหน้าผม

     

                บางทียุนฮยองก็ทำให้มันยุ่งยากเกินไป

                มันเป็นแม่กุญแจแบบให้หมุนตัวเลขสามหลัก

                เลขตัวพวกนี้เป็นไปได้แทบจะทุกอย่าง วันเกิด จำนวน เวลา หรืออะไรก็ตาม

     

                ผมพยามนึกถึงอะไรที่ยุนฮยองย้ำบ่อยๆ... แต่นึกให้ตายยังไงก็นึกไม่ออกซักที

     

                มือเอื้อมไปจับเข้าที่แม่กุญแจ

     

     

    ก่อนจะพบว่า...แม่กุญแจอันนี้มันมีอะไรบางอย่างผิดปกติ

                มันเบาเกินกว่าจะเป็นของจริง... ผมรู้ดีเพราะมันมีแม่กุญแจขนาดเดียวกันนี้อยู่ในห้องของยุนฮยอง และเขามักจะใช้ผมไปเปิดเพื่อเอาของในตู้บ่อยๆ

                บ่อยจนพอจะชินมือเวลาจับอยู่บ้าง แต่นี้มันเบากว่าที่คุ้นเคยอยู่มากโข

               

                ผมเหลือบมองผู้คุมเล็กน้อย ก่อนจะพบว่าเขามัวแต่กำลังสนใจมือถือในมืออยู่

     

                ผมเริ่มใส่ตัวเลขเบอร์ห้องของยุนฮยองลงไปก่อน

                ตามด้วยวันเกิดของเขา และ ตามด้วยของผม

                ไม่มีซักอันที่ถูก

     

                ตัวล็อคอันนี้มีตัวเลขให้เลือก 2-9 ส่วนอีกตัวเป็นตัว A         

                ความคิดแปลกๆบางอย่างผุดขึ้นในหัวของเขา

                Slave

     

                ไพ่slave เกมที่ซงยุนฮยองชอวนเขาเล่นบ่อยๆเมื่อราวสองเดือนที่ผ่านมา

                จะเอาอย่างงี้จริงๆใช่ไม๊เนี้ย?

                ผมค่อยๆเลื่อนตัวเลขที่ถูกคละต่างๆไป ก่อนจะไปหยุดเมื่อทั้งสามตัวหยุดลงที่เลข 2 เรียงต่อกันทั้งสามตัว ก่อนที่เสียงปลดล็อคจะดังขึ้นเบาๆ

               

                ผมสัมผัสได้ถึงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นเร็วขึ้นด้วยความตื่นเต้น

     

                ผู้คุมคนเมื่อครู่หันมาจ้องผม ก่อนที่จะตระคุบเอากล่องนั่นไปก่อนที่ผมจะเปิดมัน

                เขาหันกล่องกลับไปทางตัวเอง เปิดออก ล้วงมือลงไปค้นอยู่ซักพักก่อนจะส่งกลับมา

               

                ผมมองลงไปในสิ่งที่อยู่ในกล่อง มันเป็นแค่ไฮยาซินธ์กำไม่ใหญ่มากที่เริ่มเหี่ยวเฉากลายเป็นสีน้ำตาลวางอยู่ข้างใน

                แน่ล่ะ มันผ่านมาหลายวันแล้วนี่น่า

     

                ผู้คุมคนนั้นมองด้วยสายตาเบื่อหน่าย เขาคงคาดหวังว่ายุนฮยองจะให้อะไรกับผมมากกว่าดอกไม้แห้งๆกำนึง หรือไม่เขาก็คงรำคาญที่ให้เขาแบกกล่องเหล็กนี่ไปมาทั้งๆที่มีแค่ดอกไม้

     

                ผมรีบกล่าวขอบคุณผู้คุมคนนั้นก่อนจะคว้าเอาทั้งกล่องนั้นมาและรีบตรงกลับไปที่ห้องของตัวเอง

                ผมมีเรื่องต้องจัดการกับกล่องใบนี้เยอะแน่ๆ รวมถึงแม่กุญแจปลอมนั่นด้วย

     

     

     

     

     

     

               

                ผมผงกหัวให้ผู้คุมที่ยืนอยู่ใกล้ทางเข้าห้องของผมเล็กน้อย กระชับกล่องนั้นแน่น เดินไปยืนหน้าประตูเพื่อรายงานตัวเหมือนที่คนอื่นๆกำลังทำ และเมื่อผู้คุมขานชื่อผมเรียบร้องก็รีบหันหลังเดินเข้าไปในห้องตัวเองอย่างรวดเร็ว

     

                เสียงประตูเหล็กที่ปิดล็อคลงมาเหมือนเสียงปลดล็อคมาตรการป้องกันภัยในหัวผม

                ทิ้งตัวลงบนพื้นที่มองจากหน้าต่างลูกกรงบานเล็กนั้นได้ยากที่สุด ก่อนจะลงมือเปิดกล่องออกมาอีกครั้ง

                กลิ่นประหลาดๆของดอกไฮยาซินธ์ที่เริ่มจะเฉาลงไปโชยออกมาจนทำให้ผมต้องย่นจมูก

               

     

                ดอกไฮยาซินธ์แปลว่าการเริ่มต้น

                ยุนฮยองเคยบอกผมแบบนั้น  เพราะเขามันจะมีดอกไฮยาซินธ์ในห้องทุกวันเสาร์ เขาเตรียมมันไว้เพื่อนำไปที่โบสท์ในวันอาทิตย์

    ยุนฮยองมีน้องสาว น้องสาวของเขาป่วยเป็นโรคแพ้เลือดของตัวเอง

                โอกาสรอดน้อยมาก และใช้เงินจำนวนมากในการรักษา เขาจึงจำเป็นจะต้องเข้ามาทำงานที่นี่ งานที่โด่งดังในบรรดาพวกตลาดมืด ลอวไลท์ยอมจ่ายแพงเสมอเพื่อผู้คุมที่จะไม่มีวันเอาเรื่องในโรงพยาบาลไปเผยแพร่ที่ไหน

     เขาเล่าให้ฟังว่าการทำงานที่นี่ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า เขาเลยเอาดอกไฮยาซินธ์ไปวางไว้ที่โบสท์ทุกอาทิตย์เพื่อขอให้ซักวันเป็นวันเริ่มต้นใหม่สำหรับชีวิตของเขาจริงๆ

               

     

                ผมจับดอกไม้พวกนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวังก่อนจะวางลงข้างตัว

                ก่อนจะเจอแต่ความว่างเปล่า

     

                ผมละสายตาจากกล่องไปเป็นแม่กุญแจที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น

                หยิบมันขึ้นมา จับพลิกไปพลิกมาหลายๆครั้งจนเริ่มแน่ใจในลางสังหรณ์บางอย่างเกี่ยวกับแม้กุญแจอันนี้

                มันกลวงข้างใน... ผมพยายามหาทางเปิดมันอยู่นานแต่สุดท้ายก็เลิกพยายามไป ก่อนจะหันไปสนในกล่องแทน

                ผมใช้มือของตัวเองลูบไปตามกล่องเบาๆ มันต้องมีเหตุผลแน่ๆที่ยุนฮยองพยายามจะให้ผมเรียนอักษรเบรลล์เมื่อเดือนก่อน

     

     

                สัมผัสบางอย่างทำให้มือของผมสะดุดลงที่ใต้กล่อง

                อยู่ที่นี่เอง ผมพลิกมันขึ้นมา ลูบตรงที่มีบางส่วนนูนขึ้นมาเป็นจุดๆก่อนจะประมวลผล

                ผมไม่ได้ถนัดแกะอักษรพวกนี้มากซะด้วย ถึงแม้ยุนฮยองจะให้เรียน แต่ผมยังจำอักษรพวกนั้นได้ไม่ครบทุกตัวดีนัก

                ตัวอักษรสามตัวที่ผุดขึ้นมาในหัวทำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นมา

     

                R .

     

                U .

     

                N .

     

               

                หนี...

                ยุนฮยองกำลังสั่งให้ผมหนีไปจากที่นี่

                หนีไปจากลอว์ไลท์

               

                

     

    60%


     

     

               

    JUNHOE's SIDE 
    \

                วันนี้เป็นอีกวันที่ผมไล่จินฮวานออกไปจากห้องทำงานเพื่อไม่ให้ตัวเองเสียสมาธิ

                มันผ่านมาได้หลายวันแล้วตั้งแต่วันที่เขาย้ายเข้ามาที่นี่ และถึงอย่างนั้นเขากับจินฮวานก็ยังไม่ได้คุยกันมากมายอย่างที่ควรจะเป็น

                จริงๆเขาเองก็อยากจะเริ่มคุยน่ะนะ แต่เพราะดูแล้วว่าจินฮวานเองนั้นเกร็งเวลาอยู่กับเขาเอามากๆ เลยเลือกที่จะปล่อยให้เวลาละลายความกลัวที่ยังมีต่อเขาไปก่อน

                ผมเองก็พยายามจะแสดงออกให้เห็นว่าไม่ได้จะมีเจตนาร้ายอะไรไปแล้วด้วย ทั้งซื้อขนมมาให้ หาหนังสือมาให้อ่าน รวมถึงแทบจะยกแล็ปท็อปให้ไปใช้หาอะไรทำแก้เบื่อ

                จนตอนนี้ห้องหนังสือที่เขากะจะเอาไว้ใช้พักผ่อนเกือบจะกลายเป็นห้องของจินฮวานไปซะแล้ว

                วันๆคนตัวเล็กนั่นก็จะคลุกตัวอยู่ในนั้นเกือบทั้งวัน เหมือนที่ผมเองก็ต้องนั่งทำงานในนี้เช่นกัน คงเพราะว่าเจ้าตัวไม่อยากลงไปข้างล่างนั้นแหละ

                ก็มีแค่พวกการ์ดจ้องซะแบบนั้น ขนาดลงไปนั่งกินข้าวกับผม ยังรู้สึกสงสารแทน

     

               

    ( I could stay awake just to hear you breathing )

     

                ผมวางปากกาลงในมือลงทันทีที่ได้ยินเสียงเพลงดังมาจากห้องสมุดที่มีชุดเครื่องเสียงของบ้าน

                ...จินฮวาน?

                เสียงเพลงที่ค่อยๆดังคลอขึ้นเรียกความสนใจจากผมได้ดี ผมเหลือบไปมองนาฬิกาเล็กน้อย ก่อนจะพบว่านี่ก็ค่ำแล้วทีเดียว

                ผมค่อยๆลุกจากโต๊ะทำงานของตัวเองก่อนจะเดินไปยังที่มาของเสียงพลางฮัมเพลงนี้ไปด้วยทันที...ผมชอบเพลงนี้มากในระดับหนึ่ง เรียกได้ว่ามันเป็นหนึ่งในเพลงโปรดของผมเลยล่ะ

                ผมเปิดประตูเข้าไปก่อนจะพบกับร่างเล็กๆนั่งกำลังง่วนอยู่กับการจิ้มไอเพดที่ถูกเชื่อมไว้กับเครื่องเสียงของผม

     

     

    Watch you smile while you are sleeping

    While you're far away and dreaming )

     

     

    จินฮวานค่อยๆหันมามองผมช้าๆก่อนจะส่งยิ้มเจื่อนๆเหมือนเด็กที่โดนจับได้ว่าทำอะไรผิดให้ผม

    “ผมไม่ได้ตั้งใจจะเปิดมันนะ แค่มือเผลอไปโดนน่ะ” เขาบอกผมก่อนจะยื่นไอเพดมาให้ผม

    “อือ ไม่เป็นไรหรอก เปิดนั่นแหละดีแล้ว”

    นานมาแล้วเหมือนกันที่ผมมัวแต่วิ่งวุ่นอยู่กับโลกแห่งควายุ่งเหยิง โลกใบนั้นมี่เวลาให้ผมอยู่นิ่งๆฟังเพลงหรอก... ปกติผมก็ไม่ค่อยแคร์เรื่องพวกนั้นเท่าไหร่

    คนอื่นๆอาจจะมองว่าผมน่าอิจฉาที่ทำเงินได้เป็นร้อยๆล้านทั้งๆที่ยังเด็ก แต่ในขณะเดียวกันผมก็สูญเสียอะไร บางอย่าง ไปเพื่อแลกมาเช่นกัน และหนึ่งในนั้นผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่คนอื่นเรียกว่า ความสุข

    แต่ตอนนี้คนตรงหน้าผมกำลังทำให้ผมอยากที่จะพักซะบ้าง อยากหนีจากงานไปไกลๆ

     

    ผมเดินไปยังตู้เย็นตู้เล็กๆในห้อง ก่อนจะคว้าเอาเบียร์ออกมา 2กระป๋อง ก่อนจะหันไปถามจินฮวาน

    “นายดื่มเป็นไม๊?”

    เขาดูระแวงเล็กน้อยก่อนจะจ้องเบียร์ในมือผมและพยักหน้าเบาๆเป็นคำตอบ

     

    I could spend my life in this sweet surrender

    I could stay lost in this moment forever

    Every moment spent with you is a moment I treasure )

     

    ผมเปิดเบียร์ทั้งสองขวด ยื่นให้จินฮวาน คลายเนกไทออกก่อนจะนั่งลงที่โซฟาใกล้ๆ

    “....”

    “....”

    และความเงียบก็เข้าปกคลุม

    ผมไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ที่เราสองคนเอาแต่จิบเบียร์เงียบๆ

                มันอาจจะแค่แป็บเดียว แต่กลับให้ความรู้สึกนานเมื่อต้องมองหน้าจินฮวานด้วยความอึดอัดแบบนี้

     

     

    “เล่าเรื่องของนายให้ฉันฟังหน่อยสิ..” ผมถามขึ้นทำลายความเงียบ

     

    “ครับ?” เขาถามงงๆ

    “นั่นแหละ เล่นให้ฉันฟังหน่อย ฉันอยากรู้จักนาย”

    “เอ่อ...ผมเป็นนักเรียนธรรดาๆ อืม...จบไฮสกูลที่เคลิฟอร์เนียตอน19เกือบ20 ผมเรียนจบช้ากว่าคนอื่นปีกว่าๆน่ะ ตอนย้ายจากเกาหลีไปอเมริกา มันทำให้ผมต้องหยุดไปเรียนภาษาเกือบปี”

    “ฉันเรียนที่บอสตัน เคยไปแคลิฟอร์เนียอยู่ มันเป็นที่ที่ดีนะ”

    “คงอย่างนั้น ถ้าแดดไม่แรงไปหน่อย ผมคงชอบมันมากกว่านี้ ผมพึ่งใช่ชีวิตเก็ปเยียร์ของตัวเองจบไป กำลังจะกลับมาเรียนต่อที่เกาหลี รถที่ครอบครัวผมนั่งโดนรถชน ผมตื่นมาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”

    “....”

    “....”

    “นายรู้ตอนไหนว่านายมีพลัง...แบบนี้”

    “...ซักราวๆตอนผมย้ายมาอเมริกาใหม่ๆล่ะมั้ง ปกติพลังของผมไม่ค่อยแสดงพลังนักหรอก ที่ผมรู้แบบจริงๆจังๆเพราะ คุณนายโดโรธีข้างบ้านชอบเอาขี้หมาของบ้านแกมาทิ้งในบ้านผม ผมโกรธเลยเผลอสะกดจิตให้แกกินมันเข้าไป”

     “เหอะ.. ร้ายไม่เบานะคิมจินฮวาน”

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮลรึเปล่า แต่ผมสามารถคุยกับจินฮวานได้ลื่นไหลมากๆ ทั้งๆที่ปกติจะมีบรรยากาศน่าอึดอัด หลังจากนั้นเราผลัดกันคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยๆ ปล่อยให้เรื่องราวในหัวถูกถ่ายทอดไปหาอีกคน สร้างความสัมพันธ์บางๆที่เริ่มก่อตัวขึ้นมา

     

     

    “นายรู้ไม๊...พี่น่ะ กลัวที่นี่มากเลย”

    จินฮวานเปลี่ยนสรรพนามตัวเองแล้ว หลังจากคุยกันมาพักใหญ่ทำให้ผมรู้ว่าคนตัวเล็กนั้นแก่กว่าผมซะอีก

    “....”

     ผมเดาว่ามันคงเป็นเพราะแอลกอฮอลที่ทำให้จู่ๆจินฮวานพูดขึ้นมาดื้อๆ พลางชันเข่าขึ้นมากอดบนเก้าอี้แบบนี้

     

    “ตอนที่พี่พึ่งโดนพาเข้าในโรงพยาบาลนี้.... ฉันใช้เวลา3วันหมดไปกับการร้องไห้ อีก4วันกับการพยายามหนี ในวันที่8ของการอยู่ที่นี่ฉันด้รู้จักคนคนนึงที่อยู่ห้องขังข้างๆ....เขาเป็นคนที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับที่นี่ทั้งหมดให้ฟัง และในวันต่อมาผมก็ถูกย้ายมาอยู่ในห้องสีขาว....ไม่มีคน...ไม่มีอะไรเลย...”

    “...”

    “ผมกังวลมากแต่มันก็ไม่มีอะไร นอกว่าข้าวกับน้ำ3มื้อที่ส่งมาเป็นระยะๆ”

    “...นายเมาแล้วล่ะจินฮวาน”

     

    จินฮวานเงียบไปหนึ่งจังหวะ หลบสายตาผมก่อนจะยกมือขึ้นปาดที่แก้มตัวเองไวๆ

    เขากำลังร้องไห้

     

    “จนกระทั่งวันหนึ่งฉันก็ตื่นมาก็พบว่าตัวเองถูกมัดอยู่บนเตียงที่เต็มไปด้วยเครื่องมืออะไรก็ไม่รู้เต็มตัว พวกเขาเริ่มทดลองกับฉัน...”

     

    “มันทำให้นึกถึงวันที่ฉันรู้ว่าตัวเองมีพลังจิตครั้งแรก.... ตอนที่รู้มันทั้นน่าตกใจและตื่นเต้น ฉันเคยคิดว่าถ้าฉันลองฝึกใช้มันให้เก่งๆล่ะก็ซักวัน ฉันอาจจะกลายเป็นฮีโร่เหมือนในหนัง Marvel หรือเป็นแบบ Dr.X ใน X-men

    “..” ผมได้เงียบฟังเรื่องราวที่กำลังพรั่งพรูออกมาจากปากคนตรงหน้า

    “ และดูฉันในตอนนี้สิ... ผมมีพลังตั้งมากมายกลับเป็นได้แค่หนูในห้องทดลองเท่านั้น ในขณะที่นายไม่แม้กระทั่งจะมีพลังแบบฉัน แต่ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่จะฆ่าฉันตอนไหนก็ได้ โลกนี้มันตลกดีเน๊อะ”

     

    “โลกมันก็แปลกประหลาดแบบนี้เสมอนั้นแหละ พวกเราถึงเรียกมันว่าโชคชะตาไง” ผมตอบโดยไม่ละสายตาไปจากดวงตาคู่สวยที่กำลังชุ่มช่ำไปด้วยน้ำตา

     

    ดวงตาคู่นั้นกระพริบถี่ๆเพื่อไล่น้ำตา  ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นหลับตาลงเอาไว้และเอนตัวเอาคางมาเกยไว้กับเข่า

    แก้มที่เริ่มขึ้นสีแดงจางๆ

     

    ผมเลื่อนตัวเองเข้าไปใกล้เขามากขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่ยังเลอะอยู่ข้างแก้มเบาๆ

    ก่อนจะกลายเป็นควบคุมตัวเองไม่ได้ ใช้มือข้างเดิมเชยคางเขาขึ้นมา

     

    และจูบลงไปเบาๆที่ปากของอีกคน

     

    ผมไม่สนหรอกว่าจินฮวานมีปฏิกิริยายังไง  เอาจริงๆคือผมไม่สามารถตั้งสติทันที่จะสังเกตมากกว่า

    มัวแต่หลงไหลกับสัมผัสนุ่มนิ่มและรสหวานที่ปลายลิ้น

     

    ผมคงจะต้องพูดอีกครั้ง

    ผมนี่มันบ้าจริงๆ...

     

     

     

              ( Cause even when I dream of you

              The sweetest dream will never do I'd still miss you baby

              And I don't want to miss a thing )

               

                




    TALK

    เอาชานยุนกับจุนจินไปก่อนนะทุกคน
    เรารู้ว่าพวกเธอค้างจากตอนที่เเล้ว ถถถ
    อิคู่จุนจินนี่ก็มาเเหวกตลอดจริงๆ.... มุ้งมิ้งได้อีก

    จะพยายามมาอัพให้เร็วขึ้น... ใกล้เปิดเทอมเเล้ว กลัวอัพไม่ทัน ถถถถ

    เดี๋ยวตอนหน้า (8.2) จะมาดบบ.รวดเดียวทั้งตอน อิอิ
    เตรียมใจให้พร้อมนะคะ

     

    :D

    อย่าลืมเม้นท์&เเท็ก #ฟิคลวงดบบ นะคะะะ

    PS. เพลงที่ใช้ในตอนจุนจินชื่อ Aerosmith - Don't Wanna Miss A Thing นะคะ เเต่เวอร์ออริจินอลมันออกจะ...ร็อคไปนิด ถถถ ใครอยากฟังเเบบเบาๆ เเนะนำเปียโนโคฟเวอร์ของ Savannah Outen & Jake Coco เลย
    https://www.youtube.com/watch?v=0QXMy4n8vwk




     
    @SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×