คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : file11 :: because [ 100% ]
You could be a sweet dream or a beautiful nightmare
Either way I don't wanna wake up from you
HANBIN’s
SIDE
ผมจับปืนสั้นนือไว้ให้มั่นคงตอนที่เห็นแผ่นหลังของจองชานอูค่อยๆลับสายตาไป
หมอนั่นยังคงหันกลับมามองเป็นระยะราวกับว่ากลัวเขาจะหายไปไหน
หัวเอนลงพึงเข้ากับต้นไม้ต้นใหญ่ข้างหลัง
ฤดูหนาวที่โหดร้ายกำลังสิ้นสุดลง
เขามองเห็นใบไม้สีเขียวอ่อนที่กำลังเริ่มแตกใบอีกครั้งบนยอดไม้เหนือหัว เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆยิ่งทำให้มือของผมสั่นไปหมด
ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาตามโสตประสาทจนชาไปทั้งร่าง
ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ตาม
ทางนี้คงเป็นทางที่ดีที่สุด
ชีวิตของเขาไม่ได้มีค่าอะไรมากมายอยู่แล้ว
เขาไม่รู้จะมีชีวิตไปทำไมหากจะต้องทนวนเวียนกับวังวนเฮ็งซวยของลอว์ไลท์
หนทางที่ไร้ทางออก
ชั่วขณะ เขาหัวเราะออกมา
อิสระที่ไขว่หาอยู่เพียงปลายนิ้ว
ผมยกปืนขึ้นจ่อเข้าที่ขมับขวาของตัวเอง
ความเย็นจากเนื้อโลหะแล่นปราดเข้ามา
ผมกลั้นหายใจ ยังไงก็ตาม
เขาไม่มีวันยออมกลับไปอยู่ภายใต้ชายคาโรงพยาบาลบ้าๆแห่งนั้นอีกแน่
สู้ตายไปซะตอนนี้เลยยังจะดีกว่า
ปัง...!
“อั่ก...!”
เสี้ยววินาทีก่อนที่ผมจะกดลั่นไกปืนจู่ๆกระสุนปืนจากที่ไหนไม่รู้ก็เจาะเข้าที่ไหล่ขวา
ปืนในมือของผมถูกปล่อยลงพื้น
ความเจ็บปวดจากบาดแผลทำให้ผมไม่สามารถรู้สึกได้แม้กระทั่งมือของตัวเอง
ภาพตรงหน้าเหมือนจะพร่าเลือนและเชื่องช้าไปหมด
เลือดสีแดงฉานที่กระจายออกจากตัวเขาเป็นวงกว้าง
เปรอะเปื้อนพื้นโดยรอบไปหมด
เสียงเอะอะโวยวาย
จากบรรดาผู้คุมที่กรูกันเข้ามา
สิ่งเดียวที่ผุดขึ้นาในหัวของเขาคือ
เรื่องราวเหล่านี้ยังไม่จบ
หนทางอันเจ็บปวดของเขายังคงทอดยาวต่อไป
อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เหมือนกับความมืดมิดที่ถาโถมเข้ามา
.
.
.
.
.
ผมถูกพาตัวมาในห้องแคบๆนี้หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น
แต่เพราะบาดแผลสาหัสทำให้ผมเสียเลือดมากจนช็อคและหัวใจหยุดเต้น
แต่เวทย์มนต์ทางการแพทย์ของลอว์ไลท์ทำให้พวกเขาปั๊มหัวใจผมจนขึ้นมาอีกครั้ง
มันผ่านมาซักสิบกว่าวันได้แล้วที่ผมได้แต่นอนนิ่งๆแบบนี้
ไม่มีการลงโทษไม่มีอะไรทั้งนั้น
ข่าวดีอีกอย่างนอกจากผมยังรอดแล้วก็คงเป็นพวกเขาพยายามแทบเลือดตาแทบกระเด็นในการเค้นควาจริงจากผมว่าจองชานอูหนีไปอยู่ที่ไหน
แน่นอนว่าผมไม่รู้
หรือถึงรู้ก็คงยอมโดนทรมานให้ถึงตายดีกว่พูดออกไป...
พวกนั้นไม่รู้ว่าชานอูอยู่ที่ไหน
นั้นเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้มั่นใจได้ว่าเด็กคนนั้นหนีออกไปได้จนตลอดรอดฝั่ง
อย่างน้อยมันก็ไม่ได้เสียเปล่าไปเสียหมดทุกอย่าง
ไม่มีหมอ ไม่มีผู้คุม
ไม่มีคิมจีวอน
บางทีผมควรทำใจได้แล้ว ขนาดผมนอนเป็นผักขนาดนี้
เขายังไม่แม้แต่จะโพล่เงาให้เห็นเลยด้วยซ้ำ จริงๆผมไม่ควรจะหวังให้เขามาเลยต่างหาก
ทั้งๆที่รู้ดีว่าเขาไม่ได้แคร์อะไรเลย
แต่ลึกๆคนที่ผมยังต้องการมากที่สุดมันก็ยังเป็นเขาอยู่ดีที่
หลังจากวันนั้นผมก็ฟื้นขึ้นมาและพบว่าตัวเองไม่สามารถจะจำอะไรได้รวดเร็วแบบเดิมอีกแล้ว..
ผมกลายเป็นคนปกติอย่างสมบูรณ์...
โดยที่คนที่นี่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมผมถึงเป็นแบบนี้ บางคนบอกว่าเพราะบาดแผลที่ได้รับทำให้ร่างกายของผมปรับเข้าสู่สภาพสูญเสียความสามารถพิเศษเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้
บ้างก็บอกว่าอาจเป็นเพราะการได้รับแรงกดดันจากควาเครียดและอารมณ์อย่างหนักจนควาสามารถถูกกดเอาไว้
ผมขยับหัวไปมานิดหน่อยเพื่อคลายความเมื่อย ทั้งแขนและขาของผมถูกล็อคไว้กับที่นอนอย่างแน่นจนผมเลิกความคิดที่จะขยับไปแล้ว
ถ้าคิดดูดีๆบางทีนี่อาจจะเป็นการลงโทษอย่างหนึ่งก็ได้
และมันก็ได้ผลมากเพราะการนอนนิ่งๆจ้องเพดานมานับสิบวันกำลังทำให้ผมกำลังจะเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ
ยิ่งหลังจากเรื่องราวทั้งหมดนี่มันยิ่งทำให้ผมฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม
ฟุ้งซ่านถึงเรื่องเก่าๆที่มี่วันย้อนคินกลับมา
ซาบซึ้งกับความจริงที่ยิ่งตอกลึกเข้าไปในหัวใจมากขึ้นทุกวันๆ...
ผมพยายามหลับตาลงข่มใจตัวเองให้นอน
มันเป็นทางหนีความจริงได้ดีที่สุด แต่เพราะเสียงคนเดินเข้ามาในห้องทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นอีก
พอลืมขึ้นมาก็นึกอยากจะหลับลงไปอีกรอบให้รู้แล้วรู้รอด
บ๊อบบี้อยู่ตรงหน้าผมแล้ว แต่กลับมีเพียงแต่ความเงียบเท่านั้นที่เข้ามาขั้นกลางระหว่างเรา
มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหน้าอีกคนเต็มๆตา
หลังจากที่ผมได้รู้ความจริง ทุกความรู้สึกกำลังถาโถมเข้ามา
บีบรัดและกัดกร่อนเศษเสี้ยวของหัวใจที่แตกสลาย
ตายยากจริงๆ ให้ตายเถอะ
บรรยากาศน่าอึดอัดจนผมรู้สึกปั่นป่วนไปหมด
มันเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างจุกที่อก...
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันเกิดขึ้นจริงๆหรือเป็นแค่สิ่งที่ผมสร้างขึ้น...ถ้าเป็นไปตามในสมุดเล่มนั้น
ต้องมีบางอย่างที่เขาเล่นละครเพื่อนำมาเชื่อมต่อกับความจริง...
...ผมไม่รู้อะไรเลยจริงๆ...
“ไม่มีอะไรจะพูดหน่อยหรอ?”
ผมพูดออกไปทำลายความเงียบด้วยเสียงแหบแห้ง
พยายามอย่างหนักที่จะไม่มองหน้าอีกคน แค่นี้ก็เจ็บปางตายแล้ว
ถ้าให้มองหน้าเขาตรงๆอีกรอบ.... ผมจะทำใจได้ยังไง
เขาไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมาเลย
เพราะยิ่งเขาทำอย่างนั้นผมกลับยิ่งรู้สึกว่าเขากำลังแหลกละเอียด ทั้งๆที่เขาทำร้ายผมมากขนาดนี้
อย่างน้อยถ้าแสดงสีหน้าดูถูกหรือไม่ก็รู้สึกผิด ผมคงจะรู้สึกดีกว่านี้แท้ๆ
ทั้งๆที่เขาไม่น่าจะรู้สึกอะไรกับผม
แต่ทำไมผมถึงได้เอาแต่คิดว่าเขากำลังเจ็บปวดกันล่ะ?
จะคิดเข้าข้างตัวเองมากไปแล้วนะ คิม ฮันบิน
เขาเนี้ยนะจะเจ็บปวด?
บางทีบ๊อบบี้อาจจะไม่ได้แคร์นายด้วยซ้ำไป เหอะ
"เมื่อนายคิดจะหนี
นายก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา"
“...”
"ลาก่อน"
ลาก่อน?
ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ
ทันทีที่เขาพูดจบพยาบาลก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดโลหะสีเงิน
บนนั้นมันมียาบางอย่างที่ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าคืออะไร
คิมฮันบินไร้ประโยชน์สำหรับลอว์ไลท์แล้ว
ไม่มีทางที่เขาจะเก็บผมเอาไว้
“นั่นสิ...ลาก่อน...”
ผมคิดว่าผมกำลังกลัว...
และความกลัวนี้มันเหมือนกับตอนที่กำลังจะลั่นไกใส่ตัวเอง...
หากแต่ว่าคราวนี้เขากลับรู้สึกเจ็บมากเป็นเท่าตัว
หัวใจกำลังเต้นระรัว
ปลายนิ้วเย็นยะเยือกด้วยความกลัว
บ๊อบบี้กำลังจะฆ่าเขา....
ด้วยยาเข็มนั้น
มันน่าตลกขนาดไหนกันที่คนพวกนี้ช่วยผมไว้แทบตายก่อนจะจับผมมาทรมาณอีกรอบโดยการเห็นคนที่ตัวเองเผลอหลงรักไปเต็มๆฆ่าตัวเองแบบนี้
ละครฉากสุดท้ายกำลังจะถูกแสดง
ถ้าชีวิตของผมเป็นละคร
ยาเข็มนั้นก็คงเป็นม่านที่กำลังปิดฉากลง
ทิ้งไว้แต่โศกนาตกรรมอันเป็นจุดจบของเรื่องราวทั้งหมด
เขาขยับเข้ามาใกล้ๆ
ก่อนจะยกเอาเข็มฉีดยานั้นฉีดเข้าไปตามสายน้ำเกลือที่ตรงเข้ามือข้างซ้ายของผม ...
ผมสัมผัสได้ถึงน้ำตาของตัวเองที่กำลังไหลออกมาช้าๆพร้อมๆกับที่เขาหันหลังและเดินจากเขาไป
ขนาดภาพสุดท้ายในชีวิตที่เขาเห็นมันยังต้องเป็นบ๊อบบี้เลย
พระเจ้าจะโหดร้ายกับเขามากเกินไปแล้วจริงๆ
“ลาก่อนบ๊อบบี้”
ผมเกลียดคำนี้จัง...
ลาก่อน...
- 50 % -
BOBBY’s SIDE
20mins
before
ผมหยิบเอารูปโพลาลอยด์ในกระเป๋าเสื้อกาวน์ออกมา....มันเป็นเพียงรูปใบเล็กๆที่ถ่ายในห้องพักนั้นเท่านั้น.
สิ่งเดียวที่พิเศษก็คือ... คิม ฮันบินที่กำลังยิ้มให้กล้อง
ผมทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ในห้องทำงานตัวเอง
ทุกกอย่างกำลังบิดเบี้ยวแบบที่ไม่ใช่ความต้องการของเขา
ถ้านี่เป็นสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาแล้วเขาสามารถฆ่าพระเจ้าได้
เขาคงเลือกที่จะทำมันอย่างไม่มีทางลังเล
ผมมองรูปใบนั้นเล็กน้อยอีกครั้งและเก็บรูปกลับไปที่เดิมก่อนจะคว้าเอาเอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาที่สั่งให้เลขาเอามาเตรียมไว้ในมือก่อนจะเดินออกไปที่ระเบียงของห้อง
ทั้งเอกสารประวัติ เอกสารบันทึกประจำวัน
ผลการตรวจ การทดลอง... ทุกอย่างถูกรื้อออกมาจากห้องเก็บเอกสารทุกที่ในลอวไลท์
ไม่ตกหล่นซักแผ่น ทุกอย่างๆเหล่านี้อยู่ในมือของผมแล้ว
และก็ไม่ลืมที่จะคว้าเอาขวดเชื้อเพลิงขวดใหญ่ติดมือไปด้วย
ทันทีที่เข้าใกล้ประตูระเบียงที่ถูกเปิดทั้งไว้
ลมจากข้างนอกก็ปะทะเข้ามา
ลมเย็นๆจากฤดูหนาวยังไม่หายไป
มันพึ่งผ่านมาได้ราวเดือนเศษหลังจากที่ผมเริ่มทดลองกับฮันบิน
ตอนนั้นนอกหน้าต่างนี้ยังมีหิมะอยู่เลย แต่ตอนนี้ภาพตรงหน้ากลับแทนที่ไปด้วยดอกไม้ที่เริ่มผลิบาน
ผมหันไปมองถังขยะอะลูมิเนียมที่ตั้งอยู่ริมสุดของระเบียง
โยนทุกอย่างที่อยู่ในมือลงไปในนั้น
ราดน้ำมันลงไปจนหมึกที่พิมพ์เริ่มกระจายไปตามหน้ากระดาษช้าๆ
ทำในสิ่งที่ควรทำ
ผมล้วงมือหยิบรูปโพลาลอยด์ขึ้นมาอีกครั้ง...จุดไฟเผามันด้วยไฟเเช็คที่มักเอาไว้จุดบุหรี่...
มันถึงเวลาที่จะต้องปล่อยฮันบินไปแล้วล่ะมั้ง
จ้องมองเปลวเพลิงที่กำลังค่อยๆเผารูปแผ่นนั้นช้าๆ
และโยนมันลงไปในถังตามไป
ด้วยเชื้อเพลิงชั้นดีและลมเเรงๆในตอนนี้
ทำให้ไฟลุกท่วมถังอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างกำลังมอดไหม้ไปกับไฟที่ลุกโชน และนั่นอาจจะรวมไปถึงตัวตนด้านที่อ่อนแอที่สุดของตัวผมเองด้วย
มอดไหม้ไปกับเปลวเพลิง เจ็บจนพูดอะไรไม่ออก...
ถ้าเพราะแค่ตัวผมเองไม่คิดว่าตัวเองจะจัดการเรื่องแบบนี้ได้สบายๆ
ผมคงไม่ต้องเจ็บขนาดนี้...
มันผิดพลาดตรงไหนกันนะ?
กลิ่นไหม้จากกองไฟทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ
"น่าสนใจดีหนิ...ลุงจะให้นายใช้คนไข้ซักคนจากหนึ่งในนี้ทดลอง...รู้ใช่ไม๊ว่าถ้าไม่โอเคมันจะเป็นยังไง?
คนนี้พวกนี้น่ะ เกรดAเลยนะ..."
ชายวัยกลางคนผู้มีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆของผมเอ่ยขึ้นเมื่ออ่านรายงานเรื่องยาตัวใหม่ของผมจบ
ก่อนจะส่งรูปประวัติคนไข้ราย3-4แผ่นมาให้
"ขอบคุณครับ"
ผมก้มลงอ่านพวกมันเล็กน้อย
เปิดมันผ่านๆพยายามห้ามตัวเองไม่ให้พลิกไปดูใบสุดท้ายก่อน
ผมคิดมาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำว่าอยากจะทดลองกับใคร...
ทั้งหมดที่ผมทุ่มเทมาเป็นปีนี้ เพื่อคนคนนั้นคนเดียว
“ผมอยากทดลองกับคนนี้ครับ....
คิมฮันบิน..”
มันเป็นความผิดของผมเอง...ตั้งแต่ต้น
ถ้าไม่ใช่เพราะฮันบินหลงมาคบกับคนอย่างเขาเมื่อสิบปีก่อน
ฮันบินคงไม่ต้องเข้ามาที่นี่ด้วยซ้ำ.
ตอนที่เขายังเรียนม.ต้น
เขาเข้าไปรู้จักกับฮันบินโดยบังเอิญ บ้านเก่าของผมกับฮันบินอยู่ละแวกเดียวกัน
และนั่นทำให้เขาเริ่มที่จะสนิทกันมากขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ
สนิทกันมากพอที่จะสังเกตได้ว่าฮันบินไม่ใช่คนปกติทั่วไป
เป็นเขาเองที่พอฮันบินไว้ใจบอกความลับของตัวเอง
กลับไม่เลือกที่จะเก็บไว้เงียบอย่างที่ควร
ผิดเองที่ปล่อยให้ลุงเข้ามายุ่งกับฮันบินและพาฮันบินเข้ามาที่นี่
ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าคนคนนั้นไม่ใช่คนดี....
แต่ก็ยอมเล่าเรื่องฮันบินบนโต๊ะอาหารเย็นอย่างไม่ได้เอะใจแต่น้อย ตอนนั้นเขารู้แค่ว่าบ้านของเขาเป็นเจ้าของโรงพยาบาล
และคิดว่าอย่างน้อยถ้าพูดออกไป
ทั้งลุงและพ่อของเขาก็คงจะหาทางช่วยรักษาฮันบินได้บ้าง
ไม่รู้เลยว่ามันทำให้ครอบครัวของฮันบินนั้นต้องเจอกับอะไร
ฮันบินถูกลบหายไปจากเกาหลีอย่างถาวร
เหมือนกับไร้ซึ่งตัวตนมาก่อน รวมถึงครอบครัวใกล้ชิดของฮันบินด้วย
บ้านของครอบครัวคิมถูกซื้อโดยลุงของผมและทุบทิ้งสร้างเป็นบ้านพักคนงานและโรงจอดรถให้ครอบครัว
และตัวผมเองที่ไม่รู้เรื่องอะไรซักอย่าง
ผมโดนส่งไปอเมริกา พ่อของผมก็เสียด้วยโรคหัวใจ
ส่วนแม่ก็แต่งงานใหม่กับเศรษฐีแถบรัสเซีย นั่นมันทำให้ชีวิตของผมเขวไปพักใหญ่จนลืมเรื่องของฮันบินไปซะสนิท
ผมเข้ามาอยู่ในความดูแลของลุงอย่างเต็มรูปแบบ ผมเรียนจบและเชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดสมองและระบบประสาทมากที่สุด
ก่อนที่ลุงจะเริ่มให้ผมเข้ามามีบทบาทในโรงพยาบาลอย่างจริงจัง
ลุงของผมเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับสองของลอว์ไลท์
รองจากพ่อของคังซึงยุนที่เป็นประธานอยู่ในตอนนี้ ผมพึ่งเข้ามาในลอว์ไลท์ครั้งแรกตอนเกือบจะเรียนจบ
ในตอนแรกมันก็น่าสนใจดี
จนกระทั่งถึงตอนที่ผมรู้สึกว่าอะไรๆบางอย่างมันไม่เป็นไปตามที่คิด
ผมเริ่มพยายามตีตัวออกห่างจากลุงมากขึ้น
ซึ่งก็ได้ยากอะไรเพราะผมใช่คนที่สนิทกับเขามากมายขนาดนั้น และเกือบจะหนีไปทำงานที่โรงพยาบาลโซลได้อยู่แล้วถ้าไม่ติดที่เรื่องของฮันบินลอยมาเข้าหูซะก่อน
เพราะอย่างนั้นถึงได้ให้คนไปสืบเรื่องทั้งหมดจนเจอความจริง
หลังจากนั้นการพาตัวเองหนีไปจึงไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไป
แต่เป็นการพาคิมฮันบินออกไปจากที่นี่ต่างหาก
ผมเองไม่ใช่คนที่อิทธิพลในโรงพยาบาลอะไรมาก
ผมพึ่งเข้าเป็นหมอที่นี่ได้ไม่นานมาก
ถึงจะมีตำแหน่งหลานชายของผู้ถือหุ้นลำดับสองหนุนหลังอยู่
แต่การจะพาคนไข้ออกไปจากที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมพยายามที่จะโอนฮันบินเข้าอยู่ภายใต้การดูแลของตัวเอง
ในขณะเดียวกันกับที่หนึ่งในทีมของผมคิดค้นยาตัวนั้นได้สำเร็จ
หลังจากนั้นผมเลยอาสาที่จะเซ็นต์รับโครงการนี้เข้ามาดูแลเอง
และเลือกฮันบินเข้ามาเป็นตัวอย่างการทดลอง
ถ้าทุกอย่างยังเป็นไปตามที่ผมคิด
การทดลองนี้จะไม่ยืดเยื้อไปมากกว่านี้เท่าไหร่
เขาได้ใช้ยาของที่นี่รักษาอาการอัลไซเมอร์ของฮันบินต่อไป พร้อมๆกับทดลองยานั่นเพื่อบังหน้า
จนถึงวันที่ฮันบินหายดีเขาก็แค่พาอีกคนหนีขึ้นเครื่องบินส่วนตัวที่ให้ซงยุนฮยองจัดการแล้วหนีไปไกลๆ
ผมก้มลงมือแหวนที่ยังอยู่ที่นิ้วนาง เกือบจะโยนมันลงไปในถังที่ไฟยังคงลุกอยู่ถึงแม้จะอ่อนแรงลงไปมาก...แต่สุดท้ายก็ยั้งมือไว้ก่อนจะเปลี่ยนใจเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานเเละเก็บมันไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของลิ้นชัก...
ผมหยิบเอามือถือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาและต่อสายหาใครบางคน
“นายมีเวลาสิบนาทีหลังจากฉันออกมาจากห้องนั้น
ถ้านายพลาด ไม่ว่านายจะอยู่ส่วนไหนของโลกฉันจะฆ่านาย ซงมิโน”
ไม่ต้องรอให้ปลายสายตอบผมรีบกดตัดสายทันที
นี่เป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว
แต่เป็นทางที่เขาจะมี่วันเห็นฮันบินอีกตลอดชีวิต
"คุณหมอคะ คนไข้คิมฮันบินพร้อมแล้วค่ะ"
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆอีกครั้ง
"ผมจะไปเดี๋ยวนี้"
CHANWOO’s SIDE
เพราะมันมีบางอย่างที่เรากำหนดเองไม่ได้
ผมเงยหน้ามองป้ายโฆษณาที่มีคำพูดคำนี้สกรีนอยู่กลางป้ายในสนามบินที่ผมกำลังยืนอยู่ในตอนนี้
เหลือบตาก้มลงมองตั๋วเครื่องบินในมือของตัวเองอีกครั้ง...
ชื่อปลายทางที่อยู่ห่างออกไปทำให้ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆอย่างตื่นเต้น
ผมเหลือบมองตำรวจสองคนที่เดินตามประกบไม่ห่างพร้อมๆกับถอนหายใจออกมายาวๆ
พวกเขาทำเหมือนผมเป็นนักโทษ
ทั้งๆที่ผมวิ่งออกมาจากที่นั่นเพราะอยากมีอิสระ
แต่เอาเข้าจริงๆผมกลับยังไม่ได้มันอย่างที่ควร
ทั้งสูญเสียซงยุนฮยองไป...
และยังไม่ได้คงไร้จุดหมายในการใช้ชีวิตอยู่ดี
เพราะมาตรการป้องกันพยานนั้นทำให้ต้องมีตำรวจคอยเฝ้าผมตามทุกฝีก้าว
แถมผมเองก็ต้องอดทนอยู่แต่ในพื้นที่ที่ทางหน่วยของยุนฮยองจัดให้
เขาบอกว่าคำให้การของผมนั้นจะสำคัญในชั้นศาล
ผมเป็นคนไข้คนแรกที่หนีออกมาจากที่นั่นได้ ผมได้รับบาดเจ็บระหว่างหลบหนี
นั่นทำให้พวกเขาสามารถตั้งข้อหาเพิ่มกับลอว์ไลท์ได้ ดังนั้นทางที่ดีผมควรออกไปให้ไกลอำนาจของลอว์ไลท์มากที่สุด
คิม ดงฮยอก
คนที่คอยอธิบายเรื่องราวต่างๆเล่าให้ผมฟังว่า
ลอว์ไลท์นั้นมีอำนาจแผ่ขยายไปทั่วทั้งเกาหลี
ทุนวิจัยและเงินที่ได้เมื่องานวิจัยสำเร็จนั้นมีมูลค่ามหาศาล
พวกผู้บริหารของลอว์ไลท์ต่างต้องไม่ใช่ธรรมดากันทั้งนั้น เส้นสายเลยยิ่งหนาและกระจายไปทั่ว
เคยมีคนพยายามจะเสนอคดีลอว์ไลท์แล้วแต่สุดท้ายมันก็ถูกปัดตกไปก่อนที่คนยื่นเรื่องจะหายสาบสูญไปตลอดกาล
พวกเขาเองก็ทำงานได้ลำบากอยู่แล้วกับการพยายามหลบหลีกสายข่าวของลอว์ไลท์
ยิ่งถ้ามีผมมาป้วนเปี้ยนอยู่อาจจะทำให้แผนของพวกเขาแตกได้
หน่วยของยุนฮยองทำงานเกี่ยวกับลอว์ไลท์มาเกือบปีแล้ว...
ถึงแม้ทุกคนในหน่วยจะรู้ความจริงกันหมดแต่หลักฐานที่มีก็ไม่เคยเพียงพอต่อการจะยื่นขอหมายจับเลยซักครั้ง
พวกเขาต้องการอะไรที่แน่นหนาพอที่จะมั่นใจว่าจะดิ้นไม่หลุดแน่ๆ
ยิ่งถ้ารีบทำอะไรผลีผลามไปจะยิ่งเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นขึ้นมาอีก
รวมถึงการทำงานทุกอย่างยังต้องเก็ยเป็นความลับจากสาธารณะชนอีกด้วย
ผมกำลังจะนั่งเครื่องบินไปฮ่องกง
ตำรวจที่นั่นแอบทำงานโคอยู่กับที่เกาหลี ดูเหมือนว่าบางส่วนในคนไข้ที่ลอว์ไลท์จะมีคนสัญชาติฮ่องกงติดมาด้วย
นั่นทำให้ตำรวจฮ่องกงให้ความสนใจกับคดีนี้
แถมยังดูจะสนับสนุนมากกว่าฝั่งเกาหลีซะอีก
ใช้เวลาไม่นานนักผมก็เดินเข้าถึงหน้าเครื่องบินที่ประทับธงเกาหลีไว้ที่ท้ายเครื่อง
มันคงเป็นเครื่องบินของรัฐนั่นแหละ ผมเดินเข้าไปในเครื่องพร้อมๆกับตำรวจที่ขนาบข้าง
ก่อนจะมองไปรอบๆตัวเครื่อง
มันไม่ต่างอะไรจากเครื่องบินในภาพความทรงจำของผมเท่าไหร่นัก แค่มันมีขนาดเล็กกว่า
และยังร้างผู้คนอีกด้วย
ตั๋วเครื่องบินในตอนแรกที่ยุนฮยองซื้อไว้ให้ผมถูกยกเลิกไปก่อนจะแทนที่ด้วยการย้ายผมไปให้อยู่ในความดูแลของดงฮยอกที่คอยประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติแทน
เขาเลยจัดการหาไฟลท์พิเศษมาให้
เจ้าหน้าที่สองคนเดินออกห่างผมไปตอนที่ประตูเครื่องบินถูกปิดลงมา
และความเงียบก็เข้ามาแทนที่
เจ้าหน้าที่ทั้งคู่แยกย้ายกันไปคนละทาง
ทิ้งผมให้ยืนนิ่งอยู่กลางทางเดินอย่างไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก
ผมเลือกที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ
ก่อนจะวางกระเป๋าเป้ใบเดียวที่ติดตัวมาลงกับที่นั่งข้างๆ หยิบเอาโทรศัพท์ที่ติดตัวมานั่งกดเล่นๆ
มือถือเครื่องนี้ดงฮยอกพึ่งจะให้ผมมาเมื่อราวๆสองสามวันก่อน
เขาให้มาเผื่อผมจะเอาไว้ใช้ติดต่อใครที่ไหน ผมยังใช้มันไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่หรอก
เลยชอบเอาขึ้นมากดนู้นกดนี้ไปเรื่อยๆ
เข้าๆออกๆอัลบั้มรูปภาพที่มีรูปของซงยุนฮยองเป็นร้อยครั้ง...
ผมคิดถึงเขาจริงๆนะ....
ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง
มันเป็นครั้งแรกที่ชานอูรู้สึกถึงการเป็นธาตุอากาศอย่างแท้จริง
เขาถูกส่งมาอยู่ในหอพักตำรวจแห่งหนึ่ง...
โดยที่จะไปไหนก็ได้ที่มีกำไลข้อเท้าตามตัวติดไปด้วยเสมอ...
โอเค...มันก็ดูเรียบง่ายดี
เขาถูกปล่อยเกาะกลางประเทศที่เดินไปมีแต่คนพ่นอะไรไม่รู่ใส่กันโดยที่แค่เงินหกร้อยดอลลาร์ฮ่องกง
ห้องพักที่ดีพอสมควรทำให้เขาโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เขาเริ่มต้นจากแกะของในกระเป๋าเป้ของตัวเองออกมาก่อน
ก่อนจะเดินไปรอบๆห้องเพื่อสำรวจ
ในห้องนี้พอจะมีเสื้อผ้าอยู่บ้าง
มันเป็นกางเกงยันส์สองตัวกับเสื้อยืดสีขาวอีก5ตัว
รวมถึงของใช้จำเป็นหลักๆที่วางอยู่เป็นหมวดหมู่
เขากวาดสายตามองไปรอบๆห้องอีกครั้ง
มองอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม
ที่นี่ไม่มีกล้องวงจรปิด
ก้มมองของที่ถูกรื้อออกมาจากกระเป๋า....
ทั้งเครดิตการ์ดของยุนฮยองและหนังสือเกี่ยวกับฮ่องกงสองสามเล่มที่ดงฮยอกให้มา
ถอนหายใจออกมายาวๆ
พยายามรวบรวมสติคิดถึงสิ่งที่เขาควรจะทำเป็นอย่างต่อไป
เรื่องทั้งหมดยังไงมันก็ดูจะยังไม่น่าเชื่ออยู่ดี
ผมจับกระเป๋าพลิกคว่ำลง...
ก่อนเปิดช่องรอยขาดเล็กๆที่ใต้กระเป๋า กระชากจนรอยเย็บที่ถูกเย็บแบบลวกๆขาดออกจากกันเผยให้เห็นมือถือเครื่องเล็กอีกครั้งที่ถูกซ่อนตัวอยู่
ชานอูค่อยๆหยิบมันขึ้นมาอย่างชั่งใจ
จะให้พูดตรงๆ ชานอูไม่ใช่คนดีเท่าไหร่หรอก
ก่อนจะกดโทรออกไปหาเบอร์เดียวที่ถูกเมมไว้ในมือถือ
เพียงแค่ไม่กี่วินาทีต่อมาปลายสายก็กดรับราวกัลกำลังรอสายจากเขาอยู่พอดี
“ผมชานอู....
ผมคิดว่ามีเรื่องที่คุณควรจะรู้ กูจุนฮเว”
talk
รับผิดเเต่โดยดีโทษฐานสาบสูญไปนาน เเต่คราวนี้จะพยายามเเต่งให้จบนะ...!!!
เอาจริงๆเรื่องนี้เอง ตามพล็อตที่วางไว้ก็อีกเเค่ไม่เกิน 5 ตอนก็จบเเล้วเเหละ
เห็นมีหลายคนถามว่าเรื่องนี้จบสวยไม๊... อืม เอาจริงๆต่อจากนี้จะมีฉากพีคๆอีกนะ ดังนั้นก็ขออุบไว้ก่อนเเล้วกัน
เราขอพูดว่าทุกๆคู่ในเรื่องนี้จบด้วยสีเทาดีกว่า :)
ตอนต่อไปจะเป็นคิวของจุนฮวานนะ ฮุฮุ
สปอยเบาๆ
นาฬิกาเริ่มเดินถอยหลังแล้ว
แต่คิมจินฮวานไม่มีวันที่จะถอยหลังได้อีก
ปล. ใครลืม ย้อนไปอ่านตอนเก่าๆก่อนเนอะ ขนาดคนเเต่งยังต้องย้อนไปอ่านอีก 2 รอบกว่าจะเเต่งต่อได้เลย ถถถถถ
ปล.2 อย่าปล่อยให้เราเดียวดายนะ อยากอ่านฟีดเเบคของรีดเดอร์เหมือนกัน TT
ความคิดเห็น