ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [IKON] "HOODWINK" DoubleB&Junjin

    ลำดับตอนที่ #12 : file10 :: now [100%]

    • อัปเดตล่าสุด 14 มิ.ย. 58




    I wish that when I wake up you're there
    To wrap your arms around me for real
    And tell me you'll stay by side





    CHANWOO's SIDE


    เสียงของผู้คุมที่เริ่มห่างออกไปเรื่อยๆทำให้ผมถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก


    ในที่สุดผมก็ใกล้เคียงกับความจริงที่จะหนีออกไปจากที่นี่ได้จริงๆ หลังจากวิ่งมาจนจำทิศทางแทบไม่ได้ วิ่งมาจนแทบจะปรับตัวเองให้กลับมาหายใจปกติไม่ได้ด้วยซ้ำ

    ผมค่อยๆพิงตัวเองเข้ากับต้นไม้ข้างทางอีกครั้ง พยายามที่จะรวบรวมสติที่เริ่มถูกกลืนหายไปจากการวิ่งแบบไร้จุดหมายมาเป็นชั่วโมง

     

    ผมออกมาตั้งแต่ฟ้าเริ่มมืด จนตอนนี้พระจันทร์เลยกลางหัวไปแล้ว

    ดาวที่แข่งกันเฉิดฉายเต็มท้องฟ้านั่นก็ดูดีจนผมแทบจะอยากลงไปกองกับพื้นเฝ้ามองมันตลอดไป

     

    ผมยืนอยู่ตรงนั้นซักพัก ขาหนักอึ้งไปด้วยความเมื่อยล้าจากการวิ่งติดต่อกันเป็นชั่วโมงๆ มันหนักซะจนแทบจะทำให้ผมลงไปคลานกับพื้นด้วยความเหนื่อยอ่อน

    แต่ก็รู้ดีว่าทำแบบนั้นไม่ได้

    ไม่มีวัน... ยอมมาจบลงตรงนี้เด็ดขาด

     

    ผมมองไปรอบๆอีกครั้ง ใจนึงอยากจะรีบออกไปจากที่นี่ไวๆ แต่อีกใจก็ลังเล... บางทีผมควรวิ่งกลับไปดูตรงที่ทิ้งฮันบินไว้ ถ้าโชคดี บางทีฮันบินอาจจะยังไม่โดนจับไป...

    ผมพยายามให้กำลังใจตัวเองทั้งๆที่รู้ดีว่าโอกาสมันเป้นไปได้น้อยมาก... ตอนที่วิ่งออกมาไม่นานผมได้ยินเสียงปืนด้วยซ้ำ ที่ทำได้ก็แค่หวังว่า มันจะไม่ได้มีเป้าหมายเป็นฮันบิน

     

    ทันทีที่เริ่มถ่ายน้ำหนักจากที่พิงต้นมายืนด้วยขาของตัวเอง ควาเจ็บปวดจากต้นแขนก็แล่นเข้ามา... จริงด้วย... ผมโดนยิงที่แขนนี่น่า ผมเหลือบไปมองเลือดที่ยังไหลไม่หยุดจนย้อมเสื้อกาวน์สีขาวเป็นสีแดงฉานก่อนจะยกแขนอีกข้างไปประคองแขนเอาไว้

    เพราะเมื่อกี้มัวแต่วิ่งเลยไม่รู้สึกเจ็บ

     


    ผมค่อยๆพาตัวเองไปตามทิศที่พอจะเห็นกำแพงอยู่ลิบๆตามยอดไม้ มันใช้เวลาไม่นานมากจนผมมาถึงที่รั้ว

    ลอว์ไลท์ล้อมรอบไปด้วยป่าโปร่งนับร้อยไร่ ก่อนจะมีรั้วกั้นอีกที และเพราะพื้นที่มากมายขนาดนั้นทำให้พอจะสรุปได้ว่าเวรยามคงจะได้รัดกุมอะไรมาก

    ผมเงยหน้ามองรั้วที่ทอดเป็นแนวยาว พอจะเห็นผู้คุมอยู่ลิบๆ

    อิสระอยู่เพียงแค่เอื้อมมือ

     

    และอีกไม่นานมันจะต้องไกลออกไปแน่ๆถ้าเขายังมัวแต่โอ้เอ้ อีกนานคนจะต้องเต็มไปหมดแน่ๆ ขนาดแค่ตอนนี้เขายังได้ยินเสียงคนโวยวายดังก้องไปก้องมาเต็มไปหมด

    แต่ก็ไม่มากเท่าที่เขาคาดการณ์ไว้ คงเป็นเพราะลอว์ไลท์ได้ตัวฮันบินไปแล้วนั่นเหละ

    มันเห็นได้ชัดจากการที่ฮันบินเป็นคนไข้เกรด A แต่เขาเป็นแค่คนไข้เกรด C เกรดพวกนั้นจะปรากฏอยู่ที่ข้อมือของคนไข้ทุกคนนับตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาที่นี่ ถ้าได้ตัวฮันบินแล้ว เขาคงไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากอีกต่อไป

     

    ผมเริ่มจากการโยนกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ข้ามไปก่อน ถึงรั้วจะไม่สูงมากนัก แต่เพราะต้องใช้แขนเหวี่ยงมันเลยส่งผลต่อแผลอยู่ดี

    ผมกัดฟันพยายามที่จะไม่ร้องออกมาก่อนจะรีบพาตัวเองปีนขึ้นไปตามซี่รั้วช้าๆด้วยมือข้างเดียว

    เพียงแค่ไม่นานผมก็ข้ามมาอีกฝั่งได้สำเร็จ พอออกมาจากที่นั่น ก็สิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าก็เป็นถนนสองเลนตัดผ่านทันที

     


    ผมคว้ากระเป๋าที่พื้นขึ้นมาสะพานอย่างรวดเร็วก่อนจะวิ่งข้ามไปอีกฝั่งที่เป็นชายป่าเช่นเดียวกันพยายามใช้ต้นไม้พรางตาและเริ่มออกวิ่งอีกครั้งลึกเข้าไปในตัวป่าพอสมควร

    ลึกแค่พอมองเห็นเเสงไฟจากถนน ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางมาเดินเลียบถนนไปเรื่อยๆแทน

    แค่ไมล์เดียวเท่านั้น... แค่ไมล์เดียวก็จะถึงปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุดเท่าที่บ๊อบบี้บอก เมื่อถึงตรงนั้นเขาคงหารถเข้าเมืองได้



    แค่ไมล์เดียวเท่านั้น....

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ผมแทบจะบรรยายความรู้สึกของตัวเองตอนเห็นแสงไฟรำไรที่สุดสายตาไม่ออก

    ....มันใช้เวลานานกว่าเขาจะพาร่างกายของตัวเองมาไกลขนาดนี้ แต่เมื่อเห็นแสงนั้นมันทำให้ความรู้สึกบางอย่างปะทุขึ้นมา

    ผมหนีออกมาได้แล้ว...

    หนีออกมาได้แล้วจริงๆ

     

    วิ่งออกไปโดยไม่ทันคิด ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง...

    ผมรีบตรงเข้าไปในปั๊ม พยามยามเลาะไปตามทางที่มีคนน้อยที่สุด ถึงจะป่านนี้แล้วแต่ยังคงมีพวกคนขับรถบรรทุกหลายคนจอดรถนั่งกันอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อที่ยังเปิดอยู่เป็นร้านสุดท้าย เลือดที่ชุ่มไปทั่วแขนเสื้อของผมมันเด่นเกินไป และในขณะเดียวกันก็กวาดสายตาหาถังขยะที่บ๊อบบี้พูดถึง

    และก็เจอมันตั้งอยู่หลังร้านค้าเล็กๆที่ปิดไปแล้ว.. แน่ล่ะนี่มันตีสามตีสี่ได้แล้ว

    ผมตรงเข้าไปเรื้อมันอย่างไว ก่อนจะพบกระเป๋าสีดำที่ถูกซ่อนไว้ใต้ตัวถัง ผมรีบคว้ามันขึ้นมาก่อนจะตรงเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆ

    เมื่อเปิดออกก็พบเสื้อแจ็คเกตสีดำ เสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนส์ ผ้าปิดปากสีดำ และรองเท้าผ้าใบ ผมรีบแกะของพวกนั้นออกมาจากซองใสที่บรรจุอยู่ และเริ่มลงมือเปลี่ยนเสื้ออย่างเร็ว

    ใช้เสื้อตัวเก่า ฉีกมันออกมานิดหน่อยพันไว้ที่แขนที่เลือดยังทำท่าจะไหลออกมาเรื่อยๆ

    เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็หันกลับไปมองที่กระเป๋าอีกรอบ มันมีเงินสดอยู่ไม่น้อย พร้อมกับปืนกระบอกหนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่  ดูเหมือนว่าวันนี้ผมจะได้จับปืนหลายครั้ง

    ผมรื้อกระเป๋าเป้ที่ติดตัวมาตั้งแต่หนี มันเปียกโชกหลังจากตอนที่กระโดดน้ำ โชคดีที่เอกสารทั้งหมดอยู่ในซองพลาสติกที่ถูกปิดอย่างดีไม่งั้นของทั้งหมดนี่คงพังไปแล้ว

    ผมจัดการยัดของทั้งหมดลงไปในกระเป๋าสีดำที่ได้มาใหม่ ก่อนจะสะดุดเมื่อมองไปเจอกระดาษแผ่นเล็กที่ถูกซุกไว้ในกระเป๋า

    มันเปียกไปหมด แต่ตัวหนังสือนั้นยังเห็นได้ชัดเจน

     

    ที่อยู่ของซงยุนฮยอง

     

    ผมค่อยๆหยิบมันขึ้นมา ก่อนจะถวาดสายตาไปทั่ว ผมต้องไปที่นั่น บางทีอย่างน้อยซงยุนฮยองอาจจะหาคนเข้าไปช่วยฮันบินได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นจัดการยัดชุดเก่าของตัวเองลงไปในเป้ก่อนจะโยนทิ้งไว้ในถังขยะใบใหญ่ในห้องน้ำ มือหนึ่งคว้าปืนออกมาจากกระเป๋า อีกมือพยายามถือกระเป๋าไว้อย่างทุลักทุเล

     

    ตรงไปยังใครซักคนที่กำลังนั่งสูบบุหรี่คนเดียวอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ

    หยิบเงินปึกใหญ่ออกมาและโยนลงไปที่ตักของคนคนนั้น

     

    “ไปXXX โซล” ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

    ชายคนนั้นทำหน้าตกใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาเหมือนหวาดกลัว เขาค่อยๆจับเงินก้อนนั้นขึ้นมาด้วยมือสั่นนิดๆก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงตกลง

    ผมเบี่ยงตัวเล็กน้อยให้เขานำไปที่รถ ก่อนจะค่อยๆเดินตามไปช้าๆ

    รถบรรทุกคันใหญ่ที่ตอนนี้ท้ายรถว่างเปล่าจอดอยู่ตรงหน้า คนขับรถขึ้นรถไปก่อน ก่อนที่ผมจะเดินอ้อมไปขึ้นอีกฝั่ง

    ผมสำรวจภายในรถอยู่ซักครู่จนั่นใจว่าไม่น่าจะมีอันตรายก็เริ่มผ่อนคลายขึ้นมา ทันทีที่หัวแตะถึงเบาะรถ สติของผมก็หลุดลอยหายไป

     

                มันยาวนานจริงๆสำหรับผม... ผมผ่านอะไรมามากเกินไป

    ช่างเป็นวันที่ยาวนานสำหรับผมจริงๆ

     

     

     

     

     


    ผมลืมตาอีกครั้งเมื่อแดดเริ่มแยงตา

    พอตั้งสติได้ก็พบว่าตัวเองกำลังเข้าเขตโซลซะแล้ว ความทรงจำของเด็กวัย 7 ขวบตอนที่ยังอยู่ที่นี่มันจางหายไปมากแล้ว แต่ที่ผมมั่นใจมากๆอย่างนึงคือมันเปลี่ยนไปจากตอนที่ผมจากมามากจริงๆ

                ตอนนั้นตึกสูงยังไม่มากขนาดนี้ และยังดูไม่มีแสงสีมากขนาดนี้ด้วย

    ผมมองทอดไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะหันไปถามคนขับ


    “อีกไกลแค่ไหน”

    “ไม่ จริงๆมันถึงแล้วแหละ” เขาตอบในขณะที่รถจออดลงพอดีพลางชี้ไปที่ตึกสูงตึกหนึ่ง “ตึกนั้น”

     

    ผมมองออกนอกหน้าตามทางที่เข้าชี้ก่อนจะไปปะทะกับตึกสูงระฟ้าตึกหนึ่ง... คอนโดหรูใจกลางเมือง

     

    สิ่งยืนยันที่ทำให้ผมรู้ว่าซงยุนฮยองคงจะไม่ธรรมดาอย่างที่คิดจริงๆ

     

    ผมรีบคว้ากระเป๋าไว้ก่อนจะลงจากรถ นี่มันเช้าแล้ว... ผมทิ้งฮันบินไว้ตั้งแต่กลางคืน และตอนนี้สว่างมากแล้วความรู้สึกผิดทำให้ผมยิ่งเร่งฝีเท้าตัวเองให้เร็วขึ้นอีก

    ป่านนี้ถ้าไม่โดนจับ... ฮันบินก็คงแย่อยู่ดี ขนาดผมที่โดนยิงแค่ที่แขนยังเจ็บขนาดนี้ แล้วฮันบินที่โดนยิงเข้าไปหลายนัดขนาดนั้นจะเป็นยังไง

     

    อาการเสียเลือดทำให้ภาพตรงหน้าของผมเบลอเป็นระยะๆ แต่ก็ยังกัดฟันเดินจ้ำต่อไปเรื่อยๆ

    เดินผ่านประตูใหญ่ พร้อมเสียงเอะอะโวยวายจากรปภ.ที่เข้ามากั้นไม่ให้ผมเข้าไปในตัวอาคาร

     

    ภาพตรงหน้าค่อยๆพร่าเลือนลงเรื่อยๆ  พร้อมๆกับเรี่ยวแรงที่หายไปอย่างน่าตกใจ

     

    “คุณเข้าไปไม่ได้นะ มาหาใครน่ะ”

    สิ่งสุดท้ายที่ผมเห็นลงจะเป็น...ภาพของใครซักคนที่วิ่งออกมาจากประตูทางเข้าตึกอย่างเร็ว 

     

     


    “ผมมาหา... ซงยุนฮยอง...” 





    50%





    “ฮันบินฮยอง!ผมสะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมความเจ็บหน่วงๆที่แขน

     

    “ฟื้นแล้วหรอ” เสียงของใครบางคนที่คุ้นเคยดังขึ้นใกล้ๆ และเมื่อผมหันไปก็พบว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากยุนฮยอง

    “ยุนฮยอง...”

    “เรื่องของฮันบิน... พวกฉันกำลังพยายามจะช่วยอยู่ นายหลับไปวันนึงได้ ฉันเอากระสุนออกให้แล้ว นายโชคดีนะที่ไม่โดนเส้นเลือดใหญ่ไม่งั้นนายคงโดนตัดแขนไปแล้ว” ผมมองตามแผ่นหลังของยุนฮยองที่กำลังเดินไปที่โต๊ะตัวเล็กๆที่อยู่ห่างออกไป

    ผมใช้เวลาระหว่างนั้นมองสำรวจไปรอบๆห้อง ผมนอนอยู่ในห้องนอนขนาดใหญ่ ขวามือมีกระจกที่เผยให้เห็นวิวของทั่วทั้งโซล



    “พี่เป็นใครกันแน่” ยุนฮยองชะงักไปชั่วครู่

    “...ฉัน...ก็แค่เป็นฉัน”

    “พี่ไม่ได้เป็นยุนฮยองที่เล่าให้ผมฟังแน่ๆ ตอบผมมาเถอะ ซง ยุนฮยอง”

     

    เขาเงียบไปอึดใจนึง ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับผม

     

    “โอเค... ตั้งใจฟังดีนะ จองชานอู”

    “...”




    ฉัน...เป็นตำรวจ ฉันทำงานให้หน่วยที่กำลังรับผิดชอบการสืบสวนลอว์ไลท์อย่างลับๆ”




     ตำรวจ..งั้นหรอ..? แสดงว่าที่ผ่านมาเขาก็โกหกผมมาตลอดสินะ

     


    “ขอโทษที่ต้องหลอกนาย แต่มันเป็นงานของฉัน”


    มันไม่ได้น่าตกใจเหมือนที่ผมคิดตอนแรก... แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกแปลกๆในอก ความรู้สึกโหวงๆเหมือนกับว่ากำลังสูญเสียอะไรบางอย่างไป

    “ฉันมีคู่หมั้นแล้ว... ชื่อ จองจินฮยอง คอนโดนี้ก็ไม่ใช่ของฉัน จินฮยองให้ฉันมาอยู่ที่นี่ชั่วคราวจนกว่าเรื่องที่ลอว์ไลท์จะจบ”

     

     

    “พี่คงจะรักเขามาก”

    “...พวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก”

    “แสดงว่าเรื่องทั้งหมดที่พี่เล่าให้ฟังตอนอยู่ในโรงพยาบาลนั่นก็... โกหกสินะ”

    “ไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็ส่วนใหญ่... ใช่ ฉันโกหกนาย”

    “...” ผมมองตามยุนฮยองที่หันหน้ากลับมาพอดี... ดวงตาเศร้าๆนั่นทำให้ผมรู้สึกแปลก

     

     

    คงเพราะเขาต้องรู้สึกสงสารผมแน่ๆ และผมก็เกลียดความรู้สึกนี้ซะเหลือเกิน... มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่ขยะไร้ค่า

    ยุนฮยองส่งยาสองเม็ดมาตรงหน้าผมพร้อมกับน้ำเปล่าอีกแก้ว

     

    “พี่ไม่เคยคิดอะไรกับผมเลยจริงๆสินะ...” ผมถามออกไปตามความรู้สึกตัวเอง ก่อนจะรับเอายาทั้งสองเม็ดมาไว้ในมือ และกินมันเข้าไป

     

     “นายเป็นน้องชายของฉันชานอู... น้องชายคนนึง ฉันถึงจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินนั่นให้นาย ถ้าเรื่องพวกนี้จบลงเมื่อไหร่ ฉันจะส่งข่าวไปบอกนายเอง คนของฉันกำลังพยายามตามหาครอบครัวของนายอยู่ เมื่อเรื่องพวกนี้จบนายจะได้ย้ายกลับไปหาพวกเขา”

    “เพราะอย่างนั้นพี่ถึงจะส่งผมไปฮ่องกงใช่ไม๊ เพราะพี่ไม่อยากเจอผม”

    “เชื่อฉันเถอะว่ามันจะดีต่อเราทั้งคู่ชานอู”

    “แค่ตอบผมตรงๆไม่ได้หรอยุนฮยอง บอกความจริงกับผมมาซักที”

    “...”

    “...”

     

     

    “ไม่ว่าอะไรที่นายกำลังคิด ฉันทำไม่ได้ชานอู ฉัน....ฉันเลิกกับจินฮยองไม่ได้...”

    “ทำไม..?”

     

    แววตาของยุนฮยองกำลังสั่น....เหมือนเขากำลังจะร้องไห้ออกมา

     

    “ฉํนโตมาจากบ้านเด็กกำพร้า จินฮยองกับพี่ชายเขาด้วย พวกเราดิ้นรนกันมานานกว่าจะเข้ามายืนในจุดๆนี้ได้... เขาอยู่ข้างๆฉันมาทั้งชีวิต... จินฮยองยอมแม้กระทั่งยอมหลับหูหลับตาส่งพี่ตัวเองไปทำภารกิจที่เสี่ยงมากๆเพื่อให้ฉันเข้าไปในตำแหน่งที่ปลอดภัยกว่า เพื่อให้ฉันเข้าไปเจอนาย...ฮึก” เสียงที่เริ่มสั่นครือของยุนฮยองทำให้ผมรู้สึกเศร้าแปลกๆ

    น้ำใสๆที่ไหลออกมาจากดวงตาของอีกคนทำให้ผแทบอยากจะพุ่งเขาไปกอดปลอบร่างบางเอาไว้

     

    แต่ผมเองก็ถูกแช่แข็งด้วยคำพูดของซงยุนฮยอง... ถึงประโยคมันอาจจะดูให้ความหวัง แต่ในขณะเดียวกันันกลับยิ่งยืนยันว่าไม่ว่ายังไงเขาไม่มีทางที่จะยอมไปกับผมแน่นอน

    “...และหลังจากเขาทำทั้งหมดนั่น ฉันกลับทรยศเขาไปหลงนายเข้าเต็มๆ ฉันมันเลว จองชานอู แม้กระทั่งดอกไม้ที่เขาส่งเข้าให้ทุกอาทิตย์ฉันยังเอาไปหลอกนายว่าฉันจะเอาไปโบสถ์”

    “พี่ไม่ใช่คนเลว... มันต้องมีซักทางสิที่เราจะผ่านเรื่องนี้ไปได้”

    “มันไม่มีทาง...ไม่มีเลยซักทาง... ฉันทิ้งเขาไม่ได้ชานอู แค่นี้มันก็ผิดจะแย่แล้ว ฉันนอกใจคู่หมั้นตัวเองมาเป็นปีๆยังเลวไม่พออีกหรอ

    “แล้วพี่จะทิ้งผมงั้นหรอ!? พี่ทำได้หรอซงยุนฮยอง”

    “....”

    “พี่จะทิ้งผมไว้กับโลกบ้าๆนี่ ทั้งๆที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรซักนิดแบบนี้น่ะหรอ... จะส่งผมไปฮ่องกงจริงๆสินะ”

    “นายจะไม่เป็นไร... นายยังเด็ก ไม่มีอะไรที่นายทำไม่ได้หรอก”

     

     

    “แต่....ผมมีชีวิตอยู่โดยไม่มีพี่ไม่ได้จริงๆนะ...”

    “คนเราต้องหายใจต่อไปชานอู... ไม่ว่าโลกนี้มันจะทำร้ายเราอย่างสาหัสแค่ไหน.. สิ่งเดียวที่ทำได้คือหายใจต่อไป”

     

     

               

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “คนที่มานั่งเฝ้าพี่ตอนหลับทุกวันตอนที่ยังอยู่ในโรงพยาบาล มันคือนายใช่ไม๊” เสียงที่คุ้นเคยที่ดังขึ้นทำให้ผมหลุดออกมาจากภวังค์ของตัวเอง

    .....คิมจินฮวานตื่นแล้ว

    ผมได้แต่แกล้งเสมองไปทางอื่นอย่างประหม่า

    เขารู้แล้วว่าผมแอบมานั่งมองเขาแบบนี้... เกือบทุกคืน

    “ก็...ประมาณนั้น”

     

    หลังจากที่เราจูบกันคืนนั้น ผมกับเขาก็ไม่ได้พูดกันถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอย่างจริงจังเท่าไหร่นัก

    พวกเขาสนิทกันมากขึ้นก็จริง มีหลายครั้งที่จินฮวานอาสาเข้าช่วยทำงานเล็กๆน้อยๆให้เขาเสมอ คอยตามเขาไปกินข้าว หรืออะไรก็ตามที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจที่จะอยู่กับเขามากขึ้น แต่ผมเองก็ยังไม่สามารถเอาสถานะอะไรไปรองรับคนตรงหน้านี้ได้ หรือแม้กระทั่งจะพูดถึงสัมผัสแสนหวานที่ยังติดอยู่ที่ริมฝีปากของเขาถึงตอนนี้

    และเขารู้ดี... พี่จินฮวานกำลังหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะทำให้สถานภาพระหว่างพวกเขาคลุมเครือไปมากกว่านี้

    คงเพราะสถานะของพวกเขาทั้งสองคนที่ยังดูน่าสับสนอยู่นั่นแหละ

     

    จินฮวานนิ่งไป เขาค่อยๆเขยิบเข้ามาใกล้ผม จ้องตาแป๋วจนผมไม่กล้าแม้แต่จะมองกลับไป

    เขากำลังทำให้ผมใจเต้นแทบบ้าอยู่

    “จ้องพี่แบบนี้มันสนุกตรงไหนกัน?”

    “ไม่รู้ดิ... ก็เพลินๆดี” ผมตอบไปก่อนจะถอยหน้าห่างออกมา

    “งั้นหรอ” พี่จินฮวานพูดก่อนจะหันไปทางอื่นบ้าง

    จู่ๆความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวผม.. และดันเผอิญว่าปากของผมมันก็ไวเกินกว่าจะห้ามตัวเองซะด้วย



    “พี่...เรามานอนด้วยกันเถอะ”

    “อะไรนะ?” เพราะคำถามกำกวมที่ทำเอาผมแทบอยากจะตบปากตัวเองทำให้พี่จินฮวานหันมาตะโกนเสียงดัง พร้อมกับมองผมตาขวาง

    “ไม่ๆๆ ผมหมายถึง ย้ายไปนอนห้องเดียวกันไม๊... มันน่าจะดี... ผมไม่อยากมานั่งเฝ้าพี่แบบนี้แล้ว”

    “นายบ้ารึเปล่ากูจุนฮเว ไม่กลัวฉันฆ่านายรึยังไง”

    “พี่ไม่ฆ่าผมหรอก”

    “อย่าไว้ใจใครง่ายๆ”

    “พี่ไม่ทำหรอก พี่ฉลาด ถ้าฆ่าผมไปไม่ได้ทำให้พี่หนีออกไปจากที่นี่ได้ซักหน่อย จริงไม๊?”

    “....”

    “เพราะฉะนั้น... ไปนอนด้วยกันเถอะ คิมจินฮวาน ผมไม่อยากมานั่งเฝ้าแบบนี้ทุกคืนแล้ว มันเมื่อย”

    “ฉันปฎิเสธได้ด้วยหรอ กูจุนฮเว”

     

    สีหน้าของคนตัวเล็กตรงหน้าผมนี่มันน่ารักเป็นบ้าจริงๆนะ...

    นี่ผมกำลังหลงคิมจินอวานอีกแล้ว

     

     

    “นายรู้อะไรไม๊ ฉันไม่ได้โง่นะ”

    “..?”

    “ฉันรู้ว่านายคิดอะไร และฉันรู้ด้วยว่านายรู้ว่านั่นมันเป็นไปไม่ได้”

    “ทำไมจะไม่ได้” ผมตอบไปตามที่คิด

    “ฉันอยู่ที่นี่ไปตลอดไม่ได้จุนฮเว หรือย่างน้อยฉันก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต”

    “นั่นไม่ใช่คำตอบ”

    “แต่มันเป็นความจริง ฉันมีชีวิตของฉัน และมันไม่ลงเอยด้วยการจบลงที่นี่..”

    “ถ้าพี่รู้ว่าผมคิดยังไง อย่างงั้นพี่ก็คงต้องรู้ว่าตัวเองคิดยังไงสิ พูดออกมาสิพี่ ว่าพี่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมเลย”

    “...”

    “แค่ตอบผมมาจินฮวาน แล้วหลังจากนั้นผมจะทำให้มันถูกเอง เมื่อไหร่ที่พ่อผมกลับมาทำงาน เราจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน พี่จะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมก็ได้ แค่อย่าทำเหมือนจะปล่อยผมไปแบบนี้.... จับมือผมไว้แน่นๆก็พอ”

    ความเงียบที่เข้าครอบคลุมทำให้จู่ๆบรรยากาศก็น่าอึดอัดขึ้นมาซะดื้อๆ แต่อย่างน้อยผมก็มั่นใจอะไรบางอย่างได้

    มั่นใจว่าอย่างน้อยจินฮวานก็ยังลังเลที่จะตอบ

    ผมดึงเข้าเข้ามาใกล้ๆแรงๆจนอีกคนเซตกลงจากเตียงที่นั่งอยู่ลงมายืนที่พื้นหน้าเก้าอี้ที่ผมนั่ง ผมใช้แขนตัวเองโอบไปรอบๆเอวของคนตัวเล็ก

    “....อย่าปล่อยมือฉันนะ”เสียงตอบรับเบาๆทำให้จู่ๆผมเหมือนจะลอยขึ้นมา

     

    ผมไม่ได้ฝันอยู่ใช่ไม๊?

    ผมเงยหน้าขึ้นไปองจินฮวานก่อนจะพบว่าเขากำลังมองไปข้างๆพร้อมกับแก้มที่ขึ้นสีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

    เพราะประโยคนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกเอาค้อนมาทุบที่หัว มึนไปหมด คงเพราะสมองของผมกำลังประมวลความหมายของประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฟังผิดไป

    รีบยืนขึ้นและรับคนตัวเล็กนั่นเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง

    เพราะพี่จินฮวานตัวเล็กมาก พอผมกอดเขาไว้อย่างงี้เลยแทบจะเหมือนพี่เขาหายไปเลย

     

    ผมคลายอ้อมกอดออกเล็กน้อยให้พอมีระยะห่างระหว่างพวกเราสองคนนิดหน่อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นกดจูบเบาๆลงไปแทน

                มันยังเหมือนเดิม...

                ปากของจินฮวานยังหวานอย่างน่าหลงใหลเหมือนเดิม

               

     

                ผมค่อยๆอุ้มเขาขึ้นมา ก่อนจะวางลงบนเตียงที่อยู่ด้านหลังแทน มือเล็กๆถูกยกขึ้นมาจับไว้ที่ไหล่ผม ไม่ได้ทั้งดึงผมเข้าไปและผลักออกไป

                “เชื่อใจผมไม๊?” ผมพูดตอนที่ผละออกจากอีกคน

                พี่จินฮวานหอบจนตัวโยน เสียงหายใจถี่ๆนั่นยิ่งทำให้สติของผมเลือนหายไป ส่งแรงไปที่มือของตัวเองให้ดันอีกคนลงไปนอนราบกับเตียงทันที

                ลากมือผ่านผิวขาวใต้เสื้อช้าๆก่อนจะวนไปวนมาที่สะโพกอีกคน โดยไม่ละสายตาไปจากอีกคนที่ปรือตามองอยู่

                “อื้อ...” เสียงครางเบาๆที่หลุดออกมาจากปากของจินฮวานทำให้ผมต้องกลืนน้ำลาย

                “จะทำเบาๆนะ” ผมกระซิบจินฮวานเบาๆก่อนจะได้รับสิ่งตอบแทนเป็นกำปั้นเล็กๆที่ทุบเข้ามาที่ไหล่ขวา คงเป็นเพราะอีกคนเขินนั่นแหละ

    ผมเลื่อนมือขึ้นมาปลดเสื้อเชิ้ตของเขา ก่อนจะลดมือลงต่ำล้วงเข้าไปในกางเกงของพี่จินฮวานและสัมผัสส่วนอ่อนไหวของอีกคนเบาๆ แลแค่นั้นก็ทำให้มือเล็กนั้นจิกเข้ามาที่ไหล่ผมซะแล้ว ผมค่อยๆรูดมือขึ้นเป็นจังหวะจากเบาค่อยๆรัวขึ้นเรื่อยๆ

    ห้องนี้กำลังร้องแรงขึ้น และคงจะเย็นไม่ลงง่ายๆแน่ๆ

    อย่างน้อยก็ไม่ใช่เร็วๆนี้

    จินฮวานเปลี่ยนจากมือที่จิกที่ไหล่ของผมเลื่อนขึ้นไปโอบไว้ที่ต้นคอของผมแทน หน้าอกบางที่ถูกแอ่นขึ้นเล็กน้อยตอบสนองกับสัมผัสวาบหวามที่ผมกำลังมอบให้

    ท่าทางที่ดูช่ำช่องของอีกคนที่ให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาตะหงิดๆ

    แค่คิดก็เผลอใส่แรงเพิ่มเข้าไปจนพี่จินฮวานนิ่วหน้าขึ้นมา และลืมตาขึ้นมามองผมอย่างไม่เข้าใจ

    “มี..อะไร..หึ? จุนฮเว?”

    “ไม่ใช่ครั้งแรกของพี่ใช่ไม๊?” ทันทีที่คำถามนั้นหลุดออกไปจากปากของผมพี่จินฮวานก็ได้แต่อ้าปากค้างออกมาอย่างงงๆ เขาคงนึกไม่ถึงว่าผมจะถามอะไรแบบนั้นออกไป

    “กว่าฉันจะมาที่นี่ ฉันก็ 20 แล้วนะจุนฮเว อ๊ะ...อย่าแกล้งสิ ฮื้อ...”

    “มันน่าหงุดหงิดนิดหน่อย” ผมพูดออกไปก่อนจะเริ่มกลับมาเร่งจังหวะมืออกีครั้งและประทับจูบไปทั่วใบหน้าขาวของอีกคน

    ฝากรอยไว้ทั่วคอขาว แค่เพียงไม่นานร่างของจินฮวานก็กระตุกเบาๆพร้อมๆกับน้ำสีขาวที่ถูกปลดปล่อยออกมา

    “อ่า...มันไม่สำคัญเท่าตอนนี้ฉันกำลังทำกับใครหนิ ใช่ไม๊?”พิ่จินฮวานพูดก่อนจะดันตัวเองขึ้นมาจูบผมอีกครั้งพร้อมกับเอามือสอดคล้องรอบคอผมไว้หลวมๆ

    และผมเองก็ใช้โอกาสนี้ล็อคพี่จินฮวานที่ทำท่าจะถอนจูบออกไปเอาไว้ไม่ให้ริมฝีปากของเราผละออกจากกัน

     

                กดจูบอยู่อย่างนั้นจนร่างเล็กในอ้อมแขนค่อยๆดิ้นเอเริ่มขาดอากาศหายใจจึงผละออกมาอย่างเสียดาย

                ยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะพูดกวนๆอีกคนที่หน้าแดงเห่อ

     

     

    “ไม่สำคัญเท่าที่ผมจะเป็นคนสุดท้ายของพี่หรอก คิมจินฮวาน”

     

     

    ดูเหมือนคืนนี้น่าจะเป็นคืนที่ยาวนานจริงๆ

    เพราะมันคงต้องใช้เวลานานเลยทีเดียวกว่าที่เขาจะกินจินฮวานจนอิ่ม J

     

     

     

     

     

     

    TALK

    ตอนแรกเค้าว่าจะต่อ NC .__________.

    แต่บิ้วตัวเองไม่ขึ้นจริงๆค่ะ ฟฟฟฟฟ 

    มันเเอบมีฉาก.... นิดนึง อย่ากดเเบนเค้าเลยนะ... #กราบ ไม่รู้จะตัดไปไหนจริงๆ สั้นเกิ๊นนนน

    ช่วงนี้ยุ่งมาก เรียนตลอดเลยยย ฮืออออ

    จะพยายามมาอัพบ่อยๆนะคะ


    อย่าลืมเม้น & #ฟิคลวงดบบ นะคะ

    ปล. ยังทำเเบบสอบถามกันได้อยู่นะ!




    @SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×