ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [IKON] "HOODWINK" DoubleB&Junjin

    ลำดับตอนที่ #13 : file11 :: because [ 100% ]

    • อัปเดตล่าสุด 12 มี.ค. 60


     





    You could be a sweet dream or a beautiful nightmare

    Either way I don't wanna wake up from you





    HANBIN’s SIDE

     

                ผมจับปืนสั้นนือไว้ให้มั่นคงตอนที่เห็นแผ่นหลังของจองชานอูค่อยๆลับสายตาไป หมอนั่นยังคงหันกลับมามองเป็นระยะราวกับว่ากลัวเขาจะหายไปไหน

                หัวเอนลงพึงเข้ากับต้นไม้ต้นใหญ่ข้างหลัง

     

                ฤดูหนาวที่โหดร้ายกำลังสิ้นสุดลง เขามองเห็นใบไม้สีเขียวอ่อนที่กำลังเริ่มแตกใบอีกครั้งบนยอดไม้เหนือหัว เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆยิ่งทำให้มือของผมสั่นไปหมด ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาตามโสตประสาทจนชาไปทั้งร่าง

     

     

                ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ตาม ทางนี้คงเป็นทางที่ดีที่สุด

     

     

                ชีวิตของเขาไม่ได้มีค่าอะไรมากมายอยู่แล้ว เขาไม่รู้จะมีชีวิตไปทำไมหากจะต้องทนวนเวียนกับวังวนเฮ็งซวยของลอว์ไลท์ หนทางที่ไร้ทางออก

                ชั่วขณะ เขาหัวเราะออกมา 

     

     

                อิสระที่ไขว่หาอยู่เพียงปลายนิ้ว

     

     

     

     

                ผมยกปืนขึ้นจ่อเข้าที่ขมับขวาของตัวเอง ความเย็นจากเนื้อโลหะแล่นปราดเข้ามา

                ผมกลั้นหายใจ ยังไงก็ตาม เขาไม่มีวันยออมกลับไปอยู่ภายใต้ชายคาโรงพยาบาลบ้าๆแห่งนั้นอีกแน่ สู้ตายไปซะตอนนี้เลยยังจะดีกว่า

               

     

               

     

     

     

     

     

    ปัง...!       

     

     

     

     

     

                “อั่ก...!

                เสี้ยววินาทีก่อนที่ผมจะกดลั่นไกปืนจู่ๆกระสุนปืนจากที่ไหนไม่รู้ก็เจาะเข้าที่ไหล่ขวา

                ปืนในมือของผมถูกปล่อยลงพื้น ความเจ็บปวดจากบาดแผลทำให้ผมไม่สามารถรู้สึกได้แม้กระทั่งมือของตัวเอง ภาพตรงหน้าเหมือนจะพร่าเลือนและเชื่องช้าไปหมด

                เลือดสีแดงฉานที่กระจายออกจากตัวเขาเป็นวงกว้าง เปรอะเปื้อนพื้นโดยรอบไปหมด

                เสียงเอะอะโวยวาย จากบรรดาผู้คุมที่กรูกันเข้ามา

     

                สิ่งเดียวที่ผุดขึ้นาในหัวของเขาคือ เรื่องราวเหล่านี้ยังไม่จบ

                หนทางอันเจ็บปวดของเขายังคงทอดยาวต่อไป อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

     

                เหมือนกับความมืดมิดที่ถาโถมเข้ามา

     

     

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

                ผมถูกพาตัวมาในห้องแคบๆนี้หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น แต่เพราะบาดแผลสาหัสทำให้ผมเสียเลือดมากจนช็อคและหัวใจหยุดเต้น แต่เวทย์มนต์ทางการแพทย์ของลอว์ไลท์ทำให้พวกเขาปั๊มหัวใจผมจนขึ้นมาอีกครั้ง

               

                มันผ่านมาซักสิบกว่าวันได้แล้วที่ผมได้แต่นอนนิ่งๆแบบนี้ ไม่มีการลงโทษไม่มีอะไรทั้งนั้น

                ข่าวดีอีกอย่างนอกจากผมยังรอดแล้วก็คงเป็นพวกเขาพยายามแทบเลือดตาแทบกระเด็นในการเค้นควาจริงจากผมว่าจองชานอูหนีไปอยู่ที่ไหน

                แน่นอนว่าผมไม่รู้ หรือถึงรู้ก็คงยอมโดนทรมานให้ถึงตายดีกว่พูดออกไป... พวกนั้นไม่รู้ว่าชานอูอยู่ที่ไหน นั้นเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้มั่นใจได้ว่าเด็กคนนั้นหนีออกไปได้จนตลอดรอดฝั่ง

                อย่างน้อยมันก็ไม่ได้เสียเปล่าไปเสียหมดทุกอย่าง

     

     

    ไม่มีหมอ ไม่มีผู้คุม

    ไม่มีคิมจีวอน

     

     

     

     

    บางทีผมควรทำใจได้แล้ว ขนาดผมนอนเป็นผักขนาดนี้ เขายังไม่แม้แต่จะโพล่เงาให้เห็นเลยด้วยซ้ำ จริงๆผมไม่ควรจะหวังให้เขามาเลยต่างหาก

    ทั้งๆที่รู้ดีว่าเขาไม่ได้แคร์อะไรเลย แต่ลึกๆคนที่ผมยังต้องการมากที่สุดมันก็ยังเป็นเขาอยู่ดีที่

     

     

     

     

                หลังจากวันนั้นผมก็ฟื้นขึ้นมาและพบว่าตัวเองไม่สามารถจะจำอะไรได้รวดเร็วแบบเดิมอีกแล้ว..

    ผมกลายเป็นคนปกติอย่างสมบูรณ์... โดยที่คนที่นี่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมผมถึงเป็นแบบนี้ บางคนบอกว่าเพราะบาดแผลที่ได้รับทำให้ร่างกายของผมปรับเข้าสู่สภาพสูญเสียความสามารถพิเศษเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ บ้างก็บอกว่าอาจเป็นเพราะการได้รับแรงกดดันจากควาเครียดและอารมณ์อย่างหนักจนควาสามารถถูกกดเอาไว้

     

    ผมขยับหัวไปมานิดหน่อยเพื่อคลายความเมื่อย ทั้งแขนและขาของผมถูกล็อคไว้กับที่นอนอย่างแน่นจนผมเลิกความคิดที่จะขยับไปแล้ว

     

     

    ถ้าคิดดูดีๆบางทีนี่อาจจะเป็นการลงโทษอย่างหนึ่งก็ได้

    และมันก็ได้ผลมากเพราะการนอนนิ่งๆจ้องเพดานมานับสิบวันกำลังทำให้ผมกำลังจะเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ ยิ่งหลังจากเรื่องราวทั้งหมดนี่มันยิ่งทำให้ผมฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม

    ฟุ้งซ่านถึงเรื่องเก่าๆที่มี่วันย้อนคินกลับมา

    ซาบซึ้งกับความจริงที่ยิ่งตอกลึกเข้าไปในหัวใจมากขึ้นทุกวันๆ...

     

     

     

                ผมพยายามหลับตาลงข่มใจตัวเองให้นอน มันเป็นทางหนีความจริงได้ดีที่สุด  แต่เพราะเสียงคนเดินเข้ามาในห้องทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นอีก

                พอลืมขึ้นมาก็นึกอยากจะหลับลงไปอีกรอบให้รู้แล้วรู้รอด

               

                บ๊อบบี้อยู่ตรงหน้าผมแล้ว แต่กลับมีเพียงแต่ความเงียบเท่านั้นที่เข้ามาขั้นกลางระหว่างเรา

                มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหน้าอีกคนเต็มๆตา หลังจากที่ผมได้รู้ความจริง ทุกความรู้สึกกำลังถาโถมเข้ามา บีบรัดและกัดกร่อนเศษเสี้ยวของหัวใจที่แตกสลาย

                ตายยากจริงๆ ให้ตายเถอะ

     

     

     

                บรรยากาศน่าอึดอัดจนผมรู้สึกปั่นป่วนไปหมด มันเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างจุกที่อก...

                ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันเกิดขึ้นจริงๆหรือเป็นแค่สิ่งที่ผมสร้างขึ้น...ถ้าเป็นไปตามในสมุดเล่มนั้น ต้องมีบางอย่างที่เขาเล่นละครเพื่อนำมาเชื่อมต่อกับความจริง...

              ...ผมไม่รู้อะไรเลยจริงๆ...

     

     

     

                “ไม่มีอะไรจะพูดหน่อยหรอ?” ผมพูดออกไปทำลายความเงียบด้วยเสียงแหบแห้ง พยายามอย่างหนักที่จะไม่มองหน้าอีกคน แค่นี้ก็เจ็บปางตายแล้ว ถ้าให้มองหน้าเขาตรงๆอีกรอบ.... ผมจะทำใจได้ยังไง

                เขาไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมาเลย เพราะยิ่งเขาทำอย่างนั้นผมกลับยิ่งรู้สึกว่าเขากำลังแหลกละเอียด ทั้งๆที่เขาทำร้ายผมมากขนาดนี้ อย่างน้อยถ้าแสดงสีหน้าดูถูกหรือไม่ก็รู้สึกผิด ผมคงจะรู้สึกดีกว่านี้แท้ๆ

     

    ทั้งๆที่เขาไม่น่าจะรู้สึกอะไรกับผม

    แต่ทำไมผมถึงได้เอาแต่คิดว่าเขากำลังเจ็บปวดกันล่ะ?

    จะคิดเข้าข้างตัวเองมากไปแล้วนะ คิม ฮันบิน

    เขาเนี้ยนะจะเจ็บปวด? บางทีบ๊อบบี้อาจจะไม่ได้แคร์นายด้วยซ้ำไป เหอะ

     

     

                "เมื่อนายคิดจะหนี นายก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา"

              “...”

    "ลาก่อน"

     

    ลาก่อน?

    ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ ทันทีที่เขาพูดจบพยาบาลก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดโลหะสีเงิน บนนั้นมันมียาบางอย่างที่ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าคืออะไร

     

    คิมฮันบินไร้ประโยชน์สำหรับลอว์ไลท์แล้ว

    ไม่มีทางที่เขาจะเก็บผมเอาไว้

     

     

    นั่นสิ...ลาก่อน...”

    ผมคิดว่าผมกำลังกลัว... และความกลัวนี้มันเหมือนกับตอนที่กำลังจะลั่นไกใส่ตัวเอง... หากแต่ว่าคราวนี้เขากลับรู้สึกเจ็บมากเป็นเท่าตัว

     

     

    หัวใจกำลังเต้นระรัว ปลายนิ้วเย็นยะเยือกด้วยความกลัว

    บ๊อบบี้กำลังจะฆ่าเขา.... ด้วยยาเข็มนั้น

     

     

                มันน่าตลกขนาดไหนกันที่คนพวกนี้ช่วยผมไว้แทบตายก่อนจะจับผมมาทรมาณอีกรอบโดยการเห็นคนที่ตัวเองเผลอหลงรักไปเต็มๆฆ่าตัวเองแบบนี้

     

                ละครฉากสุดท้ายกำลังจะถูกแสดง

                ถ้าชีวิตของผมเป็นละคร ยาเข็มนั้นก็คงเป็นม่านที่กำลังปิดฉากลง ทิ้งไว้แต่โศกนาตกรรมอันเป็นจุดจบของเรื่องราวทั้งหมด

                เขาขยับเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะยกเอาเข็มฉีดยานั้นฉีดเข้าไปตามสายน้ำเกลือที่ตรงเข้ามือข้างซ้ายของผม ...

    ผมสัมผัสได้ถึงน้ำตาของตัวเองที่กำลังไหลออกมาช้าๆพร้อมๆกับที่เขาหันหลังและเดินจากเขาไป

     

    ขนาดภาพสุดท้ายในชีวิตที่เขาเห็นมันยังต้องเป็นบ๊อบบี้เลย

    พระเจ้าจะโหดร้ายกับเขามากเกินไปแล้วจริงๆ

     

     

                “ลาก่อนบ๊อบบี้”

     

                ผมเกลียดคำนี้จัง...

    ลาก่อน...





    - 50 % -






    BOBBY’s SIDE

     

                20mins before

     

    ผมหยิบเอารูปโพลาลอยด์ในกระเป๋าเสื้อกาวน์ออกมา....มันเป็นเพียงรูปใบเล็กๆที่ถ่ายในห้องพักนั้นเท่านั้น. สิ่งเดียวที่พิเศษก็คือ... คิม ฮันบินที่กำลังยิ้มให้กล้อง

    ผมทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ในห้องทำงานตัวเอง

     

     

    ทุกกอย่างกำลังบิดเบี้ยวแบบที่ไม่ใช่ความต้องการของเขา

    ถ้านี่เป็นสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาแล้วเขาสามารถฆ่าพระเจ้าได้ เขาคงเลือกที่จะทำมันอย่างไม่มีทางลังเล

               

     

    ผมมองรูปใบนั้นเล็กน้อยอีกครั้งและเก็บรูปกลับไปที่เดิมก่อนจะคว้าเอาเอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาที่สั่งให้เลขาเอามาเตรียมไว้ในมือก่อนจะเดินออกไปที่ระเบียงของห้อง

     

    ทั้งเอกสารประวัติ เอกสารบันทึกประจำวัน ผลการตรวจ การทดลอง... ทุกอย่างถูกรื้อออกมาจากห้องเก็บเอกสารทุกที่ในลอวไลท์ ไม่ตกหล่นซักแผ่น ทุกอย่างๆเหล่านี้อยู่ในมือของผมแล้ว

                และก็ไม่ลืมที่จะคว้าเอาขวดเชื้อเพลิงขวดใหญ่ติดมือไปด้วย

     

                ทันทีที่เข้าใกล้ประตูระเบียงที่ถูกเปิดทั้งไว้ ลมจากข้างนอกก็ปะทะเข้ามา

    ลมเย็นๆจากฤดูหนาวยังไม่หายไป มันพึ่งผ่านมาได้ราวเดือนเศษหลังจากที่ผมเริ่มทดลองกับฮันบิน ตอนนั้นนอกหน้าต่างนี้ยังมีหิมะอยู่เลย แต่ตอนนี้ภาพตรงหน้ากลับแทนที่ไปด้วยดอกไม้ที่เริ่มผลิบาน

     

     

                ผมหันไปมองถังขยะอะลูมิเนียมที่ตั้งอยู่ริมสุดของระเบียง

                โยนทุกอย่างที่อยู่ในมือลงไปในนั้น

                ราดน้ำมันลงไปจนหมึกที่พิมพ์เริ่มกระจายไปตามหน้ากระดาษช้าๆ

     

                ทำในสิ่งที่ควรทำ

     

                ผมล้วงมือหยิบรูปโพลาลอยด์ขึ้นมาอีกครั้ง...จุดไฟเผามันด้วยไฟเเช็คที่มักเอาไว้จุดบุหรี่...

                มันถึงเวลาที่จะต้องปล่อยฮันบินไปแล้วล่ะมั้ง

     

                จ้องมองเปลวเพลิงที่กำลังค่อยๆเผารูปแผ่นนั้นช้าๆ

                และโยนมันลงไปในถังตามไป

     

                ด้วยเชื้อเพลิงชั้นดีและลมเเรงๆในตอนนี้ ทำให้ไฟลุกท่วมถังอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างกำลังมอดไหม้ไปกับไฟที่ลุกโชน และนั่นอาจจะรวมไปถึงตัวตนด้านที่อ่อนแอที่สุดของตัวผมเองด้วย

                มอดไหม้ไปกับเปลวเพลิง เจ็บจนพูดอะไรไม่ออก...

    ถ้าเพราะแค่ตัวผมเองไม่คิดว่าตัวเองจะจัดการเรื่องแบบนี้ได้สบายๆ ผมคงไม่ต้องเจ็บขนาดนี้...

     

    มันผิดพลาดตรงไหนกันนะ?

     

    กลิ่นไหม้จากกองไฟทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ

     

     

                "น่าสนใจดีหนิ...ลุงจะให้นายใช้คนไข้ซักคนจากหนึ่งในนี้ทดลอง...รู้ใช่ไม๊ว่าถ้าไม่โอเคมันจะเป็นยังไง? คนนี้พวกนี้น่ะ เกรดAเลยนะ..."

              ชายวัยกลางคนผู้มีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆของผมเอ่ยขึ้นเมื่ออ่านรายงานเรื่องยาตัวใหม่ของผมจบ ก่อนจะส่งรูปประวัติคนไข้ราย3-4แผ่นมาให้

              "ขอบคุณครับ"

              ผมก้มลงอ่านพวกมันเล็กน้อย เปิดมันผ่านๆพยายามห้ามตัวเองไม่ให้พลิกไปดูใบสุดท้ายก่อน

              ผมคิดมาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำว่าอยากจะทดลองกับใคร... ทั้งหมดที่ผมทุ่มเทมาเป็นปีนี้ เพื่อคนคนนั้นคนเดียว

              “ผมอยากทดลองกับคนนี้ครับ.... คิมฮันบิน..”

     

     

                มันเป็นความผิดของผมเอง...ตั้งแต่ต้น

     

     

                ถ้าไม่ใช่เพราะฮันบินหลงมาคบกับคนอย่างเขาเมื่อสิบปีก่อน ฮันบินคงไม่ต้องเข้ามาที่นี่ด้วยซ้ำ.

                ตอนที่เขายังเรียนม.ต้น เขาเข้าไปรู้จักกับฮันบินโดยบังเอิญ บ้านเก่าของผมกับฮันบินอยู่ละแวกเดียวกัน และนั่นทำให้เขาเริ่มที่จะสนิทกันมากขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ

     

              สนิทกันมากพอที่จะสังเกตได้ว่าฮันบินไม่ใช่คนปกติทั่วไป

     

                เป็นเขาเองที่พอฮันบินไว้ใจบอกความลับของตัวเอง กลับไม่เลือกที่จะเก็บไว้เงียบอย่างที่ควร ผิดเองที่ปล่อยให้ลุงเข้ามายุ่งกับฮันบินและพาฮันบินเข้ามาที่นี่

                ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าคนคนนั้นไม่ใช่คนดี.... แต่ก็ยอมเล่าเรื่องฮันบินบนโต๊ะอาหารเย็นอย่างไม่ได้เอะใจแต่น้อย ตอนนั้นเขารู้แค่ว่าบ้านของเขาเป็นเจ้าของโรงพยาบาล และคิดว่าอย่างน้อยถ้าพูดออกไป ทั้งลุงและพ่อของเขาก็คงจะหาทางช่วยรักษาฮันบินได้บ้าง

     

     

              ไม่รู้เลยว่ามันทำให้ครอบครัวของฮันบินนั้นต้องเจอกับอะไร

     

     

     

                ฮันบินถูกลบหายไปจากเกาหลีอย่างถาวร เหมือนกับไร้ซึ่งตัวตนมาก่อน รวมถึงครอบครัวใกล้ชิดของฮันบินด้วย บ้านของครอบครัวคิมถูกซื้อโดยลุงของผมและทุบทิ้งสร้างเป็นบ้านพักคนงานและโรงจอดรถให้ครอบครัว

     

     

                และตัวผมเองที่ไม่รู้เรื่องอะไรซักอย่าง

     

     

     

    ผมโดนส่งไปอเมริกา พ่อของผมก็เสียด้วยโรคหัวใจ ส่วนแม่ก็แต่งงานใหม่กับเศรษฐีแถบรัสเซีย นั่นมันทำให้ชีวิตของผมเขวไปพักใหญ่จนลืมเรื่องของฮันบินไปซะสนิท ผมเข้ามาอยู่ในความดูแลของลุงอย่างเต็มรูปแบบ ผมเรียนจบและเชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดสมองและระบบประสาทมากที่สุด

     

     

    ก่อนที่ลุงจะเริ่มให้ผมเข้ามามีบทบาทในโรงพยาบาลอย่างจริงจัง

    ลุงของผมเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับสองของลอว์ไลท์ รองจากพ่อของคังซึงยุนที่เป็นประธานอยู่ในตอนนี้ ผมพึ่งเข้ามาในลอว์ไลท์ครั้งแรกตอนเกือบจะเรียนจบ ในตอนแรกมันก็น่าสนใจดี จนกระทั่งถึงตอนที่ผมรู้สึกว่าอะไรๆบางอย่างมันไม่เป็นไปตามที่คิด

     

     

    ผมเริ่มพยายามตีตัวออกห่างจากลุงมากขึ้น ซึ่งก็ได้ยากอะไรเพราะผมใช่คนที่สนิทกับเขามากมายขนาดนั้น และเกือบจะหนีไปทำงานที่โรงพยาบาลโซลได้อยู่แล้วถ้าไม่ติดที่เรื่องของฮันบินลอยมาเข้าหูซะก่อน

    เพราะอย่างนั้นถึงได้ให้คนไปสืบเรื่องทั้งหมดจนเจอความจริง

     

     

                หลังจากนั้นการพาตัวเองหนีไปจึงไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไป แต่เป็นการพาคิมฮันบินออกไปจากที่นี่ต่างหาก

                ผมเองไม่ใช่คนที่อิทธิพลในโรงพยาบาลอะไรมาก ผมพึ่งเข้าเป็นหมอที่นี่ได้ไม่นานมาก ถึงจะมีตำแหน่งหลานชายของผู้ถือหุ้นลำดับสองหนุนหลังอยู่ แต่การจะพาคนไข้ออกไปจากที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมพยายามที่จะโอนฮันบินเข้าอยู่ภายใต้การดูแลของตัวเอง ในขณะเดียวกันกับที่หนึ่งในทีมของผมคิดค้นยาตัวนั้นได้สำเร็จ

                หลังจากนั้นผมเลยอาสาที่จะเซ็นต์รับโครงการนี้เข้ามาดูแลเอง และเลือกฮันบินเข้ามาเป็นตัวอย่างการทดลอง

                ถ้าทุกอย่างยังเป็นไปตามที่ผมคิด การทดลองนี้จะไม่ยืดเยื้อไปมากกว่านี้เท่าไหร่ เขาได้ใช้ยาของที่นี่รักษาอาการอัลไซเมอร์ของฮันบินต่อไป พร้อมๆกับทดลองยานั่นเพื่อบังหน้า จนถึงวันที่ฮันบินหายดีเขาก็แค่พาอีกคนหนีขึ้นเครื่องบินส่วนตัวที่ให้ซงยุนฮยองจัดการแล้วหนีไปไกลๆ

     

     

                ผมก้มลงมือแหวนที่ยังอยู่ที่นิ้วนาง เกือบจะโยนมันลงไปในถังที่ไฟยังคงลุกอยู่ถึงแม้จะอ่อนแรงลงไปมาก...แต่สุดท้ายก็ยั้งมือไว้ก่อนจะเปลี่ยนใจเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานเเละเก็บมันไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของลิ้นชัก...

     

               

    ผมหยิบเอามือถือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาและต่อสายหาใครบางคน

               

                “นายมีเวลาสิบนาทีหลังจากฉันออกมาจากห้องนั้น ถ้านายพลาด ไม่ว่านายจะอยู่ส่วนไหนของโลกฉันจะฆ่านาย ซงมิโน”

                ไม่ต้องรอให้ปลายสายตอบผมรีบกดตัดสายทันที

                นี่เป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว

     

                แต่เป็นทางที่เขาจะมี่วันเห็นฮันบินอีกตลอดชีวิต

     

     

    "คุณหมอคะ คนไข้คิมฮันบินพร้อมแล้วค่ะ"

                ผมสูดหายใจเข้าลึกๆอีกครั้ง

                "ผมจะไปเดี๋ยวนี้"

     

     

     

               

     

     

     

     

    CHANWOO’s SIDE

     

    เพราะมันมีบางอย่างที่เรากำหนดเองไม่ได้

    ผมเงยหน้ามองป้ายโฆษณาที่มีคำพูดคำนี้สกรีนอยู่กลางป้ายในสนามบินที่ผมกำลังยืนอยู่ในตอนนี้

     

     

     

     

    เหลือบตาก้มลงมองตั๋วเครื่องบินในมือของตัวเองอีกครั้ง... ชื่อปลายทางที่อยู่ห่างออกไปทำให้ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆอย่างตื่นเต้น ผมเหลือบมองตำรวจสองคนที่เดินตามประกบไม่ห่างพร้อมๆกับถอนหายใจออกมายาวๆ

    พวกเขาทำเหมือนผมเป็นนักโทษ ทั้งๆที่ผมวิ่งออกมาจากที่นั่นเพราะอยากมีอิสระ แต่เอาเข้าจริงๆผมกลับยังไม่ได้มันอย่างที่ควร

     

    ทั้งสูญเสียซงยุนฮยองไป... และยังไม่ได้คงไร้จุดหมายในการใช้ชีวิตอยู่ดี

     

     

    เพราะมาตรการป้องกันพยานนั้นทำให้ต้องมีตำรวจคอยเฝ้าผมตามทุกฝีก้าว แถมผมเองก็ต้องอดทนอยู่แต่ในพื้นที่ที่ทางหน่วยของยุนฮยองจัดให้

    เขาบอกว่าคำให้การของผมนั้นจะสำคัญในชั้นศาล ผมเป็นคนไข้คนแรกที่หนีออกมาจากที่นั่นได้ ผมได้รับบาดเจ็บระหว่างหลบหนี นั่นทำให้พวกเขาสามารถตั้งข้อหาเพิ่มกับลอว์ไลท์ได้ ดังนั้นทางที่ดีผมควรออกไปให้ไกลอำนาจของลอว์ไลท์มากที่สุด

     

    คิม ดงฮยอก คนที่คอยอธิบายเรื่องราวต่างๆเล่าให้ผมฟังว่า ลอว์ไลท์นั้นมีอำนาจแผ่ขยายไปทั่วทั้งเกาหลี ทุนวิจัยและเงินที่ได้เมื่องานวิจัยสำเร็จนั้นมีมูลค่ามหาศาล พวกผู้บริหารของลอว์ไลท์ต่างต้องไม่ใช่ธรรมดากันทั้งนั้น เส้นสายเลยยิ่งหนาและกระจายไปทั่ว เคยมีคนพยายามจะเสนอคดีลอว์ไลท์แล้วแต่สุดท้ายมันก็ถูกปัดตกไปก่อนที่คนยื่นเรื่องจะหายสาบสูญไปตลอดกาล

    พวกเขาเองก็ทำงานได้ลำบากอยู่แล้วกับการพยายามหลบหลีกสายข่าวของลอว์ไลท์ ยิ่งถ้ามีผมมาป้วนเปี้ยนอยู่อาจจะทำให้แผนของพวกเขาแตกได้

     

    หน่วยของยุนฮยองทำงานเกี่ยวกับลอว์ไลท์มาเกือบปีแล้ว... ถึงแม้ทุกคนในหน่วยจะรู้ความจริงกันหมดแต่หลักฐานที่มีก็ไม่เคยเพียงพอต่อการจะยื่นขอหมายจับเลยซักครั้ง

     

    พวกเขาต้องการอะไรที่แน่นหนาพอที่จะมั่นใจว่าจะดิ้นไม่หลุดแน่ๆ ยิ่งถ้ารีบทำอะไรผลีผลามไปจะยิ่งเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นขึ้นมาอีก รวมถึงการทำงานทุกอย่างยังต้องเก็ยเป็นความลับจากสาธารณะชนอีกด้วย

    ผมกำลังจะนั่งเครื่องบินไปฮ่องกง ตำรวจที่นั่นแอบทำงานโคอยู่กับที่เกาหลี ดูเหมือนว่าบางส่วนในคนไข้ที่ลอว์ไลท์จะมีคนสัญชาติฮ่องกงติดมาด้วย นั่นทำให้ตำรวจฮ่องกงให้ความสนใจกับคดีนี้ แถมยังดูจะสนับสนุนมากกว่าฝั่งเกาหลีซะอีก

     

    ใช้เวลาไม่นานนักผมก็เดินเข้าถึงหน้าเครื่องบินที่ประทับธงเกาหลีไว้ที่ท้ายเครื่อง มันคงเป็นเครื่องบินของรัฐนั่นแหละ ผมเดินเข้าไปในเครื่องพร้อมๆกับตำรวจที่ขนาบข้าง ก่อนจะมองไปรอบๆตัวเครื่อง มันไม่ต่างอะไรจากเครื่องบินในภาพความทรงจำของผมเท่าไหร่นัก แค่มันมีขนาดเล็กกว่า และยังร้างผู้คนอีกด้วย

    ตั๋วเครื่องบินในตอนแรกที่ยุนฮยองซื้อไว้ให้ผมถูกยกเลิกไปก่อนจะแทนที่ด้วยการย้ายผมไปให้อยู่ในความดูแลของดงฮยอกที่คอยประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติแทน เขาเลยจัดการหาไฟลท์พิเศษมาให้

     

    เจ้าหน้าที่สองคนเดินออกห่างผมไปตอนที่ประตูเครื่องบินถูกปิดลงมา

     

    และความเงียบก็เข้ามาแทนที่

    เจ้าหน้าที่ทั้งคู่แยกย้ายกันไปคนละทาง ทิ้งผมให้ยืนนิ่งอยู่กลางทางเดินอย่างไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก

    ผมเลือกที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะวางกระเป๋าเป้ใบเดียวที่ติดตัวมาลงกับที่นั่งข้างๆ หยิบเอาโทรศัพท์ที่ติดตัวมานั่งกดเล่นๆ

     

    มือถือเครื่องนี้ดงฮยอกพึ่งจะให้ผมมาเมื่อราวๆสองสามวันก่อน เขาให้มาเผื่อผมจะเอาไว้ใช้ติดต่อใครที่ไหน ผมยังใช้มันไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่หรอก เลยชอบเอาขึ้นมากดนู้นกดนี้ไปเรื่อยๆ

     

    เข้าๆออกๆอัลบั้มรูปภาพที่มีรูปของซงยุนฮยองเป็นร้อยครั้ง...

    ผมคิดถึงเขาจริงๆนะ....

     

     

     

     

     

     

     

     

    ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง

     

    มันเป็นครั้งแรกที่ชานอูรู้สึกถึงการเป็นธาตุอากาศอย่างแท้จริง

    เขาถูกส่งมาอยู่ในหอพักตำรวจแห่งหนึ่ง... โดยที่จะไปไหนก็ได้ที่มีกำไลข้อเท้าตามตัวติดไปด้วยเสมอ...

     

     

     

    โอเค...มันก็ดูเรียบง่ายดี เขาถูกปล่อยเกาะกลางประเทศที่เดินไปมีแต่คนพ่นอะไรไม่รู่ใส่กันโดยที่แค่เงินหกร้อยดอลลาร์ฮ่องกง ห้องพักที่ดีพอสมควรทำให้เขาโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เขาเริ่มต้นจากแกะของในกระเป๋าเป้ของตัวเองออกมาก่อน ก่อนจะเดินไปรอบๆห้องเพื่อสำรวจ

    ในห้องนี้พอจะมีเสื้อผ้าอยู่บ้าง มันเป็นกางเกงยันส์สองตัวกับเสื้อยืดสีขาวอีก5ตัว รวมถึงของใช้จำเป็นหลักๆที่วางอยู่เป็นหมวดหมู่

     

    เขากวาดสายตามองไปรอบๆห้องอีกครั้ง มองอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม

    ที่นี่ไม่มีกล้องวงจรปิด

     

    ก้มมองของที่ถูกรื้อออกมาจากกระเป๋า.... ทั้งเครดิตการ์ดของยุนฮยองและหนังสือเกี่ยวกับฮ่องกงสองสามเล่มที่ดงฮยอกให้มา

    ถอนหายใจออกมายาวๆ

    พยายามรวบรวมสติคิดถึงสิ่งที่เขาควรจะทำเป็นอย่างต่อไป เรื่องทั้งหมดยังไงมันก็ดูจะยังไม่น่าเชื่ออยู่ดี

     

     

     

    ผมจับกระเป๋าพลิกคว่ำลง... ก่อนเปิดช่องรอยขาดเล็กๆที่ใต้กระเป๋า กระชากจนรอยเย็บที่ถูกเย็บแบบลวกๆขาดออกจากกันเผยให้เห็นมือถือเครื่องเล็กอีกครั้งที่ถูกซ่อนตัวอยู่

     

    ชานอูค่อยๆหยิบมันขึ้นมาอย่างชั่งใจ

    จะให้พูดตรงๆ ชานอูไม่ใช่คนดีเท่าไหร่หรอก

     

    ก่อนจะกดโทรออกไปหาเบอร์เดียวที่ถูกเมมไว้ในมือถือ เพียงแค่ไม่กี่วินาทีต่อมาปลายสายก็กดรับราวกัลกำลังรอสายจากเขาอยู่พอดี

     

     

    “ผมชานอู.... ผมคิดว่ามีเรื่องที่คุณควรจะรู้ กูจุนฮเว”

     

     

     









    talk 


    รับผิดเเต่โดยดีโทษฐานสาบสูญไปนาน เเต่คราวนี้จะพยายามเเต่งให้จบนะ...!!!

    เอาจริงๆเรื่องนี้เอง ตามพล็อตที่วางไว้ก็อีกเเค่ไม่เกิน 5 ตอนก็จบเเล้วเเหละ 

    เห็นมีหลายคนถามว่าเรื่องนี้จบสวยไม๊... อืม เอาจริงๆต่อจากนี้จะมีฉากพีคๆอีกนะ ดังนั้นก็ขออุบไว้ก่อนเเล้วกัน 

    เราขอพูดว่าทุกๆคู่ในเรื่องนี้จบด้วยสีเทาดีกว่า :)


    ตอนต่อไปจะเป็นคิวของจุนฮวานนะ ฮุฮุ 

    สปอยเบาๆ


    นาฬิกาเริ่มเดินถอยหลังแล้ว

    แต่คิมจินฮวานไม่มีวันที่จะถอยหลังได้อีก 



    ปล. ใครลืม ย้อนไปอ่านตอนเก่าๆก่อนเนอะ ขนาดคนเเต่งยังต้องย้อนไปอ่านอีก 2 รอบกว่าจะเเต่งต่อได้เลย ถถถถถ

    ปล.2 อย่าปล่อยให้เราเดียวดายนะ อยากอ่านฟีดเเบคของรีดเดอร์เหมือนกัน TT







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×