คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : file10 :: now [100%]
CHANWOO's SIDE
เสียงของผู้คุมที่เริ่มห่างออกไปเรื่อยๆทำให้ผมถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ในที่สุดผมก็ใกล้เคียงกับความจริงที่จะหนีออกไปจากที่นี่ได้จริงๆ
หลังจากวิ่งมาจนจำทิศทางแทบไม่ได้
วิ่งมาจนแทบจะปรับตัวเองให้กลับมาหายใจปกติไม่ได้ด้วยซ้ำ
ผมค่อยๆพิงตัวเองเข้ากับต้นไม้ข้างทางอีกครั้ง
พยายามที่จะรวบรวมสติที่เริ่มถูกกลืนหายไปจากการวิ่งแบบไร้จุดหมายมาเป็นชั่วโมง
ผมออกมาตั้งแต่ฟ้าเริ่มมืด
จนตอนนี้พระจันทร์เลยกลางหัวไปแล้ว
ดาวที่แข่งกันเฉิดฉายเต็มท้องฟ้านั่นก็ดูดีจนผมแทบจะอยากลงไปกองกับพื้นเฝ้ามองมันตลอดไป
ผมยืนอยู่ตรงนั้นซักพัก
ขาหนักอึ้งไปด้วยความเมื่อยล้าจากการวิ่งติดต่อกันเป็นชั่วโมงๆ
มันหนักซะจนแทบจะทำให้ผมลงไปคลานกับพื้นด้วยความเหนื่อยอ่อน
แต่ก็รู้ดีว่าทำแบบนั้นไม่ได้
ไม่มีวัน... ยอมมาจบลงตรงนี้เด็ดขาด
ผมมองไปรอบๆอีกครั้ง
ใจนึงอยากจะรีบออกไปจากที่นี่ไวๆ แต่อีกใจก็ลังเล... บางทีผมควรวิ่งกลับไปดูตรงที่ทิ้งฮันบินไว้
ถ้าโชคดี บางทีฮันบินอาจจะยังไม่โดนจับไป...
ผมพยายามให้กำลังใจตัวเองทั้งๆที่รู้ดีว่าโอกาสมันเป้นไปได้น้อยมาก...
ตอนที่วิ่งออกมาไม่นานผมได้ยินเสียงปืนด้วยซ้ำ ที่ทำได้ก็แค่หวังว่า
มันจะไม่ได้มีเป้าหมายเป็นฮันบิน
ทันทีที่เริ่มถ่ายน้ำหนักจากที่พิงต้นมายืนด้วยขาของตัวเอง ควาเจ็บปวดจากต้นแขนก็แล่นเข้ามา... จริงด้วย... ผมโดนยิงที่แขนนี่น่า ผมเหลือบไปมองเลือดที่ยังไหลไม่หยุดจนย้อมเสื้อกาวน์สีขาวเป็นสีแดงฉานก่อนจะยกแขนอีกข้างไปประคองแขนเอาไว้
เพราะเมื่อกี้มัวแต่วิ่งเลยไม่รู้สึกเจ็บ
ผมค่อยๆพาตัวเองไปตามทิศที่พอจะเห็นกำแพงอยู่ลิบๆตามยอดไม้
มันใช้เวลาไม่นานมากจนผมมาถึงที่รั้ว
ลอว์ไลท์ล้อมรอบไปด้วยป่าโปร่งนับร้อยไร่
ก่อนจะมีรั้วกั้นอีกที
และเพราะพื้นที่มากมายขนาดนั้นทำให้พอจะสรุปได้ว่าเวรยามคงจะได้รัดกุมอะไรมาก
ผมเงยหน้ามองรั้วที่ทอดเป็นแนวยาว
พอจะเห็นผู้คุมอยู่ลิบๆ
อิสระอยู่เพียงแค่เอื้อมมือ
และอีกไม่นานมันจะต้องไกลออกไปแน่ๆถ้าเขายังมัวแต่โอ้เอ้
อีกนานคนจะต้องเต็มไปหมดแน่ๆ
ขนาดแค่ตอนนี้เขายังได้ยินเสียงคนโวยวายดังก้องไปก้องมาเต็มไปหมด
แต่ก็ไม่มากเท่าที่เขาคาดการณ์ไว้
คงเป็นเพราะลอว์ไลท์ได้ตัวฮันบินไปแล้วนั่นเหละ
มันเห็นได้ชัดจากการที่ฮันบินเป็นคนไข้เกรด
A แต่เขาเป็นแค่คนไข้เกรด
C เกรดพวกนั้นจะปรากฏอยู่ที่ข้อมือของคนไข้ทุกคนนับตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาที่นี่
ถ้าได้ตัวฮันบินแล้ว เขาคงไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากอีกต่อไป
ผมเริ่มจากการโยนกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ข้ามไปก่อน
ถึงรั้วจะไม่สูงมากนัก แต่เพราะต้องใช้แขนเหวี่ยงมันเลยส่งผลต่อแผลอยู่ดี
ผมกัดฟันพยายามที่จะไม่ร้องออกมาก่อนจะรีบพาตัวเองปีนขึ้นไปตามซี่รั้วช้าๆด้วยมือข้างเดียว
เพียงแค่ไม่นานผมก็ข้ามมาอีกฝั่งได้สำเร็จ
พอออกมาจากที่นั่น ก็สิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าก็เป็นถนนสองเลนตัดผ่านทันที
ผมคว้ากระเป๋าที่พื้นขึ้นมาสะพานอย่างรวดเร็วก่อนจะวิ่งข้ามไปอีกฝั่งที่เป็นชายป่าเช่นเดียวกันพยายามใช้ต้นไม้พรางตาและเริ่มออกวิ่งอีกครั้งลึกเข้าไปในตัวป่าพอสมควร
ลึกแค่พอมองเห็นเเสงไฟจากถนน
ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางมาเดินเลียบถนนไปเรื่อยๆแทน
แค่ไมล์เดียวเท่านั้น...
แค่ไมล์เดียวก็จะถึงปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุดเท่าที่บ๊อบบี้บอก
เมื่อถึงตรงนั้นเขาคงหารถเข้าเมืองได้
แค่ไมล์เดียวเท่านั้น....
ผมแทบจะบรรยายความรู้สึกของตัวเองตอนเห็นแสงไฟรำไรที่สุดสายตาไม่ออก
....มันใช้เวลานานกว่าเขาจะพาร่างกายของตัวเองมาไกลขนาดนี้
แต่เมื่อเห็นแสงนั้นมันทำให้ความรู้สึกบางอย่างปะทุขึ้นมา
ผมหนีออกมาได้แล้ว...
หนีออกมาได้แล้วจริงๆ
วิ่งออกไปโดยไม่ทันคิด
ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง...
ผมรีบตรงเข้าไปในปั๊ม
พยามยามเลาะไปตามทางที่มีคนน้อยที่สุด ถึงจะป่านนี้แล้วแต่ยังคงมีพวกคนขับรถบรรทุกหลายคนจอดรถนั่งกันอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อที่ยังเปิดอยู่เป็นร้านสุดท้าย
เลือดที่ชุ่มไปทั่วแขนเสื้อของผมมันเด่นเกินไป
และในขณะเดียวกันก็กวาดสายตาหาถังขยะที่บ๊อบบี้พูดถึง
และก็เจอมันตั้งอยู่หลังร้านค้าเล็กๆที่ปิดไปแล้ว..
แน่ล่ะนี่มันตีสามตีสี่ได้แล้ว
ผมตรงเข้าไปเรื้อมันอย่างไว
ก่อนจะพบกระเป๋าสีดำที่ถูกซ่อนไว้ใต้ตัวถัง
ผมรีบคว้ามันขึ้นมาก่อนจะตรงเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆ
เมื่อเปิดออกก็พบเสื้อแจ็คเกตสีดำ
เสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนส์ ผ้าปิดปากสีดำ และรองเท้าผ้าใบ
ผมรีบแกะของพวกนั้นออกมาจากซองใสที่บรรจุอยู่ และเริ่มลงมือเปลี่ยนเสื้ออย่างเร็ว
ใช้เสื้อตัวเก่า
ฉีกมันออกมานิดหน่อยพันไว้ที่แขนที่เลือดยังทำท่าจะไหลออกมาเรื่อยๆ
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็หันกลับไปมองที่กระเป๋าอีกรอบ
มันมีเงินสดอยู่ไม่น้อย พร้อมกับปืนกระบอกหนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่ ดูเหมือนว่าวันนี้ผมจะได้จับปืนหลายครั้ง
ผมรื้อกระเป๋าเป้ที่ติดตัวมาตั้งแต่หนี
มันเปียกโชกหลังจากตอนที่กระโดดน้ำ โชคดีที่เอกสารทั้งหมดอยู่ในซองพลาสติกที่ถูกปิดอย่างดีไม่งั้นของทั้งหมดนี่คงพังไปแล้ว
ผมจัดการยัดของทั้งหมดลงไปในกระเป๋าสีดำที่ได้มาใหม่
ก่อนจะสะดุดเมื่อมองไปเจอกระดาษแผ่นเล็กที่ถูกซุกไว้ในกระเป๋า
มันเปียกไปหมด
แต่ตัวหนังสือนั้นยังเห็นได้ชัดเจน
ที่อยู่ของซงยุนฮยอง
ผมค่อยๆหยิบมันขึ้นมา
ก่อนจะถวาดสายตาไปทั่ว ผมต้องไปที่นั่น
บางทีอย่างน้อยซงยุนฮยองอาจจะหาคนเข้าไปช่วยฮันบินได้
เมื่อคิดได้ดังนั้นจัดการยัดชุดเก่าของตัวเองลงไปในเป้ก่อนจะโยนทิ้งไว้ในถังขยะใบใหญ่ในห้องน้ำ
มือหนึ่งคว้าปืนออกมาจากกระเป๋า อีกมือพยายามถือกระเป๋าไว้อย่างทุลักทุเล
ตรงไปยังใครซักคนที่กำลังนั่งสูบบุหรี่คนเดียวอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ
หยิบเงินปึกใหญ่ออกมาและโยนลงไปที่ตักของคนคนนั้น
“ไปXXX โซล” ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
ชายคนนั้นทำหน้าตกใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาเหมือนหวาดกลัว
เขาค่อยๆจับเงินก้อนนั้นขึ้นมาด้วยมือสั่นนิดๆก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงตกลง
ผมเบี่ยงตัวเล็กน้อยให้เขานำไปที่รถ
ก่อนจะค่อยๆเดินตามไปช้าๆ
รถบรรทุกคันใหญ่ที่ตอนนี้ท้ายรถว่างเปล่าจอดอยู่ตรงหน้า
คนขับรถขึ้นรถไปก่อน ก่อนที่ผมจะเดินอ้อมไปขึ้นอีกฝั่ง
ผมสำรวจภายในรถอยู่ซักครู่จนั่นใจว่าไม่น่าจะมีอันตรายก็เริ่มผ่อนคลายขึ้นมา
ทันทีที่หัวแตะถึงเบาะรถ สติของผมก็หลุดลอยหายไป
มันยาวนานจริงๆสำหรับผม...
ผมผ่านอะไรมามากเกินไป
ช่างเป็นวันที่ยาวนานสำหรับผมจริงๆ
ผมลืมตาอีกครั้งเมื่อแดดเริ่มแยงตา
พอตั้งสติได้ก็พบว่าตัวเองกำลังเข้าเขตโซลซะแล้ว
ความทรงจำของเด็กวัย 7 ขวบตอนที่ยังอยู่ที่นี่มันจางหายไปมากแล้ว
แต่ที่ผมมั่นใจมากๆอย่างนึงคือมันเปลี่ยนไปจากตอนที่ผมจากมามากจริงๆ
ตอนนั้นตึกสูงยังไม่มากขนาดนี้
และยังดูไม่มีแสงสีมากขนาดนี้ด้วย
ผมมองทอดไปนอกหน้าต่าง
ก่อนจะหันไปถามคนขับ
“อีกไกลแค่ไหน”
“ไม่
จริงๆมันถึงแล้วแหละ” เขาตอบในขณะที่รถจออดลงพอดีพลางชี้ไปที่ตึกสูงตึกหนึ่ง
“ตึกนั้น”
ผมมองออกนอกหน้าตามทางที่เข้าชี้ก่อนจะไปปะทะกับตึกสูงระฟ้าตึกหนึ่ง...
คอนโดหรูใจกลางเมือง
สิ่งยืนยันที่ทำให้ผมรู้ว่าซงยุนฮยองคงจะไม่ธรรมดาอย่างที่คิดจริงๆ
ผมรีบคว้ากระเป๋าไว้ก่อนจะลงจากรถ
นี่มันเช้าแล้ว... ผมทิ้งฮันบินไว้ตั้งแต่กลางคืน และตอนนี้สว่างมากแล้วความรู้สึกผิดทำให้ผมยิ่งเร่งฝีเท้าตัวเองให้เร็วขึ้นอีก
ป่านนี้ถ้าไม่โดนจับ...
ฮันบินก็คงแย่อยู่ดี ขนาดผมที่โดนยิงแค่ที่แขนยังเจ็บขนาดนี้
แล้วฮันบินที่โดนยิงเข้าไปหลายนัดขนาดนั้นจะเป็นยังไง
อาการเสียเลือดทำให้ภาพตรงหน้าของผมเบลอเป็นระยะๆ
แต่ก็ยังกัดฟันเดินจ้ำต่อไปเรื่อยๆ
เดินผ่านประตูใหญ่
พร้อมเสียงเอะอะโวยวายจากรปภ.ที่เข้ามากั้นไม่ให้ผมเข้าไปในตัวอาคาร
ภาพตรงหน้าค่อยๆพร่าเลือนลงเรื่อยๆ พร้อมๆกับเรี่ยวแรงที่หายไปอย่างน่าตกใจ
“คุณเข้าไปไม่ได้นะ มาหาใครน่ะ”
สิ่งสุดท้ายที่ผมเห็นลงจะเป็น...ภาพของใครซักคนที่วิ่งออกมาจากประตูทางเข้าตึกอย่างเร็ว
“ผมมาหา... ซงยุนฮยอง...”
50%
“ฮันบินฮยอง!” ผมสะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมความเจ็บหน่วงๆที่แขน
“ฟื้นแล้วหรอ”
เสียงของใครบางคนที่คุ้นเคยดังขึ้นใกล้ๆ
และเมื่อผมหันไปก็พบว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากยุนฮยอง
“ยุนฮยอง...”
“เรื่องของฮันบิน... พวกฉันกำลังพยายามจะช่วยอยู่
นายหลับไปวันนึงได้ ฉันเอากระสุนออกให้แล้ว นายโชคดีนะที่ไม่โดนเส้นเลือดใหญ่ไม่งั้นนายคงโดนตัดแขนไปแล้ว”
ผมมองตามแผ่นหลังของยุนฮยองที่กำลังเดินไปที่โต๊ะตัวเล็กๆที่อยู่ห่างออกไป
ผมใช้เวลาระหว่างนั้นมองสำรวจไปรอบๆห้อง
ผมนอนอยู่ในห้องนอนขนาดใหญ่ ขวามือมีกระจกที่เผยให้เห็นวิวของทั่วทั้งโซล
“พี่เป็นใครกันแน่” ยุนฮยองชะงักไปชั่วครู่
“...ฉัน...ก็แค่เป็นฉัน”
“พี่ไม่ได้เป็นยุนฮยองที่เล่าให้ผมฟังแน่ๆ
ตอบผมมาเถอะ ซง ยุนฮยอง”
เขาเงียบไปอึดใจนึง
ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับผม
“โอเค... ตั้งใจฟังดีนะ จองชานอู”
“...”
“ฉัน...เป็นตำรวจ ฉันทำงานให้หน่วยที่กำลังรับผิดชอบการสืบสวนลอว์ไลท์อย่างลับๆ”
ตำรวจ..งั้นหรอ..? แสดงว่าที่ผ่านมาเขาก็โกหกผมมาตลอดสินะ
“ขอโทษที่ต้องหลอกนาย แต่มันเป็นงานของฉัน”
มันไม่ได้น่าตกใจเหมือนที่ผมคิดตอนแรก...
แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกแปลกๆในอก ความรู้สึกโหวงๆเหมือนกับว่ากำลังสูญเสียอะไรบางอย่างไป
“ฉันมีคู่หมั้นแล้ว... ชื่อ จองจินฮยอง
คอนโดนี้ก็ไม่ใช่ของฉัน จินฮยองให้ฉันมาอยู่ที่นี่ชั่วคราวจนกว่าเรื่องที่ลอว์ไลท์จะจบ”
“พี่คงจะรักเขามาก”
“...พวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก”
“แสดงว่าเรื่องทั้งหมดที่พี่เล่าให้ฟังตอนอยู่ในโรงพยาบาลนั่นก็...
โกหกสินะ”
“ไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็ส่วนใหญ่... ใช่ ฉันโกหกนาย”
“...” ผมมองตามยุนฮยองที่หันหน้ากลับมาพอดี...
ดวงตาเศร้าๆนั่นทำให้ผมรู้สึกแปลก
คงเพราะเขาต้องรู้สึกสงสารผมแน่ๆ
และผมก็เกลียดความรู้สึกนี้ซะเหลือเกิน... มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่ขยะไร้ค่า
ยุนฮยองส่งยาสองเม็ดมาตรงหน้าผมพร้อมกับน้ำเปล่าอีกแก้ว
“พี่ไม่เคยคิดอะไรกับผมเลยจริงๆสินะ...”
ผมถามออกไปตามความรู้สึกตัวเอง ก่อนจะรับเอายาทั้งสองเม็ดมาไว้ในมือ
และกินมันเข้าไป
“นายเป็นน้องชายของฉันชานอู...
น้องชายคนนึง ฉันถึงจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินนั่นให้นาย
ถ้าเรื่องพวกนี้จบลงเมื่อไหร่ ฉันจะส่งข่าวไปบอกนายเอง
คนของฉันกำลังพยายามตามหาครอบครัวของนายอยู่
เมื่อเรื่องพวกนี้จบนายจะได้ย้ายกลับไปหาพวกเขา”
“เพราะอย่างนั้นพี่ถึงจะส่งผมไปฮ่องกงใช่ไม๊
เพราะพี่ไม่อยากเจอผม”
“เชื่อฉันเถอะว่ามันจะดีต่อเราทั้งคู่ชานอู”
“แค่ตอบผมตรงๆไม่ได้หรอยุนฮยอง
บอกความจริงกับผมมาซักที”
“...”
“...”
“ไม่ว่าอะไรที่นายกำลังคิด ฉันทำไม่ได้ชานอู ฉัน....ฉันเลิกกับจินฮยองไม่ได้...”
“ทำไม..?”
แววตาของยุนฮยองกำลังสั่น....เหมือนเขากำลังจะร้องไห้ออกมา
“ฉํนโตมาจากบ้านเด็กกำพร้า
จินฮยองกับพี่ชายเขาด้วย พวกเราดิ้นรนกันมานานกว่าจะเข้ามายืนในจุดๆนี้ได้...
เขาอยู่ข้างๆฉันมาทั้งชีวิต...
จินฮยองยอมแม้กระทั่งยอมหลับหูหลับตาส่งพี่ตัวเองไปทำภารกิจที่เสี่ยงมากๆเพื่อให้ฉันเข้าไปในตำแหน่งที่ปลอดภัยกว่า
เพื่อให้ฉันเข้าไปเจอนาย...ฮึก”
เสียงที่เริ่มสั่นครือของยุนฮยองทำให้ผมรู้สึกเศร้าแปลกๆ
น้ำใสๆที่ไหลออกมาจากดวงตาของอีกคนทำให้ผแทบอยากจะพุ่งเขาไปกอดปลอบร่างบางเอาไว้
แต่ผมเองก็ถูกแช่แข็งด้วยคำพูดของซงยุนฮยอง... ถึงประโยคมันอาจจะดูให้ความหวัง
แต่ในขณะเดียวกันันกลับยิ่งยืนยันว่าไม่ว่ายังไงเขาไม่มีทางที่จะยอมไปกับผมแน่นอน
“...และหลังจากเขาทำทั้งหมดนั่น
ฉันกลับทรยศเขาไปหลงนายเข้าเต็มๆ ฉันมันเลว จองชานอู
แม้กระทั่งดอกไม้ที่เขาส่งเข้าให้ทุกอาทิตย์ฉันยังเอาไปหลอกนายว่าฉันจะเอาไปโบสถ์”
“พี่ไม่ใช่คนเลว...
มันต้องมีซักทางสิที่เราจะผ่านเรื่องนี้ไปได้”
“มันไม่มีทาง...ไม่มีเลยซักทาง...
ฉันทิ้งเขาไม่ได้ชานอู แค่นี้มันก็ผิดจะแย่แล้ว
ฉันนอกใจคู่หมั้นตัวเองมาเป็นปีๆยังเลวไม่พออีกหรอ”
“แล้วพี่จะทิ้งผมงั้นหรอ!? พี่ทำได้หรอซงยุนฮยอง”
“....”
“พี่จะทิ้งผมไว้กับโลกบ้าๆนี่
ทั้งๆที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรซักนิดแบบนี้น่ะหรอ... จะส่งผมไปฮ่องกงจริงๆสินะ”
“นายจะไม่เป็นไร...
นายยังเด็ก ไม่มีอะไรที่นายทำไม่ได้หรอก”
“แต่....ผมมีชีวิตอยู่โดยไม่มีพี่ไม่ได้จริงๆนะ...”
“คนเราต้องหายใจต่อไปชานอู...
ไม่ว่าโลกนี้มันจะทำร้ายเราอย่างสาหัสแค่ไหน.. สิ่งเดียวที่ทำได้คือหายใจต่อไป”
“คนที่มานั่งเฝ้าพี่ตอนหลับทุกวันตอนที่ยังอยู่ในโรงพยาบาล
มันคือนายใช่ไม๊” เสียงที่คุ้นเคยที่ดังขึ้นทำให้ผมหลุดออกมาจากภวังค์ของตัวเอง
.....คิมจินฮวานตื่นแล้ว
ผมได้แต่แกล้งเสมองไปทางอื่นอย่างประหม่า
เขารู้แล้วว่าผมแอบมานั่งมองเขาแบบนี้...
เกือบทุกคืน
“ก็...ประมาณนั้น”
หลังจากที่เราจูบกันคืนนั้น
ผมกับเขาก็ไม่ได้พูดกันถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอย่างจริงจังเท่าไหร่นัก
พวกเขาสนิทกันมากขึ้นก็จริง มีหลายครั้งที่จินฮวานอาสาเข้าช่วยทำงานเล็กๆน้อยๆให้เขาเสมอ
คอยตามเขาไปกินข้าว หรืออะไรก็ตามที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจที่จะอยู่กับเขามากขึ้น
แต่ผมเองก็ยังไม่สามารถเอาสถานะอะไรไปรองรับคนตรงหน้านี้ได้
หรือแม้กระทั่งจะพูดถึงสัมผัสแสนหวานที่ยังติดอยู่ที่ริมฝีปากของเขาถึงตอนนี้
และเขารู้ดี...
พี่จินฮวานกำลังหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะทำให้สถานภาพระหว่างพวกเขาคลุมเครือไปมากกว่านี้
คงเพราะสถานะของพวกเขาทั้งสองคนที่ยังดูน่าสับสนอยู่นั่นแหละ
จินฮวานนิ่งไป เขาค่อยๆเขยิบเข้ามาใกล้ผม
จ้องตาแป๋วจนผมไม่กล้าแม้แต่จะมองกลับไป
เขากำลังทำให้ผมใจเต้นแทบบ้าอยู่
“จ้องพี่แบบนี้มันสนุกตรงไหนกัน?”
“ไม่รู้ดิ... ก็เพลินๆดี”
ผมตอบไปก่อนจะถอยหน้าห่างออกมา
“งั้นหรอ” พี่จินฮวานพูดก่อนจะหันไปทางอื่นบ้าง
จู่ๆความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวผม..
และดันเผอิญว่าปากของผมมันก็ไวเกินกว่าจะห้ามตัวเองซะด้วย
“พี่...เรามานอนด้วยกันเถอะ”
“อะไรนะ?”
เพราะคำถามกำกวมที่ทำเอาผมแทบอยากจะตบปากตัวเองทำให้พี่จินฮวานหันมาตะโกนเสียงดัง
พร้อมกับมองผมตาขวาง
“ไม่ๆๆ ผมหมายถึง ย้ายไปนอนห้องเดียวกันไม๊...
มันน่าจะดี... ผมไม่อยากมานั่งเฝ้าพี่แบบนี้แล้ว”
“นายบ้ารึเปล่ากูจุนฮเว ไม่กลัวฉันฆ่านายรึยังไง”
“พี่ไม่ฆ่าผมหรอก”
“อย่าไว้ใจใครง่ายๆ”
“พี่ไม่ทำหรอก พี่ฉลาด
ถ้าฆ่าผมไปไม่ได้ทำให้พี่หนีออกไปจากที่นี่ได้ซักหน่อย จริงไม๊?”
“....”
“เพราะฉะนั้น... ไปนอนด้วยกันเถอะ คิมจินฮวาน
ผมไม่อยากมานั่งเฝ้าแบบนี้ทุกคืนแล้ว มันเมื่อย”
“ฉันปฎิเสธได้ด้วยหรอ กูจุนฮเว”
สีหน้าของคนตัวเล็กตรงหน้าผมนี่มันน่ารักเป็นบ้าจริงๆนะ...
นี่ผมกำลังหลงคิมจินอวานอีกแล้ว
“นายรู้อะไรไม๊ ฉันไม่ได้โง่นะ”
“..?”
“ฉันรู้ว่านายคิดอะไร
และฉันรู้ด้วยว่านายรู้ว่านั่นมันเป็นไปไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้” ผมตอบไปตามที่คิด
“ฉันอยู่ที่นี่ไปตลอดไม่ได้จุนฮเว
หรือย่างน้อยฉันก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต”
“นั่นไม่ใช่คำตอบ”
“แต่มันเป็นความจริง ฉันมีชีวิตของฉัน
และมันไม่ลงเอยด้วยการจบลงที่นี่..”
“ถ้าพี่รู้ว่าผมคิดยังไง
อย่างงั้นพี่ก็คงต้องรู้ว่าตัวเองคิดยังไงสิ พูดออกมาสิพี่ ว่าพี่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมเลย”
“...”
“แค่ตอบผมมาจินฮวาน
แล้วหลังจากนั้นผมจะทำให้มันถูกเอง เมื่อไหร่ที่พ่อผมกลับมาทำงาน
เราจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน พี่จะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมก็ได้
แค่อย่าทำเหมือนจะปล่อยผมไปแบบนี้.... จับมือผมไว้แน่นๆก็พอ”
ความเงียบที่เข้าครอบคลุมทำให้จู่ๆบรรยากาศก็น่าอึดอัดขึ้นมาซะดื้อๆ
แต่อย่างน้อยผมก็มั่นใจอะไรบางอย่างได้
มั่นใจว่าอย่างน้อยจินฮวานก็ยังลังเลที่จะตอบ
ผมดึงเข้าเข้ามาใกล้ๆแรงๆจนอีกคนเซตกลงจากเตียงที่นั่งอยู่ลงมายืนที่พื้นหน้าเก้าอี้ที่ผมนั่ง
ผมใช้แขนตัวเองโอบไปรอบๆเอวของคนตัวเล็ก
“....อย่าปล่อยมือฉันนะ”เสียงตอบรับเบาๆทำให้จู่ๆผมเหมือนจะลอยขึ้นมา
ผมไม่ได้ฝันอยู่ใช่ไม๊?
ผมเงยหน้าขึ้นไปองจินฮวานก่อนจะพบว่าเขากำลังมองไปข้างๆพร้อมกับแก้มที่ขึ้นสีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
เพราะประโยคนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกเอาค้อนมาทุบที่หัว
มึนไปหมด
คงเพราะสมองของผมกำลังประมวลความหมายของประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฟังผิดไป
รีบยืนขึ้นและรับคนตัวเล็กนั่นเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง
เพราะพี่จินฮวานตัวเล็กมาก
พอผมกอดเขาไว้อย่างงี้เลยแทบจะเหมือนพี่เขาหายไปเลย
ผมคลายอ้อมกอดออกเล็กน้อยให้พอมีระยะห่างระหว่างพวกเราสองคนนิดหน่อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นกดจูบเบาๆลงไปแทน
มันยังเหมือนเดิม...
ปากของจินฮวานยังหวานอย่างน่าหลงใหลเหมือนเดิม
ผมค่อยๆอุ้มเขาขึ้นมา
ก่อนจะวางลงบนเตียงที่อยู่ด้านหลังแทน มือเล็กๆถูกยกขึ้นมาจับไว้ที่ไหล่ผม
ไม่ได้ทั้งดึงผมเข้าไปและผลักออกไป
“เชื่อใจผมไม๊?” ผมพูดตอนที่ผละออกจากอีกคน
พี่จินฮวานหอบจนตัวโยน
เสียงหายใจถี่ๆนั่นยิ่งทำให้สติของผมเลือนหายไป
ส่งแรงไปที่มือของตัวเองให้ดันอีกคนลงไปนอนราบกับเตียงทันที
ลากมือผ่านผิวขาวใต้เสื้อช้าๆก่อนจะวนไปวนมาที่สะโพกอีกคน
โดยไม่ละสายตาไปจากอีกคนที่ปรือตามองอยู่
“อื้อ...”
เสียงครางเบาๆที่หลุดออกมาจากปากของจินฮวานทำให้ผมต้องกลืนน้ำลาย
“จะทำเบาๆนะ”
ผมกระซิบจินฮวานเบาๆก่อนจะได้รับสิ่งตอบแทนเป็นกำปั้นเล็กๆที่ทุบเข้ามาที่ไหล่ขวา
คงเป็นเพราะอีกคนเขินนั่นแหละ
ผมเลื่อนมือขึ้นมาปลดเสื้อเชิ้ตของเขา ก่อนจะลดมือลงต่ำล้วงเข้าไปในกางเกงของพี่จินฮวานและสัมผัสส่วนอ่อนไหวของอีกคนเบาๆ
แลแค่นั้นก็ทำให้มือเล็กนั้นจิกเข้ามาที่ไหล่ผมซะแล้ว
ผมค่อยๆรูดมือขึ้นเป็นจังหวะจากเบาค่อยๆรัวขึ้นเรื่อยๆ
ห้องนี้กำลังร้องแรงขึ้น และคงจะเย็นไม่ลงง่ายๆแน่ๆ
อย่างน้อยก็ไม่ใช่เร็วๆนี้
จินฮวานเปลี่ยนจากมือที่จิกที่ไหล่ของผมเลื่อนขึ้นไปโอบไว้ที่ต้นคอของผมแทน
หน้าอกบางที่ถูกแอ่นขึ้นเล็กน้อยตอบสนองกับสัมผัสวาบหวามที่ผมกำลังมอบให้
ท่าทางที่ดูช่ำช่องของอีกคนที่ให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาตะหงิดๆ
แค่คิดก็เผลอใส่แรงเพิ่มเข้าไปจนพี่จินฮวานนิ่วหน้าขึ้นมา
และลืมตาขึ้นมามองผมอย่างไม่เข้าใจ
“มี..อะไร..หึ? จุนฮเว?”
“ไม่ใช่ครั้งแรกของพี่ใช่ไม๊?”
ทันทีที่คำถามนั้นหลุดออกไปจากปากของผมพี่จินฮวานก็ได้แต่อ้าปากค้างออกมาอย่างงงๆ
เขาคงนึกไม่ถึงว่าผมจะถามอะไรแบบนั้นออกไป
“กว่าฉันจะมาที่นี่ ฉันก็ 20 แล้วนะจุนฮเว อ๊ะ...อย่าแกล้งสิ
ฮื้อ...”
“มันน่าหงุดหงิดนิดหน่อย”
ผมพูดออกไปก่อนจะเริ่มกลับมาเร่งจังหวะมืออกีครั้งและประทับจูบไปทั่วใบหน้าขาวของอีกคน
ฝากรอยไว้ทั่วคอขาว
แค่เพียงไม่นานร่างของจินฮวานก็กระตุกเบาๆพร้อมๆกับน้ำสีขาวที่ถูกปลดปล่อยออกมา
“อ่า...มันไม่สำคัญเท่าตอนนี้ฉันกำลังทำกับใครหนิ
ใช่ไม๊?”พิ่จินฮวานพูดก่อนจะดันตัวเองขึ้นมาจูบผมอีกครั้งพร้อมกับเอามือสอดคล้องรอบคอผมไว้หลวมๆ
และผมเองก็ใช้โอกาสนี้ล็อคพี่จินฮวานที่ทำท่าจะถอนจูบออกไปเอาไว้ไม่ให้ริมฝีปากของเราผละออกจากกัน
กดจูบอยู่อย่างนั้นจนร่างเล็กในอ้อมแขนค่อยๆดิ้นเอเริ่มขาดอากาศหายใจจึงผละออกมาอย่างเสียดาย
ยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะพูดกวนๆอีกคนที่หน้าแดงเห่อ
“ไม่สำคัญเท่าที่ผมจะเป็นคนสุดท้ายของพี่หรอก
คิมจินฮวาน”
ดูเหมือนคืนนี้น่าจะเป็นคืนที่ยาวนานจริงๆ
เพราะมันคงต้องใช้เวลานานเลยทีเดียวกว่าที่เขาจะกินจินฮวานจนอิ่ม
J
TALK
ตอนแรกเค้าว่าจะต่อ NC .__________.
แต่บิ้วตัวเองไม่ขึ้นจริงๆค่ะ ฟฟฟฟฟ
มันเเอบมีฉาก.... นิดนึง อย่ากดเเบนเค้าเลยนะ... #กราบ ไม่รู้จะตัดไปไหนจริงๆ สั้นเกิ๊นนนน
ช่วงนี้ยุ่งมาก เรียนตลอดเลยยย ฮืออออ
จะพยายามมาอัพบ่อยๆนะคะ
อย่าลืมเม้น & #ฟิคลวงดบบ นะคะ
ปล. ยังทำเเบบสอบถามกันได้อยู่นะ!
ความคิดเห็น