ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [IKON] "HOODWINK" DoubleB&Junjin

    ลำดับตอนที่ #10 : file08.2 :: wake up [100%]

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ค. 58






    You can be a sweet dream or a beautiful nightmare
    Either way I don't wanna wake up from you
    Either way I don't wanna wake up from you









    HANBIN's SIDE

    ผมลืมตามองใบหน้าอีกคนที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก

    นับตั้งแต่วันที่บ๊อบบี้ให้แหวนเขา บ๊อบบี้ก็ย้ายเข้ามานอนในห้องด้วยกัน และผมเองก็ไม่ได้ไม่สะดวกใจอะไร จนกระทั่งมาถึงวันนี้

    เข็มสั้นของนาฬิกาที่วางอยู่บนหัวเตียงกำลังจะแตะเลขสี่แล้ว

    และผมยังคงหลับตาไม่ลง

     

     

    อย่าไว้ใจบ๊อบบี้ เสียงนั้นยังก้องไปทั่วหัวเหมือนพึ่งจะเกิดขึ้น

    ภาพของบ๊อบบี้ที่จ่อปืนไปยังจองจินฮยองยังติดอยู่ในหัวราวกับมีใครรีเพลย์มันตลอดเวลา

     

    บ๊อบบี้คนนั้น... คือบ๊อบบี้คนนี้จริงๆนะหรอ?

     

    ผมได้แต่ถามหัวเองซ้ำๆ และดูเหมือนมันจะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นและยิ่งทำร้ายความรู้สึกดีๆที่เคยมีต่ออีกคนลงไปทุกทีๆ

    เหมือนกับโดนมีดกรีดลงไปที่หัวใจช้าๆ

     

     

    ถ้าบ๊อบบี้ไว้ใจไม่ได้ แล้วที่นี่คืออะไร? การทดลองงั้นหรอ? หรือว่าผมแค่ฝันไปกันแน่?

    ถ้าที่นี่เป็นฝันแล้วอะไรล่ะที่เป็นจริง??

    ผมเอื้อมมือของตัวเองไปจับใบหน้าของอีกคนอย่างลืมตัว ก่อนที่บ๊อบบี้จะลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย

     

     

    “นอนไม่หลับหรอฮันบิน?”

    “อื้อ...ขอยานอนหลับหน่อยได้ไม๊” ผมพูดออกไปก่อนจะได้รับคำตอบกลับมาเป็นใบหน้าที่เคร่งเครียดและเต็มไปด้วยคำถาม

    “นายไม่จำเป็นต้องใช้มัน แค่หลับตาก็พอฮันบิน”

    “ผมต้องการมัน....จริงๆนะจีวอน”

    เขาหลบสายตาผมเล็กน้อย ผมรู้ว่าเขากำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่าง

    “โอเค ฉันจะไปเอามันมาให้” จนในที่สุดเขาก็ตอบกลับมา บ๊อบบี้กดจูบเข้าที่หน้าผากของผมหนึ่งครั้งก่อนที่จะลุกจากเตียงไป

    และมันน่ากลัวที่ผมยังใจเต้นกับสัมผัสเล็กๆน้อยๆแบบนี้มากขนาดไหน ทั้งๆที่สมองกำลังสั่งให้หนีอยู่แท้ๆ

     

     

    ผมนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงนุ่มได้ไม่นาน บ๊อบบี้ก็เดินกลับเข้ามา ในมือของเขามีแฝงยาสีขาว เขาแกะยาในนั้นออกมาสองเม็ดก่อนจะส่งให้ผมพร้อมกับน้ำเปล่า

    และหลังจากนั้นยาทั้งสองเม็ดก็ลงไปอยู่ในปากของผม

     

    คงเพราะบ๊อบบี้ที่จ้องอยู่ตลอดเวลาเลยทำให้ผมรู้สึกว่าการกลืนยาสองเม็ดนั้นลงไปนั้นยากเย็นซะเหลือเกิน รสคมที่ติดอยู่ที่โคนลิ้นก็ทำให้รู้สึกเหมือนจะอาเจียนออกมา

    ผมมองตามอีกคนที่ล้มตัวกลับลงไปนอน โดยไม่ลืมที่จะดึงผมลงไปนอนด้วย

    นอนลงไปบนท่อนแขนแกร่งที่ถูกสอดมารองที่ใต้คอผมเอาไว้ และจับผมพลิกหน้าไปทางเขา

     

    “ฝันดีนะ ฮันบิน”

    “ฝันดี... จีวอน”

     

    ผมค่อยๆหลับตาลงช้าๆตามน้ำหนักของเปลือกตาที่หนักขึ้นเรื่อยๆ

     

     

               

                เพดานสีขาวสะอาดตรงหน้าทำให้ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย

                นี่ไม่ใช่ที่บ้านหลังนั้นอีกต่อไป

     

     

                ผมพยายามตั้งสติเพื่อจับทางหาข้อมูลอะไรบางอย่างที่พอจะเล็ดลอดออกมาจากหัวที่มึนไปหมดของตัวเอง จนกระทั่งหันไปเห็นเครื่องวัดชีพจรข้างตัว

     

                อ่า... ที่นี่คือลอว์ไลท์...

                ฝันงั้นหรอ...?

     

                มันเหมือนมีอะไรปกคลุมความคิดของตัวผมเองอยู่ ความรู้สึกมึนๆเคลิ้มๆเหมือนผมกำลังอยู่ในฝันอย่างไงอย่างงั้น

                ตื่นในความฝันของตัวเอง....

     

               

                ผมยกมือขึ้นจับที่หัวของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะพยายามลุกขึ้นจากที่ๆตัวเองนอนอยู่ มันใช้เวลาราวสิบวิกว่าผมจะประมวลผลได้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่กลางห้องสีขาวที่มีหน้าต่างบานใหญ่...

                ข้างนอกนั่นมันมืด... เพราะอาการปวดหัวนี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ภาพตรงหน้าเบลอไปหมดเหมือนมีใครเอากระจกฝ้ามมากั้นเอาไว้

                และในขณะที่ผมกำลังจะยอมแพ้และกลับลงไปนอนนิ่งๆเหมือนเดิม จู่ๆไรซักอย่างก็ดังขึ้นในหัวของผมซ้ำไปซ้ำมา

     

     

                ถ้าที่นี่ไม่ใช่ความฝันล่ะ..?

                มันเป็นไปได้รึเปล่าที่ที่นี่จะเป็นความจริง...?

                นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะหาคำตอบได้

     

                เพราะอย่างนั้นเองเลยรีบบอกตัวเองให้กัดฟันอดทนลืมตาขึ้นมาต่อ

                โอเค...

                ผมมองไปที่ร่างกายของตัวเองเป็นอย่างแรก ผมอยู่ในชุดคนไข้ มันไม่เหมือนชุดคนไข้ที่ปกติผมเคยใส่ มันไม่ใช่สีส้ม มันเป็นสีเขียว

                เขียวเหมือนป่า ...เหมือนต้นไม้ .... ใช่ ต้นไม่มีสีเขียว ผมชอบต้นโอ๊คต้นใหญ่ที่อยู่หน้าบ้าน

                ความคิดที่เริ่มจะสะเปะสะปะทำให้ผมต้องจิกเข้าที่มือของตัวเองแรงๆเพื่อเรียกสติกลับมา

                อาการแบบกำลังทำให้ผมเป็นบ้า มันเหมือนมีอะไรพยายามลากให้ความคิดผมเตลิดอยู่ตลอดเวลา ความคิดหลายอย่างประดังประเดเข้ามาจนผมสับสนไปหมด

     

                ผมกลับมาสำรวจร่างกายตัวเองอีกครั้ง มันมีสายรัดข้อมือบางอย่างติดไว้ที่ข้อมือข้างซ้ายของผม ผมอ่านมันไม่ออก ภาพตรงหน้าเบลอเกินไปที่จะระบุได้แน่ชัดว่ามันเขียนว่าอะไร แต่เดาได้ว่ามันต้องมีชื่อผมแน่ๆ

                ดูเหมือนตัว H ลางๆนั่นจะเป็นฮันบิน

     

                และนั่น... มันเป็นตัวเลข...

                730,1945

                มันคืออะไรกัน? ชุดตัวเลขพวกนั้นทำให้ผมขมวดคิ้ว ยิ่งสถานการณ์แบบนี้การจะให้เขานั่งตีความชุดตัวเลขพวกนั้นก็ยิ่งดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้

     

     

                เขาละสายตาไปที่โต๊ะทำงานตัวไม่ใหญ่ที่ถูกตั้งอยู่มุมห้องแทน

                มันดูคุ้นจนประหลาดตา แต่เขานึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน

     

     

                อาจจะเป็นการทดลองซักอย่าง ที่นานมาแล้วจนเขาจำไม่ได้

     

                ผมพยายามที่จะลุกขึ้นจากเตียงแคบๆที่นอนอยู่ และเมื่อหย่อนตัวลงไปที่พื้น ก็พบว่ามันไม่ได้เรื่อง แรงจะยืนผมยังไม่มีด้วยซ้ำ

                มือของผมกำเข้าที่ราวของรถเข็นที่ถูกจอดไว้ข้างเตียง มันเต็มไปด้วยขวดแก้วมากมาย และแขนของผมก็กวาดมันจนลงไปแตกกองกับพื้นซะส่วนใหญ่

                เสียงแก้วที่แตกเป็นเสี่ยงๆบาดหูจนทำให้ผมสะดุ้งด้วยความตกใจ กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งไปทั่วจนทำให้ปวดหัวกว่าเดิม ผมพยายามจะจับเอาขวดที่ล้มและยังไม่ได้ตกลงมาแตกขึ้นมาตั้งอีกรอบ ผมจับขวดแก้วเล็กๆสำหรับใส่ยาฉีดที่เกือบตกลงพื้นมาไว้ในมือ

                มันเป็นยาสีใส ที่มีฉลากเป็นศัพท์การแพทย์เต็มไปหมด

              E-160C

                ผมอ่านชื่อของมันอย่างเข้าใจ พยายามเพ่งไปที่ยาอื่นๆบนรถเข็นก่อนจะพบว่ามันเป็นยาชนิดเดียวกันราวห้าขวด และอื่นๆเป็นยาที่สีต่างออกไป

               

     

                แกร๊ก เสียงที่ดังมาจากข้างหลังทำให้ผมรีบซุกขวดในมือลงไปในแขนเสื้อของตัวเอง

                ผมหันไปมองก่อนจะพบกับพยาบาลคนนึงที่วิ่งเข้ามาด้วยความตกใจ

                ในมือของเธอถือปืนไว้ข้างนึง และอีกข้างกำลังทุบไปที่ปุ่มสัญญาณเตือนภัยสีแดงที่อยู่ใกล้ๆมือ แค่เสี้ยววินาทีต่อมา ทั้งห้องนี้ก็ถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานจากไฟฉุกเฉิน

                เสียงดังไปหมดจนรู้สึกเหมือนตัวเองหูดับไปแล้ว

                ผมพยายามจะก้าวขาออกเพื่อหนีไปให้ได้ไกลที่สุด แต่ขาสองข้างก็หนักอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หันไปมองลูกกระสุนยาสลบที่พุ่งออกจากปลายกระบอกปืนของพยาบาลคนนั้น

     

                มองมันปักเข้าที่เอวของตัวเองพร้อมๆกับความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

               

     

     

     

               

     

                ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งในตอนที่ไม่มีใครเหลืออีกแล้วในบ้าน ตอนนี้บ๊อบบี้คงออกไปทำงานเหมือนทุกๆวัน...

                ผมเหลือบมองนาฬิกาเล็กน้อยก่อนจะพบว่าตัวเองหลับไป... 18 ชั่วโมงเต็มๆ

                นี่มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

     

     

                ผมนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นอยู่หลายนาที รวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ยังอยู่ในสมองมาจัดเรียงให้เป็นระบบ

                โอเค... ผมเคยเป็นคนป่วย อยู่นับสิบปี วันนึงระบบรักษาความปลอดภัยเกิดล่ม ผมเลยหนี หนีจนมาเจอบ๊อบบี้และเขาพาผมมาที่นี่

                ผมใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ยังมีอาการฝันเกี่ยวกับโรงพยาบาลเป็นระยะๆ ผมไม่เจ็บเวลามีดบาด และล่าสุดบ๊อบบี้พึ่งบอกผมว่าตอนที่ผมเข้าไปคุยกับหมอนั้นผมแค่ฝันไป

     

     

                มันยังมีอะไรที่ผมพลาดไปอีก?

                ตอนที่ผมหนีออกมาจากลอว์ไลท์... ใช่ ผมหนีจากห้องตัวเองออกไป เข้าไปในห้องทำงานของหมอที่อยู่ชั้นเดียวกัน

               

                ...มันเคยมีห้องทำงานหมออยู่ชั้นเดียวกับคนไข้ด้วยหรอ?

                พวกเขาทำงานที่เหนือพื้นดินกันหมด ไม่มีทางที่จะมีห้องทำงานโพล่ไปตรงนั้นแน่ๆ

               

                บ้าชะมัด ทำไมผมไม่เอะใจตั้งแต่ตอนนั้นนะ?

     

                ใช่... ผมเอาเอกสารบางอย่างมาจากบนโต๊ะ

                ผมรีบถลาตัวเองลงจากเตียง ก่อนที่ความเจ็บปวดจะแล่นปราดขึ้นจากฝ่าเท้า

                ผมก้มลงมองขาตัวเองที่กำลังมีเลือดไหลออกมา

                มันมีเศษแก้วอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

                ผมพยายามเพ่งมองเศษแก้วกลุ่มใหญ่ที่แตกกระจายอยู่กับพื้น แต่เพียงแค่แว๊บเดียวมันก็ค่อยๆจางหายไป..

               

     

                นี่มันไม่ใช่แล้ว

                ที่นี่ไม่ใช่ความจริง

     

                สติของผมแตกกระเจิงอีกครั้ง พร้อมกับความรู้สึกร้อนที่ตาที่กำลังเริ่มปะทุขึ้น

                กัดปากตัวเองแรงๆหนึ่งครั้งเพื่อเรียกสติคืน โอเค... จะเล่นกันแบบนี้ใช่ไม๊ลอว์ไลท์

                ผมหันไปที่โต๊ะทำงานของบ๊อบบี้ที่ผมมักจะไม่เข้าไปยุ่งอยู่เสมอโดยไม่สนใจบาดแผลของตัวเองอีกต่อไป เอกสารทางการแพทย์มากมายวางอยู่บนโต๊ะ ส่วนใหญ่จะเป็นเอกสารที่เขียนด้วยศัพท์ทางการแพทย์ที่ผมอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก

                กวาดเอกสารทุกอย่างจนกระจัดกระจายไปหมด

                ภาพตรงหน้าพร่าเลือน ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะว่าน้ำตาของตัวเองหรือว่าเพราะอะไรกันแน่

                ไม่มีอะไรซักอย่าง...นอกจากบันทึกเกี่ยวกับการวิจัยวัคซีนโรคไข้หวัดที่เขาทำอยู่

     

     

                กระดาษกองโตกองใหญ่เริ่มร่วงหล่นลงกับพื้นไปทีละแผ่นๆเมื่อผมพบว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับที่ผมพยายามจะหาหลักฐานยินยันความคิดของตัวเอง

               

                ความโกรธปนเจ็บหนืบที่ปนกับทั่วไปหมดทำให้ผรู้สึกเหมือนอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ หรือไม่ก็หนีไปที่ไหนซักแห่ง และคงเป็นเพราะอารมณ์ที่เดือดจนเกินไปนั้นเองที่ทำให้ผมไม่เจออะไรซักอย่างจนกระทั่งเมื่อตัวเองหันไปรื้อกระดาษกองสุดท้าย

     

     

    ก่อนจะพบสมุดเล่มนึงที่ถูดทับไว้ด้วยกองเอกสารที่ถูกขยำไว้...

                สมุดที่ปกของมันทำจากหนังชั้นดีขนาดหนาพอสมควร และถูกพันไว้ด้วยเชือกหลวมๆ

               

     

              ‘บันทึกประจำวัน งานวิจัย ’

     

     

     

                ‘...จากการทดลองครั้งแรก ยาไม่มีการต่อต้านต่อภูมิคุ้มกันของร่างกายตัวอย่าง’

                บันทึกของที่ทำงาน? ผมกวาดสายตาไปทั่วๆก่อนจะเจออะไรบางอย่างที่ทำให้เกือบลืมหายใจขึ้นมา ‘...เริ่มทดลองกับคนไข้ครั้งแรก คิม ฮันบิน CODE :: CODE:22XXXXXXB’

     

     

     

               

                นี่สินะ... ความจริง

     

     

              ‘...ยาทำให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาพของการหลับในระยะเวลานานๆได้ และเมื่อถูกกระตุ้นให้ตื่นจะสร้างภาพบางอย่างในความคิดของตัวเอง ยังไม่สมบูรณ์นัก เหมือนสภาวะจิตหลอน ส่วนใหญ่จะเห็นสภาพแวตล้อมต่างไปจากเดิมไม่สามารถปรับเปลี่ยนบุคคลได้.. เขาเห็นเรา เราเห็นเขา แต่อยู่ในสภาวะแวตล้อมที่ต่างกัน และวัตถุบางอย่างที่อยู่ในชีวิตประจำวันปกติก็จะถูกปรับจนสามารถกลายเป็นภาพที่คนไข้เห็นและสัมผัสได้จริง สามารถพูดคุยกันได้ตามปกติ’

     

             

              ‘...การทดลองประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ต้องฉีดยาวันละ15cc คนไข้สามารถเข้ากับตัวยาได้ดี เครื่องจำลองภาพจากสมองทำงานได้เกือบสมบูรณ์’

     

     

              ‘xx/xx/xxxx  สมองต่อต้านการทำงานของยา ระยะเวลาที่ยาส่งผลสั้นลง บางช่วงประสาทสัมผัสกลับมาทำงานปกติ (อาการคล้ายกับการฝัน) ’

     

              ‘คนไข้ตื่นขึ้นมาเองโดยไม่ถูกกระตุ้น’

             

              ระยะเวลาตอบสนองของยาน้อยลงเรื่อยๆ ไม่สามารถคำนวณเวลาแน่นอนได้

     

              มีการแทรกแซงการทดลองจากคนนอก อาจจะต้องมีการระงับโครงการหรือเปลี่ยนคนไข้

     

              ‘xx/xx/xxxx ให้ยานอนหลับคนไข้ 500g ตารางเวลาการนอนหลับคลาดเคลื่อน

     

     

                ผมปล่อยให้สมุดเล่มนั้นหล่นลงบนพื้น ในหัวโล่งไปหมด

                และวินาทีต่อมามันก็เต็มไปด้วยคำถามมากมาย

     

     

                นี่มันเรื่องอะไรกัน? มันคือเรื่องบ้าอะไร? ผมควรทำอะไรต่อ? บ๊อบบี้หลอกผมงั้นหรอ?

                ยังไม่ทันที่ผมจะหาคำตอบให้ตัวเองได้ ความเจ็บปวดแล่นปราดเข้ามาในหัวผมอย่างรวดเร็ว...

                ถึงแม้ความเจ็บปวดจะมากมายจนต้องทรุดลงกับพื้นแต่ในหัวของผมกลับมีแต่ประโยคพวกนี้วนซ้ำไปซ้ำมาในหัว

     

     

                ภาพตรงหน้าของผมเริ่มเบลอก่อนที่จะชัดขึ้นอีกครั้ง

                ภาพตรงหน้าไม่ใช่บ้านหลังเล็กแถบชานเมืองอีกต่อไป แต่กลับเป็นห้องสีเหลี่ยมขนาดกลางที่มีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน

     

     

     

    ...น้ำตาผมกำลังไหลรึเปล่านะ?

     

     

     

                ผมใช้เวลาเพียงแค่เล็กน้อยก่อนจะพาเอาร่างกายของตัวเองกลับไปที่เตียงนอน...

                ในเมื่อคุณต้องการผมก็จะแกล้งเล่นละครตามไปก็แล้วกันนะ

     

                ผมจะไม่โง่ปล่อยตัวเองให้คนพวกนี้ทำร้ายอีกต่อไป..

     

                ถึงเวลาที่ผมจะลองหาทางออกจากไอ้วงจรอุบาตๆพวกนี้แล้วล่ะมั้ง...

    ถึงเวลาที่ผมจะหาทางหนีออกไปจากที่นี่ได้แล้ว.

     

    ต่อจากนี้มันมีแค่สองทาง

     

     

     

     

    ถ้าไม่เป็นอิสระ...

    ก็คงเป็นความตายที่รอผมอยู่

               

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                ผมจำไม่ได้ว่าพาตัวเองกลับเข้ามาในภาพของบ้านหลังเดิมได้ยังไง ผมนั่งร้องไห้อยู่ที่มุมห้องนานมากจนเหมือนจะหลับไปได้ครู่หนึ่ง ได้สิตอีกที ตัวเองก็อยู่หน้าทีวีในบ้างหนังนั้นซะแล้ว

    แต่เพียงแค่ผมคิดได้ว่านี้มันเป็นแค่สิ่งที่ผมคิดภาพตรงหน้าก็กลายเป็นโรงพยาบาลทันที ดูเหมือนยาตัวนี้จะแค่สร้างแต่ภาพที่ผมอยากเห็นขึ้นมาเท่านั้น

     

     

    นั่นทำให้มันง่ายขึ้นเยอะ

     

     

    ผมพยายามไม่แสดงอาการอะไรออกมาและกวาดสายตามองไปรอบๆอีกครั้ง ผมกำลังนั่งอยู่บนโซฟาจริงๆ มันเป็นโซหาที่คล้ายๆกับที่ผมเห็นในภาพลวงตานั่นแหละ

    ของในห้องนี้ จริงๆมันก็ดูคล้ายกับที่ที่ผมจินตนาการขึ้นมามากๆ ทั้งตำแหน่งของสิ่งของต่างๆ หรือแม้กระทั่งหนังที่กำลังเปิดอยู่ในทีวีก็เป็นเรื่องเดียวกัน

    และคราวนี้ภาพที่ผมเห็นทั้งหมดมันไม่ได้เบลอเหมือนตอนแรกที่ตื่นขึ้นมา

     

     

    มันเป็นเวลาราวๆทุ่มกว่าแล้ว

    ในห้องตอนนี้ไม่มีใครเลย...หน้าต่างบานใหญ่ที่กั้นระหว่างห้องนี้กับห้องอีกห้องที่มีอุปกรณ์อะไรไม่รู้เต็มไปหมด ผมเห็นพวกมันไม่ชัดเท่าไหร่ เพราะมันก็ร้างผู้คนและมืดสนิท

    ผมเดาว่ามันคงเหมือนกันกับห้องสังเกตการณ์หรือะไรเทือกๆนั้น

     

    ผมมองไปรอบๆห้องเล็กน้อยพอให้ไม่เป็นที่สังเกตก่อนจะพบว่าในห้องนี้ไม่มีกล้องวงจรปิดแม้แต่ตัวเดียว..

    แปลก...

     

                ผมลุกขึ้นช้าๆก่อนจะสำรวจห้องนี้อีกครั้งโดยละเอียด...โดยรวมๆห้องนี้จะคล้ายกับที่พักชั้นกลางทั่วๆไป มีของทุกอย่างครบครับ เพียงแต่มีรถเข็นใส่ยาเล้กๆที่ตั้งอยู่มุมห้องและกลิ่นของยาฆ่าเชื้อมันรุนแรงเกินกว่าจะเป็นห้องธรรมดาเท่านั้นเอง

                และผมก็สะดุดตากับกระดานขนาดกลางหนึ่งอัน..

                ข้างในนั้นมีตารางเวลาที่เกี่ยวกับผมตลอด  1 สัปดาห์...

                วันนี้ ตอนบ่ายเข้าสแกนสมอง ตอนเย็นเวรหมอบ๊อบบี้ ส่วนตอนค่ำก็ฉีดยา

     

                และที่ผมรู้ตัวอีกอย่างก็คือ

                ผมยังทนแม้กระทั่งจะเห็นชื่อเขาไม่ได้จริงๆ

     

     

                ผมเบนสายตาตัวเองออกจากกระดาษแผ่นนั้นก่อนจะเดินไปที่รถเข็นยาดู

                สมองผมกำลังแล่นอย่างรวดเร็วพร้อมกับความคิดบางอย่างที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ผมตรงไปที่รถเข็นอย่างไวก่อนจะพบกับสิ่งที่มองหาอยู่

     

     

                ยาขวดเล็กๆสีใสที่เหลืออยู่ขวดเดียวบนถาด

                ยาที่ผมจำได้ทันทีว่ามันเป็นยาตัวเดียวกับที่อยู่ในสมุดบันทึกของบ๊อบบี้..

                คุณคงไม่ลืมหรอกนะว่าผมมีพลังอะไรอยู่ในตัว.. เรื่องรายละเอียดแบบนี้ผมจำมันได้แน่นอนแม้จะมองแค่ผ่าน ในสมุดเล่มนั้นก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับโรงพยาบาลนี้มากเท่าที่ผมต้องการเลยล่ะ...

     

    ทั้งเรื่องการทดลองนี้

                หรือแม้กระทั่งแผนที่โรงพยาบาล

     

                ผมจัดการปาขวดเล็กๆใบนั้นลงอย่างแรงจนมันแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ

                “หึ...”

    .          

     

                ขอบคุณคิมบ๊อบบี้แล้วกันที่ทำให้ผมโกรธแค้นขนาดนี้

     

     

     

               TBC.



     

    TALK

    อุ๊ต้ะ.... ทำไมสำผัสได้ถึงรังสีอาฆาต //มุดลงดิน

    ตอนแรกจะเอาชานอูกับดบบมาพร้อมกัน กลัวคนอ่านจะคลั่งตายก่อนเลยแยกเป็น .2 และกัน

    ดีขึ้นไม๊คะ? ถถถถถ

    ตอนหน้าชานยุนดบบ.นะ ปล่อยจุนจินไปสวีทกันสองคนไปก่อน หมั่นไส้ ฟฟฟฟฟ

    ตอนนี้มันมีคำอธิบายเยอะเเยะไปหมดเลย....กลัวรีดเดอร์ไม่เข้าใจจัง พยายามเค้นภาษาสุดๆเเล้ว TT ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนถามได้ในทวิตเตอร์(@pimkiwiz)เลยค่ะ หรือจะเม้นทิ้งไว้ก็ได้ เดี๋ยวจะมาอธิบายเพิ่มเติมให้

     

     เม้น & #ฟิคลวงดบบ ด้วยนะคะ เลิ้บบบ

     

     

     

    .

     

    .


    @SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×