คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : file07 :: lies [100%]
You could be a sweet dream or a beautiful nightmare
Either way I don't wanna wake up from you
(Turn the lights on)
JUNHOE’s SIDE
จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะทักทายจินฮวานยังไง?
เขาควรทำตัวยังไงดีนะ?
บางทีมันก็เป็นเรื่องตลกนะ เพราะตัวผมเริ่มที่จะชินกับการที่จะเฝ้ามองเขาไปแล้ว พอมาเจอซึ่งๆหน้าแบบี้ก็เลยเกิดไม่รู้จะทำอะไรขึ้นมา
ปกติผมเป็นคนที่...มั่นใจในตัวเองนะ มันช่วยไม่ได้ ความมั่นใจเป็นเรื่องสำคัญเสมอสำหรับนักธุรกิจแบบผม
แต่กับคิมจินฮวาน เขาจะมองผมยังไง เป็นคนแบบไหน ผมไม่รู้เลย
ผมเหมือนคนโง่เลยเน๊อะ? ใบปริญญา4ใบที่ใส่กรอบแขวนไว้นั่นไม่ได้ช่วยให้ผมฉลาดขึ้นเลยจริงๆ
คงเป็นเพราะผมจมอยู่ในภวังค์ของตัวเองมากเกินไปล่ะมั้ง ถึงได้ไม่สังเกตเลยว่าเขาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่
เสียงขยับตัวเบาๆของเขานั่นเองที่เรียกสติผมกลับมาได้ ผมมองร่างเล็กที่กำลังลุกขึ้นมาอีกครั้งอย่างงัวเงีย
“...สวัสดี คิมจินฮวาน”
“สวัสดีครับ”
“...”
“มีคนบอกผมหมดแล้วล่ะ เรื่องที่ผมจะต้องมาเป็นของเล่นของคุณ”
ของเล่น..?
“ถ้าคังซึงยุนว่าอย่างนั้น ก็คงชะมั้ง” ผมตัดสินใจลุกขึ้นก่อนจะเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานและทำเป็นหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาอ่านและวางมาดขรึมๆเหมือนที่ควรจะเป็น
แต่สุดท้ายก็อดที่จะเหลือบมองร่างเล็กๆที่ยังนั่งห้อยขาอยู่บนเตียงและมองมาอย่างไม่เข้าใจ
ก็พอจะเข้าใจอยู่นะ... แต่ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร หรืออธิบายอะไรเหมือนกันนี่
พระเจ้า นี่มันไม่น่าเชื่อ คนอย่างผมเนี้ยนะกำลังกลัวที่จะคุยกับแค่คนตัวเล็กๆคนนั้น
“...”
“ถ้าอยากได้อะไร...ก็บอกแล้วกัน จะให้คนหามาให้”
หลังจากนั่นก็ดูจะเหมือนมีแต่ความเงียบเท่านั้นที่เข้ามาปกคลุมห้องทำงานของผม
และจากที่ผมพยายามโฟกัสกับเอกสารบัญชีของเดือนที่แล้วอยู่เกือบ5นาที ผมก็พอรู้ว่าตัวเองคงอ่านไม่จบ3บรรทัดในวันนี้แน่...
เขากำลังจ้องมองมาที่ผม จะอ่านหนังสือได้ยังไงล่ะ
จินฮวานลุกขึ้นมาจากพื้นก่อนจะเดินไปนั่งอยู่บนเตียงเล็กๆที่ถูกจัดวางไว้ในกรงโดยไม่ละสายตาจากผม
สายตาที่เหมือนกับลูกกวางตัวเล็กๆที่หลงอยู่กลางป่า
“ปล่อยผมออกไปจากกรงนี้ได้ไม๊? ผมไม่หนีไปไหนหรอก” จินฮวานเอ่ยปากถามผม
“...
“คงไม่ได้สินะ...”
“นายจะออกมาก็ได้”ผมสวนออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ครับ?”
ผมเป็นอะไรของผมนะ ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย
“... อยากออกมาใช่ไม๊ล่ะ? ถ้าฉันเป็นนายฉันก็คงอยากออกมาเหมือนกัน”ผมถามเขาก่อนจะหยิบเอากุณแจกรงที่วางอยู่บนโต๊ะเช่นกันขึ้นมาและไขให้เขาออกมา
ผมคิดว่ามันไม่น่าเกินความคาดหมายของคุณประธานโรงพยาบาลนั่นหรอก ในกรงนั่นไม่มีห้องน้ำด้วยซ้ำ ดังนั้นยังไงผมก็ต้องให้เขาออกมาอยู่ดี
“ขอบคุณครับ... คุณ?”
“กู จุนฮเว”ผมบอกชื่อขอตัวเองไปก่อนจะหลีกทางให้เขาเดินออกมาจากกรงนั่น
“จุนฮเว”
“นายจะเดินไปนมาไหนก็ได้ในบ้านนี้ แต่ห้ามออกจากบ้านเด็ดขาด ไม่บอกก็คงรู้ว่าแถวนี้มาตราการป้องกันความปลอดภัยมันสูงยิ่งกว่าอะไร ถ้านายออกไปจากบ้านหลังนี้ได้โดนเป่ากระจุยแน่”ผมเตือนเขาและเดินกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง โดยมีจินฮวานเดินตามมานั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับผม ก่อนจะทรุดนั่งลงด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆ
“คุณ...ไม่กลัวผมฆ่าคุณหรอ?”
“นายไม่ทำอย่างนั้นหรอก”
“...คุณดูไม่เหมือนคนพวกนั้นนะ พวกที่จับคนแบบผมมาทดลองน่ะ” เขาถามพลามองผมอย่างสงสัย
“พ่อฉันเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของที่นี่ อืม..เขาพึ่งเข้าโรงพยาบาลไปเมื่อไม่นานมานี้ เขาขอฉันไว้ให้เข้ามาทำงานที่นี่”ผมตอบไปตรงๆ
“...ดูเป็นเรื่องเศร้านะครับ”
“ก็ไม่เท่านายกับเหยื่อคนอื่นๆในโรงพยาบาลนี้หรอกมั้ง”
“....”
“อย่างน้อยฉันก็ยังพอมีเหตุผลนอกจากนั้นที่ทำให้อยากทำงานที่นี่อยู่แหละนะ”
“....อะไรหรอกครับ?” จินฮวานถามผมอีกครั้ง..
“อย่างน้อยที่นี่ยังมีการวิจัยตัวยาเพื่อการแพทย์จริงๆอยู่บ้าง จริงๆก็มากอยู่ ซัก40กว่าโปรเจ็คได้มั้ง และหนึ่งในก็เคยช่วยชีวิตแม่ของฉันไว้ด้วย”
“...อ่า.. เรื่องจริงหรอครับ”เขาพูดอย่างอึ้งๆ
“ถึงแม้เหตุผลสองข้อแรกอันอาจจะน่าขยะแขยงไปหน่อยก็นะ... ช่างมันเถอะ ว่าแต่นายไม่กลัวฉันบ้างหรอ? หึ?”
“...คุณใจดี”
?
“จุนฮเวไม่เหมือนพยาบาลกับหมอพวกนั้น อย่างน้อยคุณก็คุยกับผม ผมอยู่ที่นี่มาเกือบ4เดือน แทบไม่มีใครคุยกับผมเลย จนบางทีผมคิดว่าผมลืมวิธีพูดไปแล้วซะอีก” เขาพูดกับผมก่อนจะวางแขนลงบนโต๊ะของผมและนอนทับแขนตัวเอง
“...ดูมั่นใจจริงนะ”
“อย่างน้อยก่อนตายผมก็ได้รู้ว่าตัวเองยังพูดเป็นนะ... ”
“หึ...อยากอ่านหนังสืออะไรก็ไปหยิบได้นะ อยู่ห้องตรงข้ามน่ะ”
“...”
“อยากได้อะไรเป็นพิเศษไม๊?”
“ไม่หรอก... ปกติผมก็ไม่ค่อยได้ทำอะไร จนชินกับการอยู่นิ่งๆไปแล้ว”
ผมหยิบเอาแฟ้มเอกสารที่ต้องเซ็นมาวางไว้ตรงหน้าก่อนจะเซ็นมันเร็วๆ และเหลือบมองจินฮวานเป็นระยะๆ
เขาดูดีมาก
ผิวขาวราวกับไม่เคยโดนแสงแดดมาก่อน ดูบอบบางแต่เข้มแข็งอย่างประหลาด
ถึงอย่างนั้นก็น่าปกป้องในเวลาเดียวกัน..
มันใช้เวลาอีกราวชั่วโมงต่อมา ก่อนที่เขาจะเริ่มขยับและเดินไปหยิบหนังสือที่ห้องหนังสือมาและกลับมาพร้อมกับหนังสือเกือบสิบเล่ม
ภาพของเขากำลังอ่านหนังสือพวกนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจทำให้ผมละสายตาจากเขาได้เลย
สงสัย ผมจะตกหลุมรักคนคนนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้นซะแล้วสิ
ให้ตายเถอะ
บ้าชะมัดเลย
เหมือนว่าวันนี้จะถูกใช้ไปอย่างไร้ประโยชน์
ผมได้แต่นั่งจ้องเอกสารไปมา โดยไม่มีความคิดใดๆหลุดออกมาจากสมองที่เต็มไปด้วยภาพของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับผม
มารู้ตัวอีกที แสงจากหน้าต่างก็จางหายไป พร้อมๆกับที่จินฮวานลุกจากเก้าอี้เดินกลับเข้าไปในกรงที่มุมห้องเหมือนเดิม
“นายแน่ใจนะว่าจะนอนในนั้นจริงๆ?”
“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ...ผมนอนในนี้น่ะดีแล้ว J” ร่างเล็กๆนั่นตอบผมพร้อมกันเดินเข้าไปในกรงและจัดการขังตัวเองเรียบร้อย
“...”
“คุณจะทำงานก็ทำไปเถอะเดี๋ยวผมนอน เพลินๆเดี๋ยวก็หลับเอง”
“อือ..”ผมตอบรับเบาๆก่อนที่จะตัดสินใจหยิบเอาแฟ้มงานที่ยังทำไม่เสร็จหอบไปนั่งทำที่ห้องหนังสือแทน โดยก่อนที่จะเดินออกจากห้องก็ไม่ลืมที่จะปิดไฟให้กับจินฮวาน
จะให้ผมนั่งทำงานต่อตามที่เขาบอกก็กลัวเขาจะนอนไม่หลับเอาน่ะสิ
ผมเดินเข้ามาในห้องอ่านหนังสือ นั่งลงบนเก้าอี้หนังตัวโปรดที่ย้ายมาจากบ้านหลังเดิมของผม หลับตาลงซักพัก ก่อนจะเริ่มทำงานอย่างจริงๆจังๆซักที
ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่จนกระทั่งเมื่อมองไปยังนาฬิกา ก็พบว่าผมนั่งทำงานที่นี่มาเกือบ5 ชั่วโมง และตอนนี้เข็มของนาฬิกาก็กำลังจะแตะเลขสี่แล้วด้วย
ผมตัดสินใจปิดแฟ้มงานตรงหน้า เก็บเอกสารทั้งหมดให้เข้าที่ ความง่วงเริ่มเข้าครอบคลุมสติผมเต็มทีจนตาแทบจะลืมไม่ขึ้น ถ้าตามปกติแล้วผมคงไม่ลังเลที่จะเดินเข้าห้องนอน อาบน้ำอุ่นๆแล้วเข้านอน
แต่วันนี้มันต่างออกไป
ผมมีอีกหนึ่งอย่างที่จะต้องทำ...
ผมแอบเปิดเข้าไปในห้องทำงานเงียบๆโดยพยายามให้มีเสียงน้อยที่สุด ผมเดินจนไปหยุดอยู่หน้ากรงนกสีทองนั่นก่อนจะนั่งลงบนพื้นและนั่งพิงผนังพลางมองไปยังจินฮวาน
ผมคิดว่าผมกำลังเสพติด... เสพติดความสาวยงามของคิมจินฮวาน
ถึงผมรู้ว่าจริงๆแล้วเขาไม่ได้เป็นของผมเลยซักนิด
เขาเหมือนกับนก... ในขณะที่นกตัวนั้นกำลังโดนทรมาณ ผมเก็บเขามา และเลี้ยงไว้ในกรงทองแบบนี้
แต่ใครแคร์ล่ะ ขอแค่มีเขาอยู่ข้างๆแบบนี้ ขอแค่ผมได้มองเขา
เขาไม่ต้องทรมาณ เท่านี้ก็น่าจะพอแล้วหนิ..
HANBIN’s SIDE
ผมมองไปยังคนคนนึงที่นั่งลงตรงข้ามผมก่อนจะต้องหลบสายตาลง
เขาทำให้ผมรู้สึกถึงรังสีแห่งความแปลกประหลาดที่แผ่ออกมารอบๆตัวเขา
ผมเลื่อนสายตาตัวเองลงไปที่ชื่อที่ถูกปักบนเสื้อนอก
จอง จินฮยอง
เขาคนนี้คือหมอที่บ๊อบบี้บอกว่าจะมาให้คำปรึกษาเรื่องอาการของผม หมอจิตแพทย์ที่อยู่โรงพยาบาลเดียวกับบ๊อบบี้
ผมได้แต่ยิ้มขื่นๆส่งไปให้เขาที่ก็ยิ้มมาให้ผมเหมือนจะทักทาย
รอยยิ้มของเขาสดใสเหมือนพระอาทิตย์หน้าร้อน แต่ใสขณะเดียวกันผมกลับรู้สึกว่ามันว่างเปล่า
“สวัสดีครับ เห็นหมอบ๊อบบอกว่าพี่มีปัญหานิดหน่อยจะให้ผมช่วย” เขาเริ่มพูดก่อนจะหยิบเอาแฟ้มสีเหลืองที่วางบนโต๊ะขึ้นมาอ่าน
“...อ่า คงจะเป็นอย่างนั้น”
“มีอะไรจะเล่าให้ผมฟังไม๊ครับ?”
ผมส่ายหน้าไปเป็นคำตอบ
ผมไม่รู้จะเล่าอะไรจริงๆนี่น่า...
“ไม่มีอะไรจะเล่าจริงๆหรอ” เขาถามย้ำอีกรอบก่อนจะควงปากกาในมือไปมา
ผมเม้มปากอย่างชั่งใจก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบไปอีกรอบ
คนตรงหน้าผมแสดงสีหน้าลำบากใจออกมา ก่อนที่มือของเขาจะหยุดลง พร้อมกับปากกาที่ร่วงลงไปกับพื้น
ไวเท่าความคิด มือของผมก้มลงไปเก็บปากกาด้ามนั้นขึ้นมาจากพรมสีเทา... คงเป็นเพราะมันเป็นปากกาหมึกซึมทำให้หมึกของมันกระจายไปเป็นหย่อมๆ รวมถึงเลอะมาตามตัวด้ามสีดำด้วย
“ผมนี่ซุ่มซ่ามจริง ขอบคุณนะครับ” จินฮยองเอ่ยออกมา
“ไม่เป็นไร” ผมส่งปากกากลับไปให้เขา ก่อนจะยกมือมาเช็ดที่ชายเสื้อตัวเองสองสามครั้ง
“เอางี้... ผมจะเล่านิทานเรื่องนึงให้พี่ฟังดีไม๊ ยังไงเราก็ต้องอยู่ด้วยกันไปอีกเป็นชั่วโมง”
“นิทาน...? งั้นหรอ?”
“ใช่ครับ... มีนิทานเรื่องหนึ่งพูดถึง โรคร้าย โรคหนึ่งที่กำลังเดินทางเพื่อไปเมืองเมืองหนึ่ง ระหว่างที่เดินทางไอ้โรคร้ายโรคเนี้ย ก็ได้เจอกับ นักเดินทางพเนจร คนหนึ่งที่เผอิญเดินทางผ่านมาพอดี
นักพเนจรคนนี้ พอเจอกับโรคร้ายเข้าก็เลยถามว่า ‘เจ้ากำลังจะเดินทางไปไหน’ โรคร้ายเลยตอบกลับไปว่า เขากำลังจะไปที่เมืองใกล้ๆ เพื่อไปฆ่าคน 5000 คน และได้พูดอวยพรให้นักเดินทางโชคดี เดินทางปลอดภัยตลอดการเดินทาง
หลังจากนั้น อีกไม่กี่เดือนต่อมา โดยบังเอิญ พวกเขาก็ได้เดินทางมาพบกันอีก คราวนี้นักเดินทางได้ทักทายโรคร้ายอีกครั้ง และบ่นว่า โรคร้ายหลอกลวงเขา บอกว่าจะไปฆ่าคน 5000 คน กลับมีคนตายมากถึง 100000 คน
โรคร้ายก็ได้ตอบกลับไปว่า มันไม่ได้หลอกลวงนักเดินทางเลย มันรักษาคำพูดของมันตลอดเวลา มันฆ่าคน 5000 คนเท่านั้น .... พี่รู้ไม๊ว่าอีก 95000 น่ะ ตายเพราะอะไร?“
คำถามของจินฮยองที่เอ่ยขึ้นมาถามเขาด้วยท่าทีสบายๆทำให้ผมที่ได้แต่เงียบฟังเขามาซักพักขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“...ฉันไม่รู้”
“อีก 95000 คน เขาได้ตายไปเพราะ ความกลัว และความคาดหวังว่าเขาจะเป็นโรคนั้น”
“ความกลัวและคาดหวังงั้นหรอ?”
“ใช่ ถ้าคนเรามัวแต่มานั่งกลัวว่าเราจะเป็นโรคนั้นแล้ว สุดท้ายเราก็จะกลายเป็นแบบนั้นจริงๆ ถ้าหน้าที่ของหมอเป็นการรักษาโรคร้ายแล้วล่ะก็ ส่วนหน้าที่ของผมก็ทำยังไงก็ได้ให้พี่เลิกมีความคิดแบบนั้น”
“...”
“โอเค...ทีนี้พี่จะเริ่มเล่าเรื่องของพี่ให้ผมฟังได้ไม๊ครับ? หึ?”
“...”
“...”
“ฉัน...กลัว..ฉันมีความหลังที่ไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่นัก...และมันทำให้อะไรหลายๆอย่างในชีวิตของฉันยากขึ้น... หมายถึง มันยากที่จะคิดว่าตัวเองได้ใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไปน่ะ”
“ผมจะไม่ถามซอกแซกเรื่องรายละเอียดแล้วกันนะ ผมว่าพี่คงไม่อยากพูดถึงมันเท่าไหร่ เอางี้ดีกว่า ตอนนี้พี่รู้สึกยังไงบ้าง?”
“ตอนนี้งั้นหรอ... ก็ปกติดี”
“แล้วตอนที่พี่พยายามทำร้ายตัวเองล่ะ พี่รู้สึกยังไง?”
“ตอนนั้นงั้นหรอ... ฉันรู้สึก...สงสัยในตัวเองล่ะมั้ง ฉันแค่คิดว่ามันแปลก... และเหมือนมีอะไรท้าทายอยู่ในตัวฉันเอง มันมึนๆเบลอๆเหมือนมีใครเอาค้อนทุบที่หัวแรงๆ มันเหมือนเวลาอยู่ในฝันน่ะ”
“...”
“ฉันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างในหัวตัวเองที่ทำให้เลือกที่จะกดมีดลงไป ตอนที่กดมีดลงไปตอนแรกฉันยังไม่เชื่อตัวเองด้วยซ้ำว่าจะทำอะไรแบบนี้ แวบนึงมันเหมือนได้ปล่อดปล่อยตัวเองออกมา แต่พอผ่านไปฉันก็กลัวเอามากๆ กลัวจนไม่กล้าจะหายใจด้วยซ้ำ”
“พี่เสียใจไม๊ที่ทำแบบนั้นลงไป” จินฮยองถามขึ้นขณะที่เขาก้มลงไปจดอะไรบางอย่างลงในแฟ้ม
“.....เสียใจสิ แต่มันไม่ใช่เพราะตัวฉันหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นเป็นเพราะ..?”
ผมเหลือบมองผ้าพันแผลสีขาวที่พาดตามแนวแขนอยู่
“ตอนที่ฉันลืมตาขึ้นมา พอจะนึกออกใช่ไม๊ เวลาที่บ๊อบบี้มองมาน่ะ”
“เขาคงเป็นห่วง ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่กดดันหรอก”
“...”
“แล้วพี่มีเพื่อนคนอื่นอีกไม๊? ผมหมายถึงนอกจากบ๊อบบี้”
“เพื่อนงั้นหรอ...?”
แวบนึงที่คิดถึงคำว่าเพื่อน จู่ๆภาพของชานอูก็โผล่ขึ้นมาในหัว
....อย่างเด็กนั่นเรียกว่าเพื่อนไม๊นะ?
“ใช่ครับ หรือเอาแค่คนที่พี่คุยได้ด้วยก็พอ”
“ตั้งแต่ฉันย้ายเมืองมา ฉันก็ไม่มีเพื่อนเลย”
ในชั่ววินาทีนึง ผมเห็นสายตาของเขาที่เหลือบไปมองผนังสีขาวโล่งทางขวามือ
แววตาที่เคยเป็นมิตรของเขาเปลี่ยนไปชั่วครู่ มันกลายเป็นแววตาที่ดูเจ้าเล่ห์...เหมือนเขากำลังเล่นเกมส์อะไรบางอย่างอยู่
ก่อนที่จะกลับมาเป็นอย่างเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของพี่กับเพื่อนเก่าๆของพี่ให้ผมฟังหน่อยสิ? แล้วตอนนี้พวกพี่ยังติดต่อกันอยู่ไม๊?”
“....”
ความสัมพันธ์งั้นหรอ...?
“จริงๆฉันก็ไม่ได้สนิทอะไรกับเขามาก... แต่ว่าถ้าถามว่าใครที่พอจะคุยกันได้ก็คงเป็นคนคนนั้นแหละ ที่ๆฉันมา ปกติไม่ค่อยจะมีใครพยายามคุยกันเท่าไหร่”
“เขาชื่ออะไร?”
“ชานอู.... จอง ชานอู”
“ฟังดูดี เขาเป็นคนยังไงหรอครับ?”
“พูดมาก... แล้วก็ไม่กลัวอะไรเลยเหมือนคนบ้า อืม...ขี้เล่นจนบางครั้งก็มากเกินไปล่ะมั้ง เขาเด็กกว่าฉันราวๆสองสามปีได้”
“ครั้งสุดท้ายที่พี่เจอเขาคือเมื่อไหร่หรอครับ คุยเรื่องอะไรกันหรอ?”
คำถามของจินฮยองทำให้ผมชะงักไปชั่วครู่
มันเป็นคำถามที่ฟังดูประหลาด แต่เขาก็เลือกที่จะตอบออกไป
“น่าจะ...ซักสองเดือนได้ พวกเราคุยเรื่อง...อืม...ใช้คำว่าแฟนอาจจะเกินไปหน่อย พวกเราคุยกันเรื่องความสัมพันธ์จของเขากับคนคนนึง”
“น่าแปลกนะ..”
“หึ?” ผมร้องถามอย่างไม่เข้าใจ
“พี่แสดงออกเหมือนว่าเขาไม่สำคัญ แต่ในนี้ระบุว่าพี่มีอาการอัลไซเมอร์อย่างรุนแรง ทำไมพี่ถึงจำเขาได้แม่นขนาดนั้น”
คำถามของเขาทำให้ผมเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจ
ทำไมผมไม่เคยสังเกตนะ
ผมไม่ได้ลืมอะไรเหมือนเเต่ก่อนอีกเเล้ว
ปัง!
เสียงปืนดังมาจากข้างนอกทำให้ผมสะดุ้งอย่างตกใจ
ทำไมจู่ๆถึงจะมีปีนมาโพล่ที่นี่ได้กัน?
เสียงของมันดังมาก ดังจนหูของผมอื้ออึงไปหมด
และตามด้วยเสียงประตูข้างหลังของผมทำถูกเปิดอย่างแรงทำให้ผมต้องหันไปมอง
"อย่าไว้ใจบ๊อบบี้" นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่จินฮยองพูด ก่อนที่เขาจะทิ้งตัวนั่งพิงพนักเก้าอี้ เหยียดยิ้มเหมือนกับว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่คาดไว้เเล้ว
ทุกอย่างดูจะบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ
ผมเห็นบ๊อบบี้กับเจ้าหน้าที่สองคนเดินเข้ามา
บ๊อบบี้มองมาทีผมเเค่เเป็บเดียว ผมเห็นเเววโทสะในดวงตาคู่นั้น แววตาที่ดูเหมือนพร้อมจะฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าทิ้ง
แววตาที่ผมไม่เคยเห็นจากคนๆนั้น ไม่สิ ไม่เคยแม้กระทั่งจะคิดว่าเขาจะมีด้านแบบนี้เลยต่างหาก
ความกลัวทำให้ผมขนลุกชันทั้งตัวว แขนขาเกร็งไปหมดจนเทบจะก้าวไม่ออก ได้แต่นั่งอ้าปากค้างช้อคกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
บ๊อบบี้เดินตรงมาใกล้เรื่อยๆ และตรงไปยกหมัดต่อยจินฮยองเต็มเเรงจนจินฮยองกระเด็นตกลงจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่
นั่นผมร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะถอยหลังไปจนสุดโซฟายาวที่นั่งอยู่
เจ้าหน้าที่สองที่ตามหลังบ๊อบบี้มาเดินตรงมาที่ผม พร้อมกับเข็มฉีดยาในมือ
สัญญาณเตือนภัยในหัวของผมร้องดังลั่น
นี่มันไม่ถูกต้อง...
ผมดิ้นสุดเเรง แต่เหมือนจะเเรงไม่พอ
แค่พริบตาเดียว พวกเขาจับขาของผมไว้ แรงบีบที่ถูกส่งมาเหมือนจะบีบอัดให้กระดูแหลกเป็นชิ้นๆ ก่อนที่พวกเขาจะลากจนผมตกลงมาจากโซฟา กระแทกเข้ากับพื้น ครูดไปตามทาง
ความแสบที่แล่นปราดเข้ามายิ่งทำให้ผมขวนขวายหาทางรอดพ้นจากสถานการณ์ที่ไม่สามารถเข้าใจได้นี้
พวกเขาคนนึง จับเเขนของผมไขว้ไปข้างหลัง กดหัวของผมหน้าชิดกับพื้นเย็นๆ
ผมพยายามร้องเรียกให้บ๊อบบี้ช่วย แต่แผ่นหลังกว้างนั้นไม่แม้แต่จะหันมาหลังจากนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงเข็มฉีดยาที่ถูกปักเข้ามาที่เเขนพร้อมกับความมรู้สึกเย็นวาบที่ทำให้ชาทั้งร่างกาย
ภาพสุดท้าที่ปรากฎตรงหน้าผมเห็นบ๊อบบี้ชักปืนสีดำสนิทขึ้นมาจ่อหมอจินฮยองที่ยังนั่งยิ้มอย่างท้าทายอยู่ที่เดิม
ก่อนที่ผมจะไม่รู้สึกตัวอะไรอีกเลย
ผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง.... พร้อมกับอาการปวดหัวแทบบ้า
"อื้อ...."
มันปวดจนได้ยินเสียงเส้นเลือดเต้นดับตุบๆในหัวตัวเอง
ผมหรี่ตาพยายามมองไปทั่วก่อนจะพบว่าข้างตัวเองมีบ๊อบบี้นั่งอยู่
มองเลยร่างสูงนั้นไปยังบรรยากาศรอบตัวที่คุ้นเคย
ผมอยู่ที่บ้าน.... ใช่ บ้านหลังเดิม... บ้านของบ๊อบบี้
"นายหลับไปวันนึงเต็มๆ" บ๊อบบี้พูดในตอนที่ผมยังเรียกสติกลับมาได้ไม่ดีนัก
แต่เเค่เพียงวินาทีต่อมาผมก็เเทบจะกระโจนไปอีกฝั่งของเตียง ภาพสิ่งที่ผมเจอก่อนจะหลับไปไหลเข้ามาในหัวเต็มไปหมด
"เป็นอะไรฮันบิน ฝันร้ายอีกเเล้วหรอ?"
...ฝัน ?
"ฮยองพาผมไปหาหมอ"
"ไม่ เราไม่ได้ไปไหนกันฮันบิน ฉันพานายกลับจากทำเเผลที่โรงพยาบาล เเล้วนายก็หลับไปวันนึงเต็มๆ"
"อะไรนะ...?"
หมายความว่ายังไงกัน?
ฝันอีกเเล้วงั้นหรอ?
"เฮ้? นายโอเคไม๊?"
ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของอีกคนที่กำลังแสดงออกว่าเป็นห่วงอย่างชัดเจน มือของเขาเลื่อนมาจับที่ข้อมือผมเบาๆ
ความฝัน มันชัดเจนขนาดนี้เลยรึยังไงกัน?
“ฮันบินอา? นายโอเคไม๊?”
ผมเหลือบไปมองมือของตัวองที่ถูกเกาะกุมอย่างแน่นหนา ก่อนที่จะเลือกที่จะค่อยๆบิดมือออกมาจากเขา
“....”
“หึ?”
“ผม...โอเค”
และสุดท้ายผมก็เลือกที่จะตอบออกไปแบบนั้น
ทั้งๆที่ในใจรู้ดีกว่า ความเชื่อใจที่มีมันกำลังค่อยๆหายไปซะแล้ว
และทั้งๆที่รู้ดีว่า ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป
มันจะเป็นฝันได้ยังไงกัน... ในเมื่อหมึกจากปากกาของจินฮยองยังติดอยู่ที่ปลายนิ้วของตัวผมเองอยู่เลย
TALK
มาเเบบทีเดียว100% ถถถ
ชดเชยที่หายไปซักพักละกันนะ .__________.
หนีเที่ยวเพลินไปนิดส์ 5555
เเล้วเจอกันตอนนหน้า :)
อย่าลืม เม้น & #ฟิคลวงดบบ
ความคิดเห็น