ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [IKON] "HOODWINK" DoubleB&Junjin

    ลำดับตอนที่ #4 : file03 :: first impression

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.พ. 58


     









     

    My guilty pleasure, I ain't going no where

    Baby long as you're here I'll be floating on air
     

    ความพอใจที่น่ารู้สึกผิดแบบนี้ ฉันไม่หนีไปไหนหรอก

    ตราบใดที่เธอยังอยู่ตรงนี้ ฉันก็เหมือนลอยอยู่กลางอากาศ










     

    ผมค่อยลืมตาอีกครั้งโดยมีภาพเพดานสีครีมปรากฎอยู่ตรงหน้า...

     

                ผมกำลังนอนอยู่บนเตียงสี่เสาในห้องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มาก..ในห้องสีขาวสะอาดตา จนทำให้ผมเกิดนึกถึงห้องในโรงพยาบาลนั่นขึ้นมา

     

     

     แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่องที่ผมเคยอยู่แน่ๆ..

    ที่นี่มันคนละโลกกับที่ผมเคยอยู่เลยด้วยซ้ำ

     

     

    ที่นี่ไม่มีกลิ่นของยาฆ่าเชื้อที่คุ้นเคย แต่กลับมีกลิ่นหอมๆของเครื่องหอมแทน

     

    ภายในห้องนี้ถูกตกแต่งด้วยโทนอบอุ่น...ตู้หนังสือ โต๊ะทำงาน  ชุดนั่งเล่น  เฟอร์นิเจอร์หรือแม้กระทั่งสิ่งของต่างๆก็ถูกจัดวางไว้อย่างสวยงามและเข้ากันเป็นอย่างดี

     

    มันเหมือนกับห้องที่ผมเคยวาดฝันมาตลอด ตอนที่ยังถูกขังอยู่ที่ลอว์ไลท์

     

     

     

    ถ้าไม่นับคนที่ชื่อจีวอนนอนฟุบอยู่ข้างเตียง...

    ผมจำเขาได้ดี แม้ชุดที่สวมอยู่ของเขาจะเปลี่ยนไป ...

     

     

    จากเสื้อกาวน์สีขาวเครอะดิน ตอนนี้จีวอนสวมแค่เสื้อเชิ้ตสีขาว...เส้นผมของเขาเปียกชื้นเล็กน้อย...และมันก็เปื้อนลงมาถึงผ้าปูที่นอนสีขาวจนชื้นเป็นวง

     

                ผมพยายามลุกช้าๆโดยไม่ให้คนข้างๆตื่นแต่สุดท้ายเมื่อเอาผ้าห่มออกจากตัวเอง เขาก็สะลึมสะลือและตื่นขึ้นมา

     

     

     

                “อือ...”

     

                “....” ผมเลือกที่จะเงียบตอบกลับไป

     

    “อ่าว..ตื่นแล้วหรอ? ขอโทษนะที่ตอนนั้นต้องทำแบบนั้น...”

     

                “...”

     

                “พูดอะไรบ้างสิ ฮันบินอา..”

     

     

                ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจกับคำพูดที่ไม่คุ้นหู

                จริงๆ...มันก็นานมาแล้วที่ไม่มีคนบอกให้ผมพูด..

     

    .ปกติพวกผู้คุมกับหมอไม่ชอบให้นักโทษพูดนักหรอก..หากนักโทษคนไหนพูดมาก นอกจากการทดลองแล้ว ไม่แน่อาจจะโดนซ้อมเพิ่มจากผู้คุมอีกด้วย

     

    พวกเราจึงพยายามไม่พูดให้มากความ หรือถ้าจะพูดก็ต้องคิดดีๆว่ามันจะไม่ไปทำให้ผู้คุมขัดใจขึ้นมา

     

     

    “ที่นี่ที่ไหน”

     

    “มันอธิบายยากน่ะ..เอาเป็นว่ามันปลอดภัยสำหรับนาย...สำหรับฉันด้วยในตอนนี้”

     

                “นาย..ช่วยฉันทำไม?”

     

                “เรื่องนั้น...เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังเอง”

    .

     

    .

     

    .

     

    .

    20นาทีต่อมา...

     

     

     

                ผมกับจีวอน เราเคยคบกัน...เมื่อ10ปีที่แล้ว ผมอายุ16 เขาอายุ17

     

                จากที่จีวอนเล่า ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจหรอกนะว่ามันจะเชื่อถือได้มากขนาดไหน

     

    ...แต่ถึงอย่างงั้นทุกคำพูดของเขาก็ยังคงติดอยู่ในหัวผมอยู่ดี

     

     

    เขาบอกว่าพวกเรา...เคยเป็นคนรักกัน...

    พวกรักกันมาก.. อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆและพึ่งจะมาคบกันตอนม.ปลาย

    และเขารู้ว่าผมมีความสามารถพิเศษที่ต่างจากคนอื่น

     

     

    ชีวิตผมดูเหมือนจะสวยงาม ถึงแจะหลงๆลืมๆไปบ้างแต่ไม่ได้ทำให้ลำบากอะไร...เพราะมีจีวอนที่คอยช่วยอยู่ข้างๆและเตือนความจำให้ตลอด

     

     

    ... จนวันนึง เมื่อราวสิบปีก่อน มีคนบุกเข้ามาทำร้ายผมที่บ้านจนบาดเจ็บสาหัส

     

     หมอที่โรงพยาบาลแจ้งว่าผมเสียชีวิตแล้ว และขอให้ครอบครัวบริจาคศพของผมเพื่อนำไปวิจัยที่ลอว์ไลท์ โรงพยาบาลที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์วิจัยโรคที่ดีที่สุดในเกาหลี

     

                ถึงครอบครัวและจีวอนจะยังทำใจไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธทางโรงพยาบาล เพราะท่าทีที่ดูคาดคั้นและลำบากใจของหมอเจ้าของไข้

     

                เรื่องจบลงที่ศพของเขาถูกโอนไปให้เป็นกรรมสิทธิ์ของลอว์ไลท์อย่างถูกกฏหมายหลังจากนั้น2วัน

     

     

     

                จีวอน...เขาก็ดร็อปเรียนไปหนึ่งปีเต็มๆ ก่อนจะกลับมาเรียน จบด้วยคะแนนอันดับหนึ่งของสายชั้น เข้ามหาลัยโซลและจบด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง

    แถมยังทำงานดีจนเพียงแค่ฝึกงานจบก็โดนทาบทามเข้ามาทำงานที่นี้...ที่ลอว์ไลท์

     

     

                ‘จีวอน นายเก่งทางด้านระบบประสาทมานะ  อยากทำงานที่น่าตื่นเต้นกว่าแค่รักษาคนไข้ไปวันๆบ้างไม๊?’

                ประโยคนี้เป็นประโยคที่ทำให้ร่างสูงตรงหน้าผมตัดสินใจเข้ามาดูงานที่นี้ ซึ่งในตอนแรกเขาคิดจะปฏิเสธ...แต่ดูเหมือนจะไม่ทันซะแล้ว

     

     

     

                ถ้าเขาปฏิเสธมันก็ไม่ต่างอะไรจากการที่เอาชีวิตตัวเองไปแขวนไว้บนเส้นด้ายเลย

     

     

     

                ลอว์ไลท์มีเส้นสายเต็มไปหดทั้งในวงการมืดหรือแม้กระทั่งฝ่ายนักการเมืองและตำรวจ การเอาตัวเองเข้าไปเป็นที่หมายหัวของลอว์ไลท์นั่นหมายถึงการฆ่าตัวตายดีๆชัดๆ

     

     

                นั่นทำให้เขารู้ว่า... หมอที่โรงพยาบาลลอว์ไลท์นั้น...ไม่ใช่แค่มีแต่คนประเภทเดียว แต่พวกที่มาอยู่ฝ่ายวิจัยนักโทษต่างหากที่เขาเห็นจนชินตา

     

                จีวอนเข้ามาทำงานในแผนกระบบประสาทอยู่ 2 ปี ก่อนจะเข้ามาอยู่แผนกพัฒนาวัคซีนและขึ้นเป็นหัวหน้า

     

    ด้วยความบังเอิญเขาได้พบกับแฟ้มรายงานผลของโปรเจ็คที่มีผมเป็นกรณีศึกษาอยู่

     

     

     

     

    เขาจึงได้รู้ความจริงว่า...ผมยังไม่ตาย....

     

     

                จีวอนใช้ความพยายามถึงครึ่งปีกว่าได้รับเลื่อนขั้นเข้ามาทำงานในส่วนในของแผนกนักโทษ

     

     เขาวางแผนจะช่วยผมหนีออกมาโดยการสั่งย้ายผมมาให้ใกล้ทางออกที่สุด ตัดไฟจนสัญญาณเตือนภัยดัง ตามหาผมจนพบ ยิงยาสลบใส่ทุกคน

     

    ก่อนจะฉวยโอกาศพาผมหนีออกมาก่อนจะพาผมมาอยู่ในบ้านหลังเล็กๆในชายป่า ใกล้เขตแดนเกาหลีเหนือแบบนี้...เพราะกลัวว่าทางนั้นจะสืบได้ว่าผมอยู่ที่ไหน...

     

    ถ้าพวกนั้นมา จีวอนก็จะรีบพาผมข้ามชานแดนไป เขามีเส้นสายอยู่ทางเกาหลีเหนือพอสมควร แต่ที่ไม่อยากย้ายไปที่นั่นเลยเพราะกลัวผมจะลำบาก

     

    ที่นั่นอะไรอะไรก็เคร่งครัดไปหมด ถึงจะมีเส้นสาย แต่สุดท้ายผมก็อาจจะโดนจับไปอีกรอบ... ที่เกาหลีเหนือก็มีโปรเจ็คเกี่ยวกับนุษย์พิเศษอยู่เหมือนกัน

     

    มันน่าตลก...แต่ก็นะ...ชีวิตของผมมันเคยมีอะไรปกติกับเขาบ้าง?

     

                และอีกอย่างที่ผมได้รับรู้คือ...ทั้งพ่อและแม่ของผมเสียชีวิตแล้ว...

    ทั้งสองคนตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์หลังจากผมถูกส่งเข้าไปในลอว์ไลท์ได้ราว4เดือน

     

     

     

                จีวอนบอกว่านั่นคืออำนาจของลอว์ไลท์....

     

                มันเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแต่ที่ต้องมาเป็นคนไม่มีพ่อแม่แบบกระทันหันแบบนี้

     

    จริงๆผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีความเป็นมายังไง และผมเป็นใคร

    ...มันเลยไม่รู้สึกเสียใจตอนที่รู้ข่าวนั้น

     

                ทุกๆอย่างดูจะกำกวมและไม่ชัดเจน..เหมือนผมกำลังฟังเรื่องราวของใครอีกคนที่ไม่ใช่ตัวเองยังไงอย่างงั้น...

     

     

    เรื่องพวกนี้สำหรับผมมันก็เหมือนกับฝัน...ล่ะมั้ง...

     

    แต่ทำสำคัญมากกว่าคือ...ผมมควรจะทำยังไงต่อไป...?

    ทุกความคิดดูจะฟุ้งกระจายเหมือนกับฝุ่นในอากาศ...คละคลุ้งจนยากที่จะจับอะไรซักอย่างมาเป็นหลัก

     

     

    ถ้าจะให้ผมไปบอกตำรวจว่า ผมหนีออกมาจากโรงพยาบาลที่วิจัยคนที่มีพลังแปลกๆครับ นั่นมันคง...ไม่เข้าท่าเท่าไหร่ คงจะโดนหัวเราะกลับมาและส่งเข้าโรงพยาบาลบ้า หรือไม่ดีไม่ดีอาจจะโดนส่งกลับโรงพยาบาลลอว์ไลท์ซะเปล่าๆ

     

     

              ผมควรคิดในทางที่ดี...

     

     

    อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่ใช่ลอวไลท์

    ที่ที่เป็นฝันร้อยของผมมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา





     

     40% 










     

     


     

                “กินนี่หน่อยนะ”จีวอนว่าก่อนจะตักเอาข้าวต้มมาจ่อที่ปากของผม

     
     

                จริงๆมันค่อนข้างน่าอึดอัดนิดหน่อยเวลาที่จีวอน...ทำอะไรให้เขาเหมือนกับว่าเขาเป็นเจ้าหญิง.. ทุกวันนี้ผมแทบไม่ต้องขยับตัวไปไหนเลยด้วยซ้ำ

               

                ผมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ช้อนก่อนจะรับเข้าต้มเข้าปาก

                รสชาติของมันแผ่ไปทั่วลิ้น...

    อาหารอร่อยๆที่ผมไม่ได้สัมผัสมานานมาก...นานจนลืมไปแล้ว

     
     

                ผมค่อยๆทานข้าวต้มช้าๆโดยมีจีวอนคอยป้อนอยู่ตลอด  ถึงแม้ผมจะทานได้ไม่เยอะนักเพราะร่างกายยังปรับตัวกับปริมาณอาหารไม่ได้



                ปกติผมก็แค่ยัดๆลงไปให้มันหายหิวแค่นั้นแหละ อาหารที่ได้จากผู้คุมก็ใช่ว่าจากมายซะที่ไหน

                หนำซ้ำบางทีมันยังน่าขยะแขยงจนแทบกลืนไม่ลงเลยด้วยซ้ำไป

               


                มีแต่ความเงียบที่ครอบคลุมระหว่างผมกับอีกคน


                ผมเหลือบตาไปมองคิมจีวอนบ้างเป็นครั้งคราว ก่อนที่จะเป็นฝ่ายหลบตาทุกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองอยู่

                อากาศรอบตัวดูจะร้อนขึ้นทันตาเห็น

     
     

                “นายอาจจะต้องพักผ่อนซัก3-4อาทิตย์นะ...ดูเหมือนว่าร่างกายของนายจะดู...บอบช้ำไปมากในช่วงหลายๆที่ผ่านมา.. ฉันเองก็ไม่มีเครื่องมืออะไรจะช่วยนายปากกว่านี้...” จีวอนพูดในขนะที่ก้มลงจัดยาที่โต๊ะไม้หัวเตียง


                หลายวันที่ผ่านมา...มันทำให้ผมพบว่าตัวเองชอบมองจีวอนทำนู่นทำนี่


                ....ไม่รู้เพราะตอนอยู่ที่ลอว์ไลท์ผมว่างเกินไป เลยติดเป็นนิสัยที่ชอบจะมองดูอะไรไปเรื่อยรึเปล่า


                แต่ลึกๆ ผมรู้สึกได้ว่ามันต่างกันเล็กน้อย..



                ความรู้สึกตอนที่มองผู้คุมมันต่างออกไปจากตอนที่มองจีวอน...

                ท่าทางของจีวอนมันให้ความรู้สึกประหลาด.. เหมือนกำลังดูดผมเข้าไปในวังวนอะไรซักอย่าง..


                ตอนที่เขาจะหยิบจับอะไร เขาจะเลิกเสื้อเชิ้ตขึ้นมาให้พ้นข้อมือเล็กน้อย ให้เห็นเสี้ยวหนึ่งของรอยสักรูปปีก..ที่ท้องข้อมือ

                ผมเคยถามเขา


                จีวอนตอบว่า มันเป็นปีกของซาตาน เขาสักเพราะมันเท่ดี

                และผมก็มองว่ามันเท่จริงๆนั่นแหละ...

     


     

                “...ขอบคุณนะ”

                “หืม?”

                “...ในทุกๆเรื่อง”

                “อ่า...ไม่ต้องขอบคุณหรอก มันโอเค  ถ้าได้ทำเพื่อนาย”

     

               

     

    Junhoe’s side

     

    คืนนี้เป็นคืนที่  12 แล้วที่ผมมาที่นี่ โดยไม่รู้เหตุผลที่แน่นอน

     

                ผมเดินออกจากลิฟท์อย่างๆทุกครั้ง ผมมาที่นี่บ่อยมมากจนทำทุกอย่างเป็นอัตโนมัติไปแล้ว

     เผลอๆผมอาจจะมาที่นี่บ่อยกว่าเข้าห้องทำงานประจำตำแหน่งตัวเองซะอีก...

     

    ห้องทำงานมันน่าเบื่อ แต่ที่นี่ไม่....

     

    ผมเดินเข้าไปยังห้องของจินฮวาน อย่างระวังไม่ให้เผลงส่งเสียงดังไปปลุกคนตัวเล็กนั่นเข้า ก่อนจะต้องแปลกใจเมื่อพบว่ายังมีคนอยู่ในห้องพักของเด็กคนนั้นที่ถูกกั้นไว้อีกที...

     

    นับตั้งแต่คืนแรก นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเจอใครนอกว่าจินฮวานในห้องนี้

     

     

              ภาพตรงหน้าทำให้ผมต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัย



    ภาพของผู้ชายในชุดผู้คุมคนนึงกำลังฉีดยาบางชนิดให้จินฮวานที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงและลืมตาอยู่ด้วย...คิมจินฮวาน ตื่นอยู่และดูจะมีสติครบถ้วนทุกประการ

     
     

    มือเล็กๆของจินฮวานกำชายเสื้อของอีกคนไว้แน่นจนมันยับยู่ยี่ไปหมด

                เขาเป็นใครกัน? ใครกันที่มาทำอะไรดึกๆดื่นๆแบบนี้?

     

     

                ผมเดินไปคว้าเอาตารางการทดลองของจินฮวานขึ้นมาอ่าน...

                ตารางของวันนี้...คืนนี้...ก็ว่างนี่หน่า

                ...แล้วทำไม???

     

     

                ที่น่าแปลกใจว่าคือ...ดูเหมือนจินฮวานจะรู้จักคนคนนี้สินะ...เขาถึงได้ไม่ทำร้าย ไม่อย่างนั้นป่านนี้ผู้คุมคนนี้คงไม่รอดหรอก





                คงโดนสะกดจิตให้พาหนีออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว

     

     

                ผมรีบหลบเข้าไปหลังตู้เก็บของขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่เมื่อเห็นว่าชายคนนั้นกำลังจะเดินออกมาจากห้องพักก่อนจะเหลือบไปมองป้ายชื่อของเขาคนนั้น

     

     

                ซง ยุนฮยอง

     

     

                จากการแต่งตัวแล้ว เขาน่าจะเป็นแค่ผู้คุมธรรมดานี่น่า อย่างมากก็เป็นระดับเบอร์สูงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ  เขาไม่น่าจะได้เข้าโซนพิเศษขนาดนี้

     

     

                โปรเจ็คพวกนี้ มีแต่ฝ่ายบริหาร หมอบางส่วน และ พยาบาลหรือผุ้คุมขั้นสูงเท่านั้นที่รู้เรื่องรายละเอียดเชิงลึก

                น้อยคนนักที่จะได้รับอนุญาตให้รู้เรื่องในโซนพิเศษ...

     

     

                ผมพยายามมองให้ชัดเจนขึ้นก่อนจะเห็นว่าเขากำลังใช้บัตรVIPในการผ่านเข้า-ออกโซนนี้

                ประหลาด..กรรมการชั้นสูงของโรงพยาบาลยังไม่ได้ครอบครองบัตรใบนั้น แล้วทำไมเขาถึงได้มีกัน? ต่อให้มีฝีมือเป็นเทวดามาจากไหนก็คงไม่ได้บัตรใบนั้นแน่นอน

     

     

                หัวใจที่สูบฉีดเลือดเร็วขึ้น ส่งเสียงไปทั่วร่างกายของผม

                เหมือนกับจะบอกว่า... ผม...กำลังจะได้เจออะไรบางอย่างที่น่าตื่นเต้นขึ้นมาซะแล้ว...  

     

     
     

     

              น่าสนใจ...จริงๆ สงสัยต้องตรวจสอบซักหน่อย

     






    75%

     

    ผมยินแช่อยู่ตรงนั้นพักใหญ่ และเมื่อค่อนข้างมั่นใจว่าคนคนนั้นเดินออกไปจากโซนเป็นที่เรียบร้อย ผมก็เดินออกมาและนั่งลงที่เดิมที่ผมนั่งอยู่เป็นประจำทุกวัน

     

     

                หน้ากระจกบานใหญบานเดิม

                พร้อมกับภาพเดิมๆของจินฮวานที่ล้มตัวลงนอนอยู่บนเตียง

     

     

                เรื่องซงยุนฮยองอะไรนั่น...ช่างมันก่อนแล้วกันนะ    

     

     

    ผมคิดว่าผมอาจจะกำลังเป็นบ้า..หรือโรคจิต แต่ ใช่ นั่นแหละเป็นนิยามเดียวที่ผมพอจะนิยามตัวเองลงไปได้ ผมไม่กำลังเป็นบ้าก็ต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ

    ที่มานั่งเป็นบ้าอยู่อย่างนี้ทุกวันอยู่หน้ากระจกบานนี้ ทั้งๆที่ไม่เคยคุยกับคนในนั้นด้วยซ้ำ...

     

     

     

    เขาไม่แม้จะกระทั่งรู้ว่าผมมีตัวตนด้วยซ้ำล่ะมั้ง...

     

     

     

    เป็นเรื่องแปลกจริงๆที่คนอย่างกูจุนฮเวต้องมาทำอะไรแบบนี้..

     

     

     

                ‘คุณคือใคร?’ จู่ๆเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของผม

                “หืม?”

                ‘ผม...จินฮวาน คนที่พักอยู่ในห้องที่3’

     

     

                ชิท....ผมลืมไปได้ยังไงว่าเมื่อกี้จินฮวานยังตื่นอยู่เลยและเขาไม่น่าจะหลับเร็วขนาดนั้น ดังนั้น แน่นอนว่าเขาต้องรับรู้ตัวตนผมอยู่แล้ว

     

     

                ภาพตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกประหม่าขึ้นมาดื้อๆ จินฮวานกำลังลุกขึ้นจากเตียงขึ้นมานั่งและมองมายังผมด้วยายตาที่ผมตีความหมายไม่ออก

     

     

                “อ่า...นายมีพลังโทรจิตหนินะ...ว่าแต่นายรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่”

     

     

                ‘คุณไม่รู้หรอ?...ผมน่ะสามารถรู้ความเคลื่อนไหวในระยะ500เมตรรอบตัวน่ะ สรุปคุณเป็นใครกันแน่ คุณเข้ามาในโซนนี่ทุกวัน โดยเฉพาะตอนดึกๆ มายืนอยู่นิ่งๆเป็นชั่วโมงๆแล้วก็ไป’

     

     

                ....สรุปคือนี่รู้หมดเลยสินะ...ให้ตายเถอะ

     

     

                นีผมมกำลังรับมือกับคนประเภทไหนกัน?

     

                “อือ...ก็ประมาณนั้น”

     

                ‘คุณเป็นใคร? มาทำอะไร?’ จินฮวานถามกลับมา                                  

     

                “เอ่อ ผม.. จะว่าไงดีล่ะ...ตอนนี้ทางโรงพยาบาลมีมาตรการใหม่...ให้ผู้คุมเข้ามาเฝ้าข้างในโซนน่ะ”

     

     

     

     

                โอเค... โง่มาก นี่ผมจบมหาลัยมาได้ไงวะเนี้ย แถไปได้ จากผู้บริหารระดับสูงกลายเป็นยามเนี้ยนะ

     

     

     

                ‘อ่า..งั้นหรอครับ’

                “อือ...”

                ‘คุณปล่อยผมออกไปได้ไม๊?’เสียงนั้นดังขึ้นในหัวผมอีกครั้งหลังเงียบไปซักพัก

     

     

                ....ปล่อยนายออกไปงั้นหรอ? ขนาดตัวฉันเองยังหาทางออกไปจากที่นี่ไม่ได้เลยคิมจินฮวาน

                ผมมองไปยังดวงตาเรียวคู่นั้นที่เหมือนจะหม่นลงเมื่อเอ่ยประโยคนั้นออกมา

                แน่นอนว่าเขาคงอยากจะออกจากที่นี่ไปทุกวินาที...ทุกลมหายใจ

     

     

                “ฉันขอโทษ แต่ฉันทำไม่ได้หรอก...”

                ‘นั่นสินะ ลืมๆมันไปเถอะ... ผมแค่กลัวและก็เหงามากเท่านั้นเอง’

                “....”

     

     

                กลัวแล้วก็เหงางั้นหรอ....

                เสียงนั้นเงียบหายไปจนกระทั่งผมเห็นเขาทรุดตัวลงนอนอีกรอบ มือบางจับผ้าห่มผืนบางก่อนจะยกมันขึ้นมาคลุมลำตัวไว้จนถึงคอ

     

     

                พร้อมกับประโยคสุดท้ายของวันที่ทำให้ผมถูกจู่โจมด้วยความรู้สึกประหลาดๆไปอีกทั้งคืน

     

     

                “ฝันดีนะ”





     

    100%











     

    Talk

    ตอนนี้แอบป่วงๆนิดนึง.... ถถถถ

    คืออาจจะไม่หวือหวาเท่าสองตอนก่อนหน้านะทุกคน .______.

    เป็นตอนที่บอกความเป็นมาของบ๊อบบี้กะฮันบินแล้วกัน <3

    ด้านจุนจินก็เเอบมีปมมาให้เดากันเเล้ว คึคึคึ
    จุนเน่เเอบมาเฝ้าพี่จิน งุ้งงิ้งมาก ถถถ

    เรื่องคำผิดเราจะพยายามทยอยแก้ไขให้นะทุกคน TT เราเป็นพวกอ่านหนังสือไม่ค่อยละเอียดเวลาอ่านทวนเมาๆ คำผิดเลยบานมาก

    มีใครอยากอ่านสเปเชียวชานยุนกันไม๊? :)

    ฝากติดแท็ก
    #ลวงดบบ & คอมเม้นท์ด้วยน้า


    @SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×